Environment – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 22 Nov 2022 15:49:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 GPSC ประกาศผลผู้ชนะเลิศโครงการ “GPSC Greenovation Startup Sandbox” https://positioningmag.com/1409098 Fri, 25 Nov 2022 03:13:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1409098

กลับมาอีกครั้งกับโครงการ GPSC Greenovation Startup Sandbox ในรอบ Final Pitching Day เพื่อเฟ้นหาทีมชนะเลิศนักพัฒนาธุรกิจรุ่นใหม่ด้านพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. และ บริษัทในกลุ่ม GPSC ได้แก่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด หรือ CHPP และ บริษัท นูออโว พลัส จำกัด หรือ NUOVO PLUS ร่วมผลักดันนักคิดคนรุ่นใหม่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตลอดระยะเวลา 5 เดือน ตั้งแต่วันแรกจนมาถึงรอบสุดท้าย ในวันนี้ ทีมเข้าร่วมโครงการได้พัฒนาไอเดียนวัตกรรมขับเคลื่อนการใช้พลังงานสะอาด ภายใต้โจทย์ “เราจะพัฒนาสังคมให้ดีขึ้นได้อย่างไร โดยใช้นวัตกรรมพลังงานสะอาดที่คุณสามารถเข้าถึงได้?” โดยได้รับคำแนะนำอย่างใกล้ชิดจาก Mentor รวมทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรม Workshop สุดเข้มข้น รับคำปรึกษา และต่อยอดไอเดียธุรกิจจากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมรับเงินทุนรวมมูลค่ากว่า 600,000 บาท เพื่อนำไปต่อยอดแผนงานและพัฒนาไอเดียธุรกิจ ในรอบ Final Pitching Day การนำเสนอผลงานครั้งสุดท้ายของทั้ง 3 ทีม ได้แก่ “ทีม ควายงาน” ผู้คิดค้น “BuffBox” เครื่องมอเตอร์ไฟฟ้ารุ่น ต้นแบบช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยของไทย “ทีม Onecharge” ที่ร่วมมือกับพันธมิตร มุ่งขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมขยายการติดครอบคลุมทั่วประเทศ และ “ทีม Electron+” เจ้าของไอเดีย FTE (Flexible thermoelectric) Cooling in Automotive เทคโนโลยีการทำความเย็นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำงานร่วมกับโซลาร์เซลล์ ช่วยลดอุณหภูมิภายในรถยนต์ไฟฟ้าแบบเฉพาะจุด

ดร.รสยา เธียรวรรณ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่พัฒนาธุรกิจ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับโครงการ GPSC Greenovation Startup Sandbox ถือเป็นโอกาสสำหรับน้องๆ ที่ยังเป็น Young Generation ที่มีไอเดียในเรื่องนวัตกรรมพลังงานสะอาด ความท้าทายของน้องๆ คือ เวลาเราคิด Project หรือคิดว่าเราจะช่วย Environment อย่างไร เราคิดอย่างเดียวก็ไม่เกิดอะไร แต่ถ้าเราลงมือทำได้ เราก็สามารถที่จะทำให้ความฝันเราเกิดเป็นความจริง ความท้าทายก็คือว่าแล้วการลงมือทำ จะต้องใช้งบประมาณเท่าไร นี่เป็นสิ่งที่ GPSC สามารถที่จะเสริมให้น้องๆ มีโอกาสในการที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ ได้

เกณฑ์การตัดสินของเราประกอบไปด้วยหลายๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโจทย์ของงานว่าการพัฒนานั้นต้องสร้างความยั่งยืนอย่างไร ตอบสนองคุณค่าต่อเราและสังคมอย่างไรต่อไป ในแง่ของการพัฒนาต่อยอดในเชิงธุรกิจ ในเรื่องของความพร้อมของบุคลากรและทีมงานที่คณะกรรมการนำมาเป็นเกณฑ์การพิจารณาทั้งหมด ทั้ง 3 ทีมงาน ทำได้ดีทั้งสิ้น ความท้าทาย คือ เราต้องมาตัดสินน้องๆ Startup ต่างๆ ที่อาจจะยังไม่เคยทำธุรกิจมาก่อนเลย เราพยายามจะเอาหลักเกณฑ์สักอันมาจับว่าใครที่เหมาะสมจะเป็นผู้ชนะ ตลอดระยะเวลาที่หลายๆ เดือนที่ทำงานร่วมกันกับน้องๆ มา ก็จะมีการให้คำแนะนำ ให้คำปรึกษา ตรงไหนที่ทีมไหนยังขาดอยู่ ทางพี่ๆ ก็พยายามจะช่วยสนับสนุนเติมไปให้ หรือภาพของธุรกิจก็เราจะค่อยๆ Grooming น้องทุกคน พอมาถึงวันนี้ทุกคนมีภาพที่ครอบคลุมได้ทั้งหมดทุกมิติ อันนี้คือ Challenge คุณวัชรพงศ์ อินทะเคหะ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการพาณิชย์ บริษัท ผลิตไฟฟ้าและพลังงานร่วม จำกัด หรือ CHPP (บริษัทในกลุ่ม GPSC ผู้พัฒนานวัตกรรมการจัดการพลังงานและสาธารณูปโภค) กล่าว

โดยทีมที่ทำผลงานได้ออกมาดีที่สุด สามารถคว้าตำแหน่งสุดยอดไอเดียนักพัฒนาธุรกิจรุ่นใหม่ด้านพลังงานไฟฟ้า คือทีม ELECTRON PLUS+ มาพร้อมผลงาน เทคโนโลยีการทำความเย็นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดอุณหภูมิภายในรถยนต์ไฟฟ้าแบบ FTE cooling in Auto Motive หรือการทำความเย็นจาก Flexible thermoelectric ในยานยนต์ เฉพาะจุด ซึ่งสามารถช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ในรถยนต์ EV ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ทีม ELECTRON PLUS+ ผู้ชนะเลิศโครงการ GPSC Greenovation Startup Sandbox ได้เล่าถึง Pain Point ในการสร้างนวัตกรรมนี้ คือ มองการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเห็นรถยนต์ไฟฟ้าที่โฆษณาว่าวิ่งได้ 500 กิโลเมตร แต่จริงๆ แล้ว พอนำไปใช้งานแล้วได้ไม่ถึง อาจจะวิ่งได้แค่ 450 กิโลเมตร ดังนั้นจากตรงนี้เองเราก็เลยไปหาในส่วนของสาเหตุหลักๆ ก็มาจากแอร์ที่ใช้อยู่ในรถยนต์ที่เป็นในส่วนของ Compressor นั่นเอง เราจึงต้องทำการแก้ปัญหาโดยที่เปลี่ยนระบบทำความเย็นใหม่โดยที่ไม่ต้องไปใช้ Compressor แล้วใช้เทคโนโลยีของเราเข้าไปแทน หนึ่งสิ่งถ้าเทียบกับตัว Compressor ที่เราได้พูดไปในส่วนของ Pain Point ตัวนั้นทำให้เกิดในส่วนของภาวะเรือนกระจก ภาวะโลกร้อน ซึ่งตัวเทคโนโลยีของเราไม่ได้ทำให้เกิดพวกนั้นเลย ของเราเป็น Green Technology พูดง่ายๆ เป็นพลังงานสะอาดที่ตอบโจทย์กับโครงการนี้

GPSC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจไฟฟ้าจากนวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืน และยังแสวงหาแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงทางพลังงานที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานสะอาดที่จะเป็นเทรนด์ที่สำคัญของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจในโลกยุคดิจิทัลที่มีแนวโน้มการใช้ไฟฟ้ามากขึ้น และต้องไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง หรือภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ และมีเป้าหมายเดียวกันที่จะเดินหน้าไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ซึ่ง GPSC กำหนดเป็นเป้าหมายหลักเพื่อขับเคลื่อนสู่องค์กร Net Zero ภายในปี 2060

#GPSC #GPSCgroup #SmartEnergyForEvolvingLife #GreenovationStartupSandbox


]]>
1409098
“20 ปีบิ๊กซี จับมือทำดีเพื่อชุมชน” รวมพลล่องใต้ “สร้างธนาคารปูม้า เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี” ร่วมอนุรักษ์และเพิ่มจำนวนปูม้า พร้อมพัฒนาอาชีพประมงท้ https://positioningmag.com/57480 Wed, 18 Dec 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57480

บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ระดมผู้บริหาร พนักงานจิตอาสา และแพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์ ล่องใต้สู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จัดกิจกรรมส่งมอบโครงการ “สร้างธนาคารปูม้า เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี” เพื่ออนุรักษ์และเพิ่มจำนวนปูม้าที่เริ่มหายากให้มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ต่อไป

ดร.เนติธร ประดิษฐ์สาร ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์ บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด กล่าวว่า บิ๊กซีให้ความสำคัญกับการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้เกิดความยั่งยืนในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง เช่น การศึกษา สุขภาพ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะในโอกาสที่ครบ 20 ปีในปีนี้ บิ๊กซีได้จัดโครงการ “20 ปี บิ๊กซี จับมือทำดีเพื่อชุมชน” ร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และแพนเค้ก-เขมนิจ จามิกรณ์

กิจกรรมนี้เป็นการส่งมอบโครงการสำหรับชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่บิ๊กซีได้ส่งมอบ 3 โครงการไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ได้แก่ โครงการห้องเรียนฟื้นฟูพัฒนาการน้องผู้พิการ จ. นครสวรรค์ โครงการสร้างแทงก์น้ำสะอาดเพื่อน้องที่ อ. หางดง จ.เชียงใหม่ และโครงการสร้างศาลาเอนกประสงค์ ณ ศูนย์อนุรักษ์นกยูงไทย จ.ลำพูน ทั้งนี้ ทุกโครงการดังกล่าว ล้วนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่ต้น (Bottom-Up CSR) ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนอย่างแท้จริง และมีความยั่งยืนด้วยการลงพื้นที่พูดคุยกับชุมชนโดยตรง เพื่อได้ทราบความต้องการที่แท้จริงและสร้างความตื่นตัวของชุมชน อาจเป็นการพัฒนาจากสิ่งที่มีอยู่เดิมหรือจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ และสามารถสร้างผลประโยชน์ได้อย่างยั่งยืนอีกด้วย

“โครงการสร้างธนาคารปูม้า เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี” เป็น 1 ใน 6 โครงการที่บิ๊กซีเปิดให้ประชาชนร่วมลงคะแนนผ่านทางเฟซบุ๊ค “สร้างวันใหม่กับบิ๊กซี” ที่ www.facebook.com/bigcsupercenter ระหว่างวันที่ 25 ก.ค. – 15 ส.ค. ที่ผ่านมา และคัดจาก 130 โครงการที่สาขาบิ๊กซีทั่วประเทศร่วมกับชุมชนนำเสนอเพื่อรับงบประมาณจากบิ๊กซีไปดำเนินโครงการจนแล้วเสร็จ

นายประทีป ทวยเจริญ นายกเทศมนตรี ตำบลเกาะพงัน กล่าวเสริมว่า โครงการธนาคารปูม้า เกิดจากความร่วมมือของเทศบาลตำบลเกาะพะงัน กับ บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ และชาวบ้านบนเกาะพะงัน และเป็นโครงการที่จะอนุรักษ์และเพิ่มจำนวนปูม้าที่เริ่มหายากให้มีปริมาณเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะร่วมกันพัฒนาจุดนี้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ของเกาะพะงัน อันจะช่วยสร้างอาชีพและรายได้ของชุมชนอีกด้วย

“ทุกฝ่ายที่ได้ร่วมมือกันในครั้งนี้ ต่างมองว่าโครงการนี้ให้ประโยชน์อย่างมาก เพราะนอกจากจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของเกาะพะงันแล้ว ยังจะช่วยอนุรักษ์ระบบนิเวศน์ทางทะเลและแหล่งอาหารที่สำคัญอีกด้วย เนื่องจากทรัพยากรปูในท้องทะเลธรรมชาติบริเวณรอบอำเภอเกาะพะงัน ปัจจุบันมีปริมาณน้อยลง เพราะถูกจับมาบริโภคและการจำหน่ายเกินความสามารถของการขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ ชาวประมงส่วนใหญ่มักจับปูที่มีไข่แก่มาบริโภค ซึ่งกระทบต่อระบบนิเวศน์อย่างมาก เพราะแม่ปูม้าสามารถวางไข่ได้ถึง 3 ครั้งจากการผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียว โดยในไข่แต่ละครั้งจะมีลูกปูที่อยู่รอดเป็นปูม้าตัวใหญ่ประมาณ 800 ตัว เพราะฉะนั้นแม่ปู 1 ตัว จะสามารถเพิ่มจำนวนปูม้าได้ถึง 2,400 ตัว โดยประมาณ ต่อการผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียว ซึ่งลูกปูจำนวน 2,400 ตัว จากแม่ปูไข่เพียง 1 ตัวนี้ จะเติบโตเป็นปูที่มีน้ำหนักประมาณ 4-5 ตัวต่อกิโลกรัม ฉะนั้น ปู 2,400 ตัว ก็จะมีน้ำหนักรวมประมาณ 500 กิโลกรัม ดังนั้น หากมีแม่ปูไข่ 100 ตัว จะทำให้ปูม้าเพิ่มขึ้นถึง 240,000 ตัวเลยทีเดียว”

แนวคิดการจัดตั้งธนาคารปู นอกจากจะเป็นเรื่องการอนุรักษ์ปูม้า ยังมุ่งเน้นเรื่องการสร้างจิตสำนึกและความร่วมมือร่วมใจของชาวประมงในชุมชนอีกด้วย อาทิ การส่งเสริมให้ชาวประมงใช้เครื่องมือในเชิงอนุรักษ์ด้วยการไม่ใช้ลอบที่ตาถี่เกินไป การช่วยกันสอดส่องไม่ให้มีผู้ลักลอบจับสัตว์น้ำแบบผิดกฎหมายบริเวณชายฝั่ง การกำหนดกติกาของการหาประโยชน์ร่วมกันจากทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะแม่ปูม้าที่มีไข่ลากทราย (ไข่นอกกระดอง) ซึ่งตลาดไม่นิยม แต่มักติดมากับลอบของชาวเรือ ทรัพยากรส่วนนี้จึงสูญเปล่าไปแบบไร้ประโยชน์ และกว่าแม่ปูจะถูกปล่อยลงสู่ทะเลก็มักจะตายระหว่างการขนส่ง หมดโอกาสที่จะวางไข่

“บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ได้เข้ามาร่วมสนับสนุนโครงการ “สร้างธนาคารปูม้า เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี” ร่วมกับชุมชน โดยการก่อสร้างโรงเรียนเพื่ออนุบาลลูกปูเป็นโรงเรียนโล่งไม่มีฝากั้น มุงหลังคาด้วยใบจากน้ำ โครงสร้างทำด้วยไม้ขนาดกว้าง 5 เมตร ยาว 10 เมตร นับเป็นพื้นที่ 50 ตารางเมตร และก่อสร้างบ่อคอนกรีตเพื่อฟักไข่ปู ขนาดกว้าง 2 เมตร ยาว 2 เมตร จำนวน 4 บ่อ พร้อมอุปกรณ์ปั๊มลมเติมอากาศ รวมถึงกระชังอนุบาลปูม้า ขนาดกว้าง 10 เมตร ยาว 10 เมตร สูงเฉลี่ย 2.50 เมตร ซึ่งจะก่อสร้างบริเวณชายฝั่งทะเลด้านติดกับปากคลองในวก ที่ทางเทศบาลได้ขุดลอกคลองและตั้งคันดินไว้ ซึ่งบริเวณอ่าวนี้เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมในการเพาะพันธุ์ลูกปูและเป็นแหล่งอนุบาลลูกปูทะเลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่ชาวประมงอวนปูและประมงชายฝั่งจอดเรือบนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่เศษ ซึ่งในอนาคตเทศบาลจะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้เป็นสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ” ดร.เนติธร กล่าว

“ชาวบ้านในเกาะพะงันรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งกับการส่งมอบโครงการในครั้งนี้ เพราะจะได้ช่วยกันอนุรักษ์และเพิ่มผลผลิตปูม้า สัตว์เศรษฐกิจในท้องถิ่นนี้ให้มีจำนวนมากขึ้น เพียงพอต่อการจับมาใช้ประโยชน์ ตลอดจนช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวศึกษาหาความรู้ เป็นการส่งเสริมอาชีพและดูแลรักษาแหล่งอาหารของชาวท้องถิ่นอำเภอเกาะพะงันได้อย่างยั่งยืน” นายประทีป กล่าวสรุป

ติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการ “20 ปี บิ๊กซีจับมือทำดีเพื่อชุมชน” ได้ที่ www.facebook.com/bigcsupercenter

]]>
57480
“ซอลทเวิร์คส” ผุดเหมืองเกลือแร่หินใต้ดินเชิงอนุรักษ์ แห่งแรกในประเทศไทย ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม วางแผนพัฒนาเหมืองเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับชาติในอนาคต" https://positioningmag.com/57248 Mon, 23 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57248

บริษัท ซอลทเวิร์คส จำกัด ทุ่ม 900 ล้านบาท เตรียมผุดโครงการเหมืองเกลือหินใต้ดินเชิงอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมแห่งแรกในเอเชียอาคเนย์ เน้นความปลอดภัยของชาวบ้านต้องมาก่อน มั่นใจได้รับใบอนุญาตประทานบัตรตามระเบียบกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ โดยผ่านมาตรฐานทุกด้าน ทั้งด้านธรณีวิทยา วิศวกรรมศาสตร์ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย พร้อมตรวจสอบทุกขั้นตอน ย้ำทำเหมืองรูปแบบอุโมงค์ใต้ดินแบบห้องสลับเสาค้ำยันความลึก 170-200 เมตร ไร้ปัญหาหลุมยุบ ไม่มีการใช้น้ำ ไม่ใช้ระเบิด ไม่เกิดการสั่นสะเทือน เพราะใช้วิธีขุดเกลือใต้ดินด้วยรถขูดแร่ พร้อมเดินหน้ากิจกรรมเพื่อชุมชนจัดโครงการร้านค้าชุมชน, ปลูกป่า และอบรมเกษตรทฤษฎีใหม่สร้างอาชีพ หนุนดันแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ใช้พื้นที่ดำเนินโครงการ 600 ไร่ กำลังการผลิตเกลือปีละ 5 แสนตัน

นายกิตติพงศ์ พุทธพรมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอลทเวิร์คส จำกัด เปิดเผยว่า เกลือเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญต่อชีวิตของมวลมนุษยชาติ ซึ่งนอกจากจะสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาหารแล้ว เกลือยังเป็นส่วนประกอบสำคัญขั้นพื้นฐานในหลายอุตสาหกรรมทั้ง อาหาร เคมี ปิโตรเคมี ประปา ฟอกย้อม รักษาความเย็น เครื่องสำอาง ยา ฯลฯ โดยประเทศไทยเกลือเป็นทรัพยากรที่มีปริมาณมากในภาคอีสาน และสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้หลายอย่าง แต่หากไม่นำมาใช้ประโยชน์ทรัพยากรเกลือก็จะไร้ค่า ในปัจจุบันมีวิธีในการทำเกลือด้วยการทำเหมืองแร่เกลือหินใต้ดินมาใช้ประโยชน์ ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีความปลอดภัยสูง ซึ่งในต่างประเทศมีการทำเหมืองแร่เกลือหินใต้ดินกันมาช้านานป็นร้อยปีจนถึงปัจจุบัน ในหลายประเทศแถบยุโรป เมื่อสิ้นสุดโครงการเหมืองเกลือใต้ดินสามารถพัฒนา เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อาทิ เช่น พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเกลือหรือชุมชนท้องถิ่น คลินิกบำบัดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ สถานที่จัดเก็บเอกสารสำคัญของหน่วยงานราชการ โดยในส่วนของพิพิธภัณฑ์ บริษัทยินดีมอบรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายให้กับชุมชน (อบต.ในพื้นที่)

ครั้งนี้ บริษัท ซอลทเวิร์คส จำกัด ผู้เป็นเจ้าของโครงการดำเนินการพัฒนาโครงการเหมืองเกลือหินใต้ดิน เชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับสิทธิ์ในการสำรวจธรณีวิทยา ครอบคลุมพื้นที่เขตปกครองท้องที่ อำเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งบริษัทฯ ได้ยื่นขอประทานบัตรเหมืองเกลือหินใต้ดินเลขที่ 3/2555 และ 4/2555 ในเขตพื้นที่ตำบลหนองสรวง และตำบลพันดุง อำเภอขามทะเลสอ จังหวัดนครราชสีมา แห่งแรกในเอเชียอาคเนย์ เพื่อสร้างเป็นโครงการเหมืองเกลือหินใต้ดิน เชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติ และสนับสนุนให้มีโครงการ Salt Lamps อีกทั้งโครงการอื่นๆ เพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับชุมชนในพื้นที่

และเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบรอบด้านเพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม บริษัท ซอลทเวิร์คส จำกัด จึงได้จัดตั้งคณะที่ปรึกษาที่มีความชำนาญ เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และน่าเชื่อถือ เพื่อร่วมเป็นหนึ่งในโครงการสำคัญนี้ ได้แก่ คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมการสร้างอุโมงค์ใต้ดิน และผู้เชี่ยวชาญ ภาคกลศาสตร์ของดินและหิน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โดย รศ.ดร. กิตติเทพ เฟื่องขจร และดร.แฮโรว์ เว็คเนอร์ ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมอุโมงค์ใต้ดิน, บริษัท กรีนเนอร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด ดูแลด้านสิ่งแวดล้อม, วิศวกรโครงการผู้ออกแบบและก่อสร้าง จากบริษัท ไร้ท์ทันเน็ลลิ่ง จำกัด ซึ่งได้รับความไว้วางใจในการก่อสร้างอุโมงค์ต่างๆ จากกรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมถึงภาคเอกชน โดยมีโครงการแรกคืออุโมงค์ขนาด 3.0 เมตร ในโครงการก่อสร้างเขื่อนคลองท่าด่าน อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดนครนายก ความยาวรวมทั้งสิ้น 1,910 เมตร และโครงการอุโมงค์อื่นๆ อีกมากมายทั่วประเทศ

นายกิตติพงศ์ กล่าวต่อไปว่า การทำเหมืองเกลือหินใต้ดิน จะเป็นรูปแบบการทำอุโมงค์ลงไปถึงระดับความลึกประมาณ 170 – 200 เมตร จากผิวดิน หรือเทียบเท่าประมาณตึก 61 ชั้น และมีขนาดปากอุโมงค์ทางเข้าในแนวดิ่งความกว้างเพียง 6-8 เมตร เพื่อทำการขุดเกลือขนาดช่องกว้างประมาณ 10 x 10 เมตร และสูง 10 – 15 เมตร ลักษณะของห้องจะสลับกับเสาค้ำยัน (Room & Pillar) พร้อมตรวจวัดการทรุดตัวของชั้นดินด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย จึงมั่นใจได้ว่าอุโมงค์จะไม่มีการทรุดหรือพังเสียหาย ประกอบกับการทำเหมือง ไม่มีการใช้ระเบิด และใช้เครื่องจักรแบบหัวขูดขูดเอาแร่ออกมา จึงไม่มีแรงสั่นสะเทือนที่จะทำให้เกิดการทรุดตัวของพื้นดิน

นอกจากนี้ ในการทำงานจะไม่ทำให้เกิดการปนเปื้อน หรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำใต้ดินก่อนการทำงาน จะต้องมีการสำรวจ ถ้าพบตาน้ำจะอุดด้วยซีเมนต์หรือไม่ขูดบริเวณนั้น เพราะการผลิตใช้ระบบแห้ง ดังนั้น น้ำธรรมชาติที่ไหลผ่านโครงการจะไม่มีการปนเปื้อนเด็ดขาด ไร้เสียง และฝุ่นละออง เพราะเป็นการทำงานใต้ดิน จึงไร้ผลกระทบด้านเสียง และฝุ่นละออง ส่วนการขนส่ง ก็มีการปรับปรุงถนนเป็นลาดยาง ลดการเกิดอุบัติเหตุ ทางโครงการจะกำหนดความเร็วรถ 40 ก.ม./ช.ม. ในเขตชุมชน และหลีกเลี่ยงการใช้เส้นทางในช่วงเวลาเร่งด่วน ทั้งเส้นทางหลวงและเส้นทางชนบท

ในการลงทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะใช้งบประมาณ 900 ล้านบาท และถือเป็นแห่งแรกในเอเชียอาคเนย์ เพื่อสร้างเป็นโครงการเหมืองเกลือใต้ดินเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ประชาชนและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติ และสนับสนุนให้มีโครงการ Salt Lamps อีกทั้งโครงการอื่นๆ เพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับชุมชนในพื้นที่ ทั้งนี้ทางบริษัทฯ คาดว่าหากได้ประทานบัตรแล้ว จะสามารถลงมือก่อสร้างได้ทันทีใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง และสามารถผลิตเกลือบริสุทธิ์ 99 %ได้ปีละ 500,000 ตันโดยขายทั้งในและต่างประเทศโดยส่งให้อุตสาหกรรมประเภท อาหาร, เคมี, ปิโตรเคมี,ประปา,ฟอกย้อม, รักษาความเย็น เครื่องสำอาง และยา เป็นต้น โดยใช้เวลาในการดำเนินการในพื้นที่กว่า 600 ไร่ รวม 25 ปีจากนั้นจะส่งคืนให้ท้องถิ่นเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวต่อไป

และมีสิ่งปลูกสร้างบนพื้นดิน จะมีสำนักงาน โรงซ่อมบำรุง คลังสำรองเกลือก่อนจัดส่ง ที่พัก และโรงอาหารบนพื้นที่ประมาณ 50 ไร่ โดยก่อสร้างบนพื้นที่สูง ไม่มีปัญหาเรื่องการขัดขวางทางน้ำธรรมชาติ ซึ่ง พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงสภาพธรรมชาติ หรือมีการพัฒนาพื้นที่เพื่อกิจกรรมอื่นๆ เช่น สวนป่า ลานกีฬา หรือปรับปรุงเป็นพื้นที่สีเขียว

และทางบริษัทฯ ยังสร้างความมั่นใจต่อประชาชนด้วยหากเกิดกรณีความเสียหายจากการดำเนินการของโครงการจนประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน หรือความเสียหาย สามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ที่ “กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ และ บริษัท ซอลทเวิร์คส จำกัด” ตามกฎหมายเหมืองแร่

ผลประโยชน์ที่ชุมชนจะได้รับ

– ผลประโยชน์สำหรับหมู่บ้านพื้นที่ที่ตั้งประทานบัตร เมื่อบริษัทได้รับประทานบัตรและชุมชนในพื้นที่ตั้งของประทานบัตรเห็นด้วยกับโครงการ บริษัทจะสนับสนุนกองทุนหมู่บ้านให้บ้านหนองหัวแหวน หมู่ 6 ตำบลพันดุง, บ้านหนองกก หมู่ 4 และบ้านโคกพัฒนา หมู่ 8 ตำบลหนองสรวง โดยการจัดประชาคมหมู่บ้านแต่ละหมู่บ้านต้องเห็นด้วยเป็นส่วนใหญ่ หมู่บ้านละ 1,000,000 บาท

– มีการจ้างงานในท้องถิ่น บริษัทจะเปิดรับพี่น้องในชุมชนเข้าร่วมงาน จำนวน 200 กว่าอัตรา ให้เศรษฐกิจของชุมชนหมุนเวียนดีขึ้น โดยจะเริ่มทยอยรับเมื่อบริษัทได้รับประทานบัตรและดำเนินการก่อสร้าง และดำเนินการผลิตเกลือได้

– องค์การปกครองท้องถิ่น (อบต.พื้นที่ที่บริษัทขอประทานบัตร ต.พันดุง และต.หนองสรวง) มีรายได้จากค่าภาคหลวงแร่ บริษัทผลิตเกลือปีละ 500,000 ตัน

– อบจ. 20% ประมาณปีละ 4,400,000 บาท

– อบต. ในจังหวัด 10% ประมาณปีละ 2,200,000 บาท ปัจจุบันค่าภาคหลวงแร่เกลือที่ผู้ประกอบการจะต้องจ่ายให้รัฐ ตันละ 44 บาท และ อบต.ของที่ตั้งโครงการได้รับส่วนแบ่งจากภาษีเงินได้นิติบุคคล (15% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลที่รัฐเรียกเก็บได้) ขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทฯ

– สนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ที่อาจจะมีขึ้นในท้องถิ่น ตำบลละ 500,000 บาทต่อปี (ต.พันดุง และต.หนองสรวง) เช่น จัดหาวิทยากรมาฝึกอาชีพโคมไฟเกลือ และการเกษตร มีทั้งการเพาะเห็ด การปลูกผักปลอดสารพิษ ทำปุ๋ยหมักชีวภาพ ขุดบ่อเลี้ยงปลา จัดกิจกรรมเพื่อชุมชน และสิ่งแวดล้อม กับ 3 โครงการ ร้านค้าชุมชน, ปลูกป่า และอบรมเกษตรทฤษฎีใหม่หนุนแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมทั้งสนับสนุนด้านประปา ถนน ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี สถานีอนามัยและอื่นๆ ให้กับชุมชน

– ทุนการศึกษาและกองทุนด้านการศึกษา ตำบลละ 500,000 บาท ต่อปี (ต.พันดุง และ ต.หนองสรวง)

– ฟื้นฟูปรับปรุงภูมิทัศน์ หลังจากที่มีการทำเหมืองเสร็จแล้ว ทางบริษัทจะปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงาม เมื่อสิ้นสุดโครงการเหมืองเกลือใต้ดิน จะสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เช่น พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเกลือ หรือชุมชนท้องถิ่น คลินิกบำบัดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ สถานที่จัดเก็บเอกสารสำคัญของหน่วยงานราชการ โดยในส่วนของพิพิธภัณฑ์ บริษัทยินดีมอบรายได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายให้กับชุมชน (อบต.ในพื้นที่)

นายกิตติพงศ์ กล่าวปิดท้ายว่า การทำเหมืองเกลือหินใต้ดินของบริษัท ซอลทเวิร์คส ในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ที่จะมีเหมืองเกลือหินใต้ดินแห่งแรกในเอเชียอาคเนย์ ในเชิงอนุรักษ์ และไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งจะนำทรัพยากรธรรมชาติขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นการช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในพื้นที่ รวมถึงจังหวัดนครราชสีมา และประเทศให้มีความเข้มแข็งขึ้น ด้วยฝีมือคนไทยที่ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้ศึกษามาให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ

]]>
57248
แม็คโคร ร่วมรณรงค์ลดปริมาณอาหารที่กลายเป็นขยะ https://positioningmag.com/57251 Mon, 23 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57251

บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) นำโดย นางจุฑารัตน์ พัฒนาทร ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายประกันคุณภาพ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนให้ความรู้การบริหารจัดการของ “แม็คโคร” ในการพัฒนาร่วมกับผู้ผลิต ตลอดทั้งกระบวนการ เพื่อผลิตสินค้าในปริมาณที่เหมาะสม ลดการสูญเสียที่จะไม่กลายเป็นขยะและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนไปถึงผู้บริโภค เพื่อลดปัญหาอาหารที่เหลือทิ้ง ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร โภชนาการ ความอดอยากหิวโหย และสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ ในการประชุมระดับนานาชาติ High-Level Multi – Stakeholder Consultation on Food Losses and Food Waste In Asia and the Pacific Region ภายใต้โครงการรณรงค์ “เซฟ ฟูด เอเชียแปซิฟิก” (Safe Food Asia-Pacific) จัดโดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (Food and Agriculture Organization of the United Nations -FAO) สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (Asian Institute of Technology-AIT) และหน่วยงานต่างๆในกรุงเทพฯ ณ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี ถนน วิทยุ กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้

]]>
57251
กสิกรไทยรับรางวัลภาคเอกชนดีเด่นส่งเสริมอนุรักษ์พลังงาน https://positioningmag.com/57240 Sat, 21 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57240

นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย รับรางวัลดีเด่นด้านผู้ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน ประเภทภาคเอกชน โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบรางวัล Thailand Energy Awards ประจำปี 2556 โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เพื่อยกย่ององค์กรที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและสามารถนำไปปฎิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเร็วๆ นี้

]]>
57240
เอสซีจี ก้าวคืบขยายเครือข่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผลักดันคู่ธุรกิจเติบโตด้วยกัน พร้อมสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน https://positioningmag.com/57229 Thu, 19 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57229

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ประธานคณะกรรมการการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ – การบริหารกลาง เอสซีจี นายวิเชียร พงศธร รองประธานองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ประเทศไทย) และดร.ชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ประธานคณะกรรมการอำนวยการ สถาบันธุรกิจเพื่อสังคม (CSRI) ตลาดหลักทรัพย์แห่ง ประเทศไทย พร้อมผู้บริหารคู่ธุรกิจเอสซีจี ร่วมงาน Supply Chain Sustainability Forum ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “Walking Together…เติบโตไปด้วยกัน พร้อมสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” เพื่อแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันของเอสซีจีและคู่ธุรกิจในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และประโยชน์อย่างยั่งยืนให้สังคมและสิ่งแวดล้อม ตามกลยุทธ์การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นมิติใหม่และเป็นต้นแบบของการดำเนินธุรกิจอย่างมีส่วนร่วม ก่อให้เกิดการขยายเครือข่ายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ช่วยสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

]]>
57229
เอสซีจี ร่วมงานครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ ไทย-เมียนมาร์ https://positioningmag.com/57181 Tue, 10 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57181

คุณชนะ ภูมี Country Director – Myanmar / Regional Business – Myanmar เอสซีจี ให้การต้อนรับคุณทิพยสุดา สุวรรณะชฎ ภริยาเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงย่างกุ้ง เข้าเยี่ยมชมนิทรรศการการทำเหมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และกิจกรรมเพื่อสังคมของเอสซีจีในเมียนมาร์ ในงานครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ ไทย-เมียนมาร์ ซึ่งจัดขึ้นโดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาร์ประจำประเทศไทย เพื่อกระชับและเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเมียนมาร์ ทั้งนี้ เอสซีจี เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำของไทยที่ดำเนินธุรกิจในเมียนมาร์มากว่า 20 ปี ด้วยความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการดูแลชุมชนและสังคมอย่างยั่งยืน

]]>
57181
ผ้าเบรก Bendix Go Green “ชูอุตสาหกรรมสีเขียว รับผิดชอบสังคม” https://positioningmag.com/57160 Fri, 06 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57160

บริษัท เอฟ เอ็ม พี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ ใส่ใจคุณภาพและสิ่งแวดล้อมของทุกกระบวนการผลิต รับรางวัล “อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)” การันตีความเป็นผ้าเบรกรักสิ่งแวดล้อม

นายประพัฒน์ อัศวาดิศยางกูร ผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาดประจำภูมิภาค บริษัท เอฟ เอ็ม พี ดิสทริบิวชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย ผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ กล่าวถึงความภาคภูมิใจที่ได้รับรางวัลในครั้งนี้ว่า “ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นนโยบายหลักของทางบริษัทฯ ที่ได้มุ่งเน้นมาโดยตลอด มีความใส่ใจในทุกกระบวนการของการผลิตผ้าเบรกในทุกขั้นตอน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ลดการเกิดมลพิษสูงสุด อีกทั้งยังมีการพัฒนาทรัพยากรควบคู่กับการฟื้นฟูธรรมชาติ ซึ่งทำให้บริษัทฯ ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม (ISO : 14001) และการรับรองมาตรฐานสากลการจัดการด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OHSAS : 18001) และล่าสุดได้รับรางวัลจากกระทรวงอุตสาหกรรมในการร่วมก้าวเข้าสู่ “อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry)” อย่างเต็มรูปแบบ สำหรับ“ระบบสีเขียว (Green System)” เพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบ โดยทางบริษัทฯ มีการติดตามประเมินผลและทบทวนเพื่อการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการการันตีถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ในทุกนวัตกรรมการผลิตของผ้าเบรกเบ็นดิกซ์ ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าในทุกกระบวนการผลิตของผ้าเบรกเบนดิกซ์ ไม่เป็นการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้คุณมั่นใจ และร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมทุกครั้งที่แตะเบรก” นายประพัฒน์ กล่าวปิดท้าย

]]>
57160
เทสโก้ โลตัส ปลูกความคิดใหม่ ให้คนไทยไม่ใช้ถุงพลาสติก https://positioningmag.com/57141 Tue, 03 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57141

เทสโก้ โลตัส ในฐานะผู้นำค้าปลีกสีเขียว เดินหน้ารณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้านำสังคมไทยสู่มิติใหม่ของการจับจ่ายแบบไร้ถุงพลาสติก จัดเต็มแคมเปญ “ภูมิใจ ไม่ใช้ถุง” ปลูกความคิดใหม่ ให้คนไทยไม่ใช้ถุงพลาสติก พร้อมเริ่มทดลองเปิดตัวคอนเซ็ปต์ใหม่ “ร้านค้าปลอดถุงพลาสติก” ในเร็วๆ นี้

เทสโก้ โลตัส ตั้งเป้าหมายในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังและต่อเนื่องทั้งจากการดำเนินธุรกิจของบริษัทเอง ตลอดจนรณรงค์ให้พนักงาน ผู้บริโภค และชุมชน มีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรณรงค์ให้ผู้บริโภคมีพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการลดการใช้ถุงพลาสติก

คุณชาคริต ดิเรกวัฒนะชัย รองกรรมการผู้จัดการ แผนกกิจการสาธารณะ เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า เทสโก้ โลตัส ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากขยะถุงพลาสติกจึงได้เดินหน้ารณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยในปีที่แล้วสามารถลดจำนวนถุงพลาสติกได้ถึง 8 ล้านใบ และในปีนี้ได้ตั้งเป้าหมายที่จะลดถุงพลาสติกให้ได้อย่างน้อย 12 ล้านใบ จากการจัดโครงการเต็มรูปแบบเพื่อ ‘ปลูกความคิดใหม่ ให้คนไทยไม่ใช้ถุงพลาสติก’ และการเริ่มทดลองเปิดตัว “ร้านค้าปลอดถุงพลาสติก

“เทสโก้ โลตัส ได้ทำการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคและพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่รับถุงพลาสติกเนื่องจากความเคยชินจึงจะต้องปลูกความคิดใหม่ให้ผู้บริโภคได้คิดว่าไม่จำเป็นต้องใส่ถุงพลาสติก เช่น ในกรณีที่ซื้อของจำนวนน้อยๆ หรือในกรณีที่สามารถนำของใส่รถเข็นแล้วถ่ายโอนใส่รถยนต์ที่ขับมา เทสโก้ โลตัสจึงได้พัฒนาแคมเปญ “ภูมิใจ ไม่ใช้ถุง” เพื่อเป็นการปลูกฝังความคิดใหม่ โดยจะนำเสนอแคมเปญดังกล่าวผ่านสื่อครบวงจร ทั้งโฆษณาทางโทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ออนไลน์ สื่อในร้านเทสโก้ โลตัส และกิจกรรมประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ”

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นพฤติกรรมการลดใช้ถุงพลาสติก เทสโก้ โลตัสยังขอบคุณลูกค้าที่ใช้ชีวิตสีเขียว ด้วยการมอบแต้มคลับการ์ดให้ลูกค้า ‘ทุกครั้ง ทุกวัน’ ที่ลูกค้ามาซื้อของที่เทสโก้ โลตัส แล้วไม่รับถุงพลาสติก ซึ่งจะเปลี่ยนแต้มดังกล่าวเป็นคูปองเงินสดส่งให้ลูกค้าถึงบ้านทุกๆไตรมาส โดยลูกค้าจะได้รับแต้มกรีนพอยท์ 20 แต้ม ต่อการซื้อสินค้าหนึ่งครั้ง และ 40 แต้มต่อการซื้อสินค้าหนึ่งครั้งในจำนวนมากใส่รถเข็น เมื่อลูกค้าซื้อถุงผ้าในเทสโก้ โลตัส ระหว่างวันที่ 26 ก.ย.-29 ต.ค. นี้ จะได้รับแต้มกรีนพอยท์เพิ่มเป็น 500 แต้ม จากปกติจะได้รับแต้มกรีนพอยท์เพิ่ม 25 แต้ม

นอกจากนี้ หากผู้บริโภคไม่สะดวกที่จะถือของหลายชิ้นกลับบ้าน เทสโก้ โลตัส ยังเพิ่มตัวช่วยด้วยการจัดหาถุงผ้าลายใหม่ๆ มาจำหน่ายทุกสาขาในราคาประหยัด เริ่มต้นเพียง 25 บาทเท่านั้น โดยได้จัดอบรมพนักงานให้ช่วยจูงใจลูกค้าในการงดใช้ถุงพลาสติกอีกด้วย

“ในฐานะผู้นำค้าปลีกสีเขียว เทสโก้ โลตัส ต้องการมีส่วนช่วยในการผลักดันสังคมไทยสู่การบริโภคแบบไร้ถุงพลาสติก เราจึงได้เปิดตัวคอนเซ็ปต์ใหม่ ร้านค้าปลอดถุงพลาสติก โดยจะทำการทดลองในร้านเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส 2 สาขา คือ ในเกาะสมุย และ จังหวัดภูเก็ต ทั้งนี้ เทสโก้ โลตัส จะศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคและผลกระทบด้านการบริการต่างๆ และนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากโครงการทดลองมากำหนดนโยบายในการใช้คอนเซ็ปต์นี้ต่อไปในอนาคต” คุณชาคริตกล่าวเสริม

นอกจากโครงการลดจำนวนถุงพลาสติกแล้ว เทสโก้ โลตัส ยังเป็นผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกรายแรกที่ให้รางวัลเป็นการขอบคุณแก่ลูกค้าที่เลือกซื้อ “ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (Green Products) โดยได้ดำเนินโครงการนี้อย่างต่อเนื่อง อาทิ F&F แฟชั่นแบรนด์ดีไซน์พิเศษจากอังกฤษ ที่มีวางจำหน่ายเฉพาะเทสโก้ โลตัส ล่าสุดได้คิดค้นนวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ได้แก่ Recycling fabric คือการนำขวดพลาสติกเก่ากลับมารีไซเคิลเป็นวัตถุดิบในการผลิตเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์ และ Waterless process คือ เทคโนโลยีการลดปริมาณการใช้น้ำในขั้นตอนการฟอกยีนส์ลงกว่า 48 ลิตรต่อการผลิตยีนส์ 1 ตัว ซึ่ง F&F สามารถช่วยประหยัดน้ำจากการผลิตได้ขั้นต่ำกว่า  20,000 ลิตรต่อเดือน และเมื่อซื้อสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจาก F&F ในช่วงวันที่ 30 ตุลาคม – 27 พฤศจิกายนนี้ จะได้รับแต้มกรีนพอยท์เพิ่มเป็น 500 แต้ม จากปกติ 25 แต้มด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น เทสโก้ โลตัส ยังเดินหน้าลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซน์จากการดำเนินธุรกิจของบริษัท เช่น ลงทุน 1,200 ล้านบาทในปีที่ผ่านมาในการติดตั้งหลอดประหยัดไฟและอุปกรณ์ประหยัดพลังงานต่างๆ รวมทั้งทดลองนวัตกรรมพลังงานทดแทนด้วยการเปิด “สโตร์ปลอดคาร์บอน” แห่งแรกของเอเชียและประเทศไทย ตลอดจนจัดโครงการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชนโดยตรง เช่น การปลูกป่าไม้ครบ 9 ล้านต้นในปีนี้ อีกด้วย

]]>
57141
ดีเอชแอล เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอนในเอเชียแปซิฟิก วางนโยบายสร้างศูนย์กระจายสินค้า “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน https://positioningmag.com/56998 Mon, 05 Aug 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=56998

ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส (DHL Express) ผู้นำระดับโลกในธุรกิจขนส่งด่วนระหว่างประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยผลลัพธ์ที่ได้มีค่าเฉลี่ยชี้ชัดเป็นอัตราตัวเลขที่ดีขึ้นถึง 7.4% (แม้ปริมาณการใช้พลังงานจะเพิ่มมากขึ้นก็ตาม) สำหรับประเทศที่ทำผลงานได้ดีที่สุด ได้แก่ ประเทศไทย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และบังกลาเทศ ซึ่งโดยรวมแล้ว ดอยช์ โพสต์ ดีเอชแอล (Deutsche Post DHL) บริษัทแม่ของดีเอชแอล สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอนได้ถึง16% นับตั้งแต่เปิดตัวโครงการ GoGreen ในปี 2551 นับว่าเป็นผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอนให้ได้ 30% ภายในปี 2563 2

เจอร์รี่ ชู (Jerry Hsu) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “บริการจากดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เป็นที่ต้องการมากขึ้นในเอเชียแปซิฟิก ในปีที่ผ่านมามีปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนตัวเลขสองหลัก แต่โดยรวมเรายังสามารถบริหารจัดการคาร์บอนให้ลดลงได้ถึง 7.4% เมื่อเทียบปีต่อปี แม้เราจะเปิดศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายแห่งเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของลูกค้า เช่น ศูนย์กระจายสินค้าของเอเชียเหนือในเซี่ยงไฮ้ แต่ปฏิบัติการภาคพื้นของเราก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นและอาคารต่างๆ ของเราก็ประหยัดพลังงานมากกว่าเดิม เราจึงสามารถลดการปล่อยคาร์บอนโดยรวมได้เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราอุทิศตนให้กับการทำธุรกิจแบบยั่งยืน”

การปรับปรุงยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการนำยานพาหนะใหม่ที่ประหยัดพลังงานมากกว่าเดิมมาใช้ในการขนส่งทางบก ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอนในภูมิภาค ยานพาหนะกว่า 500 คันในเอเชียแปซิฟิกถูกแทนที่ด้วยยานพาหนะใหม่ที่มีระบบทันสมัยอย่างจีพีเอสและเทเลเมติกส์ ซึ่งจะช่วยเฝ้าสังเกต ประเมิน วิเคราะห์ และปรับปรุงพฤติกรรมการจัดการคาร์บอนของพนักงานขับรถ นอกจากนี้ ดีเอชแอลยังเดินหน้าปรับเส้นทางขนส่งที่เหมาะสมที่สุดและใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่มีอย่างคุ้มค่าที่สุด ยานพาหนะเกือบทั้งหมดของดีเอชแอลได้มาตรฐานมลพิษไอเสีย Euro IV และ V ซึ่งคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดที่ยอมรับได้สำหรับการปล่อยไอเสียจากยานพาหนะใหม่ที่ใช้ในงานซึ่งจำหน่ายในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป

ประเทศไทยทำผลงานได้ดีเยี่ยมโดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอนได้ถึง 36.2% (เมื่อเทียบปีต่อปี) ตามมาด้วยประเทศออสเตรเลียที่ 22.7% ในประเทศไทยนั้น ยานพาหนะของดีเอชแอลที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ก๊าซซีเอ็นจี (CNG) 100% ส่วนในประเทศออสเตรเลีย ยานพาหนะเก่าถูกแทนที่ด้วยยานพาหนะรุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานกว่าเดิมและได้มาตรฐาน Euro V นอกจากนี้การปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าภาคพื้นดินซึ่งมีผลทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดีเอชแอลบรรลุเป้าหมายการจัดการคาร์บอน ปัจจุบันศูนย์กระจายสินค้าของดีเอชแอลทั้งหมดในประเทศออสเตรเลียได้รับมาตรฐาน ISO 14001 (ระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม) และเจ้าหน้าที่ของดีเอชแอลก็มีส่วนร่วมในโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ โดยมีการทำกิจกรรมต่างๆทั้งที่เกี่ยวกับการประหยัดพลังงงาน การลดใช้กระดาษ และการรีไซเคิลขยะ

สำหรับประเทศอื่นๆ ที่ทำผลงานได้ดีเป็นอันดับต้นๆ ในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอน ประกอบด้วย ญี่ปุ่น (18.6%) สิงคโปร์ (17.9%) และบังกลาเทศ (12.4%) ขณะเดียวกันศูนย์กระจายสินค้าในเอเชียกลางของดีเอชแอลก็ครองตำแหน่งศูนย์กระจายสินค้าที่เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการคาร์บอนได้สูงที่สุด 11.4%

ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เอเชียแปซิฟิก เริ่มประเมินการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานในอสังหาริมทรัพย์และยานพาหนะทางบกของบริษัท เพื่อวัดระดับและยกระดับการจัดการคาร์บอนผ่านโครงการลดการปล่อยคาร์บอนเป็นจำนวนหลายโครงการ สำหรับโครงการนี้เปิดตัวครั้งแรกโดยดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ในปี 2551 และปัจจุบันครอบคลุมศูนย์กระจายสินค้ากว่า 1,000 แห่ง ใน 27 ตลาดทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

หมายเหตุ:
1. รวมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนพื้นดินตามที่ระบุใน Greenhouse Gas (GHG) Protocol Scope 1 & 2 แต่ไม่รวมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการบิน
2. ลดการปล่อยคาร์บอนจากการดำเนินงานด้านต่างๆ ของกลุ่มบริษัทดีเอชแอลและของผู้รับจ้างขนส่งอีกทอดหนึ่ง (transportation subcontractor) เมื่อเทียบกับระดับของปี 2550

]]>
56998