Event – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 21 Jun 2022 07:34:13 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มองเทรนด์งาน ‘อีเวนต์’ หลังโควิด ‘ออฟไลน์’ ยังจำเป็นไหม และ ‘เมตาเวิร์ส’ จะมีบทบาทอย่างไร https://positioningmag.com/1389425 Tue, 21 Jun 2022 07:07:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1389425 หากย้อนไปช่วง 2 ปีก่อน ที่ COVID-19 ระบาดใหม่ ๆ แน่นอนว่าอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) เช่น งานอีเวนต์ต่างได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนทำให้ทางออกเดียวก็คือ ออนไลน์ แต่ปัจจุบันที่การระบาดเริ่มลดความรุนแรงลง ประกอบกับเทรนด์ใหม่มาแรงอย่าง เมตาเวิร์ส (Metaverse) คำถามคือ รูปแบบงานอีเวนต์จากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

ออนไลน์ใช้ต้นทุนน้อยกว่าเป็นสิบเท่า

ซัม หว่อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ EventX สตาร์ทอัพด้านแพลตฟอร์มการจัดการงานอีเวนต์ กล่าวว่า เทียบการจัดงานอีเวนต์ปกติจะมีต้นทุนต่อประมาณ 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ แต่อีเวนต์แบบออนไลน์มีต้นทุนเพียง 2 พันดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ปริมาณการจัดอีเวนต์จากนี้จะเติบโตขึ้นอย่างมาก เพราะแบรนด์สามารถจัดแบบออนไลน์ได้หลายครั้งมากกว่าจัดแบบออฟไลน์ แต่ไม่ได้แปลว่าการจัดงานออฟไลน์จะหายไป เพียงแต่จะกลายเป็นแบบ ไฮบริด

“ในช่วงที่เกิดโควิดก็มีการจัดงานแบบเวอร์ชวลกว่า 5 แสนอีเวนต์และมีแนวโน้มจะเติบโตมากขึ้น แต่ไม่ใช่แค่ออนไลน์ จะเป็นการจัดงานแบบไฮบริด”

ซัม หว่อง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ EventX

ไฮบริดกลายเป็นบรรทัดฐานงานอีเวนต์

ผลสำรวจจากรายงาน EventX Metaverse & Event Trend Outlook 2022 ซึ่งทำการสำรวจผู้จัดงานและผู้เชี่ยวชาญ 1,500 คนทั้งองค์กรขนาดใหญ่และธุรกิจขนาดเล็กในเอเชียเกี่ยวกับมุมมองของการจัดงานอีเวนต์พบว่า ในอีก 12 เดือนข้างหน้า

  • 70% ของบริษัทต่าง ๆ มีแผนจะจัดอีเวนต์แบบไฮบริด – เวอร์ชวล
  • 77% จะนำเทคโนโลยี AR, VR เข้ามาใช้ในอีเวนต์ของตัวเองเพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้ผู้เข้าร่วม
  • 8% ระบุว่า ที่ต้องการจัดแบบเวอร์ชวลเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการจัดอีเวนต์
  • 2% ระบุว่าต้องการสร้างฐานข้อมูลผู้บริโภคเพื่อทำการวิเคราะห์ (Data Analytic)
  • 86% ขององค์กร B2B ได้รับผลตอบแทนที่เป็นบวกจากกิจกรรมแบบไฮบริด
  • 81% ของผู้เข้าร่วมระบุว่าช่วยเพิ่มความพึงพอใจ

อย่างไรก็ตาม มีบางบริษัทที่ยังไม่กล้าจัดงานออนไลน์หรือแบบไฮบริดเพราะมาจาก 4 ปัจจัย ได้แก่

  • ขาดความรู้ความเข้าใจ 8%
  • ไม่ทราบว่าจะจัดอย่างไรให้เหมาะสม 5%
  • ไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการจัดงานอีเวนต์ลักษณะดังกล่าว 8%
  • กังวลเรื่อง Data Security และ Privacy 30.4%

“อีเวนต์แบบไฮบริดกลายเป็นบรรทัดฐาน เพราะเพิ่มช่องทางให้ผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงาน ผู้เข้าร่วมงานประหยัดเวลาการเดินทาง ผู้จัดงานก็ลดต้นทุน”

ลงทุนซื้อที่ดินเมตาเวิร์ส

จากนี้เมตาเวิร์สจะมีบทบาทสำคัญสำหรับกิจกรรมยุคใหม่ โลกเสมือนเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง จากข้อมูลของ Bloomberg Intelligence คาดว่ามูลค่าตลาดเมตาเวิร์สจะเพิ่มขึ้นจาก 5 ร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 เป็น 8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2024 และคาดการณ์ว่าภายในปี 2026 กว่า 25% ของคนทั่วโลกจะใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงบนเมตาเวิร์ส ทั้งทำงาน ท่องเที่ยว ช้อปปิ้งต่าง ๆ

โดยที่ผ่านมาจะเห็นแบรนด์ต่าง ๆ เช่น Gucci, Microsoft เริ่มเข้าสู่เมตาเวิร์สแล้ว หรือในฮ่องกงก็มีการจัดเวอร์ชวลคอนเสิร์ต มีการใช้ NFTs เป็นตั๋วเข้าชม มีบูธย่อย ๆ ที่สามารถเข้าชมได้ ส่วนประเทศไทยมีหลายบริษัทเข้าสู่เมตาเวิร์สแล้ว เช่น อนันดา, เอไอเอส

EventX ก็ได้ลงทุนซื้อที่ดินเมตาเวิร์สจาก The Sandbox เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการจัดอีเวนต์ในเมตาเวิร์ส และในปี 2022 บริษัทมีแผนจะเจาะ 8 ตลาดเอเชีย ได้แก่ จีน, สิงคโปร์, ไต้หวัน, ไทย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์ และฮ่องกง โดยเห็นโอกาสจาก 5 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจการศึกษา, การจัดงานแสดงสินค้า, ธุรกิจความบันเทิง, ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และการจัดอีเวนต์ภายในองค์กร

]]>
1389425
มองอนาคต ‘VIRTUAL Event’ แม้ไม่มาแทนที่ แต่จะกลายเป็น ‘รูปแบบหลัก’ ในไม่ช้า https://positioningmag.com/1285817 Tue, 30 Jun 2020 10:26:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1285817 การท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของไทย และหนึ่งในส่วนประกอบก็คือ อุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) หรืองานอีเวนต์ต่าง ๆ สำคัญมาก เพราะปัจจุบันมีมูลค่าตลาดถึง 1.3 หมื่นล้านบาท แต่แน่นอนเพราะ Covid-19 ทำให้งานอีเวนต์ต้องถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป แม้ปัจจุบันจะฟื้นตัวกลับมาประมาณ 80-90% แล้วก็จริง แต่ยังคงติดข้อจำกัดเรื่องการรักษาระยะห่างหรือ Social Distancing ดังนั้น เทรนด์การจัดงานแบบ ‘VIRTUAL’ จะกลายเป็น New Normal ใหม่ของไทยในไม่ช้านี้

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา โอเปอเรเตอร์เบอร์ 1 ในตลาดอย่าง AIS ก็ลองจัดงาน AIS 5G Thailand Virtual Expo ขึ้น โดยผนึกแบรนด์สินค้าไอที และ SME เข้ามาขายสินค้าประเภทอื่น ๆ ภายในงาน หรือแม้แต่งานอย่าง Thailand Mobile EXPO แม้จะไม่ได้จัดงาน VIRTUAL แต่ก็สามารถซื้อสินค้าผ่าน Shopee และ Lazada ได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เคยมี ดังนั้นจะเห็นว่า ‘ออนไลน์’ กลายเป็น New Normal ของผู้บริโภคไปแล้ว

ด้วยเทรนด์นี้เองทำให้บริษัท ไร้ท์แมน ผนึกกำลังกับบริษัทวายดีเอ็ม และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดบริษัท VIRTUAL SOLUTION โดยให้บริการการจัดงานออนไลน์แบบครบวงจร โดยคุณกัมพล นิสิตสุขเจริญ กรรมการบริหาร บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด และ ผู้ก่อตั้ง VIRTUAL SOLUTION มองว่า อุตสาหกรรมไมซ์จะทรานส์ฟอร์มจากออนกราวด์มาสู่ออนไลน์มากขึ้น เพราะข้อดีของการจัดอีเวนต์แบบ VIRTUAL ก็ยังมีจุดเด่นที่ช่วยให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้กว้างขึ้น เพราะไม่มีข้อจำกัดเรื่องของพื้นที่และการเดินทาง และใช้เวลาเตรียมงานและงบที่น้อยกว่า อีกทั้งยังสามารถเก็บข้อมูลผู้เข้าชมได้ดีกว่าแบบออนกราวด์

“หากไม่นับเรื่อง Covid-19 ก็มีอีกหลายมิติที่ทำให้เทรนด์งานอีเวนต์ออนไลน์เติบโต อย่างเรื่องสังคมผู้สูงอายุที่อาจจะเดินทางไม่สะดวก สปีกเกอร์ก็ไม่ต้องเดินทาง และปกติจะจัดงานอีเวนต์ต้องเตรียมการประมาณ 2-3 เดือน แต่พอเป็น VIRTUAL ประหยัดเวลาได้ราว 50% และงบก็ใช้น้อยกว่า 80-95% มีงบ 5 แสนบาทก็จัดได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับสเกลงานด้วย”

อย่างไรก็ตาม ธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ได้ให้ความเห็นว่า ในระยะสั้นการจัดงานอีเวนต์ออนไลน์จะมาเป็น ส่วนเสริม อีเวนต์แบบออฟไลน์ แต่หากมองในระยะยาวเชื่อว่างานอีเวนต์ออนไลน์จะกลายเป็น รูปแบบหลัก แทนที่การจัดแบบออฟไลน์ ทั้งนี้ ออนไลน์จะไม่มาฆ่างานอีเวนต์แบบดั้งเดิมหรือออนกราวด์ แต่เป็นการผสมผสานกัน

“เรามั่นใจว่าจะได้รับการยอมรับและได้รับความนิยม เพราะมันคือไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป เนื่องจากมันสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคนี้ได้ อย่างไรก็ตาม อุปสรรคอย่างเดียวในตอนนี้คือ ความคุ้นเคยของผู้บริโภค เพราะต้องยอมรับว่ามันยังเป็นของใหม่”

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรวิชญ์ จันทร์ฉาย คณบดีวิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี (CAMT) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (ขวา) นายกัมพล นิสิตสุขเจริญ กรรมการบริหาร บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด และ ผู้ก่อตั้ง VIRTUAL SOLUTION (กลาง) นายธนพล ทรัพย์สมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายดีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด (ซ้าย)

ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 100 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าแล้วคือ งาน Motor Show ครั้งที่ 41 ในวันที่ 15-26 ก.ค.นี้ ผู้ที่สนใจสามารถดูตัวอย่างงานผ่านทางเว็บไซต์ www.virtualsolution.asia รวมถึงงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ซึ่งประกอบด้วยการจัดงานแบบออนกราวด์และออนไลน์ควบคู่กัน เช่น Virtual Design Nation Fair 2020, งาน Virtual Architect Forum โดยร่วมกับสภาสถาปนิก, งาน Virtual Architect Expo ร่วมกับสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์, งาน Virtual AIC Forum (Agritech and Innovation Center) โดยศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม ซึ่งเป็นงานประชุมแบบ Virtual Conference ขับเคลื่อนนโยบายระดับชาติ ผ่านทาง VIRTUAL SOLUTION ได้เช่นกัน

]]>
1285817
Honda Toyota ติดชูชีพให้แบรนด์ https://positioningmag.com/14333 Mon, 19 Dec 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14333

นับเป็นงานมอเตอร์ เอ็กซ์โปที่ค่ายรถยนต์ส่วนใหญ่ต้องปรับตัวมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะด้วยบรรยากาศ เศรษฐกิจ และตัวของผู้ผลิตรถยนต์เองก็ยังย่ำแย่อยู่ ทั้งๆ ที่ช่วงเวลานี้คือนาทีทองของการขายประจำปี

งานมอเตอร์ เอ็กซ์โปครั้งนี้จึงกลายเป็นเวทีของการรักษา Brand ของค่ายรถใหญ่ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม โดยเฉพาะค่ายฮอนด้าที่เปลี่ยนสถานะเป็นผู้ประสบภัยตั้งแต่เริ่มต้นวิกฤต

โรงงานประกอบรถยนต์ของฮอนด้าที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะกลายเป็นทะเลสาบรถยนต์ รถที่ประกอบเสร็จจำนวนมากจมอยู่ใต้น้ำ แม้ว่าบางส่วนจะย้ายออกมาได้บ้างแต่ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อรถตั้งคำถามตั้งแต่วันแรกแล้วว่า รถที่จมน้ำจะถูกนำมาซ่อมและขายให้ลูกค้าอีกครั้งหรือไม่  แน่นอนว่าซื้อรถป้ายแดงย่อมต้องการรถใหม่ ไม่ใช่รถจมน้ำ

โรงงานถูกน้ำท่วมเสียหายว่าแย่แล้ว การที่ลูกค้าตั้งข้อสงสัยกลับสาหัสกว่า จนสุดท้ายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร รองประธานอาวุโสบริษัทฮอนด้า ออโต โมบิล ประเทศไทย ก็ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนว่า รถที่จมน้ำทั้งหมด จะนำไปทำลาย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของผู้ซื้อกลับมา และจะจัดงานทำลายรถน้ำท่วมอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง 

ฮอนด้าต้องรีบออกมาแก้ไขความเชื่อในด้านลบของลูกค้า  ที่กำลังลุกลามจนผู้ซื้อรถหลายราย มีท่าทีว่าจะยกเลิกการซื้อรถยนต์ฮอนด้า 

รถยนต์จมน้ำได้ แต่ Brand ฮอนด้า ต้องไม่จมน้ำ

ในขณะที่เจ้าตลาดอย่างโตโยต้าถึงแม้จะไม่ถูกน้ำท่วมโรงงาน แต่ซัพพลายเออร์ส่วนหนึ่งจมไปกับสายน้ำ ทำให้การผลิตรถต้องล่าช้าไปบ้าง มอเตอร์ เอ็กซ์โปครั้งนี้โตโยต้าจึงประกาศชัดจนไม่รับจองรถ เพราะจะทำให้การส่งมอบให้ลูกค้าล่าช้าเกินไป

เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งของโตโยต้าที่พลิกวิกฤตเป็นโอกาส  เพราะรู้แน่ชัดว่ายอดจองรถในงานนี้ไม่น้อยกว่า 5,000 คัน   รวมกับยอดค้างส่งมอบในมือแล้ว น่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับลูกค้าแน่นอน

ยุติการรับจอง เร่งส่งมอบรถ และหันมาจัดเป็นกิจกรรมฟื้นฟูที่ถูกน้ำท่วมน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดในช่วงนี้

บูธโตโยต้าปีนี้จึงมีรถแค่จัดแสดง ไม่มีการรับจอง และมีพื้นที่อบรมแนะนำ ฟื้นฟูรถที่ถูกน้ำท่วมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

ทั้ง 2 ค่ายไม่ได้ห่วงเรื่องคุณภาพของรถที่ผลิตออกมา เพราะไม่ต่างกันมาก แต่เป็นห่วงเรื่องภาพลักษณ์ของแบรนด์ตัวเอง ที่ไม่ต้องการให้ลอยไปกับมวลน้ำก้อนใหญ่เท่านั้นเอง 

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

ยอดจองรถยนต์ในงาน
Motor Show ปี 2011

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>อันดับ

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>รถยนต์

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>จำนวน
( คัน)

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>สัดส่วน
(%)

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>1.

โตโยต้า 8,487 24.85

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>2.

ฮอนด้า 5,172 15.14

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>3.

นิสสัน 3,288 9.63

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>4.

 อีซูซุ 2,995 8.77

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>5.

มาสด้า 2,850 8.35

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>6.

มิตซูบิชิ 1,920 5.62

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>7.

เชฟโรเลต 1,763 5.16

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>8.

ฟอร์ด 1,316 3.85
]]>
14333
ยุคนี้ ต้อง “คิดบวก” https://positioningmag.com/12759 Mon, 19 Jul 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12759

หลังจากเหตุการณ์ “เผาเมือง” ในวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากโลกออนไลน์คือการแสดงความคิดด้านบวกเพื่อต่อสู้และเยียวยาสังคม เศรษฐกิจ และจิตใจของหลายๆ ฝ่าย งาน “Ignite Thailand” ครั้งนี้ ในหัวข้อ “ปลุกพลังบวก เปลี่ยนประเทศไทย” จึงได้จุดติดขึ้นอย่างรวดเร็ว

จุดเริ่มต้นของงานนี้เกิดจากกลุ่ม “เครือข่ายพลังบวก” ที่คนในแวดวงเอเยนซี่โฆษณารวมตัวกัน นำทีมโดย ภาณุ อิงคะวัต ครีเอทีฟ ไดเรคเตอร์ และเจ้าของเกรย์ฮาวด์ เป็นประธาน มี ชัยประนิน วิสุทธิผล ประธานบริษัท ทีบีดับบลิวเอ ประเทศไทย จำกัด ทำหน้าที่รองประธาน และได้ร่วมมือกับพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โชว์โนลิมิต จำกัด เป็นหัวหน้าเครือข่ายและเป็นตัวแทนกลุ่มคนออนไลน์ร่วมกับ ปรเมศรว์ มินศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัณฑิตเซ็นเตอร์ จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ Kapook.com รวมทั้งเป็นผู้จัดการเครือข่ายพลังบวก เพื่อกระจายข่าวผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ซึ่งมีสมาชิกในหน้าแฟนเพจ http://facebook.com/PositiveNetwork กว่า 4 พันคน รวมทั้งยังมีผู้ติด Twibbon เครื่องหมายบวกไว้ที่รูปในหน้าโพรไฟล์อีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นรายด้วย

วัตถุประสงค์ของ Ignite คือให้ผู้คนจากหลายๆ วงการมานำเสนอความคิดสร้างสรรค์ เล่าเรื่องราวที่จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจแก่ผู้ฟัง ในรูปแบบที่แต่ละคนถนัด ภายใต้เงื่อนไขคือวิทยากรหรือที่เรียกกันว่า “Igniter” พูดภายใน 5 นาทีเท่านั้น โดยใช้สไลด์จำนวน 20 ภาพที่จะเลื่อนไปเรื่อยๆ ทุก 15 วินาที ดังนั้น Igniter จึงต้อง “ฝึกซ้อม” อย่างดีเพื่อพูดให้สั้น กระชับ และตรงเวลากับสไลด์ได้มากที่สุด

“ที่ผ่านมา เรื่องที่พูดส่วนใหญ่มักเป็นแนวเทคโนโลยีแต่ตอนหลังเริ่มเปิดให้มีการพูดที่หลากหลายขึ้น โดยกระตุ้นให้ผู้จัดเชิญคนพูดที่มีความหลากหลายไม่จำกัดเพศและอายุมาพูดด้วย” ปรเมศวร์อธิบาย ซึ่งคราวนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ของการจัดงาน Ignite ในไทย แต่หลายคนกลับเข้าใจว่านี่คือการจัด Ignite Thailand ครั้งแรก เนื่องจากสโลแกนที่จัดในคราวนี้อิงกระแสการเมืองที่ทุกคนมีประสบการณ์ร่วมกันจึงช่วย “จุดประกาย” ให้ Ignite แจ้งเกิดกว่าครั้งก่อน

Igniters ในครั้งนี้ยังเป็น “แม่เหล็ก” โดยเฉพาะ เดียร์-ขัตติยา สวัสดิผล หรือ “ลูกสาวเสธ.แดง” และยังมี รศ.ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ ผู้สูญเสียครอบครัวไปจากเหตุการณ์สึนามิที่ภาคใต้

กระแสบวกที่แรง ยังทำให้ Ignite Thailand สามารถดึงสปอนเซอร์ได้ถึง 8 ราย คือ เครือข่ายพลังบวก สสส. กระปุกดอทคอม โชว์โนลิมิต ทรูวิชั่นส์ เกรย์ฮาวด์ Change Fusion และ iFox Aircard ซึ่งรายหลังสุดยังขอกระชับพื้นที่จัดบูธในงาน โดยให้ผู้ร่วมงานและลงทะเบียนที่บูธรับซิม iFox 50 Mb ฟรี เพื่อทดลองใช้ Aircard iFox 3G ได้ภายในงานนี้

“เครือข่ายพลังบวก” ยังได้ทำโฆษณาชุด “ต่อไปนี้ ถ้าเธอพูดฉันจะฟัง” เพื่อกระตุ้นให้คนไทยทำความเข้าใจและแก้ไขปัญหา โดยเริ่มต้นเผยแพร่ผ่านทาง Facebook Twitter YouTube และเว็บไซต์ต่างๆ ก่อน จากนั้นจะขอความร่วมมือเผยแพร่ในสื่ออื่นๆ เช่น ทรูวิชั่นส์ ฟรีทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ เพื่อให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง ส่วนแผนต่อไปจะเป็นการทำโฆษณาเพื่อกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมตามมา

“เรารวมตัววันนี้ก็เป็นเหมือนการเวิร์คช็อปให้คนไทยได้ออกกำลังในการพูด การฟัง และจะถูกเผยแพร่ไปยังสื่อต่างๆ รวมทั้งการทำโพลที่เราจะหยิบเอาผลออกมากระจายข่าวด้วย” ภาณุกล่าวทิ้งท้ายที่ทำให้เห็นชัดว่าการออกแรงครั้งนี้จะไม่ใช่การจุดติดแล้วเงียบหายไป เพื่อที่ว่าอย่างน้อยไม่ว่าจะวงการไอที โฆษณา หรืออุตสาหกรรมอื่นๆ จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับเหตุการณ์รุนแรงอีกในอนาคต

Profile
Ignite เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2549 ที่เมืองซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา โดย O’Reilly Media ซึ่งเป็นสำนักพิมพ์เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต ใช้สื่อออนไลน์เป็นช่องทางติดต่อและนัดหมาย จึงทำให้กลุ่มเป้าหมายแรกเป็นคนที่สนใจในแวดวงนี้ จากนั้น Ignite ก็กลายเป็นงานระดับโลกที่หลายเมืองและหลายประเทศจัดกัน เช่น นิวยอร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส
Ignite Thailand ครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 3 และ 4 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ห้อง Auditorium ของศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการจัดงาน มี Igniter 41 คน ผู้เข้าร่วมฟัง 2 คืนเกือบ 400 คน ส่วนครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 มิถุนายนเพียงคืนเดียวที่ลุมพินีสถาน มี Igniters 21 คน แต่มีผู้เข้าฟังกว่า 700 คน

]]>
12759
Foot Marketing สูตรสำเร็จ “เถ้าแก่น้อย” https://positioningmag.com/12760 Mon, 19 Jul 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12760

เป้าหมายของ “เถ้าแก่น้อย” ที่ชื่อ อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ ในวันนี้ คงไกลเกินกว่าตลาดภายในประเทศ ที่มีสินค้าเพียงแค่ “สาหร่าย” เท่านั้น

ตอนนี้สินค้าของเขามีจัดจำหน่ายครอบคลุมมากกว่า 10 ประเทศในทวีปเอเชีย และได้แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ไปสู่รูปแบบ “ขนมปังกรอบ” รวมทั้ง “ขนมขึ้นรูป” ที่เตรียมเปิดตัวภายในปีนี้อีกด้วย

ท่าทีของผู้บริหารหนุ่มในวันแถลงข่าวระหว่างงาน Thaifex ที่เถ้าแก่น้อยได้ร่วมออกบูธเพื่อพบปะ Buyers จากทั่วโลกเต็มไปด้วยความมั่นใจในอนาคตของเถ้าแก่น้อย ทั้งผลิตภัณฑ์เดิมอย่างสาหร่ายที่ติดลมบนไปแล้ว และการก้าวเข้าสู่เซกเมนต์ใหม่ของตลาดขนมขบเคี้ยวที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

อิทธิพัทธ์ คงต้องทำการสำรวจตลาด และผู้บริโภคจำนวนมาก ก่อนที่จะกล้าออกสินค้าใหม่ แต่คำตอบที่ได้รับกลับมา เขาบอกเพียงว่า ผมใช้การ “เดิน” เท่านั้น

แม้จะมีตำแหน่งเป็น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด หรือให้เข้าใจง่าย เขาเป็นเจ้าของบริษัทนั่นเอง แต่กิจกรรมอย่างหนึ่งที่เขาทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง คือ การเดินสำรวจตลาดด้วยตัวเขาเองในทุกครั้งที่มีเวลา

ไม่ใช่ว่าอิทธิพัทธ์ไม่เห็นความสำคัญของการทำวิจัย แต่เขายังคงมีความเชื่อมั่นใน “Sense” ของตัวเอง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่นำพาให้เขาและบริษัทเกินมาไกลจนคาดว่ารายได้น่าจะถึงเป้าหมาย 2,000 ล้านบาทในปีนี้

“ผมเดินสำรวจตลาดค่อนข้างบ่อย ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อในการวิจัยนะ แต่ผมก็เชื่อในสายตาและความรู้สึกของตัวเอง ผมจะรู้ว่าสินค้าประเภทไหนขายดี ขายไม่ดี และเห็นว่ามีสินค้าอะไรวางขายอยู่บ้าง และมีช่องว่างในตลาดสำหรับสินค้าใหม่มากน้อยแค่ไหน”

และจากการเดินตลอดปีที่ผ่านมา ทำให้เขาเห็นช่องว่างสินค้าในตลาด จนพัฒนาออกมาเป็นขนมปังอบกรอบในชื่อ “Want More”

โดยทั่วไป ขนมปังอบกรอบมักอยู่ในรูปแบบของเบเกอรี่ แต่ยังไม่มีผู้ผลิตรายใดทำออกมาในลักษณะของสแน็คมาก่อน อิทธิพัทธ์จึงตัดสินใจพัฒนาสินค้า แล้วทดลองวางขายในร้านเถ้าแก่น้อยแลนด์พบว่า ยอดขายเติบโตได้ดี จึงเริ่มลงทุนไลน์ผลิตอย่างจริงจัง และจัดจำหน่ายเต็มรูปแบบ

เช่นเดียวกับขนมขึ้นรูป ที่มีแผนจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ที่แม้อิทธิพัทธ์ยังบอกไม่ได้ว่าจะออกมาในลักษณะไหน แต่คอนเซ็ปต์โดยรวมเกี่ยวข้องกับซีฟู้ด และที่สำคัญ ยังไม่เคยมีผู้ผลิตรายใดทำมาก่อน

เขามองว่า การเป็นเจ้าแรกในตลาดเป็นหนึ่งในปัจจัยสู่ความสำเร็จในปัจจุบัน เพราะนั่นเท่ากับว่า แบรนด์สินค้ามีโอกาสเป็นเจ้าแรกที่อยู่ในใจของผู้บริโภคได้ในที่สุด

Foot Marketing
ไม่ใช่แค่อิทธิพัทธ์เท่านั้น ที่เลือกใช้การเดินสำรวจตลาด แต่ที่ผ่านมาอดีตผู้บริหารดีแทค อย่างซิคเว่ เบรคเก้ ก็เคยพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จจากการเดินสำรวจตลาดมาแล้ว

หลายคนเรียกซิคเว่ ว่า นักการตลาดเดินเท้า ขณะที่ฝ่ายวิชาการเรียกวิธีการนี้ว่า Foot Marketing เพราะนอกจากเป็นการแสดงให้เห็นถึงการใส่ใจในการให้บริการกับลูกค้าแล้ว การได้ออกมารับรู้สิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองแทนที่จะติดอยู่กับในห้องสี่เหลี่ยมแล้วนั่งฟังผลรายงานการวิจัย ยังมีโอกาสได้รับฟังความคิดเห็นจากลูกค้าที่ใช้บริการโดยตรงได้อีกด้วย

]]>
12760
พัทยาทำอะไรต้องอินเตอร์ https://positioningmag.com/12569 Thu, 29 Apr 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12569

ท่ามกลางกระแสเทศกาลดนตรีสารพันรูปแบบผุดขึ้นทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นหัวหิน ชะอำ เขาตะเกียบ ปาย เขาใหญ่ เสม็ด สมุย ฯลฯ แต่ละพื้นที่ก็พยายามสร้างบุคลิกเฉพาะตัว จนทำให้คนทั่วไป ถ้าเป็นเทศกาลเพลงรัก ต้องนึกถึงเขาใหญ่ แต่ถ้าเป็นพัทยาแล้วคนอาจนึกถึงเพลงร็อก

แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่ทั้งหมด อย่าง “พัทยา” เอง ที่ได้พ่อเมืองอย่าง อิทธิพล คุณปลื้ม ที่ต้องการสร้าง Positioning ของเมืองพัทยาให้เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่มีสีสันระดับโลก การทุ่มเทกับงานเทศกาลดนตรีนานาชาติ พัทยา อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 เป็นอีกเครื่องมือสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว โดยใช้ดนตรีหลากประเภทหลายแนวเป็นสื่อกลางสะท้อนถึงความเป็นเมืองอินเตอร์ที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก และเพื่อสร้างความโดดเด่นแตกต่างจากเทศกาลดนตรีที่เกิดขึ้นในเมืองอื่นๆ ด้วย

“เทศกาลดนตรีนานาชาติ พัทยา จัดเป็นเทศกาลดนตรีที่แตกต่างจากงานอื่นๆ เพราะไม่ได้มุ่งเน้นดนตรีแนวใดแนวหนึ่งเป็นพิเศษ และมีระยะเวลาการจัดงานยาวนานกว่า 3 วัน ขณะที่เทศกาลดนตรีอื่นๆ ใช้ระยะเวลา 1-2 วันโดยเฉลี่ย โดยมีกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัยตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้ใหญ่ โดยปีนี้เพิ่มเวทีเพลงลูกทุ่งขึ้นมาเพื่อจับกลุ่มผู้ใหญ่ให้มากขึ้น และทำให้เป็นเทศกาลดนตรีสำหรับทุกเพศทุกวัยทุกรสนิยมดนตรีอย่างแท้จริง”

“ความหลากหลายและอินเตอร์” จึงเป็นจุดขายของเทศกาลดนตรีนานาชาติ พัทยา ที่แตกต่างจากอย่างชัดเจนเพราะการที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาร่วมงานระดับครึ่งล้านได้นั้นต้องเอาแนวดนตรีสารพันเข้าสู้ อีกทั้งงานนี้ยังได้รับการมุ่งหวังให้ถูกบรรจุเป็นหนึ่งใน World Calendar ให้ได้ แม้จะยังห่างชั้นจากเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่าง Grastonbury และ Summerfest ที่จัดกันกว่า 10 วันอยู่มากก็ตาม

สำหรับปีนี้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19-21 มีนาคมที่ผ่านมา โดยมีคนมาร่วมงานไม่ต่ำกว่า 500,000 คน และนำรายได้สู่เมืองพัทยาไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท

งานนี้ได้พันธมิตรอย่างแกรมมี่ที่ขนทัพศิลปินแทบทั้งค่ายมาสร้างสีสันในงาน เรียกได้ว่าเป็นการปิดเมืองพัทยาเฉลิมฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว และมีการถ่ายทอดผ่าน TVB 8 ของฮ่องกงและแชแนลวี อินเตอร์เนชั่นแนลด้วย รวมถึงการถ่ายทอดสดผ่านเว็บไซต์ของ gmmmember.com และ Bang Channel ทางเคเบิลทีวีและทีวีดาวเทียมตลอดระยะเวลา 3 วัน 3 คืนด้วย

อิทธิพลบอกว่าโดยในปี 2553 นี้พัทยาต้องการดึงดูดนักท่องเที่ยว 5 ล้านคน และคาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวราว 50,000 ล้านบาท

ขณะที่พัทยาเตรียมก้าวไปอีกขั้นกับการเสนอตัวเป็น Bid City for World Expo 2018 ในอีก 8 ปีข้างหน้า
การเร่งสร้างบ้านแปลงเมืองอย่างยิ่งใหญ่จึงเป็นสิ่งที่เราจะได้เห็นชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมจากนี้ไปโดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ต้องจัดการขนานใหญ่

วัดพลังเทศกาลดนตรีที่เกิดขึ้นในไทย

ชื่องาน เทศกาลดนตรีนานาชาติพัทยา
สถานที่ พัทยา ชลบุรี
ช่วงเวลาจัดงาน มีนาคม
แนวดนตรี ฮิพฮอพ ป๊อป ร็อก ลูกทุ่ง อิเลคโทรนิคส์
ออร์กาไนเซอร์ จีเอ็มเอ็ม

ชื่องาน ช้าง อิน เลิฟ แอด ปาย
สถานที่ ปาย แม่ฮ่องสอน
ช่วงเวลาจัดงาน ตุลาคม
แนวดนตรี ป๊อป แจ๊ส
ออร์กาไนเซอร์ ช้าง

ชื่องาน หัวหิน แจ๊ส เฟสติวัล
สถานที่ หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์
ช่วงเวลาจัดงาน พฤศจิกายน
แนวดนตรี แจ๊สประเภทต่างๆ
ออร์กาไนเซอร์ ฮอนด้า

ชื่องาน เทศกาลดนตรีฤดูหนาว เขาใหญ่
สถานที่ นครราชสีมา
ช่วงเวลาจัดงาน พฤศจิกายน
แนวดนตรี ป๊อป แจ๊ส ร็อก
ออร์กาไนเซอร์ ฮอนด้า เฟรชแอร์

ชื่องาน เสม็ด อิน เลิฟ
สถานที่ เกาะเสม็ด ระยอง
ช่วงเวลาจัดงาน มกราคม
แนวดนตรี สกา เร็กเก้ ป๊อป แจ๊ส ฮิพฮอพ
ออร์กาไนเซอร์ บูทส์ แบงค็อก

ชื่องาน บิ๊ก เม้าท์เทน
สถานที่ โบนันซ่า เขาใหญ่
ช่วงเวลาจัดงาน กุมภาพันธ์
แนวดนตรี ป๊อป แจ๊ส ร็อก
ออร์กาไนเซอร์ โบนันซ่า แฟท เรดิโอ

]]>
12569
ได้เวลาขึ้นแท่น World Class https://positioningmag.com/12179 Sat, 02 Jan 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12179

ใครที่เคยมีโอกาสไปร่วมงาน World Expo ที่จัดขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลกมาแล้ว ย่อมมีโอกาสได้เห็นศาลาไทย หรือ Thai Pavilion ที่ส่งเข้าร่วมแสดงในงานมาแล้วถึง 22 ครั้ง และเป็นประเทศที่ 3 จากเอเชียที่มีความสามารถร่วมงานระดับโลก ตามหลังก็แค่พี่เบิ้มแห่งเอเชียอย่างจีนและญี่ปุ่นเท่านั้น

ครั้งแรกของการจัดศาลาไทยไปร่วมงานเวิลด์เอ็กซ์โป เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2443 เป็นปีเดียวกับที่หอไอเฟลถูกสร้างขึ้นที่กรุงปารีสเพื่อสร้างเป็นสัญลักษณ์ของงานในครั้งนั้น ซึ่งศาลาไทยก็มีจุดจัดแสดงอยู่ภายใต้ฐานของหอไอเฟล นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 4

ด้วยประสบการณ์ยาวนานของการร่วมงานแสดงระดับโลก ทำให้สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. ซึ่งดูแลด้านนี้โดยตรง ปิ๊งไอเดียลงทุนขอเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานเวิลด์เอ็กซ์โปเป็นครั้งแรก เพื่อหวังจะเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศอีกทาง นอกเหนือจากความพยายามมุ่งต่อยอดดึงการจัดงานระดับโลกหรือ Mega Event ต่างๆ เข้าไทย ตามนโยบายเชิงรุกที่ได้วางไว้

“สำหรับการจัดงานเวิล์ดเอ็กซ์โปโดยเฉลี่ยจะทำรายได้ให้กับประเทศผู้จัดงานประมาณ 5 เท่าของเงินลงทุนที่ลงไป” อรรคพล สรสุชาติ ผู้อำนวยการ สสปน. ยกตัวเลขรายได้มาโชว์

แต่สำหรับแผนการเสนอตัวเข้าเป็นเจ้าภาพการจัดงานเวิลด์เอ็กซ์โป ปี 2020 ของไทย เขาตั้งตัวเลขไว้ว่าน่าจะมีรายได้ตอบแทนถึง 8 เท่า จากเงินลงทุนที่คาดว่าจะใช้สำหรับการจัดการประมาณ 2 หมื่นล้านบาท

การจะได้เป็นเจ้าภาพไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องเริ่มเสนอตัวตั้งแต่ปี 2011 ก่อนจะได้เป็นเจ้าภาพเกือบ 10 ปี ซึ่งเพียงแค่เปิดตัว ไทยก็มีแคนดิเดทแล้ว 10 เมืองใหญ่จากทุกทวีป ซึ่งล้วนมีจุดแข็งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ ดูไบ บราซิล ออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ก ส่วนสหรัฐอเมริกา มีทั้งนิวยอร์ก ซานฟรานซิสโก

“พูดถึงคู่แข่ง ผมเชื่อว่าไทยเรามีจุดแข็งและประสบการณ์ที่ไม่แพ้ใคร แต่ที่ถือว่าน่ากลัวคงเป็นดูไบ ซึ่งมีความพร้อมด้านการเงิน”

แต่หากประเทศไทยเริ่มต้นด้วยความเห็นพ้องของทุกฝ่าย ก็ไม่แน่ว่าปี 2020 ประเทศไทยอาจจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าภาพเวิลด์เอ็กซ์โปดังที่ตั้งใจ และผลพลอยได้ที่จะเกิดขึ้น ไม่เพียงแค่การพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจหลังการจัดงานอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเมืองเจ้าภาพทั่วโลกมาแล้ว แต่อาจจะช่วยสร้างความสามัคคีของคนในชาติจากจุดมุ่งหมายเดียวกันนี้ได้

แผนการลงทุนเวิลด์เอ็กซ์โป 2020 กรณีที่ไทยได้เป็นเจ้าภาพ
จะใช้พื้นที่จัดงาน 24 ตารางกิโลเมตร (ประมาณ 1,500 ไร่)
คาดการณ์จำนวนผู้เข้าชมงาน 30 ล้านคน
มูลค่าการลงทุน 2 หมื่นล้านบาท
มูลค่าการลงทุนต่อไร่ 5.95 ล้านบาทต่อไร่
คาดการณ์ผลตอบแทน 2.3 หมื่นล้านบาท
คาดการณ์กำไรต่อการจัดงาน 9.55 หมื่นล้านบาท

20,000 ล้านบาทใช้กับ….
– ศึกษาความเป็นไปได้ของพื้นที่ 0.2%
– จัดทำและยื่นข้อเสนอเป็นเจ้าภาพตามขั้นตอนของ BIE 0.8%
– สร้างสาธารณูปโภค (ส่วนต่อนอกเหนือจากแผนที่รัฐมีอยู่แล้ว) 42%
– ก่อสร้างอาคารหลักและพื้นที่จัดงาน 30%
– ก่อสร้างปรับปรุงพื้นที่รอบสถานที่จัดงาน 15%
– ก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย โรงแรม เพื่อรองรับผู้ชมงาน 7%
– โฆษณาประชาสัมพันธ์และกิจกรรมโรดโชว์ 5%

Did you know?
World Expo 2005 ที่เมืองฮันโนเวอร์ ประเทศเยอรมนี ขาดทุน 21,500 ล้านบาท ดังนั้นการจัดงานเวิลด์เอ็กซ์โปจึงไม่ใช่ประเทศเจ้าภาพจะได้กำไรเสมอไป แต่ที่ผ่านมาก็มีการขาดทุนเพียงครั้งนี้ครั้งเดียว

]]>
12179
แพนด้าเรียลลิตี้ https://positioningmag.com/12180 Sat, 02 Jan 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12180

แม้รายการ อคาเดมี แฟนเทเชีย 6 จะจบลงไป เอเอฟปี 7 ยังไม่มา แต่ทรูวิชั่นส์มีรายการเรียลลิตี้มาให้ดูกันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่ผู้เข้าประกวดนักร้องวัยใสที่ไหน แต่เป็นหมีแพนด้าน้อย “หลินปิง” ด้วยกระแสความดัง บวกกับน่ารัก น่าชัง ใช้เวลาไม่กี่เดือน “แพนด้าชาแนล” ติด 1 ใน 10 ช่อง Top ten ที่มีคนดูมากที่สุดไปแล้ว และทำให้ไทยเป็นประเทศแรกที่มีถ่ายทอดช่องหมีแพนด้าโดยเฉพาะ

ช่องแพนด้าชาแนลออกอากาศในทรูวิชั่นส์ช่อง 18 เป็นรายการแบบเรียลลิตี้ที่ถ่ายทอดสดตลอด 24 ชั่วโมง ที่นำมาให้บริการแก่สมาชิกติดตามดูเจ้าหมีน้อยใช้ชีวิต หลับ ตื่น เล่นซุกซนกับหลินฮุ่ย แพนด้าผู้เป็นแม่ ปีนป่ายขอนไม้ ของเล่น (แต่โดยมากจะหลับ) จนกลายเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาของเพื่อนฝูงยามนี้

เกือบตลอดทั้งปี “หมีแพนด้า” ได้ชื่อว่าเป็นสินค้าชิ้นเอกช่วยกอบกู้การท่องเที่ยวให้กับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในภาวะซบเซาอย่างหนักให้กลับมามีชีวิตชีวามาแล้ว ไม่ว่าใครที่ไปเชียงใหม่ ก็อดเพิ่มทริปสวนสัตว์เชียงใหม่เพื่อดูหมวยน้อยหลินปิง บางรายถึงกับวางแผนช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ขอไปเยือนเชียงใหม่ เพื่อดูหลินปิงแบบตัวเป็นๆ สักครั้ง

ไปรษณีย์ไทย ก็เคยจับมือกับสวนสัตว์เชียงใหม่ ให้โหวตเลือกชื่อลูกหมีแพนด้าผ่านไปรษณียบัตรขายแผ่นละ 5 บาท ขายได้ทั้งหมด 28.6 ล้านบาท สร้างรายได้จากการขายไปรษณียบัตร 143 ล้านบาท เรียกว่า ถ้ามีจัดประกวดแคมเปญการตลาดแห่งปี ไปรษณีย์ไทย และสวนสัตว์เชียงใหม่ น่าจะคว้ารางวัลนี้ไปครอง เพราะลงทุนนิดเดียวแต่ได้ผลตอบรับกลับมามหาศาล

ครั้งนี้ก็เช่นกัน “แพนด้าชาแนล” เกิดจากการร่วมมือกันระหว่างทรูวิชั่นส์ และสวนสัตว์เชียงใหม่ ที่ให้สิทธิแก่ทรูถ่ายทอดสดและเผยแพร่ ครอบครัวแพนด้าหลินปิง นำไปออกอากาศผ่านทรูวิชั่ส์ช่อง 18 ซึ่งใช้ใช้เงินลงทุนไม่มาก สวนสัตว์เชียงใหม่มีกล้องวงจรปิดไว้คอยดูแลเจ้าหมีน้อยอยู่แล้ว ทรูเพียงแค่เชื่อมต่อสัญญาณมาออกอากาศ ใช้เงินลงทุนไม่มากแต่ได้ประโยชน์กันไปเต็มๆ

สวนสัตว์เชียงใหม่นั้นได้ประโยชน์ในแง่ของการมีช่องรายการไว้ ประชาสัมพันธ์ โปรโมตเรื่องราวหมีแพนด้าอย่างต่อเนื่องไม่ให้กระแสหายไปไหน ส่วนทรูวิชั่นส์ได้ Content ที่เป็น Exclusiveโปรแกรม ให้บริการแก่ลูกค้ากลุ่มเด็กและครอบครัว รวมถึงกลยุทธ์ Convergenceให้กับสมาชิกทรูวิชั่นส์ อินเทอร์เน็ต และโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็น Positioning สำคัญของทรูที่สร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดสื่อสาร อีก 2 ราย คือ เอไอเอส และดีแทค

ในธุรกิจมือถือ ช่องแพนด้าเป็นหนึ่งแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือไอโฟน ซึ่งทรูเป็นผู้จัดจำหน่ายเพียงรายเดียว โดยผู้ใช้สามารถดูถ่ายทอดสดแบบเรียลไทม์ วิดีโอคลิปช่วงไฮไลต์ ข่าวสารต่าง ส่วนลูกค้าทรูมูฟ ดู แชต ดาวน์โหลดภาพ วอล์เปเปอร์ และวิดีโอคลิป

“พฤติกรรมของคนดู มักจะมาดูหมีแพนด้าเป็นช่วงๆ ในช่วงคั่นโฆษณา จากช่องที่ดูอยู่ หลินปิงทำอะไร และจะกลับมาดูใหม่ เด็กๆ จะชอบมาก เวลานี้ติด Top10 ที่คนนิยมดูมากที่สุดแล้ว” พิรุณ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้อำนวยการสายงานบริการมัลติมีเดีย บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด บอก

แม้รายได้จะยังไม่ใช่คำตอบในเวลานี้ แต่อย่างน้อยได้ในเรื่องของการ “รีเทนชั่น” หรือการรักษาลูกค้าไม่ให้เปลี่ยนใจไปหาช่องคู่แข่ง ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญ เพราะใช้เงินน้อยกว่า ซึ่งทรูจะได้รับลิขสิทธิ์จากสวนสัตว์เชียงใหม่ไปอีก 2 ปี

ระยะเวลายาวนานขนาดนี้ ใช่แต่หมีน้อยหลินปิงจะโด่งดัง เวลานี้สัตวแพทย์สาวที่ออกมาบอกเล่าอาการหมีน้อยในช่วงไฮไลต์ ก็เริ่มดังไม่แพ้กัน เหมือนกับเอเอฟ ที่ทำเอาบรรดาครูฝึกโด่งดังไปด้วย

Did you know
มีแพนด้าที่เลี้ยงในกรงเลี้ยง 239 ตัวอยู่ในจีน และอีก 27 ตัวอยู่ในต่างประเทศ มีการคาดการณ์ไว้ว่ามีแพนด้าประมาณ 1,590 ตัวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ

]]>
12180
กระทิงแดงเจาะเวลาหาวัยรุ่น https://positioningmag.com/11605 Sun, 05 Apr 2009 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=11605

ในตลาดต่างประเทศกระทิงแดง หรือ Red Bull ถูกวาง Position เป็นเครื่องดื่มสำหรับวัยรุ่น นักเที่ยวกลางคืน หรือคนที่ชอบความท้าทาย ทำให้กระทิงแดงกลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่ม “หรู” และ “เท่” พร้อมเสิร์ฟตามบาร์และคลับในหลายๆ ประเทศ ต่างจากบ้านเราที่เป็นเพียงเครื่องดื่มชูกำลังให้ภาพลักษณ์ของผู้ใช้แรงงานที่มีอายุ 30 กว่าปี จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับ สานิต หวังวิชา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทกระทิงแดง จำกัด ที่ต้องเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มใหม่วัยทีนที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ด้วยกลยุทธ์ Lifestyle Marketing โดยใช้ Music เป็นหัวหอก

กระทิงแดงจริงจังกับการบุกตลาดวัยรุ่นเมื่อปีที่ผ่านมา โดยจัดคอนเสิร์ตไทยแลนด์ ร็อก ถึง 4 ครั้ง และลงทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องท้าชนเพื่อ Tie-in โปรดักส์เข้าไป พร้อมกับนำ แบงค์ นักร้องหนุ่มวงแคลช มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อดึงภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูอ่อนเยาว์ ด้วยการทุ่มงบ 100 กว่าล้านบาท

มาปีนี้ ยังคงมุ่งกลุ่มเป้าหมายเดิม และใช้ Music Marketing เป็นเครื่องมือสำคัญ แต่ต้องลงลึกมากขึ้น เพราะเวทีคอนเสิร์ตร็อกนับว่าเป็นของเจ้าตลาดอย่าง M-150 ที่ใช้ Music Marketing มาตลอด คำตอบจึงมาลงตัวที่คอนเสิร์ตครั้งใหญ่ ภายใต้ชื่อ KTD Thailand Rock Festival “On the Beach” จัดขึ้นที่ชายหาดพัทยา ด้วยงบ 43 ล้านบาท ซึ่งเป็นแนวดนตรีใหม่ Rock Hip และใช้กิจกรรมอื่นๆ ที่วัยรุ่นชื่นชอบมาเป็นตัวช่วย เช่น โรงหนังริมชายหาด ตลาดนัด ประกวาดสร้างดิสเพลย์ของเด็กมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างประสบการณ์ให้เข้าถึงคนกลุ่มนี้ให้ได้มากที่สุด

ที่ลงทุนมากขนาดนี้เพราะต้องการดันกระทิงแดงเมืองไทยให้มี Position เหมือนกับต่างประเทศ ที่เข้าถึง Lifestyle ของกลุ่มวัยรุ่น แม้จะไม่ได้บอกว่าจะใช้เวลานานเท่าไร แต่สานิตเชื่อว่ากิจกรรมเหล่านี้จะช่วยทำให้กลุ่มนี้มีการยอมรับเครื่องดื่มชูกำลังได้มากขึ้น

แม้จะรุกตลาดวัยรุ่นเต็มพิกัด สานิต ไม่ลืมกลุ่มเป้าหมายเดิมที่เป็นคนใช้แรงงาน โดยใช้กิจกรรม Below the line เน้นไปที่งานประจำจังหวัด หรือจับรางวัลชิงรถมอเตอร์ไซค์และทองคำ เพื่อไม่ให้กลุ่มนี้รู้สึกห่างเหินกับแบรนด์ เพราะกลุ่มนี้ดื่มเพื่อ Functional ไม่ติดภาพลักษณ์

เมื่อตลาดเครื่องดื่มชูกำลังไม่มีการเติบโต 2– 3 ปี มีมูลค่าหยุดอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ทำให้แต่ละค่ายต้องออมากระตุ้นตลาด M-150 ยังปักหลักใช้กลยุทธ์ Celebrity Marketing ในการทำตลาดมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว เพื่อทำให้แบรนด์ดูเด็กลง แล้วต่อยอดด้วยการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศ ส่วนฉลามดึง ป๋าเทพ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เน้นการสื่อสารโดยชู “คนสู้ชีวิต” สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

ถึงแม้ว่าตลาดถึงภาวะอิ่มตัว แต่สานิตเชื่อว่าการเจาะตลาดวัยรุ่นและกลุ่มเริ่มทำงาน จะเป็นทางออกที่ดีสำหรับกระทิงแดงนอกเหนือจากกลุ่มผู้ใช้แรงงานและคนขับรถสิบล้อ ทำให้ปีนี้ตั้งเป้าการเติบโต 5% แม้ตลาดรวมจะไม่โตก็ตาม

มูลค่าตลาดรวมเครื่องดื่มชูกำลัง 15,000 ล้านบาท (By Brand
M-150 58%
กระทิงแดง 15%
คาราบาวแดง 10%
ลิโพวิตันดี 6%
ฉลาม 6%
.357 2%
แรงเยอร์ 2%
ลูกทุ่ง 1%

กระทิงแดงไทยและต่างประเทศต่างกันอย่างไร

Red Bull

Foreign

Positioning เครื่องดื่มสำหรับวัยรุ่น นิยมดื่มเป็นมิกเซอร์ มีวางขายในสถานที่เที่ยวกลางคืน นิยมผสมกับโค้กหรือวอดก้า
Target Group วัยรุ่น และกลุ่มคนเริ่มทำงาน ที่ชื่นชอบความท้าทาย และแปลกใหม่
Strategy
– เข้าไปทำตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีผลการวิจัยรองรับสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้
– การจัดอีเวนต์ กีฬา และโฆษณาผ่านกีฬา Extremes ส่งเสริมกับภาพลักษณ์แบรนด์
– แผนกิจกรรมทั่วโลกเน้นส่งเสริม Lifestyle Marketing

Thailand

Positioning เครื่องดื่มชูกำลัง สะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้แรงงาน และสู้ชีวิต
Target Group เดิมคือคนใช้แรงงานทุกประเภทอายุ 30 ปีขึ้นไป ปัจจุบันเป็นกลุ่มวัยรุ่นและวัยเริ่มทำงานอายุ 20 ปีขึ้น – อดีตเน้นการสื่อสารด้าน CSR เพียงด้านเดียว
Strategy
– 2551 ใช้ Music Marketing เน้นแนวเพลง Rock ดึงแบงค์ วงแคลช มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ พร้อมกับการจัดคอนเสิร์ตไทยแลนด์ ร็อก 4 ครั้ง
– 2552 ทุ่มงบ 43 ล้านบาท จัดคอนเสิร์ตแนว Rock Hip เพื่อสร้างความแตกต่าง และเน้นกิจกรรมที่หลากหลาย

Did you know?
– Red Bull มียอดขายทั่วโลก 3,500 ล้านยูนิต
– มีจำหน่าย 148 ประเทศ จาก 195 ประเทศทั่วโลก

]]>
11605
กลยุทธ์ “แซยิด” โกอินเตอร์ https://positioningmag.com/11450 Mon, 05 Jan 2009 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=11450

ช่างบังเอิญเสียนี่กระไร ที่ Business School เก่าแก่ของไทย 2 สำนัก คือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (TBS) และคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CBS) ต่างเลือกจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี อย่างยิ่งใหญ่ในสถานที่เดียวกัน คือ โรงแรมเซ็นทาราแกรนฯ จะต่างกันก็เพียงแค่วันเวลาและรูปแบบในการนำเสนองานเท่านั้น

ด้านคณะบัญชีฯ ธรรมศาสตร์ จัดงานไปเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2551 ในรูปแบบงานสัมมนาวิชาการ นำเสนอโมเดลทางธุรกิจ (Business Model) ชิ้นล่าสุดที่เคลมว่าเป็นการคิดค้นขึ้นโดยคณาจารย์ของทางคณะ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “องค์กรมีดีไซน์” (The Corporation of Design) พร้อมแจกหนังสืออธิบายแนวคิด ซึ่งดูเหมือนว่า “ธรรมศาสตร์” กำลังคิดการณ์ใหญ่ ด้วยการพยายามดำเนินรอยตามตักสิลาด้านธุรกิจของโลกอย่าง Harvard Business School ที่มักเป็นผู้นำในการเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ๆ อยู่เสมอ

ขณะที่ฝั่งคณะบัญชีฯ จุฬาฯ แม้จะเสียเปรียบที่ต้อง Launch งานช้ากว่าเกือบเดือน คือ วันที่ 3 ธันวาคม 2551 แต่ก็วางกลยุทธ์ฉีกตัวเองไปเล่น Themes นวัตกรรมตลอดวัน ด้วยการจัดโครงการประกวดแผนธุรกิจนวัตกรรมบนพื้นฐานทรัพย์สินทางปัญญา หรือ “นวัตกรรมวาณิชย์” ครั้งที่ 1 ในช่วงเช้า และประกาศผลในช่วงเย็น ต่อด้วยการทำตัวให้เป็น Standard Setter ทางด้าน Innovation ด้วยการจัดอันดับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม พร้อมมอบรางวัล Thailand’s most innovative company 2008 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรก

รศ.ดร.ธีรยุส วัฒนาศุภโชค รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกลยุทธ์ของคณะเนื่องในโอกาสครบรอบ 70 ปีว่า จากวิสัยทัศน์ของคณะที่ต้องการเป็น World Class Innovative Business School จึงจัดงานเฉลิมฉลองโดยใช้ Themes ของนวัตกรรมเป็นหลัก

“ผมมองแบบ Total Solution คือไม่ว่า Business Model จะปรับเปลี่ยนอย่างไร ผลลัพธ์สุดท้ายต้องตกกับลูกค้าที่ได้รับสินค้าและบริการ ดังนั้น Innovation จึงเป็นคำตอบของทุกโจทย์ เพราะนิยามของนวัตกรรมที่ผมมองครอบคลุมทั้ง Product Innovation, Process Innovation และ Management Innovation เพราะฉะนั้น Business Model จึงอยู่ในนิยามของนวัตกรรมที่เรามองอยู่แล้ว”

แต่ใช่ว่าบัญชีฯ จุฬาฯ จะละเลยรูปแบบการจัดสัมมนาทางธุรกิจเสียทีเดียว เพราะก่อนหน้านั้นก็มีการทยอยจัดงานสัมมนาทางวิชาการ Business Innovation in the 21st Century ขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคม และ 30 ตุลาคม ภายในโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์นั่นเอง

การจัดงานเฉลิมฉลอง “แซยิด” ของ Business School ทั้งสองแห่ง จึงสามารถสะท้อนกลยุทธ์ของทั้งคู่ได้เป็นอย่างดีว่า ต่างก็ไม่ยอมหยุดนิ่ง “กินบุญเก่า”

แม้วิธีการนำเสนอจะแตกต่างกัน แต่เป้าหมายก็คือการ “โกอินเตอร์” เข้าสู่มาตรฐานระดับโลกด้วยกันทั้งคู่

CBS
Product(หลักสูตรการศึกษา
– ปริญญาตรี 14 หลักสูตร
– ปริญญาโท 16 หลักสูตร
– ปริญญาเอก 4 หลักสูตร
Vision World Class Innovative Business School
Keyword Innovation
กลยุทธ์การจัดงานครบรอบ 70 ปี
– จัดประกวดแผนธุรกิจนวัตกรรม
– มอบรางวัล Thailand’s most innovative company 2008

TBS
Product (หลักสูตรการศึกษา
– ปริญญาตรี 13 หลักสูตร
– ปริญญาโท 9 หลักสูตร
– ปริญญาเอก 2 หลักสูตร
Vision Thailand’s Best Business School Model
Keyword Model
กลยุทธ์การจัดงานครบรอบ 70 ปี
– ประกาศโมเดลธุรกิจที่คิดค้นขึ้นเป็นรายแรกของโลก

Did you know?
AACSB คือ สถาบันรับรองมาตรฐานการศึกษาทางด้านการบริหารธุรกิจระดับโลก ที่มี Business School เป็นสมาชิกกว่า 1,100 สถาบันใน 70 ประเทศทั่วโลก แต่มีสมาชิกที่ผ่านการรับรองมาตรฐานไม่ถึง 5% เท่านั้น

]]>
11450