Exclusive – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 05 Apr 2018 03:47:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 มาแล้ว ! Apple Watch Series 3 รุ่น eSIM โทรได้ ทรู คว้าสิทธิ์ Exclusive รายแรก ประเดิมวางขาย 5 เม.ย.  https://positioningmag.com/1164772 Wed, 04 Apr 2018 10:06:05 +0000 https://positioningmag.com/?p=1164772 นับเป็นครั้งแรกที่แอปเปิลให้สิทธิ Exclusive แก่ ผู้ให้บริการมือถือ ขายผลิตภัณฑ์ก่อนรายอื่น จากเดิมที่ตัวแทนจำหน่ายจะต้องวางขายพร้อมกัน

ทำให้ทรูคว้าสิทธิ์ในการวางขาย Apple Watch Series 3 ในวันที่ 5 เมษายน เป็นรายแรกในประเทศไทย และเป็นครั้งแรก โดยมีระยะเวลากำหนดระยะหนึ่ง จากนั้นผู้ให้บริการมือถือ และตัวแทนจำหน่ายรายอื่นๆ จึงเปิดขายได้

จุดเด่นของ Apple Watch Series3 เป็นนาฬิกาที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นรุ่นที่มีการฝัง eSIM ไว้ในตัวเรือน ทำให้สามารถโทรเข้าออก และฟังเพลงจาก Apple Music ได้โดยไม่ต้องผ่านไอโฟน ทำให้รุ่นนี้ต้องขายพร้อมกับซิมของผู้ให้บริการมือถือ ซึ่งครั้งนี้แอปเปิลได้เลือกทรูในการทำแบบ Exclusive เป็นรายแรก เนื่องจากมีผลงานทำยอดขายสินค้าแอปเปิลได้ดี

สำหรับราคาเครื่องรุ่นนี้ วางขายในตลาดต่างประเทศที่ราคา 399 ดอลลาร์ สูงกว่ารุ่นปกติที่ขายอยู่ในราคา 329 ดอลลาร์ สำหรับราคาในไทยพร้อม eSIM คาดว่าจะอยู่ที่ราคาเริ่มต้นประมาณ 14,900 บาท.

]]> 1164772 รางวัลสดุดี เทิดพระเกียรติในหลวง https://positioningmag.com/9384 Fri, 14 Oct 2016 10:55:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9384

ระดับนานาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ ต่างแสดงความรัก และเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระองค์ท่าน ด้วยเหตุผลที่ได้เห็นถึงพระราชกรณียกิจ และพระอัจฉริยะภาพของพระองค์อย่างเด่นชัด

รางวัลที่ยังความปลาบปลื้มต่อคนไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ต้องระบุถึงรางวัลที่โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์” (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) ของโครงการพัฒนาแห่งองค์การสหประชาชาติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549

อันนันได้กล่าวไว้ว่าองค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน โดยผ่านรายงานของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) ทั้งระดับโลกและระดับประเทศ ผ่านโครงการพัฒนาจาก 166 ประเทศ ดังนั้นการพัฒนาคนหมายถึงลำดับความสำคัญประชาชนเป็นอันดับแรก ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการพัฒนาคน ภายใต้แนวทางการพัฒนาคนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทั้งนี้จากพระปฐมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระองค์ได้ทรงอุทิศพระวรกาย และทรงงานมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อพัฒนาชีวิตให้ปวงชนชาวไทย โดยมิเลือกเชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา จึงทรงได้รับการขนานนามจากชาวโลกว่า “ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา”

ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ มีการประชุมชาวพุทธนานาชาติ เนื่องในงานวันวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2549 ไคชิโร มาตสุอุรา เลขาธิการองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ยังได้กล่าวสุนทรพจน์ว่า อยากใช้โอกาสนี้เฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครองสิริราชสมบัติ 60 ปี ซึ่งตั้งแต่พระองค์ขึ้นครองราชย์ทรงสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นบนความหลากหลายเชื้อชาติศาสนาในประเทศ

ที่ประชุมยังได้ยกตัวอย่างของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์มีโครงการในพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ เพื่อให้เป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นต้นแบบของพระมหากษัตริย์ที่ประสบความสำเร็จในโลกปัจจุบัน

นอกเหนือจากนี้ผลงานประดิษฐ์ และพระอัจฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ยังได้รับการสดุดี เทิดพระเกียรติจาก คณะกรรมการจัดงานบรัสเซลส์ ยูเรก้า (Brussels Eureka) โดย The Belgian Chamber of Inventors ซึ่งเป็นสมาคมส่งเสริมและคุ้มครองนักประดิษฐ์ของราชอาณาจักรเบลเยียม ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในยุโรป ทูลเกล้าฯ รางวัลในปี 2543 และ 2544

ในปี 2544 ได้รับทูลเกล้าฯ รางวัลจาก 3 โครงการ ตามที่สภาวิจัยแห่งชาติได้จัดแสดงผลงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ผลงานเรื่องทฤษฎีใหม่ (The New Theory) ผลงานเรื่องน้ำมันไบโอดีเซล สูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม (Palm Oil Formula) และผลงานเรื่องฝนหลวง (Royal Rain Making)

โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลถึง 5 รางวัล คือ

1. รางวัล D’Un Concept Nouveau de Development de la Thailande พร้อมถ้วยรางวัลทำด้วยเงิน

2. รางวัล Gold medal with mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติให้แก่ผลงานประดิษฐ์คิดค้น โครงการน้ำมันไบโอดีเซล สูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม

3. รางวัล Gold medal with mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติให้กับผลงานประดิษฐ์คิดค้นโครงการทฤษฎีใหม่

4. รางวัล Gold medal with mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติให้กับผลงานประดิษฐ์คิดค้นโครงการฝนหลวง

5. ถ้วยรางวัล SPECIAL PRIX for His Majesty The King of Thailand พร้อมประกาศนียบัตร มอบให้ผลงานประดิษฐ์คิดค้นทฤษฎีใหม่ ปาล์มน้ำมัน ฝนหลวง และประกาศนียบัตร Honored Member of BACCI โดยเป็นรางวัลจาก Bulgarina American Chamber of Commercial and Industry (BACCI)

ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2543 สภาวิจัยแห่งชาติ ได้นำผลงาน “เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย” หรือ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” ในพระองค์เข้าประกวดในสิ่งประดิษฐ์ประเภทที่ 1 เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษและสิ่งแวดล้อม (Pollution Control – Environment) ปรากฏว่า ได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการจัดงานว่าเป็นผลงานที่ทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างยิ่งในการบำบัดน้ำเสีย ทรงได้รับทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลรวมทั้งสิ้น 5 รางวัล คือ

1. เหรียญรางวัล Prix OMPI (Organisation Mondiale De La Propriete Intelietuelle) หรือรางวัลสิ่งประดิษฐ์ดีเด่นระดับโลก พร้อมประกาศนียบัตร และเงินรางวัลจำนวน 2,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ

2. เหรียญรางวัล Gold Medal with Mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และประกาศนียบัตรเกียรตินิยมจากบรัสเซลส์ ยูเรก้า ประจำปี พ.ศ. 2543

3. ถ้วยรางวัล Grand Prix International (International Grand Prize) หรือรางวัลผลงานประดิษฐ์ดีเด่นสูงสุด

4. ถ้วยรางวัล Minister J.CHABERT (Minister of Economy of Brussels Capital Region) หรือรางวัลผลงานสิ่งประดิษฐ์ดีเด่น

และ 5.ถ้วยรางวัล Yugosiavia หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพด้านการประดิษฐ์

พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (สกว.) เสนอ โดย กำหนดให้วันที่ 2 ก.พ. ของทุกปีเป็นวันนักประดิษฐ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการที่ได้ทรงประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย หรือกังหันน้ำชัยพัฒนา และทรงได้รับทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9384
“ในหลวง” แรงบันดาลใจ แห่งเอเชีย https://positioningmag.com/9387 Fri, 14 Oct 2016 09:55:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9387

“ไทม์“ นิตยสารที่ทรงอิทธิของโลก ได้เทิดทูนในหลวงของเรา ในโอกาสก่อตั้งนิตยสารมาครบ 60 ปี ในฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 โดยรวบรวมวีรบุรุษแห่งเอเชีย ในหัวข้อ “60 Years of Asian Heroes” โดยยกย่องบุคคลสำคัญของเอเชีย 64 คน ใน 5 บทบาท คือ ผู้สร้างชาติ ศิลปินและนักคิด ผู้นำด้านธุรกิจ นักกีฬาและนักผจญภัย และผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจ

“ไทม์” ได้สดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในบทบาทของผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจ (Inspirations)โดยทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ทรงใช้พระบารมีแห่งราชธรรมชี้นำประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตหลายครั้ง ในช่วง 60 กว่าปีที่ผ่านมา ทรงพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์จากโครงการพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการที่ช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทรงช่วยเหลือเขตชนบทห่างไกล แม้ว่าเขตนั้นจะเป็นเขตของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ก็ตาม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์ตุลาคม ปี ค.ศ.1973 (พ.ศ. 2516) และพฤษภาทมิฬ ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) จนถึงการรัฐประหารล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ชาวไทยยังเชื่อมั่นในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะทรงเป็นที่ยึดใหม่ให้คณะปฏิรูปคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนตามที่ได้ให้สัตย์ปฏิญาณไว้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งหมดเป็นการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย โดยอาศัยพระบารมีของพระองค์

พระองค์ยังทรงแนะนำอย่างเงียบๆ และบางครั้งทรงชี้แนะอย่างเปิดเผย เพื่อเน้นให้รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะเป็นอันดับแรก

บทความของไทม์ยังระบุด้วยว่าพระองค์ทรงดำรงสถานะอันสูงส่งเป็นที่เคารพรักได้ตลอด 60 ปีที่ทรงครองราชย์ ในขณะที่ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างล้มเลิกระบอบกษัตริย์ บางประเทศกษัตริย์และเจ้าชายถูกลดทอนพระราชอำนาจ หรือบางราชวงศ์ถูกขับให้ลี้ภัย หรือถูกประหาร ตรงกันข้ามกับพระราชสถานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงและต่อเนื่อง

“ไทม์” ยังสดุดีพระองค์ท่านด้วยว่า เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นยุวกษัตริย์ของไทย ที่มีพระชนมายุเพียง 18 ชันษา ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลฯ ที่สวรรคตอย่างกะทันหัน สื่อหลายสำนักรวมทั้งไทม์ นิตยสารที่เพิ่งเปิดตัวในเอเชียขณะนั้น ก็ได้ตั้งคำถามว่า พระองค์จะสามารถปกครองบ้านเมืองท่ามกลางมรสุมทางการเมือง และความลี้ลับในเหตุการณ์ที่เกิดได้หรือไม่ แต่บัดนี้ทรงพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว”

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9387
ตามรอยพระราชดำรัส ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง https://positioningmag.com/9230 Fri, 14 Oct 2016 08:55:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9230

เศรษฐกิจพอเพียง หรือ Sufficiency Economy เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตให้แก่พสกนิกรชาวไทย ตลอดจนการพัฒนา และบริหารประเทศมาโดยตลอด นานกว่า 25 ปี

จนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 พระราชดำรัส “เศรษฐกิจพอเพียง” ได้รับความสนใจจากประชาชน เมื่อพระองค์ทรงเน้นย้ำว่า เศรษฐกิจพอเพียงจะเป็นแนวทางแก้ไขเพื่อให้ไทยรอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ

หลักใหญ่ของทฤษฎีนี้ อยู่ที่การให้เดินทางสายกลาง การคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ

พระบาทสมเด็จพรเจ้าอยู่หัวมีราชดำรัส และพระบรมราโชวาทในโอกาสต่างๆ เกี่ยวกับปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” มาโดยลำดับ มีดังต่อไปนี้

ปี 2517
“…ในการพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น เริ่มด้วยการสร้างพื้นฐาน คือความมีกินมีใช้ของประชาชนก่อน ด้วยวิธีการที่ประหยัดระมัดระวัง แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อพื้นฐานเกิดขึ้นมั่นคงพอควรแล้ว จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญขั้นที่สูงขึ้นตามลำดับต่อไป การถือหลักที่จะส่งเสริมความเจริญ ให้ค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ…ด้วยความรอบคอบระมัดระวัง และประหยัดนั้น ก็เพื่อป้องกันความผิดพลาดล้มเหลวและเพื่อให้บรรลุผลสำเร็จได้แน่นอนบริบูรณ์”

พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 19 กรกฎาคม 2517

ปี 2540
“… ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัว จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันมากเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้าน หรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้ แต่ในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก…

“…มีเงินเดือนเท่าไร จะต้องใช้ภายในเงินเดือน…การทำแชร์นี้เท่ากับเป็นการกู้เงิน การกู้เงินนี้นำมาใช้ในสิ่งที่ไม่ทำรายได้นั้นไม่ดี อันนี้เป็นข้อสำคัญ เพราะว่าถ้ากู้เงิน และทำให้มีรายได้ ก็เท่ากับจะใช้หนี้ได้ ไม่ต้องติดหนี้ ไม่ต้องเดือนร้อน ไม่ต้องเสียเกียรติ…
กู้เงินนั้น เงินจะต้องให้เกิดประโยชน์ มิใช่กู้สำหรับไปเล่น ไปทำอะไรที่ไม่เกิดประโยชน์…”

พระราชดำรัสในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2540

ปี 2541
“สมัยก่อนนี้พอมีพอกิน สมัยนี้ชักจะไม่พอมีพอกิน จึงต้องมีนโยบายที่จะทำเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อที่จะให้ทุกคนมีความพอเพียงได้ ให้พอเพียงนี้ก็หมายความว่า มีกินมีอยู่ ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่หรูหราก็ได้ แต่ว่าพอ”

พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2541

ปี 2542
เศรษฐกิจพอเพียง กับการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ
ในช่วงไทยต้องประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ อันเป็นผลมาจากการลอยตัวค่าเงินบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระดำรัสเกี่ยวกับการนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้

“…เศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า “Sufficiency Economy” …ไม่มีอยู่ในตำราเศรษฐกิจ จะมีได้อย่างไร เพราะว่าเป็นทฤษฎีใหม่ เป็นตำราใหม่ ถ้ามีอยู่ในตำรา ก็หมายความว่าเราก๊อบปี้มา เราลอกเขามา เราไม่ได้ลอก ไม่อยู่ในตำราเศรษฐกิจ…

Sufficiency Economy นั้นไม่มีในตำรา การที่พูดว่าไม่มีในตำรานี่ ที่ว่าเป็นเกียรตินั้น ก็หมายความว่าเรามีความคิดใหม่ และโดยที่ผ่านผู้เชี่ยวชาญสนใจ ก็หมายความว่าเราก็สามารถที่จะคิดอะไรได้จะถูกจะผิดก็ช่าง แต่ว่าเขาสนใจ เขาก็สามารถที่จะไปปรับปรุง หรือไปใช้หลักการเพื่อที่จะให้เศรษฐกิจของประเทศและของโลกพัฒนาดีขึ้น…”

“…เมืองไทยไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียงนี้ ไม่ตำหนิ ไม่เคยพูด…นี่เพิ่งพูดวันนี้ พูดเวลานี้ ประเทศไทยไม่ใช้เศรษฐกิจพอเพียงค่อนข้างจะแย่ เพราะว่าจะทำให้ล่มจม…เศรษฐกิจพอเพียง ในที่หมายถึงนี้ คือคนที่ทำธุรกิจก็ย่อมต้องไปกู้เงิน เพราะว่าธุรกิจหรือกิจการอุตสาหกรรมสมัยใหม่ คนเดียวไม่สามารถที่จะรวบรวมทุนมาสร้างกิจกรรมที่ใหญ่ เช่นเรื่องเขื่อนป่าสักทำคนเดียวไม่ได้ หรือแม้หน่วยราชการหน่วยเดียวทำไม่ได้…เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงแบบพื้นฐาน แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแบบก้าวหน้า เพราะมีคนเกี่ยวข้องกับกิจการนี้มากมาย แต่ว่าทำให้ส่วนรวมได้รับประโยชน์และจะทำให้เจริญ…

…เศรษฐกิจพอเพียงอีกอย่างหนึ่งไม่ค่อยอยากพูด เช่น การแลกเปลี่ยนเงิน ค่าแลกเปลี่ยนเงิน ค่าแลกเปลี่ยน นี่ได้พูดมา 2 ปี บอกว่าขอให้เงิน ค่าของเงินจะสูงจะต่ำเท่าไหร่ ก็ไม่ค่อยขัดข้อง แต่ว่าถ้าไม่สมดุลมันไม่ดี”

พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 23 ธันวาคม 2542

ปี 2543
“เศรษฐกิจพอเพียง…เป็นการทั้งเศรษฐกิจหรือความประพฤติ ที่ทำอะไรเพื่อให้เกิดผลโดยมีเหตุและผล คือ เกิดผลมันมาจากเหตุ ถ้าทำเหตุที่ดี ถ้าคิดให้ดีให้ผลที่ออกมา คือสิ่งที่ติดตามเหตุ การกระทำ ก็จะเป็นการกระทำที่ดี และผลของการกระทำนั้น ก็จะเป็นการกระทำที่ดี ดีแปลว่ามีประสิทธิผล ดีแปลว่ามีประโยชน์ ดีแปลว่าทำให้มีความสุข….

ทั้งหมดนี้พูดอย่างนี้ ก็คือเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเอง ภาษาอังกฤษว่า Sufficiency Economy ใครต่อใครก็ต่อว่า…ว่าไม่มี จะว่าเป็นคำใหม่ของเราก็ได้ ก็หมายความว่าประหยัด แต่ไม่ใช่ขี้เหนียว ทำอะไรด้วยความอะลุ้มอล่วยกัน ทำอะไรด้วยเหตุและผล จะเป็นเศรษฐกิจพอเพียงแล้วทุกคนจะมีความสุขแต่พอเพียง…“

พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2543

ปี 2544
เศรษฐกิจพอเพียงกับภาคธุรกิจ
เศรษฐกิจพอเพียง เริ่มมีการนำไปประยุกต์ใช้กับ “ภาคธุรกิจ” ได้เช่นกัน โดยหัวใจอยู่ที่ การครองตนของภาคธุรกิจในทางสายกลาง คือ พอประมาณ มีเหตุผล สร้างภูมิคุ้มกัน และมีบทบาทในการช่วยพัฒนาประเทศ

“…การอยู่พอมีพอกิน ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีความก้าวหน้า มันจะมีความก้าวหน้าแค่พอประมาณ ถ้าก้าวหน้าเร็วเกินไป ไปถึงขึ้นเขายังไม่ถึงยอดเขา หัวใจวาย แล้วก็หล่นจากเขา ถ้าบุคคลหล่นจากเขา ก็ไม่เป็นไร ช่างหัวเขา แต่ว่าถ้าคนๆ เดียวขึ้นไปวิ่งบนเขา แล้วหล่นลงมา บางทีทับคนอื่น ทำให้คนอื่นต้องหล่นไปด้วย อันนี้เดือดร้อน…”

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 30 พฤษภาคม 2544

ปี 2545
“…เมืองไทยเนี่ยมีทรัพยากรดีๆ ไม่ทำไม่ใช้ เดี๋ยวต้องไปกู้เงินอะไรที่ไหนมา มาพัฒนาประเทศ จริงๆ สุนัขฝรั่งก็ต้องซื้อมา ต้องมี แต่ว่าเรามีของมีทรัพยากรที่ดี เราต้องใช้ ไม่ใช่สุนัขเท่านั้น อื่นๆ ของอื่นหลายอย่าง แล้วที่นายกฯ พูดถึงทฤษฎีใหม่ พูดถึงเศรษฐกิจพอเพียง ไอ้เนี่ยเราไม่ได้ซื้อจากต่างประเทศ แต่ว่าเป็นของพื้นเมืองแล้วก็ไม่ได้ อาจจะอ้างว่าเป็นความคิดพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ทำมานานแล้ว ทั้งราชการ ทำราชการ ทั้งพลเรือน ทั้งทหาร ทั้งตำรวจ ได้ใช้เศรษฐกิจพอเพียงมานานแล้ว…”

พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2545

ปี 2546
“…ความสะดวกจะสามารถสร้างอะไรได้มาก นี่คือเศรษฐกิจพอเพียง สำคัญว่าต้องรู้จักขั้นตอน ถ้านึกจะทำอะไรให้เร็วเกินไป ไม่พอเพียง ถ้าไม่เร็ว ช้าไป ก็ไม่พอเพียง ต้องให้รู้จักก้าวหน้า โดยไม่ทำให้คนเดือดร้อน อันนี้เศรษฐกิจพอเพียงคงได้ศึกษามานานแล้ว เราพูดมาแล้ว 10 ปีต้องปฏิบัติด้วย…”

พระราชดำรัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 4 ธันวาคม 2546

ปี 2548
“…ท่านรองนายกฯ ทั้งหลายอาจไม่ทำ เพราะว่าเคยชินกับเศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินมาก ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง ไม่พอเพียง นายกฯ และคุณหญิง อาจจะให้เพื่อนนายกฯ รองนายกฯต่างๆ ทำเศรษฐกิจพอเพียงสักนิดหน่อย ก็จะทำให้อีก 40 ปีประเทศชาติไปได้ แต่นี่ก็มีแต่นายกฯ รองนายกฯ จัดการ รวมทั้งคู่สมรส ทำเศรษฐกิจพอเพียงก็เชื่อว่าประเทศจะมีความประหยัดได้เยอะเหมือนกัน คือ ถ้าไม่ประหยัด ประเทศไปไม่ได้ คนอื่นไม่ประหยัด สำหรับคณะรัฐมนตรีประหยัด คณะรองนายกฯ ประหยัด จะทำให้ไปได้ดีขึ้นเยอะ”

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9230
กล้องถ่ายรูปกล้องแรกของในหลวง https://positioningmag.com/9358 Fri, 14 Oct 2016 07:25:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9358

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงซื้อกล้องถ่ายรูปส่วนพระองค์กล้องแรก เมื่อพระชนมายุเพียง 6 พรรษา เป็นกล้องแบบรุ่นเก่า ทรงจ่ายเงินไปเพียง 2 แฟรงก์สวิส และค่าฟิล์มสำหรับบรรจุกล้องก็มีราคาย่อมเยา คือ 25 เซ็นต์เท่านั้น แม้ว่าจะทรงประสบความล้มเหลวในระยะแรก กล่าวคือ ทรงถ่ายไป 6 ใบ ได้รูปดีเพียง 1 ใบเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช่รูปที่ทรงฉายเองเสียอีก แต่เป็นรูปที่คนอื่นถ่ายถวาย

ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงย่อท้อ แต่กลับทรงศึกษาค้นคว้า ต่อมาอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งทรงกลายเป็นเอตทัคคะในการถ่ายรูป เรื่องนี้ทำให้เราเห็นว่าทรงมีพระอุปนิสัยที่มุ่งมั่นมานะ จะทรงทำสิ่งใดก็ทรงทุ่มเททำอย่างจริงจัง จนกระทั่งได้ผลดีที่สุด จึงจะพอพระทัย

ทุกวันนี้การถ่ายรูปยังทรงเป็นงานอดิเรกยามว่าง และโปรดที่จะถ่ายรูปขาวดำมากกว่าอื่น ซึ่งแสดงถึงอุปนิสัยที่โปรดสิ่งที่เป็นจุดสำคัญอันไม่ได้ปรุงแต่ง การจัดมุมและจัดภาพที่ทรงถ่าย ก็ยิ่งทำให้อุปนิสัยข้อนี้ พระองค์มักจะเลือกมุมใดมุมหนึ่งให้เด่นขึ้นมา เทคนิคการถ่ายภาพจับจุดเด่นแบบนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ถ่ายมีความเข้าใจและสนใจเลือกจุดเด่นของภาพอย่างลึกซึ้ง ผิดกับภาพโปสการ์ดที่ว่างขายทั่วไป ซึ่งผู้ถ่ายเพียงแต่คิดจะถ่ายภาพความงามที่เห็นได้ทั่วไปอย่างธรรมดาเท่านั้น

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9358
วีรบุรุษแห่งเอเชีย https://positioningmag.com/9386 Fri, 14 Oct 2016 05:55:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9386

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทย ทรงใช้ทศพิธราชธรรมของพระองค์นำประเทศไทยผ่านวิกฤตการณ์มาหลายครั้ง พระองค์ทรงทำให้สถาบันกษัตริย์ของไทยดำรงอยู่ได้มานานถึง 60 ปี

พระองค์ทรงจัดตั้งโครงการส่วนพระองค์ 3,000 โครงการ เพื่อช่วยเหลือคนยากจน ในช่วงเวลาที่ประเทศชาติเกิดวิกฤต อันเนื่องมาจากเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 และพฤษภาทมิฬ 2535 ที่ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย พระองค์ทรงใช้ทศพิธราชธรรมยุติการนองเลือด รวมถึงกลุ่มทหารยึดอำนาจและให้สัญญาว่าจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยยุติธรรมและแข็งแกร่งขึ้น ประชาชนชาวไทยยังทรงเชื่อว่าพระบารมีของพระองค์จะทำให้คณะทหารรักษาสัญญานี้

ด้วยทศพิศราชธรรมเหล่านี้เอง ทำให้พระองค์ได้รับยกย่องในระดับเวทีสากล ล่าสุดนิตยสารระดับโลก “ไทม์เอเชีย” ยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “วีระบุรุษแห่งเอเชีย” สาขาผู้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อฉลองวาระ 60 ปีของนิตยสาร

ก่อนหน้านี้ ในปี 2509 นิตยสาร Time ได้เชิญพระบรมฉายาลักษณ์ลงพิมพ์บนหน้าปก และลงบทความ ยกย่องพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการทรงประสานกับทหาร และสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจทั้งสองได้ในแบบของไทยเอง ซึ่งทำให้เกิดความราบรื่นในการปกครองประเทศของรัฐบาล

ในช่วงเวลาที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างของไทย (ในปี 2509) กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความไม่รู้หนังสือ การปกครองที่ล้มเหลว และการล่มสลายของความรู้สึกของการเป็นชาติ

แต่ประเทศไทยกลับโดดเด่นอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ขณะที่ชาติเพื่อนบ้านที่รายล้อมไทยกำลังเผชิญอยู่

Time ระบุว่า สิ่งที่หายากยิ่งกว่า และมีค่ายิ่งไปกว่า และไทยก็มีเช่นกัน คือ ความรู้สึกที่คนไทยรู้สึกว่าตนเป็นคนไทย และเป็นของประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช

ในปี 2542 นิตยสาร Time ก็ได้ลงบทความถึงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงใช้เวลาตลอด 53 ปี (ขณะนั้นเป็นปี 2542) ของการครองราชย์ ในการทรงพยายามจะสร้างความสมดุล ระหว่างด้านที่สดใสกับด้านมืดของประเทศไทย

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9386
พระผู้เป็นพลังของแผ่นดิน https://positioningmag.com/9371 Fri, 14 Oct 2016 04:50:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9371

ถอดความจากนิตยสาร TIME ฉบับประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2509

ในช่วงเวลาที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างของไทย (ในปี 2509) กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความไม่รู้หนังสือ การปกครองที่ล้มเหลว และการล่มสลายของความรู้สึกของการเป็นชาติ

แต่ประเทศไทยกลับโดดเด่นอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ที่ชาติเพื่อนบ้านที่รายล้อมไทย กำลังเผชิญอยู่

เพราะไทยมีสิ่งที่หายากและมีค่า นั่นคือ เสถียรภาพทางการเมือง แต่สิ่งที่หายากยิ่งกว่า และมีค่ายิ่งไปกว่า และไทยก็มีเช่นกัน คือ ความรู้สึกที่คนไทยรู้สึกว่าตนเป็นคนไทย และเป็นของประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช

ถึงแม้ว่าอำนาจของกษัตริย์ไทยตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะสิ้นสุดลงด้วยฝีมือของทหาร จากการปฏิรูปการปกครองแผ่นปี 2475 และหลังจากนั้น ไทยก็มีผู้นำประเทศที่มาจากกองทัพหลายต่อหลายคน ซึ่งน่าจะทำให้กษัตริย์และทหารของไทย เป็นเหมือนขั้วอำนาจที่อยู่ตรงข้ามและขัดแย้งกัน

แต่พระมหากษัตริย์กษัตริย์ของไทยกลับทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ในการทรงประสานกับทหาร และสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจทั้งสองได้ในแบบของไทยเอง ซึ่งทำให้เกิดความราบรื่นในการปกครองประเทศของรัฐบาล

ความรู้สึกของการเป็นชาติของคนไทยนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใครติดต่อกันเกือบ 7 ศตวรรษ ซึ่งต่างจากชาติเพื่อนบ้านที่รายล้อมอยู่ แต่ที่สำคัญ เป็นเพราะการที่ไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ และฐานะของพระมหากษัตริย์ไทย ได้รับการตอกย้ำด้วยความเชื่อในเชิงเทววิทยาของศาสนาพุทธ ซึ่งยกย่องกษัตริย์เป็นสมมติเทพ และเชื่อว่า ทรงมีบุญญาธิการและพระบารมีเหลือล้น ที่สั่งสมมาแต่อดีตชาติ จึงทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนและสักการะบูชาของคนไทยทั้งปวง

ในยุคที่สถาบันกษัตริย์ในโลกนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปแล้ว และพระปรีชาสามารถของกษัตริย์ก็ได้ถูกลืมเลือนไป แต่ประเทศไทยกลับโชคดี และเป็นโชคดีของโลกเสรีด้วย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชของไทย ไม่ได้ทรงเพียงตั้งพระทัยที่จะทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีเท่านั้น หากแต่ยังทรงถือเป็นพระราชภาระ ที่จะทรงหล่อหลอมประเทศไทยขึ้นใหม่ ซึ่งไทยจัดเป็นประเทศที่เพิ่งจะเกิดใหม่ในสมัยนั้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งมีอายุยืนยาวมา 184 ปีแล้ว (เมื่อปี 2509) ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกในโลก ที่ประสูติในสหรัฐ ที่โรงพยาบาล Cambridge มลรัฐ Massachusettes โดยทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมปี 2470 ในขณะที่พระบรมราชชนก คือเจ้าฟ้ามหิดล ซึ่งเป็นพระยศในขณะนั้น ทรงศึกษาทางการแพทย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard

ชีวิตในวัยทรงพระเยาว์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ชีวิตในบรรยากาศของชานเมืองใน Brookline รัฐ Massachusetts หลังจากพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคตในเวลา 2 ปีต่อมา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระราชชนนี ได้ทรงนำพระราชโอรสธิดาทั้ง 3 พระองค์ เสด็จนิวัติประเทศไทย

แต่หลังจากเกิดการปฏิรูปการปกครองปี 2475 สมเด็จศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงอพยพพระราชโอรสและพระราชธิดา เสด็จฯ ออกห่างจากความไม่แน่นอนในประเทศไทย ไปประทับยังเมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเติบใหญ่และทรงศึกษาที่โรงเรียน Ecole Nouvelle de Chailly โดยทรงศึกษาทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน

ในปี 2488 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงมีพระชนมายุเพียง 20 พรรษา ได้เสด็จกลับประเทศไทย เพื่อทรงรับสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ

แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต หลังจากทรงครองราชย์ได้เพียง 6 เดือน ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงเป็นพระอนุชา และขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา ทั้งยังทรงเป็นน้องเล็กของครอบครัว ที่ยังทรงโปรดปรานความสนุกสนามตามประสาวัยรุ่น จึงกลับต้องทรงขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ของไทย สืบต่อจากพระเชษฐา

การที่ทรงใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่ในยุโรป ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงโปรดปรานดนตรีแจ๊ซ ภาพยนตร์เขย่าขวัญของ Hitchcock และทรงโปรดปรานความเร็วของการขับรถ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ บนถนนสายหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ และเกือบต้องสูญเสียพระเนตรข้างหนึ่ง

พระองค์เคยทรงศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะเสด็จฯ ขึ้นครองราชย์ในปี 2489 หลังจากเสด็จฯ ขึ้นครองราชย์แล้ว ได้เสด็จฯ กลับไปยังสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อให้จบ แต่ได้ทรงเปลี่ยนสายจากวิทยาศาสตร์ไปเป็นกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ทรงละทิ้งสิ่งที่ทรงโปรดปราน อย่างเช่นการถ่ายภาพ ดนตรี และรถยนต์ ทรงสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทั้งกลอง เครื่องเป่าและเปียโน และยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงเต้นรำ ทั้งในแบบเพลงสากลและเพลงไทย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นครั้งแรกที่กรุงปารีส ในขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มีอายุเพียง 14 ปี และพระบิดาทรงเป็นเอกอัครราชทูตไทยที่กรุงปารีส หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็โปรดปรานดนตรีเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อเสด็จฯ กลับไปยุโรปหลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสานต่อความสัมพันธ์กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ผู้ทรงสิริโฉมงดงาม และทั้งสองพระองค์ทรงอภิเษกสมรสในเดือนเมษายนปี 2493 หนึ่งเดือนก่อนที่มีพระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเป็นทางการ

การครองราชย์ในช่วงต้นรัชกาล ผ่านไปอย่างเงียบสงบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ต่างทรงโปรดการเขียนภาพ และภาพเขียนฝีพระหัตถ์บางภาพถูกอัญเชิญไปประดับในพระราชวังสวนจิตรลดา

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงใช้เวลาในช่วงต้นรัชกาลนี้ ฝึกฝนทักษะการเล่นแซ็กโซโฟน และพระปรีชาสามารถในด้านการพระราชนิพนธ์เพลง ซึ่งทรงมีพรสวรรค์อยู่แล้ว จนถึงขั้นสมบูรณ์ที่สุด และเพลงพระราชนิพนธ์ Blue Night ได้ถูกอัญเชิญไปประกอบละคร Broadway เรื่อง Peep Show ของ Mike Todd ซึ่งแสดงในปี 2493

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติตามโบราณราชประเพณี โดยทรงออกผนวชในปีที่ 10 ของรัชกาลของพระองค์ และทรงออกรับบิณฑบาตในตอนรุ่งสาง เช่นเดียวกับพระสงฆ์ทั่วไป

บททดสอบพระปรีชาสามารถในฐานะพระมหากษัตริย์ของไทยบทแรก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเผชิญ เกิดขึ้นในปี 2500 เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงมีท่าทีสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งทำให้จอมพลสฤษดิ์ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และท่านยังพบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแม้จะยังทรงพระเยาว์ แต่ทรงมีพระสติปัญญาและพระปรีชาสามารถ มากเกินกว่าที่จะทรงเป็นเพียงพระประมุขในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

เมื่อศาลโลกตัดสินให้เขาพระวิหารตกเป็นสิทธิ์ของกัมพูชา จอมพลสฤษดิ์มีทีท่าที่จะไม่ยอมส่งมอบเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า คำตัดสินของศาลโลกควรได้รับการเคารพ จอมพลสฤษดิ์ก็เชื่อฟังพระองค์แต่โดยดี

ในช่วงเวลาแห่งการปกครองประเทศไทยของจอมพลสฤษดิ์ ท่านได้ทำงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้เจริญรุ่งเรือง และมีการจัดทำโครงการพัฒนามากมายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ซึ่งกำลังถูกภัยคอมมิวนิสต์คุกคามอย่างหนักในขณะนั้น

“ไทม์” ตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะที่จอมพลสฤษดิ์มีภรรยามากมาย แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับทรงเคร่งครัดในแนวทางของการมีคู่เพียงคนเดียว และทรงมีสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะตรงข้ามกับจอมพลสฤษดิ์แล้ว ยังอาจนับได้ว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ สำหรับพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งเคยทรงมีพระมเหสีและพระชายาหลายพระองค์ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นพุทศาสนิกชนที่ทรงประพฤติปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

ในสมัยที่จอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพลสฤษดิ์ “ไทม์” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ต่างทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ที่ล้วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่และความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของคนไทย และทรงใช้โอกาสทุกโอกาสที่มี ในการแสดงพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของประเทศไทย เพื่อให้โลกได้รู้จักประเทศไทยและความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นการเสด็จฯ เปิดเขื่อนใหม่หรือทางหลวงสายใหม่ การที่ทรงเข้าร่วมในพระราชพิธีแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ หรือทรงรับการถวายช้างเผือก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ทุกโอกาสเหล่านี้ ในการเน้นย้ำให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรม ที่มีอยู่อย่างล้นเหลือของไทย และเพื่อแสดงเห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยทั้งชาติ จึงไม่แปลกเลย ที่คนไทยทุกบ้านล้วนมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้เทิดทูนบูชา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพระวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งในการสร้างชาติให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดารอันห่างไกลของประเทศไทยอยู่มิได้ขาด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่โปรดทรงขับรถจี๊ปส่วนพระองค์ โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ ตามเสด็จฯ โดยทรงมีห่อพระกระยาหารกลางวันของทั้งสองพระองค์ อยู่ในกระเป๋าที่ทรงสะพายอยู่บนพระปฤษฎางค์

และในการเสด็จฯ ท้องถิ่นทุรกันดารเพื่อทรงเยี่ยมราษฎรนี้ “ไทม์” รายงานว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ คงจะทรงเป็นสมเด็จพระราชินีผู้ทรงพระสิริโฉม เพียงไม่กี่พระองค์ในโลกนี้ ที่ทรงฉลองพระองค์อย่างง่ายๆ และทรงฉลองพระบาทรองเท้าผ้าใบยาง ได้อย่างสวยงามและน่ารัก โดยที่ยังทรงสามารถติดอยู่ในอันดับสตรีผู้แต่งกายดีเด่นของโลก อย่างไม่เปลี่ยนแปลง

ในการเสด็จฯ เยือนพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารครั้งหนึ่ง ทั้ง 2 พระองค์ต้องทรงพระดำเนินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรระหว่างหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน เพื่อทรงนำอาหารและยาไปพระราชทานต่อชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ที่ปลูกฝิ่นเป็นอาชีพหลัก และมักตกเป็นเป้าหมายการครอบงำของคอมมิวนิสต์ แต่การเสด็จฯ เยือนราษฎรชาวไทยภูเขา ได้ทรงทำให้หัวหน้าเผ่าชาวเขาเหล่านั้น รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และเทิดทูนเหรียญเงินพระราชทานเหรียญเล็กๆ ที่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าเป็นสิ่งที่สูงค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด และรู้สึกภาคภูมิใจว่า ตัวเองก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง

ในยามว่างจากพระราชกรณียกิจที่แสนหนักหน่วงนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดงานอดิเรกที่หนักหน่วงไม่แพ้พระราชกรณียกิจ ทรงสร้างเรือใบขนาดยาว 13 ฟุต ซึ่งทรงแล่นมันไปทั่วอ่าวไทย โดยใช้เวลาถึง 16 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังทรงประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมอเตอร์เรือด้วยพระองค์เอง รวมทั้งทรงต่อเครื่องเฮลิคอปเตอร์ด้วย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสว่า “ความแข็งแกร่งของไทยอยู่ที่ความรู้สึกรักชาติของคนไทย” และบรรดาผู้นำการเมืองของไทย (ในขณะนั้น) ก็ตระหนักแน่แก่ใจดีว่า พระมหากษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้ เปรียบประดุจสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้งของคนไทยและของประเทศไทย***

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9371
พระราชประวัติ https://positioningmag.com/9383 Fri, 14 Oct 2016 00:50:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9383

ประสูติ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชสมภพ ณ วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 และองค์สุดท้องในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (หม่อมสังวาลย์) เป็นพระอนุชาในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลพระอัฐมรามาธิบดินทร และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

การศึกษา

ทรงรับการศึกษาเบื้องต้นที่โรงเรียนมาร์แตร์เดอีเมื่อปี พ.ศ. 2475 หลังจากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษาในชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเมียร์มอง และชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนนูแวล เดอ ลา ซืออิส โรมองด์ เมืองแซลลีซูร โลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนยิมนาสคลาสสิค กังโตนาลแห่งโลซาน และทรงศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์

เมื่อทรงพระเยาว์

ในวัยเยาว์ พระองค์ทรงพระเจริญวัยเช่นเดียวกับเด็กชายธรรมดาสามัญ รุ่นราวคราวเดียวกัน บางครั้งทรงหารายได้ด้วยพระองค์เอง โดยการรับจ้างเก็บผลแอปเปิล และผลแพร์จากสวนผลไม้ใกล้ๆ พระตำหนักที่ประทับ ใกล้ๆ เมืองโลซาน

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงสอนให้ทรงรู้จักประหยัด และรู้จักทำของใช้ด้วยพระองค์เอง นำสิ่งของที่เหลือใช้ภายในพระตำหนัก เช่น ไม้แขวนเสื้อมาสร้างรถไฟฟ้าเล่น มอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับทำให้รถไฟแล่นก็ทรงประดิษฐ์เอง

สืบราชสันตติวงศ์

ในวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2489 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตโดยกระทันหัน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช จึงเสด็จขึ้นครองราชสมบัติสืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น แต่เนื่องจากยังทรงมีพระราชภารกิจด้านการศึกษา จึงต้องทรงอำลาประชาชนชาวไทย เสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้งหนึ่ง ในเดือนสิงหาคม 2489 เพื่อทรงศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม ในครั้งนี้ ทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายและวิชารัฐศาสตร์ แทนวิชาวิศวกรรมศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่เดิม

พลังของแผ่นดิน

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระนาม “ภูมิพลอดุลเดช” ซึ่งมีความหมายว่า “พลังของแผ่นดินเป็นอำนาจที่หาใดเปรียบมิได้”

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9383
ศึกหวยชาเขียว โออิชิ VS อิชิตัน ใครรวยกว่ากัน https://positioningmag.com/55973 Sat, 11 May 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55973

ศึก “หวยชาเขียว” บิ๊กแคมเปญ ที่ทั้งโออิชิและอิชิตันกำลังขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้น หวังโกยส่วนแบ่งตลาดชนิดใครดีใครอยู่ “ตัน” สวมบทฮีโร่ ใช้ “ดราม่า” เป็นตัวฉุดกระแสผ่าน “เฟซบุ๊ก” และทีวีซี เรียกเรตติ้ง จากคนต่างจังหวัด สารพัดอาชีพ กระชากเรตติ้งไปอยู่ในมืออิชิตัน ทำเอาโออิชิที่แม้จะเงินหนา แจกถี่กว่ายังตกเป็นรองต้องหาวิธีแก้มือด้วยการ “โคลนนิ่ง” กลยุทธ์คู่แข่งมาแบบทุกกระเบียดนิ้ว แต่ไม่ว่าจะแข่งกันหนักแค่ไหน แต่เป็นโปรโมชั่นแห่งปีที่กระตุ้นดีมานด์และรายได้ให้กับทั้งโออิชิและอิชิตันได้อย่างคุ้มค่า

การเปิดตัวแคมเปญ “ชิงโชครหัสใต้ฝา” ของศึกชาเขียว ระหว่างโออิชิและอิชิตันในช่วง 3 เดือนนับจากนี้ ถือเป็น “บิ๊กแคมเปญประจำปี” ร้อนแรงที่สุดช่วงหนึ่งของตลาดชาเขียวมูลค่า 13,000 ล้านบาท ที่โออิชิและอิชิตันกำลังห้ำหั่นกันกันอย่างถึงพริกถึงขิง เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดก้าวขึ้นเป็นที่ 1 ในตลาดชาเขียวสำเร็จรูป

สำหรับ “อิชิตัน” แคมเปญ “อิชิตัน ลุ้นรหัส รวยเปรี้ยง 60 วัน 60 ล้าน รีเทิร์น” เป็นเดิมพันที่เสี่ยตัน ภาสกรนที แห่งอิชิตันต้องทุ่มสุดตัว หลังจากเมื่อปลายปีที่แล้วอิชิตันได้ลิ้มรสความสำเร็จจากแคมเปญนี้มาแล้ว โดยสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในช่วง 4 เดือน คือตั้งแต่ตุลาคม 55 ถึงมกราคม 56 ซึ่งเป็นช่วงออกโปรโมชั่น อิชิตันมีส่วนแบ่งตลาด 40% ในขณะที่โออิชิมีส่วนแบ่งตลาด 38% และตันได้เปิดเผยยอดขายในช่วงนั้นได้ถึง 1,200 ล้านบาท ใช้งบการตลาด 120 ล้านบาท

ตันคาดหวังว่า “ลุ้นรหัสรวยเปรี้ยง อิชิตัน 60 วัน 60 ล้าน รีเทิร์น” จะทำให้อิชิตันรีเทิร์นสู่ความสำเร็จเหมือนอย่างที่ทำได้มาแล้ว และยังเป็นเดิมพันครั้งสำคัญที่ตันจะช่วงชิงโอกาสในการขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในตลาดชาเชียวภายในปีนี้

เป้าหมายลูกค้าต่างจังหวัด

การออกแคมเปญของอิชิตันในครั้งนั้น มาจากความต้องการสร้างความชัดเจนให้กับแบรนด์อิชิตัน โดยเฉพาะลูกค้าต่างจังหวัดที่ยังสับสนอยู่มากว่าเขาเป็นเจ้าของแบรนด์ไหนกันแน่

นอกจากนี้ ที่ผ่านมาช่องทางขายหลักของอิชิตันจะผ่านโมเดิร์นเทรดเป็นเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ฐานลูกค้าอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่เป็นหลัก ส่วนช่องทางขายเทรดิชันแนล เช่น ร้านค้า ตู้แช่ ซึ่งเป็นช่องทางขายสำคัญของลูกค้าต่างจังหวัด และเป็นจุดอ่อนที่อิชิตันยังขยายได้ไม่ทั่วถึง หากอิชิตันจะทำให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้น ก็ต้องเพิ่มสัดส่วนช่องทางเทรดิชันแนลให้มากขึ้น

“ถ้าจะขยายฐานไปที่ลูกค้าต่างจังหวัด ก็ต้องอาศัยช่องทางเทรดิชันแนล ที่ผ่านมาอิชิตันเราขยายช่องทางนี้ได้แค่ 10% แต่หลังจากแคมเปญแรกที่เราทำปรากฏว่าเราขยายช่องทางร้านค้าในต่างจังหวัดเพิ่มเป็น 45% และเราคาดว่าแคมเปญรีเทิร์นครั้งนี้จะทำให้การขยายช่องทางนี้เพิ่มเป็น 60%”

ด้วยกติกาของแคมเปญ ที่ตัน และทีมงานคิดขึ้นมา โดยตันเคยให้สัมภาษณ์ว่ามาจากดีเอ็นเอของ”แคมเปญรวยฟ้าฝ่า” เปิดฝามารับเงินล้านไปทันที โดยปรับกติกาและวิธีการชิงโชคให้เข้ากับพฤติกรรมของคนยุคนี้ ให้ส่งรหัสจากฝาและชิ้นส่วนจากกล่องยูเอชที มาชิงโชคทอง และรู้ผลทันทีช่วงเย็น คล้ายกับการ “ลุ้นหวย” สอดคล้องกับพฤติกรรมคนไทยที่นิยมเรื่องการเสี่ยงโชค แถมยังถูกกว่าซื้อหวย และลุ้นได้ทุกวัน และเวลานี้คนไทยก็มีโทรศัพท์มือถือใช้งาน การส่งชิงโชคก็ทำให้ง่าย ใช้ได้กับทุกค่ายโดยไม่ต้องเสียค่าส่ง แคมเปญจึงโดนใจกลุ่มเป้าหมายลูกค้าในต่างจังหวัด ระดับรากหญ้า จนกลายเป็นปรากฎการณ์ให้กับตลาดชาเขียว

ประกอบกับตันมีการเตรียมวางแผนล่วงหน้าครึ่งปี รวมถึงการวางแผนสื่อสารให้ลูกค้าเข้าใจกติกาล่วงหน้าก่อนลุ้นโชคครึ่งเดือน โดยมีการโปรโมตแคมเปญ ทั้งภาพยตร์โฆษณา และงานอีเวนต์แถลงข่าวเปิดตัวที่สื่อความหมายด้วยสัญลักษณ์ของการขอหวยเสี่ยงโชค สร้างการรับรู้ให้กับคนต่างจังหวัด ส่วนคนเมืองก็สื่อสารผ่านเว็บไซต์ และเฟซบุ๊ก แฟนเพจของตันและอิชิตัน แจ้งรายละเอียดทุกขั้นตอน

ผลปรากฏว่า แคมเปญชิงโชครหัสใต้ฝาของอิชิตัน เปรี้ยงโดนใจลูกค้ามากกว่า “โออิชิ” ที่ตัดสินใจเข็นแคมเปญ “รวยซ้ำรวยซ้อน ลุ้นง่ายทุกวัน ได้ทั้งล้านได้ทั้งรถ” ออกมาทีหลังอิชิตันได้ 1 เดือน เนื่องจากโออิชิยังใช้วิธีชิงโชคแบบเดิม คือส่งฝาและกล่องไปชิงโชค ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมคนยุคนี้ ที่ต้องการรู้ผลทันที

ทำไมแคมเปญโดนใจ

1. ตันประยุกต์มาจากแคมเปญ “รวยฟ้าผ่า” เปิดฝามารับเงินล้านไปทันที ซึ่งเป็นแคมเปญที่ตันออกมาแก้ปัญหาและได้รับความนิยมสูงมากในช่วงนั้น
2. วิธีการชิงโชค ให้ส่งรหัสจากฝา และชิ้นส่วนมาชิงโชค คล้ายกับการลุ้นหวย ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมคนไทยที่ชื่นชอบการเสี่ยงโชค โดยเฉพาะคนรากหญ้า
3. รู้ผลทันทีวันต่อวัน เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ที่ไม่ชอบรอนาน เหมือนกับการส่งชิ้นส่วนชิงโชคในอดีตกว่าจะรู้ผลต้องรอไปอีกจนหมดแคมเปญ หรือบางทีก็ลืมไปแล้ว
4. คนไทยเวลานี้มีโทรศัพท์มือถือใช้กันทุกคน 100% ไม่ว่าจะเป็นคนเมืองและต่างจังหวัด การส่งผ่านมือถือจึงสะดวกกับคนทุกกลุ่ม
5. การชิงโชคใช้ได้กับมือถือทุกระบบ ไม่ต้องเสียค่าส่ง

ศึกหวยชาเขียวยกที่สอง

ถึงแม้ศึกยกแรก อิชิตันจะเป็นฝ่ายคว้าชัยมาจากโออิชิ แต่สำหรับศึกหวยชาเขียวรอบใหม่ในช่วงฤดูร้อนที่กำลังมีขึ้นระหว่างเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมนี้ ตันรู้ดีว่าศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดา และยังไม่ทันที่ตันจะเปิดตัวแคมเปญ โออิชิ ก็ชิงตัดหน้าเปิดตัวโปรโมชั่นหน้าร้อน “รหัสโออิชิ ลุ้นรวยทุกชั่วโมง” แถมยังปลี่ยนมาใช้กติกาแบบเดียวกับอิชิตัน คือส่งรหัสไปชิงโชค (แต่โออิชิแจ้งผลที่เฟซบุ๊กและเว็บไซต์

ที่สำคัญ โออิชิ สวมบท “ป๋า” เกทับบลั้ฟแหลก เพิ่มทั้งเงินรางวัลและความถี่ โดยให้ลุ้นทองมูลค่า 10,000 บาท ทุกชั่วโมง ตั้งแต่ 10 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น 8 ครั้งต่อวัน และให้ลุ้นรางวัลทองคำ 1 ล้านบาททุกวัน วันละ 1 รางวัล รวม 60 วัน โดยเพิ่มงบ150 ล้าน เพิ่มเป็น250-300 ล้านบาท และอัดงบสื่อสารด้วยการยิงโฆษณาออกสื่อทีวีถี่ยิบ

งานนี้ “โออิชิ” ตระหนักดีว่า แคมเปญลักษณะนี้เข้าถึงคนไทยได้ง่าย โดยเฉพาะระดับรากหญ้า อนิรุทธิ์ มหธร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจเครื่องดื่ม บริษัทโออิชิ กรุ๊ป ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชาเขียวพร้อมดื่มโออิชิ บอกว่า ที่ยังต้องแจกทองเพราะถูกใจลูกค้าต่างจังหวัด ซึ่งโออิชิคาดหวังว่า แคมเปญนี้จะช่วยให้อัตราการเข้าถึงครัวเรือนในการบริโภคเครื่องดื่มโออิชิเพิ่มเป็น 75% ในปีนี้ และคาดว่าจะสร้างยอดขายได้ 100 ล้านฝา

นอกจากนี้โออิชิไม่ปล่อยให้คู่แข่งอย่างอิชิตัน ที่ถือเป็นคู่แข่งและคู่แค้นทางธุรกิจ ชิงส่วนแบ่งตลาดไปได้เหมือนกับแคมเปญที่แล้วมา

ทางด้านตัน เมื่อต้องสู้กับคู่แข่งที่มีทั้งสรรพกำลัง เงิน เครือข่าย กำลังคน การที่จะลุกมาสู้ด้วยการแจกมากกว่าก็มีแต่จะเจ็บตัว แคมเปญ “ลุ้นรหัสรวยเปรี้ยง อิชิตัน 60 วัน 60 ล้าน รีเทิร์น” ยังคงจุดเด่นเรื่องการส่งรหัสใต้ฝาและกล่องผลิตภัณฑ์ ลุ้นทองคำ 1 ล้านบาท ทุกวัน รวม 60 วัน 60 ล้านบาท และเพิ่มให้ลุ้นไอโฟน 5 อีกวัน 10 เครื่อง

สิ่งที่ตันมองว่าเป็น “หมัดเด็ด” ของเขา นอกเหนือจากการแจกทอง คือ การแจก “ไอโฟน 5” ที่มีความต้องการมาก โดยเฉพาะฐานลูกค้าที่เป็นเด็กและคนในต่างจังหวัดที่ยังไม่มีไอโฟนใช้อีกสิบล้านคน

นอกจากนี้ ตันต้องทำให้แคมเปญ “เปรี้ยง” กว่าครั้งที่แล้ว โดยการใช้กระแสมวลชนมาช่วย สร้างเรื่องราวให้เกิดการบอกต่อ โดยมี “ตัน” เป็นตัวแสดงนำ ให้ลูกค้าเกิดอารมณ์ร่วมทำให้แคมเปญเป็นที่จดจำ

ตัน พบว่า ความสำเร็จของแคมเปญครั้งที่แล้วนอกจากสะดวกและง่ายกว่าในการชิงโชค การเดินสายแจกรางวัลด้วยตัวเองเป็นกลไกสร้าง “เนื้อหา” ซึ่งตันจะใช้วิธีเดินทางไปแจกรางวัลให้กับผู้รับโชคทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดด้วยตัวเอง จากนั้นนำคลิปมาเผยแพร่บน “เฟซบุ๊กแฟนเพจ” ของตัน ที่เวลานี้ยอด Like มากกว่า 2 ล้าน และในเฟซบุ๊กแฟนเพจของอิชิตันที่มียอดแฟน 1 ล้านกว่า ซึ่งตันใช้ประโยชน์จาก เฟซบุ๊ก เป็นเครื่องมือสื่อสารสำคัญ สร้างการรับรู้แคมเปญ และหล่อเลี้ยงกระแสให้ได้รับความสนใจต่อเนื่อง

“การที่ผมไปแจกรางวัลเอง ทำให้คนรู้สึกว่าสินค้าเรามีตัวตน อย่างแคมเปญครั้งที่แล้วที่ผมไปแจกให้กับคนที่ได้รางวัล 60 คน ทำออกมา 60 คลิป มีคนดูเป็นล้านคน แค่คลิปเดียวคนดูเป็นแสน ไม่เหมือนกับคู่แข่ง ถึงเขาจะแจกเงินมากกว่า ใช้ดาราไปแจก แต่สินค้าเขาเหมือนไม่มีตัวตน นี่คือความแตกต่าง คนเขาอยากมาดูผม ตรงนี้คู่แข่งก็ก๊อบปี้ไม่ได้ มีเงินก็ซื้อไม่ได้” ตันสะท้อนแนวคิดที่ได้จากแคมเปญครั้งที่แล้ว

ตัน อัดดราม่าสร้างกระแส

แต่สำหรับแคมเปญครั้งนี้ ตันจำเป็นสื่อสารแบบ “จัดหนัก” ยิ่งขึ้น สร้างการรับรู้ให้แคมเปญ “หวยชาเขียว” ดังกระหึ่มทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งตัวเขาและเนื้อหาต้องเข้มข้นและ “ดราม่า” มากขึ้น เพื่อให้คนอินกับแคมเปญ และรับรู้แบรนด์อิชิตันให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะลูกค้าต่างจังหวัดที่เป็นกลุ่มเป้าหมายของโปรโมชั่นนี้

ครั้งนี้ “ตัน” จึงหันมาสวมชุดและบทบาท “ฮีโร่” ที่มาให้ “ความหวัง” กับชาวบ้านร้านตลาดทั้งพ่อค้าแม่ค้า ชาวประมง หลากหลายอาชีพ รวมถึงคนกำลังประสบปัญหา เช่น คนตกงาน บ้านถูกยึด ได้มีโอกาสลุ้นโชคไปกับหวยอิชิตันไปสร้างเนื้อสร้างตัว ทั้งหมดนี้ คือ สตอรี่หลักที่ตันใช้ในภาพยนตร์โฆษณา เพื่อสื่อสารถึงความหมายของแคมเปญไปยังคนต่างจังหวัด

ขณะเดียวกัน ตันใช้ เฟซบุ๊กเป็นเครื่องมือเผยแพร่คลิปการแจกรางวัลให้กับผู้ที่ได้รับโชค เพื่อสร้างแรงกระเพื่อมให้กับกระแสของแคมเปญเดินต่อไป

ปรากฎว่ารางวัลแรกที่ได้เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูก 2 คน ลูกชายป่วยเป็นมะเร็งกระดูก ส่วนลูกสาวพิการซ้ำซ้อน และแม่ชราที่ล้มป่วยบ่อยครั้ง กลายเป็น “ดราม่า” เรียกน้ำตา ดังกระหึ่มในโลกออนไลน์ มียอดวิว 429,577 วิว เข้าสูตรการสร้างไวรัล หรือ “กระแสบอกต่อ” ที่สร้างความดังได้ทั้งในโลกออนไลน์และยังแพร่กระจายไปในสื่อแมส เพราะ “ตัน” เองยังมีพันธมิตรอย่าง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” นำเรื่องราวเหล่านี้ไปออกในรายการเรืองเล่าเช้านี้ ก็ยิ่งสร้างให้กระแสชิงโชครหัสใต้ฝาของอิชิตันให้ดังกระหึ่มสู่ระดับแมส

เมื่อเริ่มด้วยคลิปดราม่าขนาดนี้แล้ว คลิปต่อไปย่อมได้รับความสนใจต่อเนื่อง และคนที่ได้รางวัลก็มีหลากหลายอาชีพ กระจายอยู่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ ทั้งครูสอนฟิตเนส ผู้รับเหมาก่อสร้างที่จังหวัดขอนแก่น นักศึกษาได้เงินไปเป็นทุนการศึกษา แม่ค้าขายของจังหวัดยโสธร

นอกจากนี้ ตันใช้ปรากฎการณ์กำลังเป็นที่สนใจของผู้คนในสังคม ควบคู่กับสัญลักษณ์ของการเล่นหวย เช่น ภาพคาถาของแม่รำพึงในละครบ่วงบาป หรือภาพตันเบิกเงินจากธนาคารมากอง หรือนำไอโฟนมาต่อๆ กันยาวเท่ากับสนามฟุตบอล ทำให้โปรโมชั่นแจกทองของ “อิชิตัน” ได้รับความสนใจ ถูกติดตามและป็นกระแสที่ถูกพูดทั้งในออนไลน์และออฟไลน์

นี่คือสูตรแห่งความสำเร็จ ที่ตันบอกว่าไม่ต้องใช้เงินมาก แต่ต้องใช้ไอเดียบวกกับกระแสสร้างการรับรู้แบรนด์ที่ทำต่อเนื่อง

ตันไม่เคยทำอะไรชั้นเดียว

นอกจากนี้ สไตล์ของตันไม่เคยคิดหรือทำอะไรแค่ชั้นเดียว ทันทีที่เปิดตัวแคมเปญ ตันรีบกระตุ้นกำลังซื้อด้วยการจับมือกับเซเว่นอีเลฟเว่น ออกโปรโมชั่นให้สิทธิ์แลกซื้ออิชิตันขนาด 420 มล. สองขวดในราคา 25 บาท ส่วน ขนาด 840 มล. ลดราคาจาก 25 บาท เหลือ 20 บาท

ตันยังใช้โปรโมชั่นนี้มาทำใช้ประโยชน์ในการเปิดตัวเครื่องดื่มชนิดใหม่ น้ำจับเลี้ยง ภายใต้แบรนด์ “เย็น เย็น” ออกสู่ตลาด และร่วมอยู่ในแคมเปญ โดยฝาของ เย็น เย็น สามารถส่งรหัสมาชิงโชค ในโปรโมชั่น “ลุ้นรหัสรวยเปรี้ยง อิชิตัน 60 วัน 60 ล้าน รีเทิร์น” ได้เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ชาเขียว เป็นกลยุทธ์ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ใช้กระแสแคมเปญมาช่วยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ขณะเดียวกันเพิ่มโอกาสให้กับคนที่ชื่นชอบน้ำสมุนไพรได้ลุ้นโชค

ตันจึงไม่รอแค่โปรโมชั่น แต่ยังใช้การเดินสายจัดอีเวนต์ในต่างจังหวัดประกบเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ซึ่งตันบอกว่า ภาคเหนือและอีสานไม่ห่วงแล้ว เป้าหมายปีนี้อยู่ที่ภาคใต้ ซึ่งคนใต้มีพฤติกรรมพิเศษกว่าภาคอื่น ต้องใช้ศิลปินที่คนใต้ชื่นชม อย่างนักร้องลูกทุ่งขวัญใจชาวใต้ เอกชัย ศรีวิชัย โดยอิชิตันควักเงิน 10 ล้านเป็นเจ้าภาพจัดคอนเสิร์ตเพื่อสร้าแบรนด์อิชิตัน

เมื่อมีทั้งกระแสทั้งในออนไลน์และออฟไลน์ บวกกับกลยุทธ์ราคา เดินสายจัดอีเวนต์ ประกบด้วยสินค้าใหม่ อัดด้วยโปรโมชั่น ส่งผลให้แคมเปญชิงโชครหัสใต้ฝาของอิชิตันเปรี้ยงปร้าง สร้างกระแสการรับรู้กับคนทั่วไปได้มากกว่าของคู่แข่ง แม้แต่พนักงานในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นยังเข้าใจว่า แคมเปญหวยชาเขียว เป็น “อิชิตัน” เพียงเจ้าเดียว

โออิชิใช้กลยุทธ์ “โคลนนิ่ง” คู่แข่ง

ทางด้านโออิชิ เมื่อเจอกระแสความแรงของอิชิตัน จึงเร่งรีบแก้โจทย์เป็นการด่วน ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม โออิชิได้อัดฉีดโฆษณา และtie-in ในรายการ เช่น ตลาดสดสนามเป้า ที่ให้พิธีกรและแม่ค้าในรายการโปรโมตโปรโมชั่นรหัสโออิชิ ลุ้นรวยทุกชั่วโมง โดยสื่อสารชนิดที่ให้รู้กันไปเลยว่า เหมือนกับการแทงหวยที่ลูกค้าคุ้นเคย แต่เหนือกว่าตรงที่ลุ้นรางวัลได้ทุกชั่วโมง

ส่วนในเฟซบุ๊กแฟนเพจของโออิชิ ก็เปลี่ยนมาเน้นเนื้อหา “ดราม่า” ด้วยคลิปจั่วหัวว่า รางวัลแด่คนสู้ชีวิตไม่ทิ้งฝัน ผู้รับรางวัลเป็นเจ้าของกิจการรับปะยาง 24 ชั่วโมง ชาวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต้องดำเนินชีวิตต่อสู้ตรากตรำมายาวนาน แถมยังเพิ่งมีลูกสาววัยแค่ 2 เดือน ที่นำโชคมาให้ เรียกว่า โคลนนิ่งกลยุทธ์ของอิชิตันมาใช้ ทั้งสไตล์และเนื้อหาในการสื่อสาร ควบคู่ไปกับการอัดฉีดโปรโมชั่นเพื่อเร่งยอดขายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ด้วยการให้แลกโออิชิขนาด 500 มล. ซื้อ 2 ขวด จากราคา 40 บาท เหลือราคา 25 บาท

ในขณะที่คู่แข่ง มีตันสวมบทฮีโร่นอกจอ โออิชิ ยังคงใช้ พระเอกดัง เคน ภูภูมิ และหมาก ปริญญ์ ซึ่งเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแคมเปญนี้ รวมทั้งใช้ รูปตุ๊กตา “แมวเนโกะ” เป็นไอคอนสร้างความจดจำให้กับแบรนด์โออิชิแล้ว ยังเพิ่ม “เต๋อ ฉันทวิชช์” พระเอกหนังจากค่ายจีทีเอช ที่ได้ชื่อว่ามีแฟนคลับติดตามในโลกออนไลน์มากมาย มาเป็นพรีเซนเตอร์ในแคมเปญนี้เพิ่มอีกคน เพื่อดึงฐานลูกค้าวัยรุ่นให้มาสนใจแคมเปญมากยิ่งขึ้น

สร้างรายได้สุดคุ้ม

ไม่ว่าโออิชิ และอิชิตัน ใครจะมีชัยเหนือกว่า แต่มีการประเมินกันว่า แคมเปญหวยชาเขียวสามารถสร้างรายได้ให้กับทั้งสองรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เพราะมีการประเมินแล้วว่า ต้นทุนการผลิตชาเขียวสำเร็จรูปเฉลี่ย 5 บาท บวกกับค่ากระจายตามช่องทางต่างๆ เฉลี่ย 3-5 บาท ถ้าขายขวดละ 15 บาท จะมีกำไรเฉลี่ย 5 บาทต่อขวด แต่ถ้าตั้งราคา 20 บาท กำไรเฉลี่ย 10 บาท ซึ่งโออิชิคาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 100 ล้านฝา ราคาต่อขวดเฉลี่ย 20 บาท เท่ากับโออิชิจะมีรายได้ 2,000 ล้านบาท ส่วนตันบอกว่าแคมเปญนี้จะสร้างยอดขายให้อิชิตัน 1,500 ล้านบาท

ตัน เองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า ถ้าไม่มีแคมเปญ อย่างเก่งตลาดชาเขียวโตแค่ปีละ 3-5% แต่พอมีแคมเปญตลาด ทำให้ตลาดเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20% ได้ทุกปี อย่างปี 2555 ตลาดชาเขียวโตถึง 30% หรือ 13,000 ล้านบาท” ตันคอนเฟิร์มและบอกถึงทิศทางได้ชัดเจนว่า แคมเปญการตลาดเป็นของคู่กับตลาดชาเขียวไปแล้ว เพราะสามารถสร้างดีมานด์ให้กับตลาดชาเขียวเพิ่มต่อเนื่อง

นักการตลาดในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า แคมเปญหวยชาเขียว ส่งผลให้เกิด “ดีมานด์เทียม” จากการที่มีผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ซื้อเพื่อต้องการชิงโชค ไม่ได้เพราะต้องการดื่มจริงๆ

สะเทือนทั้งตลาดเครื่องดื่ม

ขณะเดียวกัน แคมเปญหวยชาเขียวยังส่งผลกระทบให้กับ เครื่องดื่มชาสำเร็จรูปแบรนด์อื่นๆ จากการพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซื้อกินเพราะต้องการชิงโชค แบรนด์ไหนที่ไม่มีโปรโมชั่นออกมาแข่งจะถูกแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดไปอยู่ในมือของอิชิตัน และโออิชิ เช่น ชาชาว“เพียวริคุ” ที่ทั้งจากโออิชิ ฟรุตโตะ ซึ่งเป็นคู่แข่งรสโกจิเบอรี่ รวมถึงรสสมุนไพรน้ำจับเลี้ยง ที่เพียวริคุเพิ่งนำออกทำตลาดได้ไม่นาน ก็ต้องเจอคู่แข่งอย่าง ตัน ที่เปิดตัวน้ำจับเลี้ยง เย็น เย็น และนำเข้าร่วมแคมเปญนี้ด้วย

ส่วน ชาดำสำเร็จรูป “ลิปตัน” ก็ต้องรีบเข็นโปรโมชั่น แจกมอเตอร์ไซค์ 100 วัน 100 คัน เพื่อรับมือกับสงครามหวยชาเขียวรอบนี้ แม้ว่ารางวัลจะไม่แรงเท่ากับโออิชิ และอิชิตัน แต่ลิปตันก็ประเมินแล้วว่า หากไม่ทำอะไรก็อาจต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไปให้กับโออิชิ และอิชิตัน เหมือนกับที่เพียวริคุเจอมาแล้วเช่นกัน

3 เดือนนับจากนี้ต้องจับตาดูว่า ระหว่าง อิชิตัน และ “โออิชิ” ใครจะคว้าชัยชนะในแคมเปญนี้ ห้ามกะพริบตา และถือเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาของตลาดชาเขียวสำเร็จรูปของไทย ที่สงครามระหว่างสองแบรนด์นี้ยังอีกยาวไกล

]]>
55973
กลยุทธ์การแข่งขันธุรกิจชาเขียวแบบ (Red Ocean) “ใครดีใครอยู่” https://positioningmag.com/55974 Sat, 11 May 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55974

คงจะไม่มีกระแสใดที่ตอนนี้มาแรงเท่ากับการชิงโชคที่กระหน่ำเปิดฝาและส่ง SMS แจกทอง หรือแจกทองกันเป็นแบบวินาทีต่อวินาที

กิจกรรมการให้ส่วนลด แลก แจก แถม เราเห็นตั้งแต่สมัยโบราณ อาจเป็นพื้นฐานของการตลาดที่จูงใจผู้บริโภคได้ดีที่สุด

“การใช้กลยุทธ์แบบแจกกันทุกนาที และเป็นกิจกรรมกระหน่ำ ซึ่งเราจะเห็นในยุคที่ทองคำเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ดังนั้นกิจกรรมแบบนี้จึงเป็น Tool ที่ใช้ได้ผลของ Promotion Mix”

กิจกรรมชิงโชคของโออิชิและอิชิตัน คงจะเป็นกิจกรรมชิงโชคแบบสู้กันแบบ “กลยุทธ์ตามกันไป Strategic Follower ” จะรอว่าใครจะออกกลยุทธ์ก่อน และประกอบกับธรรมชาติของคนไทยที่จะชอบการเสี่ยงโชคแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องพยายามมาก จึงทำให้กิจกรรมทางการตลาดแบบนี้ยังคงได้รับความนิยม กลยุทธ์ของชาเขียวเริ่มเป็นที่ฮือฮาตั้งแต่เปิดฝาพบโชคกับโออิชิ พบฝาพบโชคกับโออิชิ ซึ่งต้องบอกได้เลยว่าเป็นกลยุทธ์ที่เชือดเฉือนกันรุนแรง

การใช้กลยุทธ์มุ่งตรงแบบนี้ ในเชิงการตลาดอาจเรียกว่า “Frontal Attack” โดยใช้การเข้าตีแบบ ตีจุดแข็งคู่แข่ง เมื่อกลยุทธ์ที่คุณตันเคยวางเกมให้กับโออิชิ โดยใช้กลยุทธ์ 1 ฝา 1 ล้าน ได้ผล มาถึงทีที่คุณตันจะออกอิชิตันบ้าง กลยุทธ์แบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คุณตันจะนำกลับมาใช้บ้าง เพียงแต่ต่างวาระเท่านั้น

อาจจะเป็นเรื่องศักดิ์ศรีที่เคยมีระหว่างโออิชิกับคุณตันมากกว่า จึงเกิดเกมทางการตลาดที่แบบไม่มีใครยอมใคร

การใช้กลยุทธ์แบบ Frontal Attack คือตีตรงกับคู่แข่งเลย โดยใช้จุดแข็งเข้ามาห้ำหั่นกัน ซึ่งผลสุดท้ายเกมแบบนี้ ผู้ที่ได้รับประโยชน์ก็คือผู้บริโภค และแน่นอนคงต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะสูญเสียไปได้

เกมแบบนี้หรือที่เรียกว่า Zero-Sum Game โดยต่างฝ่ายต่างไม่ยอมซึ่งกันและกัน ซึ่งเกมแบบนี้ต่างฝ่ายต่างใช้กลยุทธ์ห้ำหั่น โดยถือว่าเมื่อฝ่ายหนึ่งได้ อีกฝ่ายจะเสียประโยชน์

หากเราจะดูลักษณะกิจกรรมลด แลก แจก แถม แบบไม่มีใครยอมใครแบบนี้แล้ว อาจจะเปลี่ยน Lifestyle คนไทยที่ต้องซื้อของทุกอย่าง ซื้อเพราะ Option ที่มีหรือซื้อเพราะมีกิจกรรมมากกว่าเหตุผลในการบริโภค

การตลาด บางครั้งจะเป็นตัวขับเคลื่อนหรือปรับพฤติกรรมผู้บริโภคพอสมควร ดังนั้นกลยุทธ์ที่ใช้กันแบบไม่มีใครยอมใครคงจะเข้าทางคนไทยที่ชอบลุ้น

เมื่อการแข่งขันที่มีแต่ใช้วิธีลด แลก แจก แถม จนเป็นความเคยชินไปแล้ว ไม่นานคงจะถึงจุดที่การแถมเป็นเรื่องธรรมดาซึ่งไม่มีอะไรที่แตกต่าง และอาจถึงจุดอิ่มตัว เพราะสิ่งที่ให้นั้นเป็นกิจกรรมมุกเดิมๆ จนผู้บริโภคเห็นเป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นในการแข่งขันในอนาคต หากคู่กัดระหว่าง โออิชิ กับ อิชิตัน เล่นเกมแข่งขันแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจมีกิจกรรมอะไรแปลกที่จะดึงความอยากของผู้บริโภคได้เรื่อยๆ

คงจะไม่มีอะไรที่ทำกิจกรรมทางการตลาดได้มากมายเท่าการแข่งขันในธุรกิจชาเขียวในปัจจุบัน ทั้งกลยุทธ์ที่ทำกันแบบไม่ยอมเสียหน้าเลย คงจะกลับเข้ามาสู่ยุคที่เป็นลักษณะ Red Ocean อีกครั้ง ในสงครามธุรกิจชาเขียว ซึ่งใช้กลยุทธ์แบบลด แลกแจก แถม และมุ่งเน้นเอาชนะเหนือคู่แข่ง

ซึ่งมองดูแล้วการแข่งขันทางธุรกิจที่เราพบเห็นในปัจจุบันล้วนแต่ถูกจัดเป็น Red Ocean ทั้งสิ้น เนื่องจากธุรกิจหรืออุตสาหกรรมแต่ละรายที่มุ่งเน้นในการเอาชนะคู่แข่งอื่นๆ เพื่อแย่งลูกค้ามาให้ได้มากที่สุด และให้ได้กำไรมากที่สุด แนวทางที่สำคัญยิ่งคือการเอาชนะคู่แข่งให้ได้ หรือเหนือกว่าคู่แข่ง Competitive Advantage

สำคัญคือจะต้องมองดูว่าคู่แข่งเราทำอะไรบ้าง สินค้าหรือบริการของคู่แข่งมีอะไร และเมื่อคู่แข่งออกสินค้าหรือบริการอะไรใหม่ออกมา ก็จะออกมาบ้างเพื่อไม่ให้น้อยหน้าคู่แข่ง วงจรแบบนี้จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดสินค้าและบริการในอุตสาหกรรมก็จะมีลักษณะที่เหมือนๆ กัน หรือทำตามกัน หรือที่เราเรียกว่า “Me too Product” ไม่เกิดความแตกต่าง รอแต่คู่แข่งออกกลยุทธ์ สินค้า บริการ อะไรก็จะทำตามแบบ “Imitator” นักลอกเลียนแบบไปเลย

และเมื่อไม่เกิดความแตกต่างหรือ “Un-Differentiation” ก็นำไปสู่การแข่งขันด้านราคา หรือ “Price-Discount Strategy” และสิ่งที่ตามมาก็คือ “Cheaper-goods Strategy”

“ที่หนักคืออาจจะเข้าไปถึงขนาดที่เรียกว่า “การแข่งขันแบบสงครามกองโจร” หรือ “Guerrilla Strategy” ที่ต่อสู้กันแบบตัดราคา, ปล่อยข่าวลือ, แย่งเอเย่นต์, แย่งผู้บริหารและหนักที่สุด คือ ผิดจรรยาบรรณธุรกิจ สู้กันแบบเลือดออกซิบๆ จนเป็นทะเลแดง “Red Ocean”

แต่ไม่ใช่เป็นแบบนี้ในทุกธุรกิจ เพราะยังมีหลายธุรกิจเน้นการตอบสนองความต้องการลูกค้า ต่อองค์กร ต่อตนเอง หรือ Blue Ocean เช่นกัน บางองค์กรหรือบางอุตสาหกรรมก็อาจไม่มุ่งเน้นการแข่งขันแล้ว เพราะ Brand ติดหู ติดตา และติดใจไปแล้ว หรือ Top of Mind Brand คือเป็น Brand ที่เข้มแข็งพอจนสามารถคืนกลับให้สังคม หรือ CSR (Corporate Social Responsibility) ซึ่งเป็นกระแสฮิตในการรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม แต่สิ่งที่สำคัญต้องไม่แฝงในเรื่องการหากำไรมากไป

คงจะได้มีเรื่องราวกลยุทธ์ในการแข่งขันทางธุรกิจ มาได้เรียนรู้อีกในฉบับหน้า ครับ…

]]>
55974