กสิกรไทยชี้ธุรกิจแฟรนไชส์ปี 57 มีมูลค่า 2.6 แสนล้าน โต 10% ธุรกิจอาหาร การศึกษาและบริการยังสดใส พร้อมจับมือซีคอน บางแค จัดงาน เค เอสเอ็มอี แฟรนไชส์ เอ็กซ์โป แอท ซีคอน บางแค 7-9 พ.ย. นี้ รวม 30 แบรนด์แฟรนไชส์ชื่อดังที่คนไทยอยากเปิดมากที่สุด ให้ผู้อยากทำธุรกิจคุยเจาะลึก พร้อมหนุนสินเชื่อเปิดร้านแฟรนไชส์ รับส่วนลดดอกเบี้ย 1%

นายพิภวัตว์  ภัทรนาวิก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจแฟรนไชส์เป็นช่องทางการทำธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมจากคนไทยมากขึ้น เนื่องจากมีรูปแบบการจัดการธุรกิจที่เป็นระบบแบบแผน หลายบริษัทมีการสร้างแบรนด์ที่แข็งแรงจนได้รับความนิยมจากลูกค้าจำนวนมาก โดยปัจจุบันประเทศไทยมีธุรกิจแฟรนไชส์มากกว่า 1,000 แบรนด์ คาดว่าในปี 2557 ตลาดธุรกิจแฟรนไชส์จะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 260,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่แล้ว10% และยังมีการขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาค มาตรการส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ของภาครัฐ การสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันทางการเงิน ตลอดจนความคล่องตัวในการดำเนินกิจการผ่านระบบแฟรนไชส์และประสบผลสำเร็จทางด้านรายได้และผลตอบแทน ทำให้เป็นที่สนใจของผู้ประกอบการยุคใหม่ที่จะเข้าสู่ธุรกิจนี้ โดยแฟรนไชส์ที่ขยายตัวดีและน่าลงทุนจะเป็นกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภาคการศึกษาและบริการ เนื่องจากใช้เงินลงทุนไม่สูงมาก และมีการจัดการที่ไม่ซับซ้อน อีกทั้งความต้องการในตลาดยังมีอีกมาก โดยเฉพาะตลาดที่อยู่ในพื้นที่รองรับการขยายตัวของเมือง เช่น พื้นที่ย่านฝั่งธนบุรีแถบชานเมืองที่อยู่ในแนวโครงการรถไฟฟ้า และมีโครงการบ้านจำนวนมาก รวมทั้งตลาดต่างจังหวัดในแต่ละภูมิภาคที่เติบโตตามการขยายตัวของเมือง

ดังนั้นเพื่อส่งเสริมคนไทยได้ดำเนินธุรกิจกับเฟรนไชส์ที่มีคุณภาพ ธนาคารกสิกรไทย ในฐานะผู้นำด้านการสนับสนุนธุรกิจแฟรนไชส์อย่างต่อเนื่อง จึงได้ร่วมมือกับศูนย์การค้าซีคอนบางแค จัดงาน เค เอสเอ็มอี แฟรนไชส์ เอ็กซ์โป แอท ซีคอน บางแค (K SME Franchise Expo @Seacon Bangkae) วันที่ 7-9 พฤศจิกายนนี้ ภายใต้แนวคิด มีแบรนด์ให้ช้อป พื้นที่ให้เช่า เงินทุนให้กู้ โดยภายในงานจะรวบรวมสุดยอดแฟรนไชส์ชื่อดังที่คนไทยอยากเปิดมากที่สุดกว่า 30แบรนด์ มาร่วมออกบูธ อาทิ True Coffee ร้านยากรุงเทพ Moly Care และ Car Lack เป็นต้น เปิดโอกาสให้เจ้าของลิขสิทธิ์แบรนด์แฟรนไชส์ชั้นนำ และผู้สนใจประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ได้พบปะและเจรจาธุรกิจกันแบบเจาะลึก เพื่อเป็นทางเลือกในการลงทุนและโอกาสในการขยายธุรกิจของทั้งสองฝ่าย โดยมีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินและคำปรึกษา

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานจะได้รับสิทธิประโยชน์ อาทิ การสมัครสินเชื่อในกลุ่ม K-SME Franchise Credit ภายในงาน จะได้รับส่วนลดดอกเบี้ยเงินกู้ 1% พร้อมรับข้อเสนอพิเศษจากเจ้าของลิขสิทธิ์แฟรนไชส์ภายในงาน

กิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจภายในงาน เช่น การเสวนาความรู้เรื่อง ทิศทางธุรกิจแฟรนไชส์ในปัจจุบัน โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ การพูดคุยประสบการณ์การทำธุรกิจแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จโดยผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียง กิจกรรมสาธิตสินค้าที่น่าสนใจ นอกจากนี้ ภายในงานดังกล่าว ได้เปิดพื้นที่ให้ผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าร่วมงานและเลือกซื้อสินค้าจากบูธต่าง ๆ ได้ตลอดทั้งงาน  

นายพิภวัตว์ กล่าวเพิ่มเติมว่า งาน เค เอสเอ็มอี แฟรนไชส์ เอ็กซ์โป แอท ซีคอน บางแค จะช่วยเปิดโอกาสให้ผู้สนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง ตัดสินใจลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์เพื่อจะขยายไปลงในพื้นที่ธุรกิจเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3,000 คน พร้อมตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อ K SME Franchise Credit  จากงานนี้ได้ 60 ล้านบาท ปัจจุบัน ธนาคารกสิกรไทยปล่อยสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจแฟรนไชส์แล้ว1,600 ล้านบาท และเตรียมจะปล่อยเพิ่มอีก 1,000 ล้านบาท โดยที่ผ่านมายังไม่มีลูกค้าสินเชื่อที่เป็นเอ็นพีแอล หรือค้างชำระเงินกู้

นายสุรชัย เจริญพงศ์ ผู้อำนวยการสายงานพัฒนาธุรกิจ  บริษัท ซีคอน บางแค จำกัด เปิดเผยว่า  ความร่วมมือในการจัดงานดังกล่าว นับเป็นครั้งแรกที่ทางศูนย์สรรพสินค้าซีคอน บางแค ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับธนาคารกสิกรไทย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เจ้าของแฟรนไชส์และนักลงทุนได้พบกัน แลกเปลี่ยนพูดคุยธุรกิจอย่างใกล้ชิด ในบรรยากาศที่เป็นกันเอง ภายในงาน “K SME Franchise Expo @Seacon Bangkae” ในวันที่ 7-9 พฤศจิกายนนี้ ณ ลานกิจกรรม ชั้น 4 ซีคอน บางแค

ซีคอน บางแค ศูนย์สรรพสินค้าที่ยิ่งใหญ่และทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตะวันตก บนพื้นที่กว่า 40 ไร่ โดดเด่นด้วยอาคารทันสมัยสไตล์ Modern Contemporary เน้นความโปร่งโล่งสบายจากแสงธรรมชาติ บนพื้นที่ขนาด 300,000 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นพื้นที่เช่า 170,000 ตร.ม. ความรื่นรมย์ครั้งใหม่ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์จากร้านค้าชั้นนำกว่า 300 ร้านค้า และเพลิดเพลินกับกิจกรรมหลากหลายรูปแบบบนลานอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ถึง 3 ล้าน เพื่อสร้างวาไรตี้สีสันอารมณ์ใหม่ให้แก่ชาวกรุงเทพฯ ตะวันตก

จากการศึกษาวิจัยทางการตลาด พบว่าย่านบางแค ภาษีเจริญ ธนบุรี ฯลฯ เป็นย่านที่ชุมชนหนาแน่น และมีชุมชนชั้นดีใหม่ ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะหมู่บ้านที่มีระดับราคาหลังละ 4 ล้านบาทขึ้นไป และมีถนนเครือข่ายเชื่อมถึง อาทิ วงแหวนตะวันตก ถนนราชพฤกษ์ ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี พุทธมณฑล ประกอบกับมีจุดแข็งที่รายล้อมไปด้วยสถานศึกษากว่า 220 แห่ง มหาวิทยาลัย 4 แห่ง โรงพยาบาล 3 แห่ง โดยปัจจุบันฐานประชากรเฉลี่ยในรัศมี 10 กม.อยู่ที่กว่า 1 ล้านคน กล่าวได้ว่าเป็นตลาดที่มีดีมานด์ค่อนข้างมาก และมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง เป็นกลุ่มลูกค้าระดับบีขึ้นไป แต่มีศูนย์การค้าเปิดให้บริการค่อนข้างน้อย อีกทั้งในย่านนี้ไม่มีศูนย์การค้าเปิดใหม่เลยมากว่า 10 ปี จึงสร้างความมั่นใจได้ว่าร้านค้าที่มาลงทุนที่ซีคอนบางแคจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้า กลุ่มนี้เป็นอย่างดี และอีกไม่นาน รถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ก็จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ ทางซีคอนเอง ก็ได้ดำเนินการก่อสร้างทางเชื่อมไว้เรียบร้อยแล้วเพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการ

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี และนางสาวสิริวรรณ เจียระพงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (PTTPM) ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัวบริการค้ำประกันทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ TMB e-Guarantee ที่ช่วยลดความยุ่งยากด้านเอกสาร ลดเวลาจาก 1 วัน เหลือ 1 นาที ลูกค้าสามารถใช้เวลาที่ลดลง ไปสร้างยอดขายให้เติบโตยิ่งขึ้น และทีเอ็มบีเป็นแบงก์แรกที่พัฒนาบริการนี้สำหรับบริษัทเอกชน

กสิกรไทย และ บลจ. กสิกรไทย ผนึกกำลังครั้งใหญ่ เปิดช่องให้ลงทุนกับกองทุน  K-MONEY ขั้นต่ำเพียง 500 บาท หวังขยายฐานลูกค้ารายย่อยที่อยากเริ่มต้นลงทุน ตั้งเป้ารั้งตำแหน่งกองทุนรวมตลาดเงินที่ใหญ่ที่สุด พร้อมตอกย้ำผู้นำกองทุนอันดับหนึ่งของประเทศไทย

นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันลูกค้าจำนวนมากยังขาดความเข้าใจที่จะลงทุนในกองทุน โดยมองว่าการลงทุนในกองทุนรวมมีความเสี่ยงและใช้เงินลงทุนสูง ต้องใช้เวลาในการติดตามข้อมูล  ดังนั้นธนาคารกสิกรไทย และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จึงได้ร่วมส่งเสริมให้ประชาชนลงทุนในกองทุนรวม โดยเริ่มจากกองทุน K-MONEY ซึ่งเป็นกองทุนที่ลงทุนในเงินฝาก ตราสารหนี้ภาครัฐ เอกชนและสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศที่มีความมั่นคง จึงมีความเสี่ยงต่ำ โดยได้ลดวงเงินลงทุนขั้นต่ำเหลือเพียง 500 บาท จากเดิมที่ต้องลงทุนขั้นต่ำ 5,000 บาท เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากประจำ แต่มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา

นายปกรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน K-MONEY เหมาะสำหรับเป็นก้าวแรกสู่การลงทุนสำหรับคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเห็นความสำคัญของการบริหารเงินออมและเงินลงทุนส่วนตัว เมื่อมีประสบการณ์แล้ว ก็จะเห็นว่าการลงทุนเป็นเรื่องง่าย จึงมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น ในอนาคตก็จะสามารถต่อยอดไปลงทุนในกองทุนอื่น ๆ ที่มีความซับซ้อนเพื่อให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นอีก นอกจากนี้ธนาคารกสิกรไทยยังมีบริการ K-Expert ที่พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุนแบบมืออาชีพ ซึ่งถือเป็นความร่วมมือที่จะเสริมสร้างความรู้เรื่องการเงินและการลงทุนให้กับผู้ลงทุนแบบครบวงจร

ด้านนายจงรัก รัตนเพียร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า กองทุน K-MONEYเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการพักเงิน หรือลงทุนในระยะสั้น และคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน โดยไม่ต้องเสียภาษี โดยกองทุน K-MONEY มีผลการดำเนินงานที่ผ่านมาดีอย่างสม่ำเสมอและสามารถเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 2.08% ต่อปี และมีผลตอบแทนย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 2.50% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิ.ย. 57) นอกจากนี้กองทุน K-MONEY ยังจัดเป็นกองทุนในกลุ่มกองทุนตลาดเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีมูลค่าสินทรัพย์ ณ วันที่ 29 ก.ค. 2557 อยู่ที่101,545.32 ล้านบาท

นายจงรัก กล่าวว่า ด้านมุมมองการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจภายในประเทศจะมีความชัดเจนเรื่องการฟื้นตัวมากขึ้น หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองได้คลี่คลายลง และการที่มีคณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้ามาบริหาร ซึ่งจะทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณเป็นไปได้มากขึ้น รวมถึงผลักดันโครงการลงทุนต่าง ๆ ให้ดำเนินหน้าต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามคาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจจะยังไม่เร่งตัวสูงมากนัก ขณะที่แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยเองยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ผนวกกับการที่ธนาคารกลางในภูมิภาคต่าง ๆ อาทิ สหรัฐอเมริกา ยุโรป ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่อง จึงคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ทรงตัวต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ ในขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอาจจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นการเลือกลงทุนกับกองทุน K-MONEY จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่กำลังรอจังหวะลงทุนในตราสารอื่นๆ ต่อไป

ทั้งนี้ ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทุนกับกองทุน K-MONEY ได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 500 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา K-Contact Center 02-8888888 www.kasikornasset.com หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888

เปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลัง กองทุน K-MONEY กับดอกเบี้ยเงินฝากประจำ (%ต่อปี)
	3 เดือน	6 เดือน	1 ปี	3 ปี
K-MONEY	2.08%	2.18%	2.22%	2.50%
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำหลังหักภาษี*	1.11%	1.24%	1.44%	1.72%
เกณฑ์มาตรฐาน**	1.81%	1.92%	2.08%	2.44%

ที่มา : บลจ.กสิกรไทย ณ วันที่ 30 มิ.ย. 57

*อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนเฉลี่ยของ ธ.กรุงเทพ ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์ สำหรับบุคคลธรรมดา วงเงิน 1 ล้านบาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.57 ย้อนหลัง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี และ 3 ปี หลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% เทียบเป็นร้อยละต่อปี

**อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนเฉลี่ยของ BBL, SCB, KBank (50%) กับ Total Return Index ของดัชนีตราสารหนี้เอกชนระยะสั้น Rating ผู้ออกA- ขึ้นไป (40%) และดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารระยะเวลา 3 เดือน (USD) รวมกับ Average Credit Spread ของตราสาร ในระดับ A อายุ 3 เดือน ในช่วงระยะเวลาที่คำนวณผลตอบแทน และปรับด้วยต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (10%) เอกสารวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมนี้ จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

กองทุน K-MONEY มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน

ธนาคารกรุงเทพ ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องให้แก่ลูกค้าได้อย่างทันท่วงที ทั้งการให้คำปรึกษาด้านการเงิน การปล่อยสินเชื่อใหม่หรือขยายวงเงินเพิ่ม การปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ และการผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ย โดยธนาคารจะเน้นพิจารณาเป็นพิเศษสำหรับลูกค้าในกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ค้าปลีก ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2557

นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมืองในช่วงระหว่างเดือนตุลาคม 2556 ถึงเดือนพฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะลูกค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่ได้รับผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจซึ่งอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่มีการชุมนุม รวมถึงลูกค้าในภาคธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ค้าปลีก และบริการ เป็นต้น โดยส่งผลกระทบให้ลูกค้ากลุ่มนี้มีรายได้ลดลงจากในช่วงสถานการณ์ปกติ จนบางรายอาจประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง

สำหรับมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าธนาคาร ประกอบด้วย 1.การอำนวยสินเชื่อใหม่หรือพิจารณาวงเงินสินเชื่อเพิ่มขึ้น เพื่อใช้สำหรับหมุนเวียนในกิจการหรือให้เป็น Term Loan ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษที่จะพิจารณาระดับความรุนแรงของผลกระทบและความเหมาะสมเป็นรายกรณี 2.การปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ ทั้งปรับลดจำนวนการผ่อนชำระเงินต้นและขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปสูงสุดไม่เกิน 12 เดือน หรือกำหนดระยะเวลาการปลอดชำระเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 6 เดือน 3.การผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ย โดยจะพิจารณาผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยพิเศษเป็นรายกรณีตามระดับความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้น และ 4.การให้คำปรึกษาทางการเงิน แก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ โดยผู้บริหาร ผู้จัดการและทีมงานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์ผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการและคำแนะนำด้านสินเชื่อ โดยลูกค้าสามารถขอคำปรึกษาและแสดงความจำนงในการขอรับมาตรการความช่วยเหลือได้ตั้งแต่บัดนี้ จนถึง 30 ธันวาคม 2557

นายวีระศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลาที่เกิดการชุมนุมทางการเมือง ผู้บริหาร ผู้จัดการ และเจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารได้อำนวยความสะดวกและดูแลลูกค้าทุกกลุ่มเป็นรายกรณีอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี ทั้งการสอบถาม การให้คำปรึกษา รวมไปถึงการขออนุมัติให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีเร่งด่วนเพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ลูกค้า และป้องกันมิให้ข้อมูลลูกค้าถูกรายงานสถานะหนี้ไปยังบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ซึ่งจะมีผลกระทบกับสถานะหนี้ของลูกค้าแต่ละรายในทันที

สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบและมีความประสงค์ต้องการสอบถามรายละเอียดข้อมูลมาตรการดังกล่าวสามารถติดต่อผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ธุรกิจสัมพันธ์จากสำนักธุรกิจทั่วประเทศที่ท่านติดต่ออยู่

ธนาคารเกียรตินาคิน จัดแคมเปญ “ออมที่ มีแต่ได้” ก้าวสู่ความมั่งคั่งกับทรัพย์สินรอขาย ด้วยการคัดทรัพย์เด่นออกมาประมูลในราคาพิเศษ โดยเฉพาะที่ดินแปลงที่น่าสนใจในย่านต่างๆ เริ่มครั้งแรก 27 พฤษภาคม 2557 นี้

นางสุวรรณี วัธนเวคิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหารทรัพย์สินรอขาย ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) (Mrs. Suwannee Wattanavekin, Executive Vice President, Asset Management Department of Kiatnakin Bank Plc.) กล่าวว่า “ในส่วนของทรัพย์สินรอขายของธนาคารเกียรตินาคินในปีนี้ ได้มีการจัดแคมเปญ “ออมที่ มีแต่ได้” ภายใต้แนวคิดที่ว่าก้าวสู่ความมั่งคั่งกับทรัพย์สินรอขาย ที่ทุกรายการเป็นทรัพย์พร้อมโอน ซึ่งการลงทุนในทรัพย์สินรอขาย (สิ่งปลูกสร้าง ที่ดิน) เป็นการลงทุนที่สร้างความมั่งคั่งได้ในอนาคต โดยราคาของทรัพย์สินรอขายหรือเอ็นพีเอ โดยเฉพาะเอ็นพีเอที่เป็นประเภทสิ่งปลูกสร้างราคาจะต่ำกว่าอสังหาริมทรัพย์มือหนึ่งโดยทั่วไปราว 15-30% นอกจากนี้ แนวโน้มที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือการลงทุนในที่ดิน  เนื่องจากที่ดินทำเลดีๆ มีแนวโน้มหายากมากยิ่งขึ้น และนับวันราคาที่ดินมีแต่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินโดยกรมธนารักษ์ รอบบัญชีปี 2555 – 2558 พบว่า ราคาขายที่ดินในตลาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยราคาที่ดินทั่วประเทศเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น 21.34%”

สำหรับแคมเปญ “ออมที่ มีแต่ได้” นี้ ธนาคารจะมีการจัดกิจกรรมเป็นระยะๆ ซึ่งจะคัดเอ็นพีเอเด่น พร้อมโอน โดยเฉพาะที่ดิน ออกมาให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมประมูล ซึ่งครั้งแรกจะมีขึ้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 นี้ ท่านที่สนใจขอรับเอกสารซองประมูลที่ธนาคารได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 26 พฤษภาคม 2557 และทำการประมูลในวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 ที่ธนาคารเกียรตินาคินสาขาอโศก เริ่มลงทะเบียนและยื่นซองประมูลเวลา 9.30 – 12.00 น. และจะประกาศผลเวลา 13.20 น. เป็นต้นไป  ตัวอย่างทรัพย์ที่น่าสนใจ โดยเป็นที่ดินสำหรับการลงทุนในการประกอบธุรกิจ อาทิ ที่ดินเปล่าเนื้อที่ 68-1-70 ไร่ อยู่ที่ อ.เมือง จ.นครปฐม (รหัสทรัพย์  L10144 ) ราคาประมูลเริ่มต้ม 40 ล้านบาท จากราคาปกติ 62 ล้านบาท ต่อมาคือที่ดินเปล่าเนื้อที่ 3-1-84.9 ไร่ อยู่ที่ดอนเมือง กรุงเทพฯ (รหัสทรัพย์  L10087)  ราคาประมูลเริ่มต้ม 59.55 ล้านบาท จากราคาปกติ 69.454 ล้านบาท  หรือ ที่ดินเปล่าเนื้อที่ 64-0-14 ไร่ อยู่ที่ จ.นครนายก (รหัสทรัพย์ L07173) ราคาประมูลเริ่มต้น 6.555 ล้านบาท จากราคาปกติ 7.195 ล้านบาท ซึ่งที่แปลงนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อเก็บไว้ลงทุนหรือเพื่อทำการเกษตร ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดทรัพย์แต่ละรายการได้ที่ wwww.kiatnakin.co.th/kkproperty  โดยจะมีข้อมูลทรัพย์ ราคา ที่ตั้ง และรายละเอียดต่างๆ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร 0 2680 3333

ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดประสบการณ์ช้อปปิ้งรูปแบบใหม่เอาใจนักช้อปยุคดิจิตอลด้วย “UP2ME Easy Pay” โมบายเพย์เมนท์แอพพลิเคชั่น นวัตกรรมการจ่ายเงินรูปแบบใหม่ ครั้งแรกในเมืองไทยกับการช้อปปิ้งและชำระค่าสินค้าด้วยคิวอาร์โค้ด (QR Code) ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของนักช้อปยุคดิจิตอลที่ชีวิตผูกติดกับเทคโนโลยี ชื่นชอบความสะดวกสบาย รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่ต้องพกเงินสดพร้อมจัดกิจกรรมใหญ่ “UP2ME Easy Pay Cash Free Day” ชวนลูกค้านักช้อปและเซเลบชื่อดังมาร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ชิดลม

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ Mass Customer Segment and Future Banking ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ด้วยความมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำการเงินแห่งอนาคต ไทยพาณิชย์จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนารูปแบบการให้บริการทางการเงินด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ก้าวล้ำอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้ยกระดับ “UP2ME Easy Pay” โมบายเพย์เมนท์แอพพลิเคชั่น ด้วยการจับมือกับเซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ในการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งรูปแบบใหม่ ครั้งแรกกับการชำระค่าสินค้าผ่านการสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) ตอบสนองไลฟ์สไตล์ความต้องการของนักช้อปยุคดิจิตอลที่ชีวิตผูกติดกับเทคโนโลยี ซึ่งแอพพลิเคชั่นนี้จะมาสร้างเทรนด์ใหม่และเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้จ่ายรวมถึงการช้อปปิ้งที่ไม่ต้องพกเงินสดกันอีกต่อไป สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ประหยัดเวลาในการชำระเงินหรือทอนเงินอีกด้วย เป็นการเพิ่มช่วงเวลาแห่งความสุขในการช้อปปิ้งได้มากยิ่งขึ้น”

“กลุ่มเป้าหมายหลักของ UP2ME Easy Pay จะเป็นกลุ่มนักช้อปยุคใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย ชื่นชอบเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาพร้อมความสะดวก สบาย และมีความคล่องตัวสูง ซึ่งแอพพลิเคชั่นนี้จะช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี ทำให้มีอิสระทางด้านเวลามากขึ้น ไม่ต้องมากังวลเรื่องเงินสดไม่พอจ่ายและไม่ต้องพกบัตรหรือเงินจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นการฉีกข้อจำกัดทางการเงินในรูปแบบเดิมได้อย่างหมดสิ้น อีกทั้งเป็นการผสานเทคโนโลยีเข้าสู่ภาคการเงิน และทำให้การเงินกลายเป็นเรื่องสนุกสำหรับทุกคน” นายสุริพงษ์ กล่าว

นอกจากนี้ไทยพาณิชย์ ยังได้จัดกิจกรรม “UP2ME Easy Pay Cash Free Day” เพื่อมอบประสบการณ์ตรงให้ลูกค้าได้อินแบบไม่มีเอ้าท์ไปกับเทรนด์ช้อปปิ้งโฉมใหม่ ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงแค่มีสมาร์ทโฟนและบัญชีเงินฝากของธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมสมัครใช้งาน “SCB Easy Net” ให้เรียบร้อย จากนั้นดาวน์โหลดโมบายเพย์เมนท์แอพพลิเคชั่น “SCB UP2ME” ผ่านแอพสโตร์ (App Store) หรือเพลย์สโตร์ (Play Store) โดยแอพนี้มีความโดดเด่นตรงการออกแบบที่สวยงาม ฟังก์ชั่นการใช้งานสะดวกและง่าย ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานได้ด้วยตัวเอง  และเมื่อดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คลิกลงทะเบียนสมัครเพื่อใช้บริการได้ฟรี ต่อจากนั้นเลือกสินค้าที่ถูกใจ สแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) ตรวจสอบราคาสินค้าที่ถูกต้องอีกครั้ง แล้วกดรหัสส่วนตัว 4 หลัก (pin code) จากนั้นกดยืนยันการจ่าย เท่านี้ก็สามารถช่วยประหยัดเวลาในการชำระเงินหรือทอนเงินได้ พร้อมเพิ่มความสนุกและขยายเวลาแห่งความสุขให้ช้อปปิ้งกันอย่างจุใจเรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์การชำระเงินแบบใหม่ “จ่ายตังค์ ไม่ต้องควักตังค์”

ร่วมสัมผัสประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบ “ส่องแล้วซื้อ” ในห้างสรรพสินค้าผ่าน “UP2ME Easy Pay” ได้ที่เซ็นทรัล ดีพาร์ทเมนท์สโตร์ และเซนทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมโปรโมชั่นเอาใจขาช้อปยุคใหม่ เพียงดาวน์โหลดพร้อมสมัครใช้งานและแสดงแอพพลิเคชั่นแก่เจ้าหน้าที่ ณ จุดบริการลูกค้า รับฟรี!! คูปองแทนเงินสดมูลค่ารวม 1,000 บาท เพื่อเป็นส่วนลดเพิ่มเมื่อชำระเงินด้วยแอพพลิเคชั่น โดยสามารถใช้ได้ทุกแผนก และใช้ร่วมกับโปรโมชั่นปกติได้ ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 57เตรียมพบกับช่องทางแห่งความสะดวกสบายอื่นๆ ได้เร็วๆ นี้ คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.scbup2me.com หรือเอสซีบี คอลเซ็นเตอร์ 0 2777 7777

เคทีซีเครื่องร้อนหลังผลประกอบการพลิกทำกำไรจากแผนลดต้นทุนในช่วงครึ่งปีแรก ประกาศเดินหน้ารุกตลาดต่อเนื่อง วางกลยุทธ์ชูจุดเด่นของคะแนนสะสม KTC Forever Rewards พร้อมระดมความร่วมมือจากพันธมิตรร้านค้าชั้นนำกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกหมวดใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เปิดตัวแคมเปญการตลาดที่ดีที่สุดแห่งปี “มหัศจรรย์แห่งทองกับเคทีซี” มอบโชคให้สมาชิกทั่วประเทศรับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลทองคำมูลค่ารวม 10 ล้านบาท 266 รางวัล และใช้คะแนนแลกรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 20% พร้อมรับคะแนนสะสม 10 เท่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2555 ถึง 31 มกราคม 2556 

นายปิยศักดิ์  เตชะเสน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส กลุ่มงานผลิตภัณฑ์และช่องทางการจัดจำหน่าย “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ กลยุทธ์การตลาดของเคทีซีได้ถูกคัดสรรเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรที่จะลดต้นทุนการบริหารจัดการ เพื่อกลับมาครองความเป็นที่หนึ่งในวงการธุรกิจบัตรเครดิตภายใน 3 ปี ดังนั้น สีสันทางการตลาดอาจลดหายไปบ้าง แต่ปัจจุบัน เมื่อองค์กรเริ่มพลิกกลับมาทำกำไรได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทางทีมการตลาดจึงมองถึงจุดเปลี่ยนในการวางกลยุทธ์บุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการออกแคมเปญที่หลากหลาย แตกต่าง และคุ้มค่ายิ่งขึ้น โดยดึงจุดแข็งที่ลอยัลตี้ โปรแกรม เพื่อให้สมาชิกนำคะแนนสะสม KTC Forever Rewards มาแลกรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ปัจจุบัน เคทีซีมียอดคะแนนสะสมรวมทั้งพอร์ตที่กว่า 13,000 ล้านคะแนน และสมาชิกให้ความสนใจนำคะแนนสะสมมาแลกใช้ในแต่ละแคมแปญเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ เคทีซียังสรรหาสิทธิพิเศษร่วมกับพันธมิตรชั้นนำที่มีไลฟ์สไตล์สอดคล้องกับสมาชิก เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกเดิม และขยายฐานไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ โดยจำนวนสมาชิก   เคทีซีทั้งสิ้นอยู่ที่ประมาณ 2.2 ล้านราย แบ่งเป็นสมาชิกบัตรเครดิต 1.6 ล้านบัตร และสมาชิกสินเชื่อบุคคล    6 แสนราย ยอดรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทั้งสิ้น (มกราคม – มิถุนายน 2555) 56,000 ล้านบาท และยอดของพอร์ตสินเชื่อบุคคลรวม (มกราคม – มิถุนายน 2555) 11,500 ล้านบาท  สำหรับไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงที่สมาชิกใช้จ่ายมากกว่าปกติอยู่ประมาณ 10% ทำให้เคทีซีมั่นใจว่าหลังสิ้นสุดแคมเปญนี้  ยอดการใช้จ่ายของสมาชิกจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20-30%”   

นายธีรพจน์  โชคอนันตัง ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เคทีซีได้เลือกเปิดตัวแคมเปญ “มหัศจรรย์แห่งทองกับเคทีซี” เพื่อกระตุ้นยอดการใช้จ่ายในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งเป็นเทศกาลแห่งการจับจ่ายใช้สอย โดยคัดสรรโปรโมชั่นที่มั่นใจว่าคุ้มค่าและตรงใจสมาชิกมากที่สุด นั่นคือการทุ่มทุนมอบโชครางวัลทองคำ 266 รางวัล มูลค่ารวม 10 ล้านบาท ด้วยเหตุผลที่ว่าทองคำเป็นของรางวัลที่เพิ่มมูลค่า จึงถือเป็นการคืนกำไรให้กับสมาชิกได้อีกทางหนึ่ง โดยรางวัลที่ 1 ทองคำมูลค่า 3 ล้านบาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลที่ 2 ทองคำมูลค่า 500,000 บาท จำนวน 2 รางวัล รางวัลที่ 3 ทองคำมูลค่า 300,000 บาท จำนวน 3 รางวัล รางวัลที่ 4 ทองคำมูลค่า 100,000 บาท จำนวน 10 รางวัล รางวัลที่ 5 ทองคำมูลค่า 50,000 บาท จำนวน 40 รางวัล และรางวัลที่ 6 ทองคำมูลค่า 10,000 บาท จำนวน 210 รางวัล

 ทั้งนี้  เคทีซีได้เปิดโอกาสให้ทั้งสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี และสินเชื่อพร้อมใช้ KTC CASH Revolve ทุกประเภท สามารถรับสิทธิ์ชิงโชคลุ้นรับทองคำได้ นอกจากนี้ เคทีซียังเดินหน้าสร้างความผูกพันกับสมาชิกผ่านลอยัลตี้ โปรแกรม มอบโปรโมชั่นสุดคุ้มให้สมาชิกใช้คะแนนสะสม KTC Forever Rewards แลกรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 20% กับพันธมิตรร้านค้าชั้นนำกว่า 2,000 สาขาทั่วประเทศ ครอบคลุมทุกหมวดการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อาทิ หมวดช้อปปิ้ง ซูเปอร์มาร์เก็ต ไดน์นิ่ง ท่องเที่ยว กีฬา เครื่องใช้ไฟฟ้า ไอซีที การสื่อสารเคลื่อนที่ และเฟอร์นิเจอร์ พร้อมรับเพิ่มคะแนนสะสม 10 เท่าอีกด้วย”

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “สำหรับแคมเปญ “มหัศจรรย์แห่งทองกับเคทีซี” สมาชิกสามารถเข้าร่วมรายการได้ เพียงส่ง SMS ลงทะเบียน และสมาชิกบัตรเครดิตมียอดใช้จ่ายผ่านบัตร หรือเบิกถอนเงินสดครบตามที่กำหนด รวมถึงสมาชิกบัตรสินเชื่อพร้อมใช้ KTC CASH Revolve มียอดเงินต้นคงค้างครบตามที่กำหนด สามารถรับจำนวนสิทธิ์เพื่อลุ้นชิงโชคได้ดังนี้ 

รับ 1 สิทธิ์ลุ้นชิงโชค  

เมื่อมียอดใช้จ่ายหรือมียอดเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิตรวมกัน ครบทุก 1,000 บาท หรือ

เมื่อมียอดเงินต้นคงค้างทุก 4,000 บาท ณ วันสิ้นเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม 2555 หรือมกราคม 2556

รับเพิ่มเป็น 2 สิทธิ์ลุ้นชิงโชค

เมื่อมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ครบทุก 1,000 บาท ณ ร้านค้าพันธมิตรที่ร่วมรายการ อาทิ 

หมวดช้อปปิ้ง : ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล/ ดิ เอ็มโพเรียม/ สยามพารากอน/ โรบินสัน/ เดอะมอลล์/ เซน และห้างสรรพสินค้าในกลุ่มทีดีพี

ร้านแบรนด์ : ยัสปาล และไทม์ เดคโค่

เอ้าท์เล็ท มอลล์ : เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ้าท์เล็ท 

ร้านค้าเบ็ดเตล็ด : ไดโซะ และลอฟท์ 

หมวดซูเปอร์มาร์เก็ต : กูร์เมต์ มาร์เก็ต/ โฮม เฟรช มาร์ท/ ท็อปส์ และท็อปส์ ซูเปอร์

หมวดเครื่องใช้ไฟฟ้า : โมเดิร์น แอร์/ เพาเวอร์ บาย และโซนี่ สโตร์

หมวดไอที :  บานาน่า ไอที/ บิ๊ก คาเมร่า/ บิ๊ก แกลเลอเรีย และโฟโต้ ฮัท

หมวดการสื่อสารเคลื่อนที่ : เอไอเอส/ เจมาร์ท/ ทีจี โฟน และทรู มูฟ เอช

หมวดเฟอร์นิเจอร์ : ชิค รีพับบลิค/ โฮมเวิร์ค และอินเด็กซ์ ลีฟวิ่งมอลล์ 

หมวดท่องเที่ยว : เอเซียแทรเวล/ เอ็กซ์พีเดีย/ โฮเต็ล ไทยแลนด์ และโนโวเทล แบ็งคอก ออน สยามสแควร์

หมวดรถยนต์ : คลีน สแควร์

 

พิเศษรับเพิ่ม 10 สิทธิ์ลุ้นชิงโชค

เมื่อมียอดใช้จ่าย หรือมียอดเบิกถอนเงินสดผ่านบัตรเครดิต รวมครบ 10,000 บาท ขึ้นไปต่อเดือนหรือ

เมื่อมียอดเงินต้นคงค้างครบ 30,000 บาทขึ้นไป ณ วันสิ้นเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคม 2555 หรือมกราคม 2556

สมาชิกยังสามารถส่ง SMS ลงทะเบียนเพื่อใช้คะแนนสะสม KTC Forever Rewards ร่วมแลกรับสิทธิ์ลุ้น ชิงโชครางวัลทองคำได้เช่นกัน 

รับ 1 สิทธิ์ลุ้นชิงโชค

เมื่อใช้คะแนนสะสม KTC Forever Rewards ทุก 99 คะแนน

พิเศษรับเพิ่ม  20 สิทธิ์ลุ้นชิงโชค

เมื่อใช้คะแนนสะสม KTC Forever Rewards แลกรับสิทธิ์ลุ้นชิงโชคจำนวน 20 สิทธิ์ขึ้นไปต่อครั้ง

สำหรับสมาชิกใหม่ที่สมัครบัตรเครดิตเคทีซี หรือบัตรสินเชื่อพร้อมใช้ KTC CASH Revolve พร้อมได้รับการอนุมัติ และมียอดใช้จ่าย ยอดเบิกถอนเงินสด หรือยอดโอนเงินตามเงื่อนไขที่กำหนด รับทันที 10 สิทธิ์ลุ้น     ชิงโชค

นอกจากการรับสิทธิ์ลุ้นชิงโชคทองคำแล้ว สมาชิกที่ใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และใช้คะแนนสะสม KTC Forever Rewards จำนวนเท่ากับยอดซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการต่อเซลส์สลิป ณ ร้านค้าพันธมิตรที่ร่วมรายการ สามารถแลกรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 20% พร้อมรับคะแนนสะสมเพิ่ม 10 เท่า สำหรับยอดชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านบัตรเครดิตต่เซลล์สลิปหลังจากใช้คะแนนสะสมเท่ากับราคาสินค้าแลกรับส่วนลดเพิ่มแล้วอีกด้วย”

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ KTC Phone โทรศัพท์ 0-2665-5000 หรือที่ www.ktc.co.th 

 

นายณัฐวัฒน์ ฉายากุล ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เคทีซีได้ร่วมกับ “โฮมโปร” (HomePro) หรือ บริษัท โฮม  โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีเลือกซื้อสินค้าถูกใจเกี่ยวกับบ้านกับ 2 โปรโมชั่นโดนใจ 1) ซื้อสินค้าด้วย “เคทีซี โฮมโปร แวลู แพค” ที่โฮมโปรทุกสาขา ครบทุก 9,000 บาท สามารถใช้คะแนนสะสม KTC Forever Rewards 9 คะแนน แลกรับส่วนลดทันที 300 บาท หรือ 2) แบ่งชำระผ่านบริการ KTC FLEXI ดอกเบี้ย 0% นาน 3 เดือน ทุกชิ้น ทั้งร้าน เมื่อซื้อบัตรของขวัญโฮมโปรตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ 1,000 คะแนนสะสม KTC Forever  Rewards  แทนส่วนลด 100 บาท ซื้อสินค้าได้ทุกชิ้นทั้งร้านอีกด้วย ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2555” 

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC Phone โทรศัพท์ 0-2665-5530 หรือที่เว็บไซต์ www.ktc.co.th

นายณัฐวัฒน์ ฉายากุล ผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ออกแคมเปญแบ่งเบาภาระผู้ปกครองสำหรับค่าเรียนพิเศษในสถาบันสอนภาษา อาทิ บอสตั้น ไบรท์ / วอลล์สตรีท / เอ็ด ดู เฟิร์สท์ / เบบี้ส์ จีเนียส / ฟาสท์ อิงลิช / อีซีซี สตาร์ เมคเกอร์ / ติวเตอร์ เฮ้าส์ / นิวเคมบริดจ์ เพียงชำระค่าเรียนผ่านบัตรเครดิตเคทีซีในสถาบันที่ติดตั้งเครื่องรูดบัตรของเคทีซี ตั้งแต่ 3,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิ์แบ่งชำระผ่านระบบ KTC Flexi อัตราดอกเบี้ย 0% นานสูงสุดถึง 10 เดือน พิเศษ รับเงินคืน 500 บาท สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี 200 ท่านแรก ที่แบ่งชำระค่าเทอมตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2555

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC Phone โทรศัพท์ 0-2665-5000 และที่ www.ktc.co.th

นายดุสิต รัชตเศรษฐนันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานทรัพยากรบุคคล “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ชวนทีมพนักงาน นักศึกษาฝึกงานโครงการ Learn & Earn @ KTC อาสาสมัครจากสถานสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่งหญิง ธัญบุรี และสื่อมวลชน ภายใต้ชมรม “KTC PR Press Club” จัดเวิร์คช้อป “กระเป๋าผ้าจากใจ…ให้คุณยายในวันแม่” โดยร่วมกันประดิษฐ์กระเป๋าผ้า เพื่อจะนำไปมอบให้คุณยายที่บ้านพักคนชราหญิง มูลนิธิมิตรภาพสงเคราะห์ ในเทศกาลวันแม่ ณ เคทีซี ป๊อป สุขุมวิท 33 เมื่อเร็วๆ นี้