Funds – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 10 Sep 2012 00:00:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 บลจ.ทิสโก้คว้าจังหวะลงทุนตราสารหนี้คุณภาพดี ส่ง”ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 6M3” https://positioningmag.com/55699 Mon, 10 Sep 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55699

บลจ.ทิสโก้ คว้าจังหวะเปิดขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 6M3” เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี ทั้งในและ/หรือต่างประเทศ ตอบโจทย์การลงทุนสำหรับผู้ที่ไม่ชอบการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง พร้อมเปิดโอกาสรับกำไรคืนตามระยะเวลาลงทุนที่กำหนดและผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก  ไอพีโอครั้งแรก 5 – 11 ก.ย. 55 ที่บลจ.ทิสโก้และธนาคารทิสโก้ ทุกสาขา ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท

TISCO Wealth บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า เพื่อตอบโจทย์การลงทุนในจังหวะเวลาที่เหมาะสม TISCO Wealth  จึงเสนอขาย  “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 6M3 (TISCO Fixed Income Fund 6M3) ”เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝาก ทั้งในและ/หรือต่างประเทศ โดยกองทุนอาจพิจารณาลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน และจะมีการป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยกองทุนดังกล่าวเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะสั้น เนื่องจากจะจ่ายผลตอบแทนอัตโนมัติทุกๆ 6 เดือน 

TISCO Wealth ระบุว่า  ล่าสุดการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 5 ก.ย. 55 ที่ประชุมมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3.00% เนื่องจากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อได้ลดลงในระยะสั้น อีกทั้งเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีการชะลอตัว และภาคการส่งออกที่มีการขยายตัวลดลงมากกว่าที่คาด  อย่างไรก็ดีแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะยาวยังคงมีอยู่จากราคาน้ำมันที่ค่อยๆไต่ระดับสูงขึ้นต่อเนื่องดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมจึงควรเน้นการลงทุนระยะสั้น หรือการลงทุนที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี   ซึ่งการลงทุนใน “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 6M3” สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะสั้น และกองทุนจะทำการจ่ายคืนผลตอบแทนอัตโนมัติทุก ๆ  6 เดือน   อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร และไม่เสียภาษี  โดยไม่เสียโอกาสจากการลงทุนในยุคอัตราดอกเบี้ยเริ่มทรงตัวอีกด้วย

โดย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 6M3 (TISCO Fixed Income Plus Fund 6M3)” มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 6 เดือน   โดยเปิดเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ)  ระหว่าง5 – 11 กันยายน  2555 ที่ บลจ.ทิสโก้และธนาคารทิสโก้ ทุกสาขา  มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ  20,000 บาท  

ทั้งนี้ ผู้สนใจกองทุนดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

]]>
55699
บลจ.ทิสโก้ คว้าจังหวะส่ง “ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 4” https://positioningmag.com/55632 Mon, 03 Sep 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55632

บลจ. ทิสโก้ คว้าจังหวะส่ง “ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 4” เน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพ และหุ้นพื้นฐานดีอีกไม่เกิน 30% ตั้งเป้าทำกำไร 6% ภายใน 1 ปี เปิดไอพีโอ 22 – 29 ส.ค. 55 ที่ บลจ.ทิสโก้ และ สาขาธนาคารทิสโก้ทุกสาขา ลงทุนขั้นต่ำ 20,000 บาท

TISCO Wealth บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า เพื่อตอบโจทย์การลงทุนในจังหวะเวลาที่เหมาะสม TISCO Wealth จึงเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 4 (TISCO Special Bonus Fund 4)” ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมแบบกำหนดสัดส่วนการลงทุน โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดี และ/หรือเงินฝาก ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นหลัก และส่วนที่เหลือจะลงทุนในหุ้นในประเทศอีกไม่เกิน 30% โดยตั้งเป้าหมายทำกำไรไว้ที่ 6%ภายใน 1 ปี
ทั้งนี้ TISCO Wealth ระบุว่า “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 4 ” เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน แต่ยังคงเน้นการลงทุนในแบบที่มีความเสี่ยงไม่สูงนัก โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นอายุประมาณ 1 ปี และจะแบ่งสัดส่วนไม่เกิน 30% ลงทุนในหุ้นไทย เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกเหนือจากการลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว โดยตลาดหุ้นไทยนับเป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าลงทุน เนื่องจากพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง ดังนั้นการลงทุนผ่าน “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 4” นี้จึงเป็นการตอบโจทย์การลงทุนได้เป็นอย่างดี

โดยกองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 4 มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท มีอายุโครงการประมาณ 1 ปี หรือสามารถเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 6 % ก่อนหักค่าใช้จ่าย โดยกองทุนจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติทั้งหมดในวันทำการที่ 5 นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว โดยจะเสนอขายครั้งเดียว (ไอพีโอ) ตั้งแต่ 22 – 29 ส.ค. 2555 มูลค่าจองซื้อขั้นต่ำ 20,000 บาท ทั้งนี้ ผู้สนใจกองทุนดังกล่าวสามารถติดต่อได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4

]]>
55632
ทิสโก้ แนะลงทุนระยะสั้น ส่ง “ตราสารหนี้คืนกำไร 3M14” https://positioningmag.com/55553 Thu, 16 Aug 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55553

ทิสโก้  ส่งกองใหม่  “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 3M14” จ่ายผลตอบแทนคืนทุก 3 เดือน เปิดโอกาสรับผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก เอาใจผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการลงทุนความเสี่ยงสูง  เปิดไอพีโอตั้งแต่  15 – 21 ส.ค. 55 ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา 

TISCO Wealth บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ โดยนายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม  บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory  Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า เพื่อตอบโจทย์การลงทุนในจังหวะเวลาที่เหมาะสม TISCO Wealth จึงเปิดเสนอขายกองทุนใหม่ สำหรับนักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 3M14” (TISCO Fixed Income Fund 3M14) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้หรือเงินฝาก ทั้งในและ/หรือต่างประเทศ โดยลงทุนในต่างประเทศได้ไม่เกิน 79% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุน และจะมีการป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน โดยกองทุนดังกล่าวจะจ่ายผลตอบแทนอัตโนมัติทุกๆ 3 เดือน เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนที่ไม่ต้องการลงทุนความเสี่ยงสูง เหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนในระยะสั้น ๆ แต่ได้รับผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก

ทั้งนี้ TISCO Wealth ระบุว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสที่จะทรงตัวถึงสิ้นปี แต่ในปีหน้าคาดว่าดอกเบี้ยยังคงมีโอกาสที่จะปรับขึ้นได้เนื่องจากเศรษฐกิจที่ยังคงเติบโตดี ประกอบกับแรงกดดันจากเงินเฟ้อจะเริ่มมีมากขึ้นในปีหน้า ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจากอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้นในอนาคต กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมจึงควรเน้นการลงทุนระยะสั้นที่อายุไม่เกิน 1 ปี  ซึ่งการลงทุนใน “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 3M14” ซึ่งมีอายุเพียง 3 เดือน นับเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์การลงทุนได้เป็นอย่างดี

โดย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้คืนกำไร 3M14” เปิดเสนอขายครั้งแรกตั้งแต่  15 -21 ส.ค. 55  มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 20,000 บาท หรือสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บลจ. ทิสโก้ หรือ ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือที่ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน

 

]]>
55553
บลจ.ไอเอ็นจี ปลื้มยอดจองกองทุน ‘เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล’ 1.3 พันล้าน https://positioningmag.com/55184 Tue, 14 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55184

บลจ.ไอเอ็นจี ปิดการขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” เผยผลตอบรับน่าพอใจ หลังจากนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อกว่า 1.3 พันล้านบาท ชี้ปัจจัยสนับสนุนยอดขาย มาจากนักลงทุนเชื่อมั่นในสินทรัพย์ปลายทางที่กองทุนเข้าลงทุน ซึ่งได้แก่ ตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย หลังแนวโน้มการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียมีความชัดเจนและโดดเด่นกว่าภูมิภาคอื่นๆ มากขึ้น และยังคงเป็นสินทรัพย์อันดับต้นๆ ที่นักลงทุนต่างชาติต้องการ พร้อมปัจจัยหนุนจากการอัดฉีดสภาพคล่องของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ในขณะที่ดอกเบี้ยทั่วโลกอยู่ในทิศทางปรับลดลง หนุนให้เงินลงทุนไหลเข้าในภูมิภาคเอเชียทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า มองเป็นปัจจัยบวกในการสร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล เผยนักลงทุนที่สนใจแต่พลาดการจองซื้อในช่วง IPO สามารถเริ่มลงทุนรอบใหม่ได้ตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป 

นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) ได้เสนอขาย “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” ให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในระหว่างวันที่ 30 มกราคม ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ได้รับผลตอบรับจากนักลงทุนอย่างน่าพอใจ ทำให้กองทุนสามารถปิดการขายได้ด้วยยอดการจองซื้อทั้งสิ้นกว่า 1.3 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่า ปัจจัยสนับสนุนการตัดสินใจซื้อของนักลงทุนในครั้งนี้ มาจากความมั่นใจในสินทรัพย์ที่กองทุนเข้าไปลงทุน คือ ตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ตราสารหนี้ ตราสารตลาดเงินและเงินฝากของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ที่มีความเสี่ยงต่ำในขณะที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ รวมทั้งความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจึงทำให้ตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชียเป็นสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับการลงทุนในปีนี้ 

“ในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นสัญญาณการเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น ล่าสุดจากการที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ประกาศใช้เม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ ผ่าน QE เพิ่มเติมอีก 5 หมื่นล้านปอนด์ หลังจากที่ได้ใช้ไปแล้ว 7.5 หมื่นล้านปอนด์ตั้งแต่ไตรมาส 4/2554 ที่ผ่านมา เพื่อเป็นการอัดฉีดสภาพคล่องทางการเงิน และการที่ทางธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบผ่านการให้กู้ยืมดอกเบี้ยต่ำแก่สถาบันการเงินในยุโรปเพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านเหรียญยูโร ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้  ในขณะที่ทาง ECB ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1% และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงอีกในปีนี้ ดังนั้น การเลือกใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายและการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ เราจึงคาดว่าเม็ดเงินที่เพิ่มมากขึ้นจะไหลเข้ามาลงทุนในภูมิภาคที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า จึงเป็นโอกาสให้ “ตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย” เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ โดยนับตั้งแต่ต้นปี – 9 กุมภาพันธ์ 2555 ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้น 2.92% (อินเดีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน, ไทย, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, จีน) แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติได้หันกลับมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง” นายจุมพลกล่าว

อย่างไรก็ตาม หากมองโอกาสการสร้างผลตอบแทนของ “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” มีนโยบายลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศ คือ ING (L) Renta Fund Asia Debt (Local Bond)* ซึ่งกองทุนรวมต่างประเทศนี้เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชียสกุลเงินท้องถิ่น จะมาจากอัตราดอกเบี้ย โอกาสในการทำกำไรจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และโอกาสการทำกำไรของอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น จากภาพรวมเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและเติบโตของภูมิภาคเอเชียและปัจจัยสนับสนุนการลงทุนต่างๆ ที่โฟกัสมาที่ภูมิภาคเอเชีย ทำให้เราคาดว่าจะเป็นโอกาสที่กองทุนนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน รวมทั้งกองทุนมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกองทุนมากขึ้น โดยนักลงทุนที่พลาดการจองซื้อในช่วง IPO และสนใจเข้าลงทุนใน “กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล” สามารถเข้าลงทุนได้ตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์นี้เป็นต้นไป

สำหรับการลงทุนในกองทุนประเภทอื่นๆ  ทาง บลจ.ไอเอ็นจี แนะนำการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะนับตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา – 9 กุมภาพันธ์ 2555 ตลาดหุ้นไทยสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 8.96% มีเม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนโดยเป็นยอดซื้อสุทธิ 22,367 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนั้น สำหรับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยอีควิตี้ฟันด์ เป็นอีกหนึ่งกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้นักลงทุนได้ โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา – 27 มกราคม 2555 กองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนได้ 6.05% สูงกว่าเมื่อเทียบกับดัชนี SET Index ที่ 4.97% โดยในช่วง 3 เดือนย้อนหลังผลตอบแทนกองทุนอยู่ที่ 13.53%, 6 เดือนเท่ากับ -4.37%, 3 ปีเท่ากับ 164.48%, นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเท่ากับ 271.63% ผลตอบแทนกองทุนดีกว่าเมื่อเทียบกับดัชนีเปรียบเทียบ SET Index ที่ 10.60%, -5.05%, 145.90% และ 137.28% ตามลำดับ

“บลจ.ไอเอ็นจี ยังคงมองว่าภูมิภาคเอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดีในปีนี้  ทั้งการลงทุนในตราสารหนี้ภูมิภาคเอเชีย เช่น กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย เอเชี่ยน เดบท์ รีจินอล บอนด์ ปันผล หรือการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เช่น กองทุนเปิดไอเอ็นจีไทยอีควิตี้ฟันด์ และการบริหารการลงทุนในแบบ Active Management โดยผู้จัดการกองทุนในลักษณะการวิเคราะห์และคาดการณ์ภาวะตลาดในอนาคตและการจับจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมนั้น ทำให้เราเชื่อมั่นว่าทั้งสองกองทุนนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนในระยะยาว” นายจุมพลกล่าว  

สำหรับผู้สนใจลงทุนในกองทุนของ บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่โทร. 0-2688-7777 กด 2 ผ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน หรือ www.ingfunds.co.th

]]>
55184
บลจ.ทิสโก้ โชว์กลยุทธ์ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มุ่งขยายนโยบายลงทุนตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์ https://positioningmag.com/55131 Mon, 06 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55131

บลจ. ทิสโก้ นำโดย อารยา ธีระโกเมน กรรมการอำนวยการ (ซ้าย) และ แขขวัญ โรจน์วัฒนกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ขวา) แถลง “กลยุทธ์ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ปี 2555” มุ่งเดินหน้า “Employee’s Choice” ด้วยการออกแบบทางเลือกหลายนโยบายลงทุน ตอบโจทย์ตามไลฟ์สไตล์ส่วนตัว ชูกองพระเอก “ทิสโก้มาสเตอร์ร่วมทุน” ผลงานโดดเด่น AUM โตกว่า 115% จำนวนสมาชิกเพิ่มกว่า 200% พร้อมเดินหน้าสร้างความเข้าใจให้สมาชิกต่อเนื่อง และพัฒนาการให้บริการ ตอกย้ำภาพผู้นำตลาด ณ อาคารทิสโก้ทาวเวอร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

]]>
55131
บลจ. ทิสโก้ แนะช้อน LTF-RMF จังหวะหุ้นลง พร้อมจัดโปรโมชั่นข้ามปี https://positioningmag.com/54964 Thu, 13 Oct 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54964

บลจ. ทิสโก้ แนะลงทุนใน LTF-RMF ช่วงนี้ได้ซื้อของถูก หลังตลาดหุ้นทั่วโลกลงแรง มั่นใจ “หุ้นไทย-เอเชีย” พื้นฐานยังดี เตรียมอัดแคมเปญส่งท้ายปีเอาใจผู้ต้องการลดหย่อนภาษี ด้วยกองทุน LTF-RMF หลายนโยบายลงทุน ทั้งหุ้นไทย-หุ้นเอเชีย แจกบัตรกำนัลเซ็นทรัลตั้งแต่วันนี้ ถึงสิ้น ม.ค. ปีหน้า

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Theeranat Rujimethapass, Managing Director of TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก จึงนับเป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะเข้าลงทุนทั้งกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้เสียภาษีที่ต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยลดหย่อนภาษี และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไปพร้อมๆ กัน

โดย TISCO Wealth ซึ่งเป็นบริการที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุนครบวงจรจากกลุ่มทิสโก้ แนะนำลงทุนในกองทุน LTF และกองทุน RMF ที่ลงทุนในหุ้นไทยและหุ้นในแถบเอเชีย เนื่องจากแม้ดัชนีหุ้นทั่วโลกจะมีการปรับตัวลดลงค่อนข้างมาก อันเนื่องมาจากความกังวลด้านเศรษฐกิจโลก ได้แก่ปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซและประเทศในแถบยุโรป ทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก ขณะที่หุ้นไทยและเอเชียนับว่ายังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีอยู่ จึงเชื่อว่าการเทขายดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นเท่านั้น และหากนักลงทุนคลายความกังวลก็จะทำให้ดัชนีหุ้นไทยและเอเชียดีดตัวกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง

“หากมองในระยะกลางถึงระยะยาว ตลาดหุ้นในแถบภูมิภาคเอเชียนับว่ายังมีพื้นฐานดี และมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากเศรษฐกิจในแถบนี้ยังมีการขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีเศรษฐกิจมีการขยายตัวสูงสุด อีกทั้งปัจจัยลบด้านอัตราเงินเฟ้อก็คาดว่าได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว โดย PE ของตลาดหุ้นจีนจดทะเบียนที่ฮ่องกงอยู่ที่ระดับเพียง 6 เท่าโดยประมาณ สำหรับตลาดหุ้นไทยก็นับเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจในขณะนี้ เนื่องจาก PE ของหุ้นไทยในช่วงที่หุ้นปรับฐานตามตลาดทั่วโลกได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ประมาณ 9 เท่า ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับระดับ PE ในอดีต ขณะที่เศรษฐกิจไทยและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนใน LTF และ RMF เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้เสียภาษีที่ต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยลดหย่อนภาษี และเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไปพร้อมๆ กัน ซึ่ง บลจ. ทิสโก้ มีกองทุน LTF และ RMF หลายนโยบายให้เลือกตามลักษณะความเสี่ยงที่ต้องการ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากกการลงทุนในหุ้นได้ เราก็มี กองทุน LTF และ RMF ที่ลงทุนในหุ้นไทย และหุ้นแถบเอเชีย เช่น จีน อินเดีย เอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่น หรือหากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้น้อย เราก็มีกอง RMF ในกลุ่มตราสารหนี้ให้เลือกเช่นกัน ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้ตามต้องการ”

ล่าสุด บลจ. ทิสโก้ ยังได้จัดโปรโมชั่นส่งท้ายปี โดยเมื่อลงทุนในกองทุน LTF หรือ RMF กลุ่มกองทุนหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า อินเดีย เพื่อการเลี้ยงชีพ” และ “กองทุนเปิด ทิสโก้ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ เจแปน เพื่อการเลี้ยงชีพ” ทุก ๆ 12,000 บาท หรือลงทุนใน กองทุน LTF หรือ RMF กลุ่มกองทุนหุ้นและผสม ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นระยะยาว”, “กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นระยะยาวปันผล”, “กองทุนเปิด ทิสโก้ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ” และ “กองทุนเปิด ทิสโก้ พลทรัพย์เพื่อการเลี้ยงชีพ” ทุก ๆ 30,000 บาท หรือเมื่อลงทุนในกองทุน RMF กลุ่มกองทุนตราสารหนี้ ได้แก่ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้มั่นคงเพื่อการเลี้ยงชีพ” และ “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ” ทุก ๆ 50,000 บาท รับทันทีบัตรกำนัลเซ็นทรัลฟรีทันที มูลค่า 100 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนสูงสุด ทั้งนี้โปรโมชั่นดังกล่าวเริ่มแล้วตั้งแต่วันนี้ – 31 ม.ค. 55

ผู้ที่สนใจติดต่อได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้และธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4

]]>
54964
เอ็มเอฟซี เปิดขายกองทุนอสังหาริมทรัพย์ฯ ขนาดใหญ่ลงทุนรีสอร์ตหรูบนเกาะพีพี https://positioningmag.com/54950 Tue, 11 Oct 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54950

ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ (กลาง), นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ (ที่ 3 จากขวา), นายทอมมี่ เตชะอุบล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายพัฒนาธุรกิจ (ที่ 3 จากซ้าย), คุณกวีวัฒน์  โพธานันท์ ผู้จัดการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (ที่ 2 จากขวา) และ คุณพิสิฐ โรจน์เลิศจรรยา ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (ที่ 2 จากซ้าย) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) ร่วมแถลงข่าวเปิดตัว กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ “เอ็มเอฟซี-อะเมซิ่ง อะลา อันดามัน” (MFC Amazing A-la Andaman Property Fund : M-AAA) ซึ่งลงทุนซื้อกรรมสิทธิ์โดยสมบูรณ์ในโรงแรมพีพี ไอแลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา ซึ่งเป็นรีสอร์ทหรูมูลค่า 2,120 ล้านบาท โดยจะเสนอขายระหว่างวันที่ 12-21 ต.ค.นี้ กำหนดจองซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท

]]>
54950
บลจ. กสิกรไทย ปลุกกระแสทองอีกระลอก เตรียมส่ง “กองทุนเปิดเค โกลด์ อีทีเอฟ” ลงตลาด https://positioningmag.com/54901 Thu, 06 Oct 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54901

บลจ. กสิกรไทย ผนึกกำลัง “แม่ทองสุก – ฮั่วเซ่งเฮง – ออสสิริส” 3 ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจทองคำ ส่งกองทุนเปิดเค โกลด์ อีทีเอฟ เพิ่มทางเลือกให้คนอยากช็อปทองแท่งในประเทศ อวดจุดเด่นต้นทุนน้อยก็เป็นเจ้าของทองคำแท่งได้ ซื้อ-ขายคล่อง สร้างโอกาสทำกำไรเทียบเท่าเล่นทองคำจริง อุ่นใจเพราะมีบริษัทระดับสากลเก็บรักษาทองให้ พร้อมโอกาสได้รับทองคำแท่งเมื่อขายคืน คาดเปิดขายเร็วๆ นี้

นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ. กสิกรไทย) เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากทองคำแท่งในประเทศ บลจ. กสิกรไทย เตรียมจะเสนอขายกองทุนเปิดเค โกลด์ อีทีเอฟ (K GOLD ETF : KG965) โดยกองทุนดังกล่าวจะนำเงินจากลูกค้าไปซื้อทองคำแท่ง 96.5% มาเก็บไว้ให้ ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อ-ขายแบบเรียลไทม์ ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (Real time) ได้ในราคาที่ใกล้เคียงกับราคาทองคำในประเทศ เสมือนการซื้อขายทองคำแท่งจริง โดยคาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในเดือนตุลาคมนี้

“โดยทั่วไปการซื้อขายทองคำแท่งจะมีน้ำหนักขั้นต่ำที่ 5 บาท หรือประมาณ 120,000 บาท ดังนั้น ความน่าสนใจของกองทุน KG965 จึงอยู่ที่ต้นทุนต่ำ ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถเล่นทองคำแท่งได้ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 30,000 บาทเท่านั้น และมีทองคำแท่งจริงไว้รองรับการลงทุนดังกล่าว ซึ่งลูกค้ามั่นใจในคุณภาพของทองคำได้ เนื่องจากทองคำแท่งที่เราซื้อมาเก็บไว้ให้เป็นทองคำแท่ง 96.5% ที่หลอมจากทองคำบริสุทธิ์ LBMA* 99.99% เก็บรักษาในตู้นิรภัยของ Brink’s (Thailand) บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการเก็บรักษาวัตถุมีค่าระดับโลก พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนรับทองคำแท่งเมื่อขายคืนหน่วยลงทุนภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด เทียบเท่ากับการซื้อ –ขายทองคำแท่งจริงๆ แต่มีข้อดีที่ใช้ต้นทุนน้อยกว่า ไม่ต้องเดินทางไปซื้อ-ขายที่ร้านทอง และไม่ต้องกังวลใจเรื่องความปลอดภัยในการเก็บรักษา” นายพัชรกล่าว

ในด้านช่องทางการซื้อ-ขายกองทุน KG965 นายพัชรเปิดเผยว่า ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อผ่านธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา โดยธนาคารจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเปิดบัญชีซื้อ-ขายกับผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน ทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด และบริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจค้าทองคำของไทย

“ด้วยประสบการณ์อันยาวนานและชื่อเสียงที่สั่งสมในธุรกิจค้าทองคำของพันธมิตรทั้ง 3 บริษัท ทำให้ บลจ. กสิกรไทย เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า ลูกค้าจะได้รับคำแนะนำในการลงทุนทองคำจากผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำอย่างแท้จริง ไม่เพียงเท่านั้นทั้ง 3 บริษัทพันธมิตรยังเป็นที่ยอมรับในด้านการใส่ใจดูแลและรักษามาตรฐานในการให้บริการที่ดีเยี่ยมแก่ผู้ซื้อทองคำมาโดยตลอด นอกจากนี้ พันธมิตรของเรายังช่วยเสริมสร้างสภาพคล่องเพื่อการซื้อขายกองทุน ETF ทองคำที่สะท้อนราคาใกล้เคียงราคาทองคำจริงที่สุด พร้อมทั้งนำทองคำของตนเองมาเก็บไว้ให้เสมือนลูกค้าได้ซื้อทองภายใต้แบรนด์ของบริษัทนั้นๆ ด้วย” นายพัชรกล่าว

นายพัชรกล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้สนใจสามารถลงทุนในกองทุนเปิดเค โกลด์ อีทีเอฟ (KG965) ในช่วงการเสนอขายครั้งแรก (IPO) ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 30,000 บาท(และทวีคูณของ 3,000 บาท) โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและจองซื้อได้ ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุนทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด และบริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด โดยยอดเงินจองซื้อในช่วงเสนอขายครั้งแรกทุกๆ 1,000,000 บาท จะได้รับ Cash Back 1,000 บาท สูงสุด 10,000 บาทต่อท่าน** ซึ่งเป็นรายการส่งเสริมการขายหลักจาก บลจ. กสิกรไทย พร้อมทั้งมีโอกาสได้รับรายการส่งเสริมการขายเพิ่มเติมจากผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุนแต่ละแห่งด้วย ทั้งนี้ ภายหลังกองทุนจดทะเบียนจัดตั้งกองทุนเรียบร้อยแล้ว จะดำเนินการจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป

นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ในฐานะผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน และผู้ดูแลสภาพคล่องกองทุน KG965 เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ความชำนาญในด้านการค้าและการลงทุนทองคำมา กว่า 50 ปี ของ เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก ด้วยศักยภาพในการเป็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนทองคำแบบครบวงจร อีกทั้งยังเป็นผู้นำนวัตกรรมการลงทุนทองคำรูปแบบใหม่ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์นักลงทุนทุกๆ กลุ่ม และตอบสนองสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบัน อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่า การลงทุนในตลาดทองคำจะยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง กลุ่มบริษัทฯ พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุน และมั่นใจว่ากองทุน KG965 จะเป็นกอง ETF ที่ใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นกองทุนที่น่าจะมีสภาพคล่องดีที่สุด เนื่องจาก ราคา ETF ตัวนี้ จะอ้างอิงใกล้เคียงกับราคาสมาคมค้าทองคำ

“สำหรับกลยุทธ์การตลาดและการส่งเสริมการขายกองทุนฯ ในครั้งนี้ เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก เสนอโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนที่จองซื้อกองทุน KG965 และเปิดบัญชีซื้อ-ขายผ่านเอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ส ในช่วง IPO สำหรับยอดจองซื้อ 1 ล้านบาท ถึง 10 ล้านบาทแรก ทุกๆ 1 ล้านบาท จะได้รับบัตรกำนัลเซ็นทรัลมูลค่า 1,000 บาท ยอดจองซื้อมากกว่า 10 ล้านบาทถัดไป ได้รับทองคำ 2 สลึง และยอดจองซื้อมากกว่า 20 ล้านบาทถัดไป ได้รับทองคำ 1.50 บาท*** นอกจากนั้น ยังได้มีการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่นักลงทุนที่สนใจผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ สื่อออนไลน์ และ Social media ตลอดทั้งเตรียมทีมงานที่ปรึกษาการลงทุนทองคำทั้งส่วนงาน Marketing ของบริษัท และ Selling Agent ทั่วประเทศ กว่า 100 คน เพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้ที่สนใจ พร้อมทั้งจัดคอร์สสัมมนาพิเศษสำหรับนักลงทุนที่มีความสนใจเรื่อง Gold ETF ผ่านสถาบันการลงทุนทองคำ (MTS ACADEMY) ตลอดช่วง IPO โดยผู้สนใจกรุณาติดต่อได้ที่ 02-264-5689 หรือ 02-246-5683” นายแพทย์ กฤชรัตน์กล่าว

ด้านนายธนรัชต์ พสวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า กลุ่มฮั่วเซ่งเฮงได้ขยายสู่ธุรกิจอีทีเอฟทองคำ ด้วยเล็งเห็นว่าเป็นผลิตภัณฑ์ทองคำรูปแบบใหม่ที่จะได้รับความนิยมในการลงทุนเช่นเดียวกันกับผลิตภัณฑ์ทองคำอื่นๆ ทั้งยังมีความสะดวกสบายในการซื้อขายและราคาซื้อขายแบบเรียลไทม์ สำหรับความพร้อมในการสนับสนุนการขายกองทุน KG965 ด้วยทีมงานเจ้าหน้าที่การตลาดที่มีความเชี่ยวชาญของฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด จะสามารถให้คำปรึกษาการลงทุนได้อย่างดี ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทยังมุ่งเน้นการให้บริการที่ดีเลิศแก่ลูกค้า พร้อมทั้งพัฒนาช่องทางการซื้อขายให้มีความหลากหลายและเพิ่มความสะดวกสบายยิ่งขึ้น โดยสามารถซื้อขายได้ผ่าน iPhone, iPad, Samsung GALAXY Tab และโทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย นักลงทุนจึงมั่นใจได้ในการซื้อขายกองทุนอีทีเอฟผ่านบริษัทฯ

“กลุ่มฮั่วเซ่งเฮงมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ บลจ.กสิกรไทย ในการออกกองทุนเปิดเคโกลด์ อีทีเอฟ ซึ่งถือเป็นกองทุนอีทีเอฟทองคำกองทุนแรกของไทยที่ลงทุนในทองแท่ง 96.5% ที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กลุ่มฮั่วเซ่งเฮงในฐานะผู้จัดหาทองคำ ผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุน และผู้ดูแลสภาพคล่องของกองทุนดังกล่าว พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษเพิ่มเติมสำหรับนักลงทุนที่จองซื้อกองทุน KG965 และเปิดบัญชีซื้อ-ขายผ่านฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ในช่วง IPO สำหรับยอดจองซื้อ 1 ล้านบาท ถึง 10 ล้านบาทแรก ทุกๆ 1 ล้านบาท จะได้รับ Top Up Promotion เป็นบัตรกำนัลจากห้างเซ็นทรัล 1,000 บาท และยอดจองซื้อทุกๆ 10 ล้านบาทถัดไป จะได้รับทองคำ น้ำหนัก 2 สลึง [โดยผู้ลงทุนมีสิทธิ์ได้รับทองคำ น้ำหนักสูงสุดถึง 4 บาทต่อยอดจอง 90 ล้านบาท] ****นอกจากนี้ ผู้ลงทุนที่ซื้อขายกองทุนดังกล่าวในตลาดหลักทรัพย์ผ่านฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส สามารถแจ้งความประสงค์รับค่าขายคืนเป็นทองคำแท่งความบริสุทธิ์ 96.50 น้ำหนักขั้นต่ำ 50 บาท จากฮั่วเซ่งเฮงได้ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ โทร.0 2223 2288” นายธนรัชต์กล่าว

นายบุญเลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ด้วยศักยภาพด้านการลงทุนทองคำครบวงจร (Comprehensive Gold Related Investment) ออสสิริส ฟิวเจอร์ส พร้อมเดินหน้าสนับสนุนการขายกองทุน KG965 ภายใต้กลยุทธ์การตลาดแบบ Educational Marketing ซึ่งมุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้าใจในการลงทุนทองคำอย่างเหมาะสมโดยทีมดูแลลูกค้าที่มีความชำนาญโดยเฉพาะ ผนวกกับความสมบูรณ์แบบของระบบที่รองรับการเทรดของลูกค้าได้อย่างมั่นใจตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมช่องทางพิเศษสำหรับการจองซื้อหน่วยลงทุนพร้อมให้รายละเอียดเพิ่มเติมผ่านอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีซื้อ-ขายกองทุน KG965 ผ่านบริษัทฯ จะได้รับ Top Up Cash Back เพิ่มจากโปรโมชั่นปกติของ บลจ. กสิกรไทย อีก 2,500 บาท เมื่อทำการซื้อ-ขาย (Trade) 1,000,000 บาทขึ้นไปภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันซื้อขายครั้งแรก อีกด้วย***** สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2633 5222

การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน กองทุน KG965 อยู่ในระหว่างยื่นขออนุมัติจัดตั้งและจัดการจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ข้อมูลและรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับกองทุนอาจเปลี่ยนแปลงได้

* LBMA – London Bullion Market Association คือ สมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน **เงื่อนไขส่งเสริมการขายตามข้อกำหนดของ บลจ. กสิกรไทย *** เงื่อนไขส่งเสริมการขายตามที่บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กำหนด

****เงื่อนไขส่งเสริมการขายตามที่บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง ฟิวเจอร์ส จำกัด กำหนด ***** เงื่อนไขส่งเสริมการขายตามที่บริษัท ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด กำหนด ทั้งนี้ กรณีเกิดข้อพิพาทคำตัดสินของ บลจ. กสิกรไทย และผู้ร่วมค้าหน่วยลงทุนที่จัดรายการส่งเสริมการขายถือเป็นที่สิ้นสุด

]]>
54901
บลจ. ทิสโก้ปลื้ม ลูกค้าเศรษฐีใช้กองทุนส่วนบุคคลเพิ่ม มั่นใจปีนี้โต 20% https://positioningmag.com/54747 Fri, 16 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54747

บลจ. ทิสโก้ ปลื้มลูกค้าบุคคลรายใหญ่กลุ่ม High Net Worth ใช้บริการกองทุนส่วนบุคคลมากขึ้น คาดปีนี้ยอดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารของลูกค้าบุคคลรายใหญ่โตร่วม 20% หลัง 8 เดือนแรกโตมากกว่า 10% ชูจุดเด่นด้านความเชี่ยวชาญการจัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภท ตอบโจทย์ลูกค้าบุคคลรายใหญ่ที่ให้ความสำคัญกับการบริหารพอร์ตมากขึ้น พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่ให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินอย่างครบวงจร

นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของ บลจ. ทิสโก้ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ (ณ 31 ส.ค. 54) ในส่วนของกลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่ (High Net Worth) ที่มีพอร์ตการลงทุนตั้งแต่ 20-40 ล้านบาทขึ้นไป มีการขยายตัวอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีจำนวนลูกค้าบุคคลรายใหญ่ร่วม 300 บัญชี เพิ่มขึ้นถึง 16% จากสิ้นปี 53 ขณะที่สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ของกลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่ ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่เกือบ 9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 10% จากสิ้นปี 53 และคาดว่าในปีนี้ทั้งปี สินทรัพย์กลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่ภายใต้การบริหารจะมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 20%

ทั้งนี้ สาเหตุการเติบโตของกลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่ในกลุ่ม High Net Worth มาจาก ความกังวลด้านอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งส่งผลให้ลูกค้าต้องการทีมผู้เชี่ยวชาญทางด้านการลงทุนที่สามารถให้คำปรึกษาและช่วยบริหารเงินของลูกค้าให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินเฟ้อ ในขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์การเงินก็มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นจึงต้องการผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการบังคับใช้ พ.ร.บ. คุ้มครองเงินฝาก ทำให้กลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่มีความสนใจในกองทุนส่วนบุคคลมากขึ้น ซึ่งมีทีมลงทุนที่เชี่ยวชาญคอยให้บริการในการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดภายใต้ความเสี่ยงที่ลูกค้ากำหนด

“สำหรับกลุ่มลูกค้า High Net Worth นั้น นอกจากการให้บริการด้านการบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลแล้ว ทิสโก้ยังมีบริการที่ปรึกษาทางการเงินการลงทุนที่ครบวงจร ภายใต้ชื่อ “ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth)” ซึ่งเป็นบริการบริหารความมั่งคั่ง เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการออมและการลงทุนไว้ในที่เดียว ทั้งบริการธนาคาร, บริหารจัดการกองทุน และบริการซื้อขายหลักทรัพย์ สำหรับลูกค้าบุคคลรายใหญทั้งหมดของกลุ่มทิสโก้ โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ การให้บริการคำแนะนำในการจัดสรรการลงทุน (Asset Allocation) ในสินทรัพย์ทุกๆ ประเภทตราสาร ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่นเงินฝาก ตั๋วแลกเงิน พันธบัตร หุ้นกู้ ไปจนถึงความเสี่ยงปานกลางไปถึงความเสี่ยงสูง เช่น กองทุนรวม หุ้น ตลอดจนการลงทุนในต่างประเทศ (Off-shore) และคอมโมดิตี้ เช่น น้ำมัน ทอง ซึ่งเราจะมีผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่เรียกว่า Wealth Manager เป็นผู้ให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับความต้องการในการลงทุนของลูกค้าแต่ละรายอย่างแท้จริง”

นายสาห์รัช กล่าวว่า ภาพรวมของการแข่งขันของธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล สำหรับกลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่ยังถือว่าไม่รุนแรงเท่ากลุ่มลูกค้าสถาบันที่มีการแข่งขันที่รุนแรงกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของค่าธรรมเนียม ในขณะที่กลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่จะเน้นที่การแข่งขันด้านการให้บริการ และการให้คำแนะนำการลงทุน เนื่องจากปัจจุบันนักลงทุนที่เป็นบุคคลรายใหญ่ให้ความสำคัญต่อการบริหารพอร์ตมากขึ้น และต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญมาช่วยบริหารเงิน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อ ซึ่งบริการที่ปรึกษาการลงทุนนับเป็นจุดเด่นของ บลจ. ทิสโก้ จึงทำให้ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล สำหรับกลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่ ของ บลจ. ทิสโก้ มีการเติบโตที่ดี

“จุดเด่นของเราคือ การให้บริการด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์สูง มีการให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ และสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี สะท้อนได้จากรางวัลต่างๆ ที่ บลจ. ทิสโก้ได้รับในปีที่ผ่านมา ได้แก่ รางวัล SET Awards 2010 ประเภทบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนยอดเยี่ยม หรือ Best Asset Management Company Award และได้รับการจัดอันดับให้เป็น บลจ. ที่มีผลงานด้านกองทุนตราสารทุนดีที่สุดของประเทศไทยในรอบระยะเวลา 3 ปี (Best Equity Fund Group over 3 Years ) จาก Lipper Fund Awards 2010 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการกองทุนที่มีประสิทธิภาพ”

ปัจจุบัน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลของ บลจ.ทิสโก้ มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารรวมกว่า 40,000 ล้านบาท โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 2 ของอุตสาหกรรม และมีการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารอย่างต่อเนื่อง โตขึ้นกว่า 90% ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา โดยได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทั้งกลุ่มลูกค้าบุคคลรายใหญ่ และกลุ่มลูกค้าสถาบัน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ, องค์กรอิสระ, มูลนิธิ, สหกรณ์, บริษัทเอกชนทั้งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

]]>
54747
บลจ.ทิสโก้ จับจังหวะส่งกอง “โรลอัพ 13” https://positioningmag.com/54724 Mon, 12 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=54724

บลจ. ทิสโก้ ส่ง “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้โรลอัพ 13” เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ชูจุดเด่นเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝาก และลงทุนสั้น ซื้อขายได้ทุก 6 เดือน ไอพีโอครั้งแรก 12-19 ก.ย. 54 ที่ บลจ.ทิสโก้และธนาคารทิสโก้ทุกสาขา

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Theeranat Rujimethapass, Managing Director of TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า บลจ.ทิสโก้ เตรียมเปิดเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้โรลอัพ 13 ” (TISCO Roll Up Bond Fund #13) ซึ่งเป็นกองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ที่เน้นการลงทุนในระยะสั้น ที่ให้ผลตอบแทนสูงในภาวะทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยจะนำเงินไปลงทุนในตราสารแห่งหนี้ที่เสนอขายทั้งในประเทศ และต่างประเทศบางส่วน เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝากธนาคาร

ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยจะทำการเสนอขายทุกๆ 6 เดือน เสนอขายครั้งแรกวันที่ 12-19 กันยายน 2554 ผู้ที่สนใจสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 20,000 บาท ได้ที่บลจ. ทิสโก้ และธนาคารทิสโก้ทุกสาขา

“เราประเมินว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยต่อจากนี้ยังคงมีโอกาสจะปรับขึ้นได้อีกแม้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัว แต่แรงกดดันเงินเฟ้อในประเทศยังคงมีอยู่ โดย บลจ. ทิสโก้คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้ง ไปอยู่ที่ 3.75% ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในกรอบที่กำหนด ดังนั้น บลจ. ทิสโก้ จึงมองว่าในช่วงนี้การลงทุนที่เหมาะสมจึงควรเป็นระยะสั้นๆ ไม่เกิน 6 เดือน เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งกองทุนเปิด ทิสโก้ ตราสารหนี้โรลอัพนี้ ก็เป็นอีกทางเลือกที่สามารถตอบโจทย์ดังกล่าวได้อย่างดี ” นายธีรนาถกล่าว

ผู้ที่สนใจติดต่อได้ที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนทิสโก้และธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 4

]]>
54724