Garmin – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 27 Oct 2025 06:22:30 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Strava เจ้าพ่อแอปสถิติวิ่ง 2,000 ล้าน จากเส้นทางนักกีฬา สู่ “Instagram แห่งการออกกำลังกาย” https://positioningmag.com/1544014 Mon, 27 Oct 2025 05:10:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1544014 Strava ไม่ได้เป็นเพียงแอปพลิเคชัน แต่คืออาณาจักรเสมือนจริงของนักวิ่ง นักปั่น และนักผจญภัยทั่วโลก ด้วยการผสมผสานการติดตามข้อมูลสถิติ (Tracking) เข้ากับฟีเจอร์เชิงสังคมที่เปิดให้แชร์ต่อหรือแข่งขันกับเพื่อน (Social Features) ทำให้แอปฯ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 นี้ กลายเป็นเครื่องมือ “ที่ต้องมี” สำหรับผู้ที่ต้องการอวดผลงานการออกกำลังกายให้โลกได้รับรู้ จนถูกยกให้เป็น “Instagram แห่งการออกกำลังกาย”

แอปพลิเคชันจากซานฟรานซิสโกนี้อนุญาตให้ผู้ใช้หรือ “นักกีฬา” (athletes) สามารถบันทึกและแบ่งปันกิจกรรมการออกกำลังกายได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง, การปั่นจักรยาน, การเดินป่า, การว่ายน้ำ และกิจกรรมอื่นๆ มากกว่า 40 ชนิด ซึ่งที่ผ่านมา กระแสความนิยมของ Strava พุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เนื่องจากผู้คนหันมาออกกำลังกายนอกบ้านมากขึ้น ความสำเร็จนี้ทำให้ Strava กลายเป็นศูนย์รวมของอินฟลูเอนเซอร์ด้านฟิตเนส สร้างวัฒนธรรมในหมู่นักวิ่งและนักปั่นให้พร้อมใจมาอยู่บน Strava

ล่าสุดในเดือนพฤษภาคม 2025 ดาวรุ่งอย่าง Strava ประสบความสำเร็จในการระดมทุนรอบใหม่ ส่งผลให้มูลค่าบริษัทพุ่งสูงถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 ซึ่งซีอีโอ Mike Martin เปิดเผยว่าบริษัทกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะทำรายได้ประจำปีแตะ 500 ล้านดอลลาร์ในไม่กี่อึดใจ โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา Strava มีการเติบโตของผู้ใช้ใหม่มากกว่า 50% และปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนใช้งานทั่วโลกแล้วกว่า 150 ล้านคน

กำเนิดเวทมนตร์ Strava

ทุกเรื่องราวยิ่งใหญ่เริ่มจากจุดเล็กๆ และสำหรับ Strava อาณาจักร 2 พันล้านดอลล์เกิดได้เพราะการพบกันของ 2 เพื่อนทีมพายเรือของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงยุค 80 โดยมาร์ก เกนีย์ (Mark Gainey) และไมเคิล ฮอร์วาธ (Michael Horvath) กลับมาพบกันหลังเรียนจบ เมื่อเกนีย์กลายเป็นนักลงทุนรุ่นเยาว์ ขณะที่ฮอร์วาธไป  สอนที่สแตนฟอร์ด

ทั้งคู่เคยร่วมก่อตั้ง Kana Communications สตาร์ทอัปด้านโฆษณาออนไลน์ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในยุคจุดเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต จนกระทั่งไอเดียตั้งต้นของ Strava ถูกจุดประกายในปี 1996 เมื่อทั้งคู่คุยกันถึงโอกาสในโลกอินเทอร์เน็ตที่กำลังบูม ผ่านปัญหาใหญ่ที่ว่านักกีฬาหลายคน ต้องออกกำลังกายคนเดียว การเข้าถึงเป้าหมายจึงเป็นเรื่องโหดหิน และขาดแรงจูงใจ

จนกระทั่งปี 2009 ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก ทั้ง 2 หนุ่มตัดสินใจลุยเต็มตัว ก่อตั้ง Strava ในซานฟรานซิสโก ด้วยวิสัยทัศน์ชัดเจนว่าจะสร้างแพลตฟอร์มที่ไม่ใช่แค่บันทึกข้อมูล แต่เป็นพื้นที่สังคมสำหรับนักวิ่ง นักปั่น และนักกีฬาทุกประเภท ชื่อ “Strava” มาจากภาษาสวีเดนแปลว่า “strive” หรือ “พยายามอย่างสุดตัว” ซึ่งสะท้อนปรัชญาของแอปตั้งแต่แรกเริ่ม ว่าไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่คือการเติบโตไปด้วยกัน

ในยุคแรก Strava เริ่มต้นแบบเรียบง่าย คือผู้ใช้บันทึกเส้นทาง เปรียบเทียบเวลา และแบ่งปันเรื่องราว แต่สิ่งที่ทำให้ Strava แตกต่างคือ “เซ็กเมนต์” (segments) ฟีเจอร์นี้ช่วยให้นักกีฬาสามารถติดตามเวลาที่ทำได้ในส่วนใดส่วนหนึ่งของเส้นทางที่วิ่งหรือปั่น และนำไปเปรียบเทียบกับผู้ใช้คนอื่น ๆ ซึ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้จำนวนมากหมกมุ่นอยู่กับการทำเวลาในเซ็กเมนต์ให้เร็วที่สุด

Strava ไม่ได้เติบโตแบบข้ามคืน แต่ด้วยกลยุทธ์ที่ชาญฉลาด ทำให้ Strava กลายเป็น “ทีมกีฬาใหญ่ที่สุดในโลก” ภายในไม่กี่ปี เพราะฟีเจอร์อย่าง leaderboards (อันดับคะแนน) และ challenges (ความท้าทายรายเดือน) ทำให้ผู้ใช้เกาะติดด้วยอารมณ์เหมือนเกมที่ให้รางวัลเป็นภาพป้ายและถ้วยรางวัลเมื่อทำสถิติใหม่ได้ เช่น วิ่งครบ 1,000 กิโลเมตร หรือปั่นขึ้นเนินชันสุดโหด การทำ gamification นี้ไม่ใช่แค่สนุก แต่เพิ่ม engagement สูงลิ่ว  ผู้ใช้กลับมาเปิดแอปทุกวันเพื่อเช็กสถิติและดีใจกับชัยชนะเล็กๆ ที่ทำได้

ปี 2016 คือจุดพลิกผัน เมื่อ Strava เปิดตัว Summit subscription แพ็กเกจพรีเมียมที่เพิ่มงานวิเคราะห์ขั้นสูง ทำให้รายได้พุ่งจากโฆษณาและพันธมิตรอย่าง Garmin หรือ Nike ตั้งแต่ปี 2020 ฐานผู้ใช้ Strava จึงโตก้าวกระโดดท่ามกลางโควิดที่ทำให้ทุกคนหันมาออกกำลังกายกลางแจ้งมากขึ้น Strava กลายเป็น “Instagram ของนักกีฬา” ที่ไม่ใช่แค่โพสต์รูป แต่โชว์ข้อมูลจริง เช่น ความเร็วเฉลี่ย หรือตัวเลขแคลอรี่ที่เผาผลาญได้

ล่าสุดในปี 2025 นี้ Strava ก้าวสู่จุดสูงสุดใหม่ คือผู้ใช้รายเดือนพุ่งแตะ 50 ล้านคน ขับเคลื่อนโดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ Gen Z ที่ทิ้งแอปนัดเดทหาคู่ เพื่อหาเพื่อนผ่านกลุ่มวิ่ง เกิดเป็นเทรนด์ฮิต “วิ่งด้วยกัน แล้วค่อยปัดขวา” ซึ่งไม่เพียงมูลค่าบริษัทที่ทะลุ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ CEO อย่างไมเคิล มาร์ติน (Michael Martin) ยังประกาศแผน IPO พา Strava เข้าตลาดหุ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อขยายสู่ตลาดเอเชียและเพิ่มฟีเจอร์ AI สำหรับแผนฝึกซ้อมส่วนตัว

ดราม่า Garmin

การประกาศ IPO ของ Strava นั้นถูกส่งสัญญาณชัดเจนในช่วงตุลาคม 2568 ซึ่งเป็นเดือนที่ Strava สร้างความตื่นเต้นให้วงการฟิตเนส ด้วยการฟ้อง Garmin ผู้ผลิตนาฬิกากีฬายักษ์ใหญ่ ฐานละเมิดสิทธิบัตรเรื่อง “Strava Segments” ที่เป็นหัวใจของแอป

Strava กล่าวหาว่า Garmin ละเมิดสิทธิบัตรสำคัญของ Strava ได้แก่ Segments และ Heat Maps และยังละเมิดข้อตกลงความร่วมมือหลักที่ทั้งสองบริษัทเคยทำไว้ โดย Heat Maps หรือแผนที่ความร้อนนั้นเป็นคุณสมบัตินี้ทำให้ผู้ใช้สามารถเห็นเส้นทางออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมทั่วโลก ซึ่งช่วยในการค้นหาสถานที่ใหม่ให้นักวิ่งได้เปิดประสบการณ์ร่วมกัน

การฟ้องนี้น่าแปลกใจเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า Strava และ Garmin มีความร่วมมืออันดีมานานหลายปี โดย Strava อนุญาตให้ผู้ใช้นาฬิกาติดตามฟิตเนสของ Garmin สามารถบันทึกข้อมูลการออกกำลังกายลงในแอป Strava ผ่านแพลตฟอร์ม Garmin Connect ได้ อย่างไรก็ตาม Strava ต้องการแก้ไขประเด็นที่ Garmin ออกคำสั่งให้ Strava ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ในการติดลายน้ำ (watermarking) ข้อมูลการออกกำลังกายที่โพสต์บน Strava ด้วยข้อมูลอุปกรณ์ Garmin ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนเป็นต้นไป

ล่าสุด ชุมชนนักกีฬาไม่ต้องแตกตื่นว่าจะเกิดสงครามเย็นระหว่างแอปกับ gadget อย่างที่กังวล เพราะ Strava ถอยทัพประกาศยอมปฏิบัติตามเงื่อนไข API ใหม่ของ Garmin โดยเพิ่มโลโก้ Garmin ในข้อมูลที่ sync จากนาฬิกา Garmin เพื่อให้ข้อมูลผู้ใช้ยังคงไหลลื่นปกติ และ Strava ยินยอมอัปเดตระบบให้แสดง attribution (เครดิต) ชัดเจนยิ่งขึ้น

ปัจจุบัน Strava เดินหน้าขยายพันธมิตรสู่หลากหลายกลุ่ม มีทั้งการปรับดีไซน์ใหม่ให้แอปพลิเคชันบน Apple Watch app ที่เร็วและชัดเจนกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็มีบูรณาการกับแว่น Oakley สำหรับนักปั่น รวมถึงมีฟีเจอร์ใหม่สำหรับนักวิ่งและนักปั่น โดยอีกพันธมิตรล่าสุดของ Strava คือ Airbnb ซึ่งจะเอื้อให้เกิด “ทริปวิ่ง” ที่ผสมผสานการท่องเที่ยวกับกีฬาเข้าด้วยกัน

โยงธุรกิจสู่ชุมชน ไปไกลเกินแอป

บทสรุปของการวิเคราะห์เส้นทางความยิ่งใหญ่ของ Strava ต้องบอกว่านี่คือกรณีศึกษาสมบูรณ์แบบสำหรับสตาร์ทอัปยุคใหม่ จากจุดเริ่มที่ความชื่นชอบส่วนตัว แล้วนำใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหา (ความเหงาของนักกีฬา) สู่การเติบโตด้วย community ที่แข็งแกร่ง

Strava สามารถพิสูจน์ได้ว่าธุรกิจที่ยั่งยืนไม่ใช่แค่ขายสินค้า แต่คือการสร้าง “ทีม” ที่ฐานผู้ใช้ที่เป็นนักกีฬา 50 ล้านต่างผลักดันกันเอง ทั้งหมดนี้ทำได้เมื่อมีหัวใจสำคัญที่ทำให้ Strava แตกต่างซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ได้รับการคุ้มครองสิทธิบัตร ร่วมกับการขยายอาณาจักรและการเข้าซื้อกิจการ

Strava ได้เข้าซื้อกิจการ Runna ซึ่งเป็นแอปฯ ฝึกซ้อมวิ่งจากลอนดอนเมื่อเมษายน 2025 ซึ่งจะทำให้ Strava มีเทคโนโลยีให้บริการแผนการฝึกส่วนบุคคลสำหรับงานแข่งหรือมาราธอนในอนาคต นอกจากนี้ยังซื้อกิจการ The Breakaway ซึ่งเป็นแอปฯ ฝึกซ้อมสำหรับนักปั่นจักรยาน ในเดือนพฤษภาคมด้วย

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เกิดบนภาพของ Strava ที่เริ่มเปลี่ยนไป ล่าสุดมีโพสต์หนึ่งของผู้ใช้ที่ให้ความเห็นว่า Strava กำลังกลายเป็นเหมือน Instagram ไปแล้ว โดยโพสต์ Reddit ชื่อ “Is Strava going to be Instagram” ที่โพสต์โดยผู้ใช้ Velocybirr เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 (ค.ศ. 2025) ซึ่งได้รับ upvotes กว่า 520 คะแนนและคอมเมนต์ 61 ความเห็น นั้นวิจารณ์บัญชีสมาชิก Strava ที่ใช้ชื่อโรงแรม Westin เพื่อโปรโมตสินค้า สะท้อนความกังวลว่าอาจนำไปสู่การล้นทะลักของโฆษณาและนักกีฬาซึ่งเน้นการส่งเสริมแบรนด์ ทำให้ Strava อาจจะคล้าย Instagram เข้าไปทุกที

คอมเมนต์บางส่วนยังถกเถียงเรื่องวิวัฒนาการของฟีดโซเชียลใน Strava เช่น การแนะนำบัญชีด้วยอัลกอริทึม (suggested accounts) การโฆษณาผ่าน challenges และการปรับฟีด ให้เป็นเชิงพาณิชย์หรือ commercial มากขึ้น ซึ่งแม้จะไม่มีฟีเจอร์แชร์สตอรี่แบบ Instagram Stories โดยตรง แต่ผู้ใช้บางคนก็รู้สึกว่า Strava ว่าเป็น “Instagram สำหรับนักกีฬา” ไปแล้ว ซึ่งไม่ว่าสถานการณ์นี้จะเป็นความท้าทายหรือโอกาส แต่ Strava จะขยายอาณาจักรพัน-หมื่นล้านต่อไปได้อีกแน่นอน

ที่มา : Wikipedia, Business Insider, DC Rainmaker, Reuters

]]>
1544014
“การ์มิน” บุกตลาดองค์กรด้วย “การ์มิน เฮลท์” หวังกระตุ้นคนไทยดูแลสุขภาพ https://positioningmag.com/1389166 Sun, 19 Jun 2022 07:08:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1389166 “การ์มิน” เปิดโมเดล การ์มิน เฮลท์” โซลูชันด้านดิจิทัลเฮลท์บุกตลาดลูกค้าองค์กรเต็มตัว จะเป็นตัวกลางระหว่างแอปพลิเคชัน Garmin Connect และแพลตฟอร์มอื่นๆ ในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพที่ถูกติดตามผ่านสมาร์ทวอทช์จากการ์มิน หวังกระตุ้นให้คนไทยดูแลสุขภาพตั้งแต่ต้นทาง

คนไทยอัตราการออกกำลังกายต่ำ

แม้เทรนด์การดูแลสุขภาพจะได้รับความนิยมในไทยอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องการออกกำลังกาย มีเทรนด์กีฬาใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องอาหารการกินที่ใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ลดหวาน ลดเค็ม

แต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ยังมีปัญหาสุขภาพ ทั้งโรคเรื้อรัง และโรคร้ายแรงต่างๆ มีข้อมูลจากการสังเกตการณ์พฤติกรรมการดูแลสุขภาพของคนไทยจากแพลตฟอร์มการ์มิน คอนเน็กซ์ (Garmin Connect) เห็นเทรนด์พฤติกรรมการดูแลสุขภาพเชิงรุกของคนไทยอยู่ในระดับต่ำ

โดยอ้างอิงจากตัวชี้วัดสำคัญ 3 ตัว ได้แก่

  • อัตราการเผาผลาญแคลอรี (Resting calories) พบว่าคนไทยมีอัตราการเผาผลาญแคลอรีเฉลี่ยน้อยที่สุดในเอเชีย
  • อัตราระดับความเข้มข้นในการออกกำลังกายต่อสัปดาห์ (Intensity Minute) เฉลี่ยน้อยที่สุดในเอเชียรองจากอินเดีย โดยเฉพาะหญิงไทยมีอัตราการออกกำลังกายเฉลี่ย 24 นาทีต่อสัปดาห์เท่านั้น
  • อัตราการเผาผลาญแคลอรีระหว่างทำกิจกรรม (Active Calories) เฉลี่ยต่ำที่สุดในเอเชีย

โดยจากผลสำรวจ กล่าวได้ว่าพฤติกรรมการออกกำลังกายน้อยเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังจากภาวะอ้วน (Obesity)

ดิจิทัล เฮลท์โตต่อเนื่อง

แต่ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าขึ้น ประกอบกับผู้เล่นเทคคอมปานีต่างๆ ก็หันมาจับตลาดสุขภาพมากขึ้น ทั้งในเรื่องโซลูชัน และอุปกรณ์ ทำให้ในประทเศไทยตลาดดิจิทัล เฮลท์เติบโต 11.7% คาดการณ์ว่าในช่วงระหว่างปี 2022-2026 ตลาดจะมีมูลค่าถึง 1,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

“การ์มิน” อีกหนึ่งผู้เล่นในตลาดเทคโนโลยี GPS ตั้งแต่อุตสาหกรรมการบินยานยนต์ การเดินทะเล ฟิตเนส และกิจกรรมกลางแจ้ง จึงประกาศรุกตลาดสุขภาพด้วยการเปิดโมเดล การ์มิน เฮลท์ โซลูชันด้านดิจิทัลเฮลท์ ตัวกลางระหว่างแอปพลิเคชัน Garmin Connect และแพลตฟอร์มอื่นๆ ในการส่งมอบการวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพที่ถูกติดตามผ่านสมาร์ทวอทช์จากการ์มิน

โมเดลนี้จะเป็นรุปแบบการจับมือพาร์ตเนอร์กับองค์กรต่างๆ อาจจะเป็นบริษัทประกัน, ฟิตเนสที่ทำกิจกรรมด้านสุขภาพ พร้อมกับได้แทร็กข้อมูลสุขภาพ บริษัทประกันอาจจะนำมาใช้ในการลดเบี้ยประกันได้ รวมไปถึงองค์กรทั่วๆ ไปที่ทาง HR อาจจะส่งเสริมให้พนักงานออกกำลังกายมากขึ้นก็ได้

ทางการ์มินตั้งเป้าขยายกลุ่มพาร์ตเนอร์เพื่อการประยุกต์ใช้ในหลากหลายธุรกิ อาทิ ด้านสุขภาพส่วนบุคคล สุขภาพของพนักงานในองค์กร การแพทย์ทางไกล เวชศาสตร์ป้องกัน กายภาพบำบัด วิทยาศาสตร์การกีฬา โภชนาการ และประกันภัย มีความตั้งใจให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพในอนาคต

สค็อปเพน ลิน Assistant General Manager of Garmin Asia กล่าวว่า

นอกจากเรื่อง เทคโนโลยี GPS การติดตามกิจกรรม และการออกกำลังกาย การติดตามสุขภาพก็เป็นอีกเรื่องที่การ์มินให้ความสำคัญ และได้ส่งมอบเทคโนโลยีด้านสุขภาพเข้าสู่ตลาด การ์มิน ประเทศไทยจึงได้ส่งธุรกิจ “การ์มิน เฮลท์” เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ โดยมาพร้อมกับภารกิจ MONITORING FOR PREVENTIVE HEALTH ISSUE หรือการติดตามแนวโน้มสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตนำร่องครั้งแรกในไทย โดยตั้งเป้าขยายกลุ่มพาร์ตเนอร์ไปยังหลากหลายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการดูแลสุขภาพเชิงรุก” 

ยกตัวอย่างพาร์ตเนอร์ในประเทศอื่นๆ ที่ได้เปิดตัวโซลูชันนี้

  • Garmin & Wondercise (ไต้หวัน

Garmin ร่วมมือกับ Wondercise เทคโนโลยีโฮมฟิตเนสขั้นสูงที่ช่วยให้เข้าถึงข้อมูลและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการออกกำลังกายได้มากขึ้นโดยไม่ต้องไปยิมและไม่ต้องใช้ผู้ฝึกสอนส่วนตัว แต่ใช้ระบบที่วิเคราะห์การเคลื่อนไหวขณะฝึกด้วยข้อมูลจากสมาร์ทวอทช์ของการ์มิน โดยถ่ายโอนข้อมูลผ่านโซลูชัน Garmin Health ระบบ Companion SDK ดังนั้น ผู้ที่ใช้จึงสามารถฝึกฟอร์มการออกกำลังกายผ่าน Wondercise ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

  • Garmin & Firstbeat Sports Premium (สหรัฐอเมริกา)

Garmin ร่วมมือกับ Firstbeat ผู้ให้บริการและแพลตฟอร์มสำหรับนักกีฬาโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การฟื้นฟู และสมรรถภาพทางกายของผู้ใช้งาน โดยผู้ใช้สามารถเลือกแชร์ข้อมูลการฝึก และข้อมูลไบโอเมตริกซ์ด้านสุขภาพแบบ 24/7 จากสมาร์ทวอทช์การ์มิน บน Garmin Connect กับแพลตฟอร์ม Firstbeat Sports ผ่านโซลูชัน Garmin Health ระบบ API ที่ใช้โดยนักกีฬากว่า 23,000 คน ซึ่งเป็นตัวแทนของทีมมากกว่า 1,000 ทีมทั่วโลก โดยชุดข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้ทั้งโค้ชและนักกีฬาสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้นเกี่ยวกับการวางแผนฝึกซ้อมและการฟื้นฟูร่างกายได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

  • Garmin & NudgeLabs (สวีเดน)

Garmin ร่วมมือกับ NudgeLabs โปรแกรมที่ช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายและสุขภาพของผู้ใช้งานให้ดีขึ้น โดยมุ่งเน้นการลดความเครียด และดูแลเรื่องการพักผ่อน โดยการร่วมมือในครั้งนี้ อุปกรณ์สวมใส่ของการ์มินเข้ามาช่วยรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ใช้ เช่น ระดับความเครียด การนอน อัตราการเต้นของหัวใจ และอัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก ไปยังแพลตฟอร์ม NudgeLabs ผ่านโซลูชัน Garmin Health ระบบ API ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้คำแนะนำเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเฉพาะบุคคลแก่ผู้ใช้งานได้ดีขึ้น

  • Garmin & Dexcom (สหรัฐอเมริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา)

Garmin ร่วมมือกับ Dexcom ซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีการตรวจวัดระดับน้ำตาลต่อเนื่อง (CGM) ร่วมส่งมอบ Dexcom ฟีเจอร์ผ่านแอปพลิเคชัน Garmin Connect IQ โดยโซลูชัน Garmin Health ระบบ API ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูล CGM ได้ในที่เดียว ทำให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถมอนิเตอร์ข้อมูลของระดับน้ำตาลในเลือดได้แบบเรียลไทม์บนสมาร์ทวอทช์ของการ์มิน และเพลิดเพลินกับการออกกำลังกายด้วยความอุ่นใจ รวมถึงติดตามสุขภาพของตนเองในเชิงรุก

]]>
1389166
ส่อง ‘สมาร์ทวอทช์’ ที่มีฟีเจอร์วัด ‘ออกซิเจนในเลือด’ ตั้งแต่หลักพันยันหลักหมื่น https://positioningmag.com/1329751 Wed, 28 Apr 2021 12:25:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1329751 ช่วงนี้หลายคนคงมีคำถามในใจคล้าย ๆ กันก็คือ “ติด COVID-19 หรือยัง”  แม้จะไม่มีอาการอะไรก็ตามทีเถอะ ดังนั้น หลายคนเลยอยากจะวัดค่า ‘ออกซิเจนในเลือด’ หรือ ‘SpO2’ ให้สบายใจว่า ‘ยังไม่ติด’ ทำให้ตอนนี้คนเลยให้ความสนใจกับ ‘สมาร์ทวอทช์’ ‘สมาร์ทแบนด์’ หรืออะไรก็ตามที่ใช้วัดได้ ดังนั้น เราไปดูกันว่ามี สมาร์ทวอทช์, สมาร์ทแบนด์รุ่นไหน หรือมือถือรุ่นไหนที่สามารถใช้วัดได้บ้าง ไปดูกัน

Apple Watch 6

สำหรับ Apple Watch 6 นั้นสามารถแสดงข้อมูลสุขภาพเชิงลึกทั้ง อัตราการเต้นของหัวใจ, วัดคุณภาพการนอน และไม่ได้มีแค่ฟีเจอร์วัดค่าออกซิเจนในเลือด แต่ยังตรวจวัด ECG คลื่นไฟฟ้าหัวใจได้อีกด้วย แถมยังมี GPS ในตัว โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 13,400 บาท ใครที่เป็นสาวก Apple ก็จัดได้เลย

Samsung Galaxy Watch3

Samsung Galaxy Watch3 ราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท โดยมาพร้อมฟีเจอร์วัดความดันโลหิต, ตรวจวัด ECG คลื่นไฟฟ้าหัวใจ, วัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือด, วัดอัตราเต้นหัวใจ, วัดคุณภาพการนอนหลับ, ตรวจวัดความเครียด และมีโหมดออกกำลังกาย

Huawei Watch Fit / Huawei Watch GT Series

สำหรับค่าย Huawei มี 2 ซีรีส์ที่มีฟีเจอร์วัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือด ได้แก่ Huawei Watch Fit ราคา 2,999 บาท และ Huawei Watch GT2e ราคา 4,290 บาท, Huawei Watch GT 2 ราคา 5,499 บาท, Huawei Watch GT 2 Pro ราคา 8,990 บาท โดยทั้ง 4 รุ่นมีฟีเจอร์พื้นฐานมาให้ครบ ไม่ว่าจะเป็นการวัดอัตราเต้นหัวใจ, วัดคุณภาพการนอนหลับ และวัดการเผาผลาญกิโลแคลอรี

Huawei Watch Fit (บน) / Huawei Watch GT Series (ล่าง)

Xiaomi Mi Watch

แน่นอนว่าคงไม่มีชื่อของ Xiaomi ไม่ได้ เพราะผลิตแทบทุกอย่างเท่าที่คนจะนึกออก ซึ่งเจ้า Xiao Mi Watch ก็มีฟีเจอร์วัดค่า SpO2 หรือออกซิเจนในเลือดเช่นกันในราคา 3,490 บาท ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ก็มีครบทั้งวัดอัตราเต้นหัวใจ, วัดคุณภาพการนอน และตรวจวัดความเครียด

Realme Watch S Series

สำหรับ Realme แบรนด์ลูกของ ‘Oppo’ ก็ได้ออก Realme Watch Series ที่สามารถวัดค่า SpO2 ได้ โดยมี Realme Watch S ราคา 3,499 บาท และ S Pro ราคา 4,999 บาท โดยมีฟีเจอร์วัดอัตราเต้นหัวใจ, วัดคุณภาพการนอน และตรวจจับความเครียด

Fitbit Sense

สำหรับ Fitbit ก็ถือเป็นแบรนด์สมาร์ทวอทช์ที่เน้นด้านสุขภาพ โดยมีหลายรุ่นเลยทีเดียวที่สามารถวัดผลระดับออกซิเจนในเลือด พร้อมแจ้งข้อมูลจากกราฟแสดงผลผ่านแอปพลิเคชันฟิต อาทิ Charge 3, Ionic, Versa, Versa Lite, Versa 2 และล่าสุด Fitbit Sense ที่สามารถวัด ECG คลื่นไฟฟ้าหัวใจได้ด้วย โดย Fitbit Sense ราคาอยู่ที่ 10,990 บาท

Garmin

เช่นเดียวกับการ์มินที่เป็นแบรนด์ที่เน้นด้านสุขภาพ ทำให้มีสินค้าหลายรุ่นที่สามารถวัดผลระดับออกซิเจนในเลือดได้ อย่าง vívosmart 4, vívoactive 4/4S, Legacy Hero/Saga, Venu, Venu Sq, vívomove 3 series เป็นต้น

Garmin vívomove 3 series

Amazfit Bip U / Amazfit GT Series

สมาร์ทวอทช์ของแบรนด์ลูก Xiaomi โดยมีให้เลือก 3 รุ่น ได้แก่ Amazfit Bip U ราคา 1,690 บาท, Amazfit GTS2 ราคา 5,590 บาท และ Amazfit GTR2 ราคา 6,299 บาท โดยนอกจากจะวัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือดได้ยังตรวจจับความเครียด และการเผาผลาญได้ด้วย

Amazfit Bip U (ขวา) / Amazfit GT Series (ซ้าย)

Huawei Band 6 / Honor Band 5 / OPPO Band

สำหรับคนงบน้อยลองมาดูฝั่งของ ‘สมาร์ทแบนด์’ ของ ‘หัวเว่ย’ และแบรนด์ลูกอย่าง ‘ออเนอร์’ กันดู โดยมี Huawei Band 6 และ Honor Band 5 ที่มีฟีเจอร์วัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือด ส่วนฟีเจอร์พื้นฐานก็มีให้ครบทั้งวัดคุณภาพการนอนหลับ, วัดความเครียด และอัตราการเต้นของหัวใจ โดย Huawei Band 6 ราคา 2,990 บาท ส่วน Honor Band 5 ราคา 1,190 บาท

อีกแบรนด์ที่น่าสนใจก็คือ OPPO Band โดยสามารถตรวจจับความเครียด, การเผาผลาญกิโลแคลอรี, อัตราเต้นหัวใจ และวัดค่า SpO2 ระดับออกซิเจนในเลือดในราคาเพียง 1,199 บาทเท่านั้น

Oppo Band (ขวา), Honor Band 5 (กลาง), Huawei Band 6 (ซ้าย)

Samsung Galaxy S และ Note ก็ใช้วัดได้

สำหรับใครที่ใช้งาน Galaxy S5 ไปจนถึง S10+ หรือใครที่ใช้ Galaxy Note 4 ไปจนถึง Note 9 จะสามารถใช้ฟีเจอร์วัดระดับออกซิเจนในเลือด และ Heart Rate โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อไอเทมอื่น ๆ เพิ่มเลย เนื่องจากสมาร์ทโฟนรุ่นดังกล่าวของซัมซุงจะมาพร้อม ‘เซ็นเซอร์’ ตรงกล้องหลังบริเวณเดียวกับไฟ LED ซึ่งใครที่ใช้มือถือรุ่นดังกล่าวแล้วอยากวัดระดับออกซิเจนในเลือดก็สามารถทำตามนี้ได้เลย

1.เปิดแอปพลิเคชัน Samsung Health

2.หาเมนู Blood oxygen (SpO2) สำหรับวัดระดับออกซิเจนในเลือด

3.เมื่อเข้าไปที่เมนู Blood oxygen แล้วให้กด Measure เพื่อเริ่มการวัด โดยให้นำนิ้วชี้ไปวางไปที่เซ็นเซอร์ด้านตัวเครื่องเพื่อเริ่มการวัด

ทั้งนี้ ระดับออกซิเจนในเลือดสภาวะปกติจะอยู่ที่ 95 – 100% อย่างไรก็ตาม หากเกิดรู้สึกไม่สบายแนะนำว่าควรหาหมอน่าจะดีที่สุด

]]>
1329751
Garmin กู้ระบบคืนจากโปรแกรมเรียกค่าไถ่สำเร็จ กรณีศึกษาประเด็นความปลอดภัยทางไซเบอร์ https://positioningmag.com/1289768 Tue, 28 Jul 2020 10:07:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1289768 ผู้ใช้ Garmin ทั่วโลกน่าจะหายใจหายคอโล่งขึ้นเมื่อแอปพลิเคชันกลับมาใช้งานได้เกือบเป็นปกติเมื่อวานนี้ (27 ก.ค. 63) หลังจากระบบซิงค์ข้อมูลของ Garmin เป็นอัมพาตไป 4 วัน เนื่องจากถูกโปรแกรมเรียกค่าไถ่ (ransomware) โจมตี ยังไม่มีใครทราบว่า Garmin แก้ปัญหาด้วยการจ่ายเงินหรือแก้โปรแกรมเรียกค่าไถ่ได้สำเร็จ แต่วิกฤตครั้งนี้น่าจะสะเทือนความรู้สึกลูกค้าบางส่วนพอสมควร

Garmin ประกาศในแถลงการณ์สาธารณะเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 63 ว่า บริษัทตกเป็นเหยื่อของการโจมตีทางไซเบอร์ตั้งแต่วันที่ 23 ก.ค. 63 ยังผลให้บริการออนไลน์หลายประเภทของบริษัทใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันที่ลูกค้าใช้งาน หน้าเว็บไซต์บริษัท ตลอดจนระบบสื่อสารกับลูกค้า

ปัญหาการโจมตีที่ส่งผลแม้กระทั่งช่องทางสื่อสารกับลูกค้า ยิ่งสร้างปัญหาให้บริษัท เพราะอีเมลที่ส่งไปยังแผนกประชาสัมพันธ์ของ Garmin จะเด้งกลับไปที่ผู้ส่งทันที และเบอร์โทรศัพท์ก็เชื่อมต่อไม่ได้ด้วย

ทั้งนี้ แถลงการณ์ของบริษัทประกาศด้วยว่า จากการตรวจสอบยังไม่พบข้อบ่งชี้ว่าข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าที่ใช้ในระบบเพย์เมนต์ Garmin Pay ถูกเข้าถึงได้หรือขโมยข้อมูลออกไป รวมถึงฟังก์ชันการใช้งานของตัวสินค้าของ Garmin ยังคงใช้งานได้ปกติ ซึ่งน่าจะสร้างความโล่งใจให้ผู้ใช้ในระดับหนึ่งว่าอย่างน้อยบัญชีการเงินของตนยังไม่ถูกโจมตี

 

4 วันแห่งความโกลาหล

ตลอด 4 วันที่ Garmin ถูกโจมตีโดยพุ่งเป้าไปที่ระบบ Garmin Connect สำหรับผู้ใช้งานปลายทางหลายล้านคนที่ได้รับผลกระทบจะแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ใช้อุปกรณ์ออกกำลังกายนาฬิกาสมาร์ตวอชต์ กับกลุ่มนักบินผู้ใช้ระบบนำทางเครื่องบิน flyGarmin และแอปฯ Garmin Pilot

กลุ่มผู้ใช้นาฬิกาสมาร์ตวอชต์จะพบปัญหาคือไม่สามารถเชื่อมต่อนาฬิกากับแอปฯ ของ Garmin บนโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งทำให้การเก็บข้อมูลการออกกำลังกายไปประมวลผลบนมือถือทำไม่ได้ การใช้งานนาฬิกาจึงไม่เต็มประสิทธิภาพ สร้างความสับสนให้กับชุมชนคนใช้ Garmin เป็นอย่างมาก

นาฬิกา Garmin

ส่วนกลุ่มนักบินผู้ใช้ flyGarmin และ Garmin Pilot ยิ่งเจอปัญหาหนัก เพราะโปรแกรมโจมตีทำให้อุปกรณ์ของ Garmin บนเครื่องบินไม่สามารถทำแผนการบินได้ และไม่สามารถอัพเดตฐานข้อมูลอุตุนิยมวิทยาทางการบินของ FAA ได้ ซึ่งปกติจะต้องอัพเดตราวๆ ทุก 1 เดือน และถ้าหากไม่ได้อัพเดตจะไม่สามารถขึ้นบินได้ โดยข้อมูลรอบล่าสุดออกมาเมื่อวันที่ 16 ก.ค. 63 ทำให้เครื่องบินหลายลำอัพเดตไปแล้ว ส่วนเครื่องบินที่ยังไม่ได้อัพเดตต้องเลี่ยงไปใช้แพลตฟอร์มอื่นชั่วคราว

อย่างไรก็ตาม หลัง Garmin กู้คืนระบบสำเร็จเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา บริษัทระบุว่าระบบกำลังค่อยๆ คืนสู่ภาวะปกติโดยต้องใช้เวลาอีกราว 2-3 วันจึงจะเสร็จสมบูรณ์

ด้านเสียงของผู้ใช้ในเพจ Garmin Thailand by GIS พบว่าแอปฯ จะขึ้นข้อความว่า “ขออภัย เรากำลังปิดเพื่อทำการบำรุงรักษา ตรวจสอบอีกครั้งในเร็วๆ นี้” โดยนาฬิกากลับมาเชื่อมต่อแอปฯ ได้แล้ว แต่การซิงค์ข้อมูลระหว่างนาฬิกากับแอปฯ หรือการค้นหาสัญญาณ GPS ยังช้ากว่าปกติ

หน้าจอแอปฯ Garmin ที่กลับมาใช้งานได้แต่ยังมีปัญหาอยู่บางส่วน

 

การโจมตีทางไซเบอร์ ภัยที่น่ากลัวของธุรกิจ

แม้ว่าในแถลงการณ์ของ Garmin จะไม่มีการระบุถึง “การเรียกค่าไถ่” หลังถูกโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้ แต่ก่อนหน้านี้สื่อหลายรายรายงานว่า Evil Corp กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดังในรัสเซียคือผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยโปรแกรมชื่อ WastedLocker เข้าไปแฮกระบบของบริษัท และเรียกค่าไถ่เพื่อกู้คืนระบบมูลค่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 316 ล้านบาท)

ยังไม่มีการรายงานว่าหลังจาก Garmin กู้คืนระบบมาได้นั้นเป็นเพราะทางบริษัทยอมจ่ายค่าไถ่ระบบคืน หรือโปรแกรมเมอร์ของบริษัทสามารถหาทางกู้ระบบคืนมาเองได้สำเร็จ

การโจมตีทางไซเบอร์ครั้งนี้สร้างความหงุดหงิดใจให้ผู้บริโภคบางกลุ่ม ด้วยนาฬิกาสมาร์ตวอชต์ของ Garmin จัดว่าเป็นนาฬิการะดับพรีเมียม ด้วยสนนราคาตั้งแต่ 2 พันกว่าบาทไปจนถึง 3 หมื่นกว่าบาท เทียบกับสมาร์ตวอตช์แบรนด์อื่นที่อาจจะทำราคาลงไปต่ำไม่ถึง 1 พันบาท ดังนั้น ผู้บริโภคย่อมคาดหวังว่าคุณภาพและการเก็บข้อมูลของ Garmin น่าจะยอดเยี่ยม ทำให้การโจมตีทางไซเบอร์เช่นนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของลูกค้า

ต้องรอดูผลที่ตามมาของกรณีนี้ว่าจะทำให้ Garmin สูญเสียลูกค้าในระยะยาวหรือไม่ หรือจะเป็นเพียงความตื่นตระหนกในช่วงสั้นๆ และแบรนด์จะกลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม

Source: BBC, Wired, Metro UK

]]>
1289768