Hotel – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 20 Jan 2023 00:30:30 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Minor คาดรายได้หลังจากนี้โตแตะ 2 หลัก มองนักท่องเที่ยวจีน 6-9 เดือนหลังจากนี้ถึงกลับมาคึกคัก https://positioningmag.com/1416012 Thu, 19 Jan 2023 18:48:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1416012 บมจ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ได้กล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจในเครือของปี 2022 นั้นกลับมาเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะมีปัจจัยที่ท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสภาวะเศรษฐกิจ การเปิดประเทศ ไปจนถึงอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าในปี 2023 นี้กลุ่มบริษัทนั้นกลับมามีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ตัวเลข 2 หลัก แต่ก็มองถึงนักท่องเที่ยวจีนที่ต้องใช้เวลากว่าจะกลับมาคึกคักอีกรอบ

ดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงภาพรวมของบริษัทว่า การฟื้นตัวของบริษัทหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือว่าแข็งแกร่งมาก จากปัจจัยหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหลายประเทศมีการฉีดวัคซีน รวมถึงเขามองว่าความรุนแรงของโควิดลดลง หลายพื้นที่ไม่มีการใส่หน้ากากอนามัยแล้ว

แม้ว่าจะพบกับอุปสรรคจากเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ยในยุโรป แต่ตัวเลขต่างๆ ของบริษัทดีกว่านักวิเคราะห์คาดไว้ ตลาดหลายที่บริษัทดำเนินการนั้นแข็งแกร่ง แน่นอนว่าไทยเป็นประเทศปลายทาง 1 ใน 5 นักท่องเที่ยวสนใจเข้ามา แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนยังไม่เข้ามา

ขณะเดียวกันสายการบินตอนนี้เที่ยวบินเต็ม แถมมีจำนวนจำกัด ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 

สำหรับผลประกอบการ Q3 ของปี 2022 ที่ผ่านไปนั้น เขามองว่าจะเป็นมาตรฐานของไตรมาส 4 และหลังจากนี้ ขณะเดียวกันบริษัทก็จะเพิ่มราคาห้องพักขึ้นมาเพื่อรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และเรตค่าห้องพักของโรงแรมนั้นเพิ่มขึ้นมากว่าช่วงก่อนโควิดไปแล้วกว่า 20% ในหลายๆ ที่ เช่น มัลดีฟ ออสเตรเลีย ฯลฯ หรือแม้แต่ประเทศไทย

โดย Positioning จะพาไปดูถึงภาพรวมในปี 2022 ที่ผ่านมา รวมถึงกลยุทธ์บริษัทในปี 2023 ว่ามีอะไรบ้าง

กลุ่มโรงแรม

หัวเรือใหญ่ของกลุ่ม Minor ได้กล่าวว่าในปี 2022 ที่ผ่านมาบริษัทนั้นถือเป็นผู้เล่นในกลุ่มโรงแรมทั่วโลกใหญ่ติด 1 ใน 10 และบริษัทในตอนนี้ได้มีการกระจายการลงทุนทั่วโลก ขณะเดียวกันหลายคนสงสัยการฟื้นตัวของยุโรป จากสภาวะเศรษฐกิจต่างๆ แต่เขาชี้ว่าธุรกิจโรงแรมในยุโรปฟื้นตัวแรงแข็งแกร่ง

ขณะที่ธุรกิจที่อื่นๆ อย่าง มัลดีฟ ตะวันออกกลางก็ฟื้นตัวได้แข็งแกร่งเช่นกัน ซึ่งโรงแรมในตะวันออกกลางนั้นได้ประโยชน์จากสายการบิน ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวอินเดีย รัสเซีย ส่วนที่ออสเตรเลียก็แข็งแกร่งมาก เขาชี้ว่าดีที่สุดนับตั้งแต่การซื้อกิจการ

สำหรับในประเทศไทย โรงแรมที่ภูเก็ตเติบโตแข็งแกร่งมาก เพราะนักท่องเที่ยวอินเดีย รัสเซีย และชาวยุโรปมาเที่ยว เขาชี้ว่าเวลานี้ภูเก็ตนั้นเหมือนเป็นฮับการท่องเที่ยว ขณะที่ภาพรวมนั้นภูเก็ตถือว่ามีความต้องการสูงจากนักท่องเที่ยวมาก เป็นผลส่วนหนึ่งมาจากนโยบายภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์

แม้ว่าก่อนหน้านี้ประเทศจีนจะยังไม่เปิดประเทศ แต่เขาชี้ว่าธุรกิจโรงแรมก็ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว หลายประเทศเปิดมากขึ้น สายการบินก็จะเปิดเที่ยวบินมากขึ้น ส่งผลดีต่อบริษัทมากขึ้น

ผู้บริหารของ Minor กล่าวว่ากลุ่มโรงแรมในทวีปยุโรป เช่น NH Hotels ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง – ภาพจาก Shutterstock

กลุ่มธุรกิจอาหาร

ดิลลิปได้กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจอาหารนั้นมีกำไรตั้งแต่พฤษภาคมที่ผ่านมา ในไตรมาส 3 ของปี 2022 นั้นมีนรายได้เติบโตมากถึง 30% ขณะที่กำไรเติบมากกว่าปีที่แล้วถึง 4 เท่า เขาชี้ว่าธุรกิจอาหารในไทยและออสเตรเลียเป็นตัวขับเคลื่อน

แม้ว่าในประเทศจีนจะล็อกดาวน์ก็ตาม แต่เขามองว่าเทรนด์ธุรกิจนั้นจีนจะฟื้นตัวเหมือนกับช่วงการแพร่ระบาดของโควิด และจีนคลายล็อกดาวน์ในช่วงปี 2020 เขายังได้ย้ำว่าแม้ว่าตอนนี้จะไม่มีรายได้จากจีน ก็มีไทย ออสเตรเลีย รวมถึงสิงคโปร์ ที่ทำรายได้เติบโตตลอด

นอกจากนี้บริษัทปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เช่น หันมาทำ Craft Bar ของ Swensen’s รวมถึงปรับโฉมแบรนด์ และการลดต้นทุน ทำให้กำไรกลับมาอีกครั้งได้

กลุ่มธุรกิจ Lifestyle

กลุ่มนี้รายได้กับกำไรอาจส่งผลกับบริษัทน้อย แต่เขาชี้ว่าบริษัทให้ความสำคัญอยู่เช่นกัน โดยใช้กลยุทธ์การลดต้นทุน ใช้ช่องทาง E-commerce มากขึ้น ปิดตัวแบรนด์บางตัว และปรับปรุงโครงสร้างของกลุ่ม ส่งผลทำให้มีกำไรมากขึ้นในปีที่ผ่านมา

กลยุทธ์บริษัทปี 2023

สำหรับกลยุทธ์ในปี 2023 ดิลลิปได้กล่าวว่ามีโรงแรมที่จะกำลังเปิดหลังจากนี้อีกจำนวนมากถึง 70 โรงในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะลงทุนเองหรือบริษัทได้เข้าไปบริหาร ขณะเดียวกันเขาก็รอดูนักท่องเที่ยวจีนกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นโอกาสของการเติบโต

นอกจากนี้บริษัทยังได้ผลักดัน Loyalty Program ซึ่งตอนนี้มีสมาชิก 22 ล้านคนทั่วโลกที่รวมโรงแรมในเครือของบริษัทไว้มากกว่าเครือโรงแรมคู่แข่งอีกด้วย

ขณะที่กลุ่มธุรกิจอาหารนั้น บริษัทได้เปิดร้าอาหารใหม่ทั้งในยุโรป ตะวันออกกลางอย่าง ซาอุดิอาระเบีย เขาชี้ถึงเทรนด์การกลับมากินอาหารในร้านมากขึ้น ขณะเดียวกันแบรนด์ก็ต้องสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด อย่างการทำเมนูใหม่ๆ รวมถึงเปิดร้านอาหารที่ตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้า เช่น เปิดร้านบอนชอนนอกกรุงเทพมากขึ้น ร้านชานม Gaga ขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะทั้งในประเทศและนอกประเทศมากขึ้น เช่น ยุโรป ตะวันออกกลาง

หัวเรือใหญ่ของกลุ่ม Minor คาดว่ารายได้จะโตไม่ต่ำกว่า 2022 ราวๆ 20% บริษัทจะได้ผลดีจากนักท่องเที่ยวจีน หรือรายได้จากกลุ่มอาหารในประเทศจีน นอกจากนี้เขายังมองว่ารายได้และกำไรจะแข็งแกร่ง จากการรีดประสิทธิภาพของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา และชี้ว่าปี 2023 จะทำให้ธุรกิจแข็งแกร่งมากกว่าเดิม

สิ่งที่ทำให้บริษัทเติบโต

กลยุทธ์ที่ทำให้บริษัทเติบโตได้นั้น ดิลลิปชี้ว่า ต้องมีแบรนด์ที่เป็นผู้ชนะอยู่ในพอร์ตโฟลิโอของบริษัทในหลายธุรกิจ รวมถึงจะต้องตอบโจทย์ลูกค้า ดูความต้องการของลูกค้าว่าต้องการอะไร ขณะที่คนที่ทำงานในบริษัทจะต้องเน้นในเรื่องการทำงานเป็นทีม และรวมถึงทำธุรกิจด้วยความยั่งยืน เนื่องจากบริษัทติดในดัชนีหลายตัว เช่น DJSI หรือ MSCI รวมถึง FTSE For good และยังต้องความโปร่งใสให้กับนักลงทุน มีความสม่ำเสมอด้วย

นอกจากนี้เขายังเล่าเรื่องของการปรับตัว โดยบริษัทนั้นไม่ได้นั่งเฉยๆ แต่หาโอกาสใหม่ๆ เช่น ซื้อโรงแรมในยุโรป แต่ก็รู้ว่าต้องเก็บกระแสเงินสด เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้พนักงานมี Productivity การวางแผนด้าน Supply Chain รวมถึงเรื่องการเงินของบริษัทที่ต้องบริหารอย่างชาญฉลาด

นอกจากนี้เขายังเน้นว่าแม้ว่าบริษัทจะขยายธุรกิจ แต่ดูเรื่องงบดุลของบริษัทด้วย ซึ่งเป็นบทเรียนจากช่วงโควิด-19 ที่บริษัทจะต้องมีกระแสเงินสดไว้

สำหรับมุมมองที่มีต่อนักท่องเที่ยวจีนนั้น เขามองว่าต้องใช้เวลาสักพัก โดยเฉพาะเรื่องของสายการบิน รวมถึงการเคลียร์วีซ่า 6-9 เดือนถึงจะเห็นความคึกคัก รวมถึงคนจีนน่าจะเที่ยวในประเทศอย่างการเยี่ยมเยือนญาติพี่น้องก่อน ขณะปัญหาการขาดแคลนแรงงาน ทางบริษัทได้เปิดโรงเรียนด้านการโรงแรม AIHM กับสถาบันในสวิตเซอร์แลนด์ นั่นจะทำให้คนทำงานด้านนี้เพิ่มจำนวนมากขึ้น บุคลากรสามารถทำงานได้ทั่วโลก

]]>
1416012
แอบส่อง…โรงแรมหรูที่สุดในโลกที่มาเก๊า ค่าห้องพักคืนละเกือบ 3 ล้าน (ชมคลิป) https://positioningmag.com/62747 Sun, 13 Mar 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62747
“เดอะ 13 (The 13)” โรงแรมสุดหรูในมาเก๊า กำลังถูกยกให้เป็นโรงแรมที่หรูหราที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการลงทุนนับ 1 พันล้านยูโร หรือราว 3.8 หมื่นล้านบาท เตรียมเปิดให้บริการช่วงปลายฤดูร้อนปีนี้ มีห้องพักสุดหรูราว 200 ห้อง 
 
บริษัทหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์ (Louis XIII Holdings Ltd) ซึ่งกำลังจะเปลี่ยนชื่อเป็น “เดอะ 13 โฮลดิ้งส์” (The 13 Holdings Ltd.) เผยภาพการตกแต่งบริเวณชั้นทางเข้า และภายในห้องพัก Villa du Comte ของ “เดอะ 13 (The 13)” โรงแรมหรูสไตล์พระราชวังแวร์ซายส์แห่งฝรั่งเศส
 
ห้องพัก Villa du Comte ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็กที่สุด ด้วยพื้นที่ราว 185 ตารางเมตร ตกแต่งด้วยงานศิลปะหรูหรา และชุดเฟอร์นิเจอร์ซึ่งออกแบบโดยศิลปินระดับแนวหน้า ภายในห้องน้ำ มีอ่างอาบน้ำหินอ่อนสไตล์โรมัน รองรับคนได้ถึง 8 คน สามารถเลื่อนแผ่นหินอ่อนปิดกลายเป็นพื้นได้เมื่อไม่ใช้งาน บริเวณห้องอาบน้ำตกแต่งด้วยกระจกสี และเสาสไตล์นีโอคลาสสิค ส่วนด้านบนเพดานตกแต่งด้วยจิตรกรรมฝาผนังสไตล์บาโรค และโคมระย้าแชนเดอเลียร์ 
 
รายงานระบุว่า ห้องพักขนาดใหญ่ที่สุดของโรงแรมคือห้อง Villa de Stephen ซึ่งมีขนาดราว 2,700 ตารางเมตร โดยรายละเอียดของห้องยังถูกเก็บเป็นความลับ คาดกันว่าจะมีราคาค่าเข้าพักราว 2.7 ล้านบาทต่อคืน
 
ทุกห้องพักมีพนักงานบริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยพนักงานบริการทุกคนผ่านการอบรมจาก “เอ็มซีเอ็ม พาเลซ คอนซัลแตนท์” (MCM Palace Consultant) สถาบันฝึกอบรมการให้บริการชื่อดังในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และได้รับประกาศนียบัตรจากสมาคมวิชาชีพพนักงานบริการโรงแรมแห่งประเทศอังกฤษ (Guild of Professional English Butlers) 
 
นอกจากนี้ โรงแรมยังจัดบริการรับส่งแขกด้วยรถ “โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม” (Rolls-Royce Phantom) ราคา 5 ล้านยูโร หรือราว194 ล้านบาท จำนวน 30 คัน ให้บริการโดยพนักงานขับรถ ซึ่งผ่านการอบรมจากประเทศอังกฤษ เพื่อคอยบริการรับส่งแขกไปกลับยังสถานที่ต่างๆ
 
รายงานระบุว่า ทุกรายละเอียดในการตกแต่งโรงแรมถูกสั่งทำขึ้นเพื่อโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นลายฉลุประดับโรงแรม รูปปั้น ลวดลายผนังห้อง ชุดเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร หรือแม้แต่รถโรลส์-รอยซ์ แฟนทอม
 
โรงแรมเดอะ 30 เป็นโครงการของ นายหง หย่งสือ หรือ “Stephen Hung” อภิมหาเศรษฐีจีน ประธานบริษัทร่วมของบริษัทหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์ อดีตวาณิชธนากร (Investment Banker) ผู้เป็นที่รู้จักดีในเรื่องการใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ซึ่งเคยตกเป็นข่าวดังในปี 2557 เมื่อเขาเดินทางไปยังประเทศอังกฤษ เพื่อวางเงินจำนวน 14 ล้านยูโร หรือราว 543 ล้านบาท ในการสั่งผลิต “โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม” (Rolls-Royce Phantoms) รถยนต์สุดหรูจำนวน 30 คัน สำหรับโรงแรมเดอะ 13 ซึ่งนับเป็นการสั่งซื้อรถรุ่นนี้จำนวนมากที่สุด ในการสั่งซื้อเพียงครั้งเดียว
 
รายงานระบุว่าชื่อ “เดอะ 13” ได้ถูกตั้งตามพระนามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ผู้สร้างพระราชวังแวร์ซาย โดยนายหงกล่าวว่า ชื่อนี้สะท้อนการผสมผสานแรงบันดาลในจากศิลปะบาโรคและแบบของศิลปะร่วมสมัยที่นำมาใช้ในการออกแบบโรงแรม แสดงออกถึงเอกลักษณ์ในการใช้ชีวิตหรูหรา นอกจากนี้ เลข 13 ยังเป็นหมายเลขนำโชคของนาย หง
 
นายหงระบุต่อไปว่า โรงแรมเดอะ 13 เป็นผลงานแห่งความรัก ซึ่งเขาและทีมงานได้ใช้ทุกความคิดสร้างสรรค์ เพื่อความสมบูรณ์ในทุกรายละเอียดของโรงแรม โดยเขามั่นใจว่าลูกค้าของโรงแรมจะได้รับประสบการณ์ที่พิเศษสุดกว่าที่ใด “แบบของโรงแรม เป็นการเสนอนัยของศิลปะแบบเก่า ขณะที่ใส่ความเฉียบคมของความเก๋และสนุกแบบสมัยใหม่ “
 
 

ประดับบริเวณห้องอาบน้ำด้วยกระจกสี และเสาสไตล์นีโอคลาสสิค (ภาพหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์)
 

ห้องพัก Villa du Comte ซึ่งเป็นห้องขนาดเล็กที่สุด ด้วยพื้นที่ราว 185 ตารางเมตร ตกแต่งด้วยงานศิลปะหรูหรา และชุดเฟอร์นิเจอร์ซึ่งออกแบบโดยศิลปินระดับแนวหน้า (ภาพหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์)
 

ภายในห้องน้ำ มีอ่างอาบน้ำหินอ่อนสไตล์โรมัน กว้างพอสำหรับสำหรับแขกจำนวน 8 คน สามารถเลื่อนแผ่นหินอ่อนปิดกลายเป็นพื้นได้เมื่อไม่ใช้งาน(ภาพหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์)
 

โรงแรมยังจัดบริการรับส่งแขกด้วยรถ “โรลส์-รอยซ์ แฟนทอม” (Rolls-Royce Phantom) ราคา 5 ล้านยูโร หรือราว194 ล้านบาท จำนวน 30 คัน(ภาพหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์)
 
 

บรรยากาศเมื่อเดินออกจากลิฟท์ส่วนตัว(ภาพหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์)
 

ทุกห้องมีมีบริการลิฟท์ส่วนตัว มุ่งตรงสู่ห้องพัก(ภาพหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์)
 

ภาพนายหง หย่งสือ ขณะจับมือกับนาย Torsten Mueller-Oetvoes ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของโรลส์-รอยซ์ (ภาพหลุยส์ 13 โฮลดิ้งส์)
 

]]>
62747