Influencer – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 16 Apr 2024 09:53:13 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 SHOUT Together เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ ครบวงจร มองตลาด Affiliate ยังโตต่อเนื่อง ตั้งเป้า GMV 100 ล้านภายในปีนี้ https://positioningmag.com/1469787 Fri, 12 Apr 2024 09:27:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1469787 เชาท์ ทูเกทเตอร์ (SHOUT Together) เปิดตัว ‘SHOUT’ แพลตฟอร์ม ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ ครบวงจร โดยชูจุดเด่นในการลดต้นทุนของเอเจนซี่หรือแบรนด์ต่างๆ ในการจ้าง Influencer หรือทำแคมเปญด้านการตลาด เนื่องจากในปัจจุบันตลาด Affiliate ยังโตต่อเนื่อง

บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด (SHOUT Together) ประกาศเปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘SHOUT’ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มด้าน ‘อินฟลู-คอมเมิร์ช’ โดยเจาะลูกค้าไม่ว่าจะเป็นเอเจนซี่ หรือแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการหาอินฟลูเอนเซอร์ โดยมองถึงตลาด Affiliate Marketing ยังเติบโตต่อเนื่องในประเทศไทย

จิรพัฒน์ บุณยะเวชชีวิน Co-founder และ CEO ผู้บริหารของ SHOUT Together ได้กล่าวถึงประสบการณ์ในการทำงานของตัวเขาในสายงานเอเจนซี่ และพบว่าตลาดไลฟ์ขายสินค้านั้นเติบโตมากขึ้น รวมถึงช่องทางที่อาศัยอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) หรือ Key Opinion Leader (KOL) ในการช่วยทำการตลาด หรือที่เรารู้จักกันดีอย่าง Affiliate Marketing นั้นก็กำลังเติบโตอย่างมาก

CEO ของ SHOUT Together ยังชี้ว่าตลาดของ Affiliate Marketing นั้นจะมีขนาดใหญ่กว่าตลาดของ Influencer ถึง 20 เท่า

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าลูกค้าที่เป็นแบรนด์ต่างๆ เองนั้นพบกับ 3 ปัญหาใหญ่ ได้แก่ การใช้ Influencer ผิดคน ซึ่งทำให้ไม่ตรงเป้าหมายของลูกค้า ขณะเดียวกันการใช้ Influencer เองนั้นมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันไป อาจทำไปแล้วไม่คุ้มกับการลงทุน รวมถึงการทำแคมเปญการตลาดนั้นมีต้นทุน และอาจมีความเสี่ยงในเรื่องความคุ้มค่าของค่าใช้จ่ายที่ใช้จ่ายลงไป

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้จิรพัฒน์และทีมงานได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ‘SHOUT’ ขึ้นมาเพื่อที่จะตอบโจทย์ดังกล่าว ซึ่งบริษัทได้รับเม็ดเงินลงทุนเริ่มต้นจาก PinPung รวมถึงนักลงทุนรายอื่นๆ ในปี 2023 ที่ผ่านมาเป็นเงิน 5 ล้านบาท

เขาได้กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Data หรือ Automated Platform สามารถทำให้การทำ Influencer Campaign ต่างๆ สามารถทำได้สะดวก รวดเร็วและตอบโจทย์ธุรกิจได้แม่นยำขึ้น ทั้งจากการใช้ข้อมูลต่างๆ มาคัดเลือกอินฟลูฯ ที่ตรงโจทย์ในราคาที่เหมาะสม สามารถจัดการแคมเปญ ตรวจสอบสถานะการทำงาน อินฟลูฯ อัตโนมัติ และวัดผลยอดขายได้อย่างเป็นระบบ มีรายงานที่สวยงามพร้อมใช้งานในการประเมินผลลัพธ์”

จิรพัฒน์ บุณยะเวชชีวิน – Co-founder และ CEO ผู้บริหาร บริษัท เชาท์ ทูเกทเตอร์ จำกัด / ภาพจากบริษัท

สำหรับขั้นตอนในการใช้งานแพลตฟอร์ม SHOUT สำหรับแบรนด์หรือเอเจนซี่ ประกอบไปด้วย

  • สร้างบัญชีผู้ใช้งานนักการตลาด และเข้าสู่ระบบ
  • สร้างแคมเปญ และเลือก Social Media และ Scope งานที่ต้องการทำแคมเปญ เช่น Instagram Reels, Facebook Photo Album, YouTube Tie-in, X (Twitter) Album Post / TikTok Video เป็นต้น
  • ระบุสินค้าหรือบริการที่ต้องการโปรโมต พร้อมช่องทางการขาย และ ค่าตอบแทนที่ต้องการให้อินฟลูฯ
  • เลือกอินฟลูฯ ที่ต้องการ โดยในแพลตฟอร์มสามารถเลือกดูข้อมูลต่างๆ รวมถึงราคา นอกจากนี้ยังสามารถเจรจาต่อรองราคาอินฟลูฯ ได้
  • ระบุรายละเอียดการทำงานแลระยะเวลาทำแคมเปญ
  • เริ่มต้นแคมเปญ จัดการ ตรวจงานอินฟลูฯ ผ่านแพลตฟอร์ม
  • ตรวจสอบผลลัพธ์ด้วยข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาดและยอดขาย

นอกจากนี้ จิรพัฒน์ ยังชี้ว่าแพลตฟอร์ม SHOUT ยังช่วยให้แบรนด์หรือเอเจนซี่ประหยัดต้นทุนได้ถึง 60% โดยเขายกตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไม่ต้องติดต่อผ่านโทรศัพท์บ่อยๆ ฯลฯ และลดระยะเวลาการทำงานได้ถึง 95% เช่น เวลาในการทำเอกสาร หรือการโอนเงิน ฯลฯ

จิรพัฒน์ ยังมองว่าการใช้ KOL เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญการตลาดนั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับแบรนด์ต่างๆ แล้ว และตอนนี้มี Influencer เกิดใหม่เรื่อยๆ สิ่งที่สำคัญสุดคือแบรนด์ต้องการอะไร เป้าหมายคืออะไร แล้วต้องมาดู Influencer ว่าตรงกับเป้าหมายหรือไม่ แล้วก็ต้องดูถึงความครีเอทีฟของ Influencer ว่าจะทำยังไง

นอกจากนี้เขามองว่าเทรนด์ Influencer จะร่วมทำงานกัน ทั้งในไทยหรือแม้แต่ไทยต่างประเทศ โดยเขายกตัวอย่างกรณีของ แน็ก ชาลี ไตรรัตน์ กับ กามิน ซึ่งเป็น Influencer ชาวเกาหลี หรือกรณีที่แร็ปเปอร์ชาวไทย มาจับมือกับ แร็ปเปอร์ต่างชาติ เป็นต้น

ผู้บริหารสูงสุดของ SHOUT Together ยังมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้วิธีทำแคมเปญการตลาดของแบรนด์ต่างๆ จะต้องคิดมากขึ้น

ขณะเดียวกันตลาด Affiliate Marketing ที่เติบโตมากขึ้น ทำให้ค่าคอมมิชชั่นถือว่ามีสำคัญ เขายังมองว่าบางแบรนด์อาจเจรจาในเรื่องสัดส่วนคอมมิชชั่น และมองว่าแผนการตลาดหรือการทำแคมเปญจะเป็นระยะยาวมากขึ้นได้ อาจไม่ใช่แคมเปญที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ ซึ่ง Influencer นั้นจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่แบรนด์ก็จะมียอดขายเพิ่มขึ้น

โมเดลรายได้ของ SHOUT หลังจากนี้นั้น จิรพัฒน์ กล่าวว่าจะเก็บค่าคอมมิชชั่นราวๆ 15% ปัจจุบันมี Influencer อยู่ในแพลตฟอร์มราวๆ 8,000 คน และเขามองว่าการสร้างแพลตฟอร์มของบริษัทขึ้นมาไม่ได้เป็นคู่แข่งกับเอเจนซี่ แต่เป็นเหมือนระบบหลังบ้านที่ทำให้เอเจนซี่หรือแบรนด์ต่างๆ ทำงานได้ง่ายขึ้น

สำหรับเป้าหมายของ SHOUT Together นั้น CEO รายดังกล่าวได้กล่าวว่า ตอนนี้เริ่มรุกตลาดจริงจัง ตั้งเป้าว่าภายในปี 2024 นี้บริษัทจะมียอดขายสินค้าออนไลน์รวม หรือ GMV ที่ 100 ล้านบาท และมี Influencer บนแพลตฟอร์ม 20,000 ราย และถ้าหากมีการระดมทุนในรอบถัดไปเขาคาดหวังว่ามูลค่าบริษัท 300-500 ล้านบาท

]]>
1469787
CNBC รายงานหลัง Meta ปลดพนักงาน เหล่า Influencer เผยว่าติดต่อบริษัทยาก ทำงานลำบากขึ้น https://positioningmag.com/1426943 Mon, 10 Apr 2023 07:58:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1426943 เมื่อ Meta บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ได้ปลดพนักงานถึงหลักหมื่นคน โดยให้เหตุผลเรื่องการปรับโครงสร้าง หรือแม้แต่การลดต้นทุน แต่ผลกระทบของบริษัทนั้นไม่ใช่แค่พนักงานเท่านั้นแต่ยังรวมถึง Influencer หรือแม้แต่ธุรกิจต่างๆ ที่ต้องใช้งาน Social Network ของทางบริษัท 

CNBC ได้รายงานข่าวว่าหลังจาก Meta บริษัทแม่ขอทั้ง Facebook หรือ Instagram ฯลฯ ว่าหลังจากที่บริษัทได้มีการปลดพนักงานชุดใหญ่ระดับหลักหมื่นคนนั้นไม่ใช่มีแค่ผลกระทบต่อพนักงานที่ถูกปลดไปเท่านั้น แต่ล่าสุดผลกระทบยังตามมาถึงเหล่า Influencer ด้วย

สื่อรายดังกล่าวได้รายงานถึงชีวิตของ Katya Karlova ซึ่งเธอเคยเป็นนางแบบแต่ในช่วงหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เธอต้องหันมาเป็น Influencer บน Instagram แทน ซึ่งมีผู้ติดตามมากถึง 250,000 คน หลังจากที่ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นเธอก็ได้เริ่มที่จะโพสต์รูปของเธอลงเพื่อที่จะติดต่อหาช่างภาพ หรือหาโอกาสที่เพิ่มมากกว่าเดิม

ในช่วงเวลาที่เธอรุ่งโรจน์นั้นทาง Instagram มองว่าเธอนั้น “โดดเด่นและไม่เหมือนใคร”

แต่หลังจากที่ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีรายดังกล่าวได้ประกาศปลดพนักงานถึง 2 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งรอบล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาคาดว่ามีพนักงานมากถึง 10,000 คน ซึ่ง Meta ได้ชี้แจงว่าบริษัทกำลังที่จะปรับเปลี่ยนโครงสร้างภายในให้ดีมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการยกเลิกตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครซึ่งมีราวๆ 5,000 ตำแหน่งออกไปด้วย

และนั่นทำให้ชีวิตของ Katya ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เมื่อการปลดพนักงานของ Meta นั้นส่งผลทำให้พนักงานที่ทำงานกับลูกค้า ซึ่งรวมถึง Influencer นั้นต้องโดนปลดออกไป นอกจากนี้การปลดพนักงานออกไปจำนวนมากยังส่งผลทำให้มีบัญชีปลอมที่สร้างโปรไฟล์เหมือนเธอ แม้ว่าเธอจะแจ้งไปยังบริษัทก็ไม่มีการตอบรับใดๆ ซึ่งแตกต่างกับช่วงก่อนหน้าที่มีการจัดการอย่างทันท่วงที

นอกจากนี้รายงานของ CNBC ยังได้สัมภาษณ์ธุรกิจขนาดเล็ก Influencer รายอื่นๆ หรือแม้แต่อดีตพนักงานของ Meta นั้นพบว่าการติดต่อกับผู้ดูแลด้านต่างๆ ทำได้ยากขึ้น แม้ว่าบริษัทจะออกมากล่าวว่ากำลังมีการปรับปรุงในส่วนของการดูแลลูกค้าหรือให้การสนับสนุนด้านต่างๆ ก็ตาม

ไม่เพียงเท่านี้ MeLynda Rinker ซึ่งเธอเป็นเจ้าของกลุ่มใน Facebook ที่มีผู้ใช้งานในกลุ่มเป็นหลักแสนคนนั้นก็พบว่ามีปัญหาในการใช้งานก็ไม่สามารถที่จะติดต่อกับพนักงานให้ดูแลในปัญหาดังกล่าวได้ ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทมีกลุ่มสำหรับแจ้งปัญหาสำหรับเหล่า Influencer หรือเจ้าของกลุ่มที่มีผู้ใช้งานหลักแสนคนไว้โดยเฉพาะ แต่ก็ได้ปิดตัวลงในช่วงต้นปีหลังจากมีการปลดพนักงานชุดใหญ่

ขณะเดียวกันผู้ใช้งานหลายรายก็ประสบปัญหาเรื่องของอัลกอริทึ่ม อย่างในกรณีของ Katya นั้นอัลกอริทึ่มมองว่าโพสต์ของเธอมีลักษณะเนื้อหาส่อไปทางเพศ ทำให้โพสต์ที่เธอได้ร่วมงานกับแบรนด์ต่างๆ นั้นถูกมองเห็นลดลง ซึ่งส่งผลกระทบกับเธอ

ผลกระทบในส่วนของงานดูแลลูกค้าเหล่านี้ถือว่าเป็นส่วนที่ไม่สร้างกำไรให้กับบริษัท ทำให้บริษัทตัดสินใจที่จะปลดพนักงานที่ดูแลในส่วนนี้ หรือแม้แต่เลิกจ้างบริษัทภายนอกที่ดูแลในด้านนี้ และผลดังกล่าวก็ยังกระทบไปยัง Ecosystem ของบริษัทอีกด้วยนั่นก็คือเหล่า Influencer ไปจนถึงลูกค้าที่ลงโฆษณากับบริษัท

]]>
1426943
เจาะเทรนด์ ‘Influencer Marketing’ 2023 หมดยุคเบอร์ใหญ่เน้นใช้ตัวเล็กมุ่ง ‘ขาย’ เป็นหลัก https://positioningmag.com/1422145 Tue, 07 Mar 2023 10:09:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1422145 ปี 2023 ถือเป็นปีที่นักการตลาดและแบรนด์หลายคนมองว่าเป็นปีสำหรับการ ‘Recover’ หลังจากต้องเจอกับโควิดตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปีนี้เป็นปีที่ทุกแบรนด์มุ่งหาแต่ ยอดขาย เป็นหลัก ส่งผลให้ Landscape การใช้งาน Influencer Marketing เปลี่ยนไป เน้นใช้ระดับ Micro-Nano มุ่งเพิ่มยอดขายเป็นหลัก

เม็ดเงินใน Influencer เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ

ภาพรวมของ โฆษณาดิจิทัล ในปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มอย่าง Facebook ของ Meta ยังคงเป็นที่ 1 แต่จะเห็นส่วนแบ่งที่ลดลงจากเดิม 40% เหลือ 33% ส่วนอันดับ 2 อย่าง YouTube ลดลงจาก 20% เหลือ 15% ขณะที่ Online Video อื่น ๆ โดยเฉพาะแพลตฟอร์ม OTT เติบโตขึ้น และที่น่าสนใจก็คือ เม็ดเงินใน Influencer หรือ KOLs ต่าง ๆ อยู่อันดับ 4 มีมูลค่า 2,280 ล้านบาท

“ตอนนี้แพลตฟอร์ม Facebook, YouTube ยังเป็นผู้นำแต่สัดส่วนลดลงเรื่อย ๆ ขณะที่ TikTok ร้อนแรงจริง แต่เม็ดเงินโฆษณาที่ลงตรงกับแพลตฟอร์มยังน้อย มีมูลค่าเพียง 800 กว่าล้านบาท เพราะแบรนด์หรือนักการตลาดใช้เงินไปกับ Influencer โดยตรง” ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จํากัด หรือ เอ็มไอ กรุ๊ป กล่าว

การใช้งาน Influencers กลับหัวจากล่างขึ้นบน

แนวโน้มการทำอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งจากนี้ คือ สร้างยอดขาย ขณะที่แบรนด์เริ่มเรียนรู้แล้วว่า ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียจะเชื่อใน Influencers ระดับ Micro-Nano หรือ KOCs (Key opinion consumer) มากกว่า เพราะมองว่าเป็นผู้ใช้จริงมากกว่า ดารา หรือเซเลบเบอร์ใหญ่ ทำให้ในมุมที่แบรนด์ต้องการจะขายของ แบรนด์จึงใช้ Micro-Nano มากกว่า โดยเฉพาะใน Affiliate Marketing

ที่น่าสนใจคือ มีความเป็นไปได้ที่การใช้ Influencers ระดับ Micro-Nano จะใช้เงินน้อยกว่า แต่อาจฟันธงไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าค่าจ้างอาจถูกกว่าแต่ เน้นปริมาณ นอกจากนี้ ข้อตกลงยังมีหลายรูปแบบ เช่น คิดเป็นค่าคอมมิชชั่นจากยอดขาย ทำให้ไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม แม้นักการตลาดและแบรนด์จะโฟกัสไปที่ Micro-Nano มากขึ้น แต่เชื่อว่าเม็ดเงินปีนี้จะเติบโตได้ 5% และจำนวน Influencers ระดับ Micro-Nano จะยิ่งเติบโต

“ตอนนี้อีคอมเมิร์ซไทยแข็งแรง หลายแพลตฟอร์มโซเชียลฯ ก็มุ่งเน้นไปที่การขายของ และแบรนด์ก็ต้องการเพิ่มยอดขาย ทำให้ Influencers ระดับ Micro-Nano ถูกใช้งานเพราะเขามองว่าได้ผลกว่า โดยเฉพาะกับสินค้าที่ต้องทำให้เชื่อ เช่น สกิลแคร์, อาหารเสริม ส่วนดาราหรือคนดังไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ผู้บริโภคเขามองว่าไม่ได้ใช้จริง ดังนั้น ดาราอาจเหมาะกับการสร้างอะแวร์เนสมากกว่า”

ไม่มี one for all แต่เป็น one for one 

ในวันที่พฤติกรรมผู้บริโภคไม่สามารถคาดเดาได้ในโลกดิจิทัล ผู้คนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการที่มีให้อย่างมหาศาลบนอินเทอร์เน็ตด้วยช่องทางที่หลากหลายและสามารถเสพข้อมูลแบบกระโดดข้ามไปมาระหว่าง Platform ได้อย่างอิสระ ทำให้การวางแผนการตลาดจึงไม่มีแบบ one for all แต่เป็น one for one ด้วยสารหนึ่งสารที่โดนใจ ในเวลาหนึ่งที่เหมาะสม หรือ ถูกคน-ถูกใจ-ถูกที่-ถูกเวลา

ดังนั้น คอนเทนต์ไม่ปังจริง อย่าคิดสื่อสารกับ mass ด้วยคอนเทนต์เดียวกัน เพราะผู้รับสารในยุค digital-led society เป็นกลุ่มย่อยมากขึ้น (Segmented World and Fragmented World) หากผู้รับสารไม่รู้สึกร่วม นอกจากจะการสื่อสารจะไม่เกิดผลอาจก่อให้เกิดผลเชิงลบ ดังนั้น ต้องลำดับความสำคัญทางธุรกิจของกลุ่มเป้าหมายย่อยและต้องเข้าใจและเข้าถึง Insight ของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งโดยเฉลี่ยในปัจจุบันแต่ละสินค้าและบริการจะมีประมาณ 6 กลุ่มย่อย

KOLs และ KOCs ย่อย ๆ กลายเป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารการตลาดปีนี้ เพราะวัดผลการขายได้เลยและเข้าถึงกลุ่มย่อยได้ชัดเจน แต่แน่นอนว่าสักวันจะมีจุดอิ่มตัว ผู้บริโภคเริ่มไม่เชื่อ แต่คงไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ ดังนั้น นักการตลาดก็ต้องหาทางใหม่ ๆ เช่น คอนเทนต์ที่ฉีกไป สุดท้ายก็จะกลับมาที่ครีเอทิวิตี้อยู่ดี” ภวัต เรืองเดชวรชัย ทิ้งท้าย

]]>
1422145
เปิดเทคนิคสร้างธุรกิจผ่านฐาน “คอมมูนิตี้” จาก “มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์” ดิจิตัลเอเยนซี่ที่กำลังบูม https://positioningmag.com/1417451 Wed, 01 Feb 2023 10:00:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1417451

แบรนด์จะเติบโตได้ไม่ใช่แค่สร้างด้วยการตลาดที่เน้นเฉพาะยอดขายตรงหน้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเทคนิคที่เข้าใจพฤติกรรมคนยุคนี้ “มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์” บริษัทเอเยนซี่โฆษณาสัญชาติไทย ที่กำลังมาแรงในยุคนี้ จึงเลือกชูจุดขายการสร้างแบรนด์ผ่าน “คอมมูนิตี้” เปิดให้ลูกค้าได้สนทนากันเองเพื่อสร้างความผูกพัน หมัดเด็ดที่จะทำให้ผู้บริโภคอยู่กับแบรนด์อย่างยั่งยืน

“วันแรกๆ ที่เราเปิดบริษัท ช่วงนั้น Facebook กำลังบูม โพสต์และช่วยขายของได้ง่าย ค่าโฆษณายังค่อนข้างถูก บวกกับเราเริ่มการใช้กระแสกับคอนเทนต์เป็นเจ้าแรกๆ ทำให้สามารถสร้างฐานให้ธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว” ลิษา เลาหกรวัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด กล่าวย้อนถึงเมื่อแรกก่อตั้งบริษัทเมื่อปี 2559 โดยเริ่มจากการตลาดบนโซเชียลมีเดียและดิจิทัล

นางสาวลิษา เลาหกรวัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด

อย่างไรก็ตาม เธอกล่าวต่อว่าบริบทของการทำการตลาดดิจิทัลวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะผู้บริโภคมีความซับซ้อนมากขึ้นทั้งในแง่พฤติกรรมผู้บริโภคและแพลตฟอร์มที่ใช้งาน โซเชียลมีเดียมีจำนวนมากขึ้น และผู้บริโภคมีความสนใจที่หลากหลาย ตลาดที่เปลี่ยนทำให้ “มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์” เองมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บริษัทสามารถสร้าง “Business Solutions” ให้กับลูกค้าได้รอบด้าน ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยปัจจุบัน มาสเก็ตฯ มีการให้บริการแบ่งเป็น 3 ด้านหลัก คือ

  •  Conversation Solutions – การทำการตลาดผ่านโซเชียลมีเดีย, สร้างฐานคอมมูนิตี้ผ่านโซเชียลมีเดีย, รวบรวมและเข้าถึงอินฟลูเอนเซอร์ทุกแขนง
  •  Creative Solutions – สร้างสรรค์การตลาดและสร้างแบรนด์ โดยใช้ดาต้าและเทคโนโลยี
  • Tech Solutions – ผนึกพันธมิตรเพื่อใช้เทคโนโลยีทำการตลาด เช่น AI, Virtual Influencer, NFT, Gamification

“คอมมูนิตี้” กุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ยั่งยืน

ความซับซ้อนของผู้บริโภคเชื่อมโยงกับการสร้างแบรนด์ด้วย “คอมมูนิตี้” อย่างไร? ลิษาอธิบายว่า เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดยุคนี้ไม่ควรแบ่งกลุ่มลูกค้าเพียงแค่ เพศ วัย ภูมิลำเนา ฯลฯ เหมือนในอดีต เพราะ “ความสนใจ” หรือ “ไลฟ์สไตล์” ของคนไม่ได้แบ่งตาม “demographic” ที่ใกล้เคียงกันอีกแล้ว

“วันนี้เด็กอายุ 15 ปี อาจจะมีสิ่งที่ชอบต่างกันหลายอย่าง ขณะที่ผู้ใหญ่วัย 30 ปี อาจจะชอบสิ่งเดียวกับเด็กวัย 15 ปีก็ได้ อายุไม่ใช่กรอบจำกัดอีกต่อไปว่าจะต้องชอบเหมือนๆ กัน ยกตัวอย่างเช่น ทั้งคู่อาจชอบฟังเพลงเหมือนกัน ชอบออกกำลังกายเหมือนกัน หากแบรนด์เข้าใจไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคสินค้าตัวเอง จะสามารถสร้างสังคมความชอบเหมือนกัน ซึ่งจะช่วยให้แบรนด์เข้าไปอยุ่ในใจผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น” ลิษากล่าว

อีกประเด็นหนึ่งคือ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้รอฟังแบรนด์สื่อสารทางเดียวเท่านั้น แต่ชอบที่จะพูดคุยกันเองมากกว่า แบรนด์มีหน้าที่จับกระแสที่สังคมพูดคุยกันมาต่อยอดเป็นการตลาด หรือเรียกว่า “Reverse Marketing”

เมื่อต้องเจาะกลุ่มเป้าหมายตาม “ความสนใจ” และผู้บริโภคยังชอบการพูดคุยกันเอง ทำให้ “คอมมูนิตี้” คือคำตอบที่ใช่

มาสเก็ตฯ ได้หยิบวิธีการนี้มาเป็น “จุดแข็ง” ของบริษัทในการบริการลูกค้าแบรนด์มาตลอด โดยมีทั้งการ “สร้าง” คอมมูนิตี้ให้กับแบรนด์โดยเฉพาะ ผ่านกลยุทธ์ที่กระตุ้นให้เกิดความสนใจโดยกลุ่ม Influencer เพื่อให้เกิดบทสนทนาอย่างต่อเนื่องในคอมมูนิตี้เพื่อที่ในที่สุดผู้บริโภคจะสร้างการสนทนากันเองอย่างเป็นธรรมชาติ จนเกิดความผูกพันกับคอมมูนิตี้และแบรนด์ต่อไป

อีกส่วนหนึ่งคือความเข้าใจของทีมงานต่อคอมมูนิตี้นั้นๆ เพื่อจะจับกระแสในการทำการตลาดต่อได้ เช่น จากการศึกษาอินไซต์ของผู้ใช้รถยนต์รุ่นหนึ่ง พบว่ามีกลุ่มใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ทำให้มาสเก็ตฯ เข้าไปทำการตลาดผ่านความสนใจของการเป็นผู้ปกครองนักเรียน จนทำให้เกิดกระแสการแนะนำต่อแบบปากต่อปากทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

ตัวอย่างงานของมาสเก็ตฯ ที่ใช้กลยุทธ์นี้จนประสบความสำเร็จ เป็นแคมเปญแบรนด์ยาชนิดหนึ่ง ซึ่งในทางกฎหมายผลิตภัณฑ์ยาไม่สามารถโฆษณาได้ มาสเก็ตฯ จึงได้ใช้การสร้างคอมมูนิตี้ผ่านโซเชียลมีเดีย ในการให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพผู้หญิง จัดกิจกรรมอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นชุมชนที่ผู้หญิงสามารถมาพูดคุยปัญหากัน มีผู้ติดตามกว่า 250,000 คน ซึ่งแพลตฟอร์มนี้กลายเป็นพื้นที่ที่ส่งเสริมผู้หญิงกล้าที่จะปรึกษาเภสัชกรได้ทั่วประเทศ


รวดเร็ว ล้ำสมัยเรื่องดิจิตัล เพื่อตอบโจทย์ธุรกิจ

อีกหนึ่งจุดแข็งของมาสเก็ตฯ คือการปรับตัวใช้เครื่องมือเทคโนโลยีได้รวดเร็ว และนำมาใช้กับการสร้างสรรค์งานให้ลูกค้า ตัวอย่างเช่น แคมเปญของ TRAFFIC องค์กรไม่แสวงหากำไร ที่ต้องการรณรงค์ให้คนไทยหยุดสนับสนุนเครื่องรางที่ทำมาจากอวัยวะสัตว์ป่า เช่น งาช้าง มาสเก็ตฯ จึงสร้างสรรค์ไอเดียร่วมกับการใช้เทคโนโลยี “ยันต์ออนไลน์” ที่ customized เฉพาะบุคคล เป็นการสร้างตัวเลือกใหม่ให้คนเปลี่ยนมาเลือกใช้แทนการใช้เครื่องรางจากสัตว์ป่า

แนวทางของบริษัทที่เน้นเทคโนโลยีมาเป็นแกนหลัก ทำให้ล่าสุดบริษัทมีการพัฒนา Virtual Influencer ขึ้นมาในชื่อ “พะพราว” อินฟลูฯ เสมือนจริงภายใต้คอนเซ็ปต์ “Powerful” ผู้หญิงแกร่ง แข็งแรง มีพลังเหนือธรรมชาติ แตกต่างจากที่มีมาก่อนในตลาดเอเชียซึ่งอินฟลูฯ เสมือนจริงมักจะเป็นหญิงสาวน่ารัก ตัวเล็ก ทำให้พะพราวน่าจะเป็นตัวเลือกใหม่ในวงการได้

ลิษาเชื่อว่า Virtual Influencer น่าจะเริ่มติดตลาดในไทยในปีนี้ และอนาคตน่าจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเหมือนกับในญี่ปุ่น ขณะที่แบรนด์จะได้ประโยชน์จากการเลือกใช้อินฟลูฯ เสมือนจริง เพราะสามารถนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ร่วมกันได้ง่ายกว่า เช่น ใช้ระบบ AI ปรับคำพูดหรือท่าทางของพะพราวได้อัตโนมัติเพื่อ personalized ทำโฆษณาที่แตกต่างแยกย่อยให้ลูกค้าแต่ละกลุ่ม หรือให้พะพราว Live ขายสินค้าได้หลายภาษาพร้อมๆ กัน

พะพราว (PAPROUD) อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง มาพร้อมคอนเซ็ปต์ “1st Powerful Virtual Woman”


2023 จัดสมดุลออนไลน์-ออฟไลน์

สำหรับเทรนด์การตลาดปี 2023 ลิษาเชื่อว่าข้อแตกต่างสำคัญคือ ปีนี้จะเป็นปีที่ผู้บริโภค “Digital Balancing” เริ่มจัดสมดุลการรับสื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แตกต่างจากช่วง 3 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงโควิด-19 ทำให้น้ำหนักการรับสื่อแทบจะอยู่ในโลกออนไลน์ 100% เธอมองว่า สื่อดั้งเดิม เช่น สื่อ Out of Home, สื่อวิทยุ, อีเวนต์การตลาด ฯลฯ จะกลับมามีความสำคัญอีกครั้ง และต้องใช้งานผสมผสานกับสื่อออนไลน์ ทำให้นักการตลาดต้องปรับกลยุทธ์ให้ทันกระแสของผู้บริโภค

“ยุคนี้ 3-4 เดือนเราต้องรีวิวและปรับใหม่แล้ว เพราะทุกอย่างเปลี่ยนเร็วขึ้น เช่น เมื่อต้นปี 2022 TikTok ยังถูกมองว่าเป็นพื้นที่ของเด็ก Gen Z แต่พอถึงปลายปี 2022 ไม่ว่าวัยไหนก็เข้ามาเหมือนกัน และคอนเทนต์ก็มีหลากหลาย ไม่ใช่แค่ความบันเทิงแต่เป็นแหล่งความรู้ คอมมูนิตี้ของผู้ใช้ก็เกิดขึ้น ทำให้แบรนด์ไม่ควรมองข้าม” ลิษากล่าว

ปัจจุบัน มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์ให้บริการลูกค้าแล้วกว่า 100 รายจากหลากหลายวงการ เช่น ยานยนต์ ธนาคาร พลังงาน อาหารและเครื่องดื่ม โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ค้าปลีก บิวตี้ ฯลฯ และปีนี้บริษัทจะยังคงยึดมั่นในหัวใจการทำธุรกิจคือ ‘Move Us Forward’ ต่อไป พร้อมเคียงข้างลูกค้า พนักงาน และผู้บริโภคปลายทางให้ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน

มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์

ติดต่อ มาสเก็ต คอมมูนิเคชั่นส์ ได้ที่

เว็บไซต์ www.masketcommunications.com

เฟซบุ๊ก Masket Communications : https://bit.ly/PRMasketFB1

อีเมล Client.service@masketcommunications.com

]]>
1417451
เมื่อ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ เกิดใหม่เกลื่อนตลาดจะ ‘ยืนระยะ’ เติบโตได้อย่างไร https://positioningmag.com/1408179 Mon, 14 Nov 2022 09:02:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1408179 ปฏิเสธไม่ได้ว่าหนึ่งในกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งที่ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องก็คือ อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะจากผลสำรวจของ CMMU (College of Management, Mahidol University) นั้นพบว่าประชากรชาวโซเชียลว่า 47 ล้านคนของไทยมีการติดตามอินฟลูเอนเซอร์อย่างน้อย 1 คน ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกที่ใคร ๆ ก็อยากจะขึ้นมาเป็นผู้มีอิทธิพลบนโซเชียล

ไม่มีที่ว่างให้สายแมส!

จะเห็นว่ามีอินฟลูเอนเซอร์เกิดใหม่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะเห็น ดารา มาเปิดช่องทำตัวเองเป็นครีเอเตอร์กันมากขึ้น เนื่องจากการระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้งานในวงการบันเทิงลดลง โดยทาง พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง Country Manager of Thailand and Managing Director of Creator Growth  AnyMind Group ได้แนะนำว่า การสร้างตัวตนเป็นเรื่องสำคัญ

พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง Country Manager of Thailand and Managing Director of Creator Growth  AnyMind Group

อินฟลูฯ ที่พึ่งเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นระดับ Top ในกลุ่ม (category) โดยเฉพาะกลุ่มที่กว้างมาก เช่น ท่องเที่ยว, ไลฟ์สไตล์ จากนี้ต้อง ลงลึก หรือจับ Sub-Segment โดยปัจจุบัน กลุ่มที่เติบโตมากที่สุดคือ ไฟแนนซ์ โดยเฉพาะเรื่องของคริปโตเคอร์เรนซี

“ถ้าอยู่ในแคกที่มันกว้างมากก็ต้องทำใจ ต้องลงลึกไปให้มากกว่าอย่างโจโฉที่อยู่ดี ๆ ก็โตขึ้นมาได้เพราะเขาจับซับเซกเมนต์ย่อยได้ ดังนั้น ต้องจับซับเซกเมนต์ย่อยให้ได้”

ปัจจุบัน การใช้งานอินฟลูฯ ส่วนใหญ่แบรนด์จะคิดถึงแต่ Top 3-5 ของแต่ละกลุ่ม ดังนั้น เรื่อง แรงกิ้ง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก อินฟลูฯ ที่ต้องการเติบโตต้องวางแผนที่จะ ชิงแอร์ไทม์ จากเหล่า Top ของกลุ่มได้อย่างไรบ้าง ซึ่งอาจเริ่มง่าย ๆ โดยการใช้ Social listening tools มาช่วย เช่น ดูว่าในช่วงที่ผ่านมามีการค้นหาชื่อของใครบ้าง แล้วตัวเองอยู่ตรงจุดไหนในเซกเมนต์ และดูว่าเขาทำคอนเทนต์ยังไงบ้าง

โจโฉ ยูทูบเบอร์สายลุยเจ้าของช่อง JoCho Sippawat

ทำความเข้าใจวิธีหาเงินจากแต่ละแพลตฟอร์ม

ปัจจุบัน อินฟลูเอนเซอร์จะมี Pain Point ไม่เหมือนกันในแต่ละกลุ่ม สำหรับ Micro/Nano (1,000-20,000 Follower) จะเป็นเรื่องการสร้างการเติบโต ต้องวางกลยุทธ์การผลิตคอนเทนต์ การสร้างการเติบโตของ Follower ในแต่ละแพลตฟอร์ม ระดับกลาง (1-5 แสน Follower) พอเริ่มโตขึ้น จะเริ่มคิดถึงเรื่องการ สร้างรายได้ ไม่ว่าจะเป็นการหาจากแพลตฟอร์มและจากสปอนเซอร์ และจะทำอย่างไรให้สปอนเซอร์ชอบ ส่วน ระดับ Mega จะไม่กังวลเรื่องเงิน แต่จะเป็นเรื่องการสเกลการสร้างเน็ตเวิร์กของครีเอเตอร์

เบื้องต้น ควรจะรู้ถึงวิธีการสร้างรายได้ของแต่ละแพลตฟอร์ม เริ่มจาก

  • YouTube จะมีรายได้จาก 3 ทาง ได้แก่ ยอดวิว สปอนเซอร์ แล้วก็การสนับสนุนจากสมาชิก ซึ่งขึ้นอยู่กับครีเอเตอร์แล้วว่าจะมุ่งหารายได้จากไหน ถ้าหาจากยอดวิวการลงทุนกับคอนเทนต์อาจไม่จำเป็นต้องสูงมาก ดังนั้น จะเห็นว่ามีคลิปที่เน้นเปิดฟังคล้าย ๆ กับพอดแคสต์ ถ้าจะหาสปอนเซอร์ก็ต้องลงทุนกับคอนเทนต์
  • Facebook เน้นหาสปอนเซอร์ชิป แต่ต้องทำกลยุทธ์ร่วมกับแบรนด์ ดังนั้น ต้องมีการวางแผนมากกว่า ทั้งในเรื่องการบูสต์โพสต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะยอดขายที่แบรนด์ให้ความสนใจ
  • TikTok การหาสปอนเซอร์สามารถทำได้แต่ได้เงินน้อย เพราะแม้ยอดวิวเยอะแต่มันสั้นและดึงความสนใจคนได้ยาก ดังนั้น จะเหมาะกับการขายของบนแพลตฟอร์มมากกว่า โดยเฉพาะ TikTok Shop หรือการทำ Affiliate Marketing

แม้จะยังไม่มีข้อมูลเชิงเปรียบเทียบว่าการเติบโตของอินฟลูเอนเซอร์ของโซเชียลแพลตฟอร์มไหนมีมากที่สุด แต่เทรนด์ที่เห็นคือ ครีเอเตอร์มุ่งไป TikTok

“เราไม่ได้เชียร์ว่าถ้าดังจากแพลตฟอร์มหนึ่ง แล้วควรจะไปต่อที่แพลตฟอร์มอื่นด้วย เพราะเอกลักษณ์ของแต่ละแพลตฟอร์มไม่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าครีเอเตอร์ต้องเข้าใจแพลตฟอร์มและวิธีหาเงินของแต่ละแพลตฟอร์ม”

ผลิตภัณฑ์บิวตี้เป็นหนึ่งในสินค้าที่ผู้ซื้อต้องการแรงกระตุ้นทั้งราคาและรีวิว และรีวิวมีอิทธิพลมากกว่าเล็กน้อย

ทำอินฟลูฯ ไม่ใช่แค่จ้าง จ่าย จบ

สำหรับแบรนด์ที่จะใช้งานอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง สิ่งแรกที่ต้องมีคือ โจทย์ที่ชัดเจน ซึ่งอาจแบ่งหลัก ๆ 3 ข้อ

  • สร้างการรับรู้ (Awareness) โดยใช้อินฟลูฯ เบอร์ใหญ่ 2-3 คนพูดชื่อแบรนด์ดัง ๆ
  • การพิจารณา (Consideration) ใช้อินฟลูฯ ระดับใหญ่ผสมระดับไมโคร, นาโน
  • การตัดสินใจ (Conversion) ควรใช้อินฟลูฯ ระดับไมโครและนาโนเป็นหลัก และใช้ในจำนวนมาก ๆ

สิ่งสำคัญคือ ใช้อินฟลูฯ ที่เหมาะสมกับแบรนด์จริง ๆ และที่สำคัญคือ ครีเอทีฟที่ต้องระวังมากขึ้น เพราะถ้าปล่อยให้อินฟลูฯ ครีเอททุกอย่างอาจจะเสียโอกาสที่จะสร้างอิมแพ็ค รวมถึงเป็นไปได้ที่อาจเกิด ดราม่า

อย่างไรก็ตาม แบรนด์ยังมองว่าการทำอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งคือเรื่องของการ ต่อราคา และให้อินฟลูฯ ทำตามสั่ง แต่ในปัจจุบันด้วยจำนวนอินฟลูฯ ที่มหาศาล ทำให้เอเจนซี่หรือแพลตฟอร์มเป็นอีกทางเลือกให้แบรนด์ ที่จะมาช่วยวางแผน และหาอินฟลูฯ ที่เหมาะ และแนะนำข้อควรระวังของอินฟลูฯ นอกจากนี้ ยังมีการเก็บข้อมูลให้ลูกค้าเพื่อทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในแคมเปญ

“เราเห็นหลายครั้งที่ให้ครีเอเตอร์คิดเอง หรือแค่ไปแปะไว้เฉย ๆ ซึ่งมันเสียโอกาสเพราะเสียเงินไปแล้ว ดังนั้น การใช้ครีเอทีฟเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งแบรนด์ต้องบาลานซ์ระหว่างแบรนด์และอินฟลูฯ นอกจากนี้ อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เทคโนโลยี ตอนนี้ตลาดยังไม่ได้แข่งขันกันเองมาก เพราะแบรนด์เลือกจะทำเองมากกว่า”

แบรนด์มุ่งหา Conversion ชาเลนจ์นักการตลาด

สำหรับแนวโน้มการทำอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งใน 2-3 ปีจากนี้ คือ แบรนด์ต้องการใช้เงินอย่างคุ้มค่า แบรนด์ระมัดระวังการใช้เงินมากขึ้น และ กลับมามองผลลัพธ์มากขึ้น ให้ความสำคัญกับแค่เอนเกจเมนต์อย่างยอดวิว, ไลก์, แชร์ และคอมเมนต์น้อยลง ต้องการฟีดแบ็กในเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ

“ในเมื่อสภาพแวดล้อมมันเอื้อ คนสั่งของออนไลน์มากขึ้น ข้อจำกัดมันหายไป ดังนั้น การทำการตลาดต่าง ๆ มันสามารถนำไปสู่การขายได้ นี่จึงเป็นชาเลนจ์ของนักการตลาด”

Virtual Influencer ใหม่และท้าทาย

แม้ว่าเรื่องของ Metaverse จะเป็นกระแสของปีนี้ ทำให้เห็นการใช้ Virtual Influencer ในบางองค์กร แต่มันก็ยังมีความท้าทายถ้า ไม่สามารถสร้างความผูกพันกับผู้ชมได้ ซึ่งอาจจะทำให้ Virtual Influencer ไม่สามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้ในไทย เพราะความสัมพันธ์ในเชิงอารมณ์มีบทบาทกับประสบการณ์ร่วมมาก ดังนั้น ขึ้นอยู่ที่ความสามารถในการสร้างการสื่อสารระหว่าง Virtual Influencer กับกลุ่มเป้าหมายมากกว่า แต่ในกรณีของอนาคต ถ้า Metaverse เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตคนมากขึ้น มีการ Adopt Technology นี้มากขึ้น ก็อาจจะเป็นส่วนช่วยเสริมให้ Virtual Influencer มีโอกาสมากขึ้น

ผุดคอมมูนิตี้อินฟลูฯ Win-Win ทุกฝ่าย

ปัจจุบัน Anymind ได้มีการจัด webinar ให้อินฟลูเอนเซอร์มาแลกเปลี่ยนความรู้ประมาณ 2 ครั้ง/เดือน เพื่อช่วยแก้ Pain Point ที่เจอ หรือแนะนำแนวทางหากแพลตฟอร์มโซเชียลมีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึม เพื่อให้อินฟลูเอนเซอร์สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรง

ซึ่ง Anymind ก็คาดหวังว่า เมื่อบริษัททำงานใกล้ชิดกับเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ โอกาสทางธุรกิจต่าง ๆ ก็จะตามมา เช่น มีเครือข่ายอินฟลูฯ ที่แข็งแรง สามารถหาคนได้ตรงตามความต้องการลูกค้า Win-Win ทุกฝ่าย

“ปัญหาของตลาดตอนนี้คือ อินฟลูฯ ล้นตลาด มีเกิดใหม่ตลอดเวลา เราเองต้องมีทีมงาน Influencers Discovery เพื่อแอดอินฟลูฯ หน้าใหม่เข้าระบบทุกวัน ขณะที่เราเองก็ทำงานกับครีเอเตอร์ทุกเธียร์ ดังนั้น เราจึงอยากสร้างคอมมูนิตี้ที่เฮลท์ตี้ขึ้นมา เพื่อให้อินฟลูฯ เขาเติบโตได้”

]]>
1408179
ฉายภาพ ‘Influencers’ ปี 2021 ยุคที่ผู้บริโภคมองหา ‘ความเชื่อมั่น’ จากแบรนด์ผ่านคนดัง https://positioningmag.com/1357178 Mon, 18 Oct 2021 11:54:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1357178 2021 ยังคงเป็นปีที่วงการ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ (Influencers) เติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะถือเป็นหนึ่งในการตลาดที่มีประสิทธิภาพล้อไปกับความต้องการที่หลากหลายและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นของผู้บริโภคในยุคนี้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายทั้งฝั่งอินฟลูเอนเซอร์เองที่ต้องเจอกับการแข่งขันที่สูงขึ้น รวมถึงแบรนด์เองก็ต้องตัดสินใจเลือกใช้ให้เหมาะกับงาน และต้องสร้างความเชื่อมั่นผ่านอินฟลูฯ อีกด้วย

ตลาดอินฟลูฯ ยังโตต่อเนื่อง

คนไทยเกือบ 70% มีการติดตาม Influencers อย่างน้อย 1 คน โดยเฉพาะในกลุ่มเพศหญิงที่มีแนวโน้มจะติดตามมากกว่าผู้ชาย ซึ่งเหล่า Influencers เหล่านี้มักส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ทั้งจากความชื่นชอบ ไว้วางใจ และโปรโมชันที่ถูกนำเสนอ

จากประสิทธิภาพดังกล่าว ทำให้ตลาด Influencers มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากตัวเลขของ DAAT คาดการณ์เม็ดเงินโฆษณาบนโซเซียลมีเดียของปี 2021 อยู่ที่ 2,113 พันล้านบาท โดยเฉพาะส่วนของตลาด Influencers คิดเป็น 9.1% จากยอดการการซื้อสื่อออนไลน์ทั้งหมด จากปีที่ผ่านมามีสัดส่วน 8.9% ขณะที่ตลาด Influencers ทั่วโลกมีมูลค่าถึง 4.6 แสนล้านบาท

“เพราะจากการเข้าถึงเทคโนโลยีได้ง่าย บวกกับความใฝ่ฝันของเด็กรุ่นใหม่ที่ต้องการเป็นผู้ผลิตคอนเทนต์ ทำให้อินฟลูฯ เพิ่มมากขึ้น ขณะที่การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและความต้องการแบบใหม่ยิ่งทำให้กลุ่มผู้บริโภคมีความเฉพาะเจาะจงและหลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ ตั้งแต่เกิดโรคระบาดที่ทำให้ผู้บริโภคมีการเสพสื่อมากขึ้น ตลาดก็ยิ่งเติบโต”

รู้จัก 5 หมวดหมู่ที่เพิ่มขึ้น

นอกจากการแบ่งตามจำนวนแล้ว ประเภทของ Influencers ก็มีความหลากหลายโดยแบ่งไปตามประเภทและความเชี่ยวชาญของ Influencers นั้น ๆ โดยปัจจุบัน ก็มีหมวดหมู่ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาอีก แทบครอบคลุมทุกการตลาด ได้แก่

  • อินฟลูเอนเซอร์นิชมาร์เก็ต (Niche/Specialties) : กลุ่มเฉพาะทางที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีข้อดีคือ เอนเกจเมนต์ที่สูง มีการแลกเปลี่ยนกับผู้ติดตามเป็นประจำสูงกว่า 22 เท่า และราคาถูกกว่าอินฟลูฯ เบอร์ใหญ่ เน้นรับงานด้วยแพชชั่น รับเป็นสิ่งของได้ ไม่ได้มองเรื่องเงินเป็นหลัก นอกจากนี้ สมาชิกค่อนข้างเปิดรับแบรนด์ที่มาโฆษณา และปัจจุบัน กลุ่มนิชบางกลุ่มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เช่น เกม, บิตคอยน์ เป็นต้น
  • อินฟลูเอนเซอร์ผู้บริหาร (Executive Influencers) : เมื่อก่อนอาจจะคุ้นเคยกับ ‘ตัน ภาสกรนที’ แต่ปัจจุบัน มีผู้บริหารหลายคนเริ่มโด่งดัง ซึ่งผู้บริโภคมักรับฟัง เชื่อในทัศนคติ เพราะมีความสำเร็จเป็นข้อพิสูจน์ ดังนั้น สิ่งที่สะท้อนออกจากจากอินฟลูฯ กลุ่มนี้ จะเป็นตัวแทนของทัศนคติแบรนด์ด้วย

  • อินฟลูเอนเซอร์ด้านความเสมอภาค ความหลากหลาย และการรวมกลุ่ม (Inclusive Influencers) : กลุ่มคนที่มีความหลากหลาย สะท้อนถึง ความเรียล อาทิ สาวพลัสไซต์, LGBTQ+ เป็นต้น แต่แบรนด์ต้องทำอย่างจริงใจ และเชื่อในสิ่งที่เขาเป็นจริง ๆ เพราะมีคำถามว่าเป็นการกระทำที่ ฉาบฉวย ของแบรนด์หรือไม่
  • อินฟลูเอนเซอร์ต่างชาติ (Cross-border Influencers) : โดยเฉพาะดาราระดับเอเชียนที่เริ่มเห็นการใช้งานมากขึ้น เพราะสื่อที่มากขึ้น ผลักดันให้คนรู้จักดาราต่างประเทศมากขึ้น เช่น Netflix
  • อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง (Virtual Influencers) : ตอนนี้คนเริ่มพูดถึง Metaverse หรือโลกเสมือน ทำให้เกิด Virtual Influencers หรือ AI Influencers ที่อยู่ในโลกเสมือน ตอนนี้สินค้าแนวเทคโนโลยีก็เริ่มใช้อย่างหลากหลาย ข้อดีคือ สามารถควบคุมได้ ไม่ต้องกลัวเรื่องส่วนตัวมากระทบกับแบรนด์ แต่ข้อเสียคือ emotional ที่หายไป โดยเฉพาะปัจจุบันที่ผู้บริโภคต้องการความเรียล

ใช้งานอินฟลูฯ อย่างไรให้ปัง

ในปี 2021 นี้ ผู้บริโภคมองหาความเชื่อมั่นของแบรนด์จากเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ ดังนั้น แบรนด์ควรเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์ที่มีแนวความคิดและไลฟ์สไตล์ที่ สอดคล้องกับความเชื่อของแบรนด์ เมื่อเป็นช่นนี้แล้วก็จะได้คอนเทนต์ที่มี ความจริงใจ ต่อผู้บริโภคในท้ายที่สุด และแบรนด์ควรมีพื้นที่และวิธีการที่จะสนับสนุนให้ลูกค้าของแบรนด์ได้แสดงความคิดเห็นและสนับสนุนกับเพื่อนและครอบครัวจากใช้จริง

อย่างไรก็ตาม แบรนด์ควร ให้อิสระต่ออินฟลูเอนเซอร์ในการสร้างสรรค์คอนเทนต์ และแบรนด์ไม่ควรทิ้งเรื่อง บิ๊กดาต้าและเทคโนโลยี ในการเลือกใช้อินฟลูเอนเซอร์เพื่อการเขาถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แน่นอนว่าการโฆษณาทุกครั้งจำเป็นต้องสร้าง Conversion แต่การจะเอาตัวยอดขายมาวัดประสิทธิภาพของอินฟลูเอนเซอร์ จะเป็นการ กดดันอินฟลูฯ เกินไป ซึ่งสิ่งที่อินฟลูฯ ถนัดคือ การชี้นำว่าสินค้าเหมาะหรือดีอย่างไร จากนั้นติดลิงก์หรือช่องทางการซื้อขาย เป็นต้น

“ตอนนี้ความท้าทายสุดของแบรนด์คือ จะหาอินฟลูฯ ที่เหมาะกับแบรนด์ได้อย่างไร และแบรนด์ต้องทำให้จริงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไม่จำเป็นว่าทำให้ไม่รู้ว่าเป็นโฆษณา เพราะผู้บริโภคเขารู้อยู่แล้ว แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่เข้ากับความต้องการของเขาหรือเขาสนใจหรือให้ความบันเทิง เขาก็ไม่สนใจว่าเป็นโฆษณา”

Video, Co-Creation 2 แนวทางน่าทำร่วมอินฟลูฯ

การทำวิดีโอในปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งแบบสั้น (Bite-Side) เช่น TikTok, Stories, Reels, เป็นต้น วิดีโอแบบปกติ และแบบ Live-Streaming โดยแต่ละแบบก็มีจุดเด่นในการทำแคมเปญแตกต่างกัน

อย่าง Bite-Side ที่สั้น ย่อยง่าย เน้นดึงความสนใจของคนในปัจจุบัน แบรนด์อาจจะใช้สร้างอแวร์เนส อย่างไรก็ตาม แบรนด์จะเลือกใช้เครื่องมือหรือแพลตฟอร์มไหนก็ต้องดูว่าต้องการสื่อสารแบบไหน เช่น บน TikTok เน้นสนุกสนาน, บน Instagram เน้นความครีเอทีฟ บน Twitter เน้นการแลกเปลี่ยนพูดคุย แบรนด์จึงต้องเข้าใจตัวเองว่าต้องการอะไร

ส่วน วิดีโอทั่วไป จะมีข้อดีคือ สามารถสร้างใช้เพื่อสร้างแบรนด์ เพราะสามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ เนื่องจากวิดีโอยาว สามารถใส่สตอรี่ได้มากกว่า ส่วนการ LIVE มีความเรียล มีความสนุกที่ได้ตอบโต้ ช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกว่ามีส่วนร่วมและช่วยกระตุ้นให้รีบตัดสินใจ

นอกจากนี้ การนำอินฟลูฯ มาช่วยสร้างแบรนด์หรือ Co-Creation ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะอินฟลูฯ ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมากกว่าแบรนด์ สามารถสร้างภาพลักษณ์ได้ อาทิ การจับมือกับเชฟ ออกแบบรสชาติผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ และไม่ใช่แค่หยุดกับอินฟลูเอนเซอร์ แต่สามารถนำไอเดียผู้ใช้มาพัฒนาแบรนด์ได้

อินฟลูฯ แข่งขันสูง ต้องอย่าทิ้งความเป็นตัวเอง

ตอนนี้อินฟลูเอนเซอร์แข่งกันเองมากขึ้น มีทั้งเกิดใหม่และดร็อปลงไป แต่ไม่มีใครเป็นผู้นำในแต่ละกลุ่ม ดังนั้น พยายาม รักษาความเป็นตัวเอง ก็จะอยู่ได้นาน อย่างไรก็ตาม ก็ต้องปรับตัว เช่น พยายามทำคอนเทนต์ให้คนสนใจ ส่วนการมาของเวอร์ชวลอินฟลูเอนเซอร์ ถือเป็นเรื่องใหม่ที่น่าสนใจมาก แต่จะยั่งยืนไหมขึ้นอยู่กับผู้บริโภคว่าจะปรับเข้ากับ Metaverse ได้ไหม ถ้าผู้บริโภคไม่โอเคก็อาจจะไม่ยั่งยืน แต่เชื่อว่ากลุ่มเทคโนโลยีจะนำเข้ามาปรับใช้ก่อน

]]>
1357178
ปรากฏการณ์ ‘Call Out’ อาจทำ ‘อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง’ สะดุด เหตุแบรนด์ไม่ขอเสี่ยง https://positioningmag.com/1343722 Thu, 22 Jul 2021 10:54:51 +0000 https://positioningmag.com/?p=1343722 จากกรณีที่ นายสนธิญา สวัสดี ยื่นขอตำรวจนครบาลตั้งคณะกรรมการกำกับ ตรวจสอบ กรณีดารา-นักร้องกว่า 20 คน แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 เนื่องจากไม่ตรงกับความเป็นจริง จึงทำให้นักแสดง คนดังหลายคน รวมถึงชาวโซเชียลต่างเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้กันเป็นจำนวนมาก

ดารา Call Out กระทบแบรนด์แน่นอน

แน่นอนว่าการที่เหล่าดารา นักร้อง หรือคนดังเริ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลนั้น กำลังสร้างความลำบากใจให้กับ แบรนด์ ต่าง ๆ ที่เคยทำหรือมีแผนที่จะทำ อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้ง โดย ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด (MI) ได้แสดงความคิดเห็นว่า จากนี้แบรนด์ต้องคิดมากขึ้นหากจะใช้อินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้ง

การออกมา Call Out ของดารา คนดัง และอินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและหลากหลายมากขึ้นทำให้แบรนด์ส่วนหนึ่ง เลิกใช้อินฟลูเอนเซอร์ ทั้งที่ ออกและไม่ออก มา Call Out เนื่องจากแบรนด์ไม่กล้าที่จะเสี่ยงยุ่งเกี่ยว เพราะประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่อง ละเอียดอ่อน ไม่รู้ว่าจะส่งผลด้านไหนกับแบรนด์ ดังนั้น แม้ว่าแบรนด์เองจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตามแต่จะ ไม่แตะเรื่องนี้ เป็นเรื่องปกติ

“ตอนนี้การ Call Out มันอยู่ในวงกว้างขึ้น ไม่ใช่ว่าเราไม่ใช้คนนี้ เราหนีไปใช้อีกคน ตอนนี้มันไม่ได้ ดังนั้น แบรนด์จึงเลือกที่จะหยุดไปเลยเพราะแบรนด์รู้ตัวว่าไม่สามารถคุมอินฟลูเอนเซอร์ได้ ไม่เหมือนการใช้พรีเซ็นเตอร์ที่มีสัญญาชัดเจน ดังนั้นดาราบางคนไม่ออกมา Call Out อาจติดสัญญาอยู่”

ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด (MI)

ไม่มีอะไรแทนอินฟลูเอนเซอร์ได้

ด้วยตลาดและกลุ่มเป้าหมายในการทำตลาดในปัจจุบัน การใช้งานอินฟลูเอนเซอร์ถือว่าตอบโจทย์และเนียนที่สุด เพราะการที่แบรนด์ต้องคุยกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลายมากขึ้น ดังนั้น อาจทำให้แบรนด์ โยกเม็ดเงินไปทำอย่างอื่นที่ไม่เสี่ยงแทน เช่น ยิงแอดใน Facebook เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรทดแทนอินฟลูเอนเซอร์ได้ ดังนั้น ถือเป็นอีกเรื่องใหม่ที่แบรนด์และนักการตลาดต้องปรับตัว และเป็นที่น่าเสียดายที่เงินไม่สะพัดในอินฟลูเอนเซอร์

สำหรับแบรนด์ที่กำลังใช้พรีเซ็นเตอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่มีการ Call Out รุนแรง ถือเป็นความท้าทายของแบรนด์ เนื่องจากการแอคชั่นใด ๆ ก็ตามอาจส่งผลกระทบได้ เช่น การถอดโฆษณาก็จะถือว่าไม่สนับสนุนดารา Call Out เป็นต้น ดังนั้น ด้วยความละเอียดอ่อนของสถานการณ์ทำให้ไม่มีแบบแผนตายตัวถือเป็นโจทย์ยากของเหล่านักการตลาด

(Photo : Shutterstock)

ประเมินไม่ได้ตลาดอินฟลูจะเป็นอย่างไร

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดอินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอินฟลูเอนเซอร์กำลังมี อิทธิพล อย่างมากกับผู้บริโภค เป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่สำคัญของแบรนด์ เพราะชาวโซเชียลกว่า 47 ล้านรายในไทยมีการติดตามอินฟลูเอนเซอร์อย่างน้อย 1 คน และในปีที่ผ่านมามีการใช้อินฟลูเอนเซอร์เพิ่มขึ้นกว่า 20% ปัจจุบัน คิดเป็น อันดับ 3 ของภาพรวมดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง มีสัดส่วน 10%

“ที่ผ่านมาตลาดเติบโตมาโดยตลอด และปีนี้ที่เราคาดว่าตลาดโฆษณาออนไลน์จะโตได้ 10-20% แต่พอมาเจอโควิดระลอก 3-4 เราเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเติบโตอย่างที่คาด ขณะที่ภาพของตลาดอินฟลูเอนเซอร์ก็ยังประเมินไม่ได้ว่าจะเติบโตหรือลดลงจากปีที่แล้ว”

มีทั้งต่อต้าน และสนับสนุน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่เรื่องการเมืองผ่านการเปลี่ยนผ่านหลายยุคหลายสมัย จากการแบ่งแยกเสื้อเหลือง เสื้อแดง มาถึงกปปส. และล่าสุดกับม็อบราษฎร

การแบ่งพรรคแบ่งพวกเริ่มมีให้เห็นมานานแล้ว แต่ก่อนถ้าดาราคนไหนที่ประกาศจุดยืนนชัดเจนว่าเป็นฝั่งนี้ ก็อาจจะถูกแบน หรือไม่มีงานไปได้ ยกตัวอย่างกรณี ฟลุ๊ค เดอะสตาร์ เพราะไม่มีใครกล้าจ้างงาน ไม่อยากเข้าไปเสี่ยง

แต่ในยุคนี้ก็เริ่มมีดารา นักร้อง รวมถึงเน็ตไอดอล อินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ประกาศจุดยืนมากขึ้น เริ่มมา Call Out พูดถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในสังคมไทย อย่าง ทราย เจริญปุระ, เพชร กรุณพล, แอมมี่ เดอะ บอททอม บลู, มิลลิ และอื่น ๆ อีกมากมาย เพราะยุคนี้มีการเข้าถึงสื่อมากขึ้น ใช้โซเชียลมีเดียในการสื่อสารมากขึ้น

ดารากลุ่มนี้ก็มีทั้งกลุ่มที่ต่อต้าน และกลุ่มที่สนับสนุน กลุ่มที่ต่อต้านอาจจะแบนผลงาน และธุรกิจส่วนตัวไปเลย ส่วนกลุ่มที่สนับสนุนก็ยังตามซัพพอร์ตอยู่เสมอ แต่ถ้าถามถึงงานในวงการบันเทิง ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เพราะอย่างที่ทราบว่า แบรนด์ หรือผู้จัดอาจจะไม่อยากเสี่ยงก็ได้

รัฐเหมือนราดน้ำมันลงกองไฟ

การที่ภาครัฐออกมาตรวจสอบดารา-นักร้องที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ COVID-19 มองว่าเป็นการเติมเชื้อไฟให้กับกลุ่มคนที่มีทัศนคติเดียวกัน ดังนั้น ยิ่งทำให้เกิดภาพลบและเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ซึ่งอาจจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก

“เราไม่แน่ใจว่ารัฐต้องการออกมาเบรกไม่ใช่ดารามา Call Out หรือเปล่า หรือคิดเฉพาะแง่การบังคับใช้กฎหมายด้านเดียว เพราะสายตาคนนอกมันเป็นการยิ่งเติมเชื้อมากกว่า เนื่องจากไม่ใช่การเล่นกับดารา แต่เป็นการออกมาเล่นกับประชาชนที่เรียกร้องให้ดาราออกมา Call Out”

สุดท้าย การ Call Out คงไม่จบง่าย ๆ ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือไม่ดีขึ้นก็ตาม เพราะการ Call Out ถือเป็นการสะท้อนเสียงของพวกเขา ขณะที่แบรนด์เองคงต้องหลีกเลี่ยงการใช้อินฟลูเอนเซอร์ มาร์เก็ตติ้งเพราะมองว่าไม่สามารถควบคุมความเสี่ยงได้

]]>
1343722
‘Rabbit Digital’ ส่ง ‘Pickle’ แอปจับคู่ ‘แบรนด์-อินฟลูเอนเซอร์’ ลุยตลาด SME https://positioningmag.com/1323406 Mon, 15 Mar 2021 09:01:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323406 ปฏิเสธไม่ได้ว่า ‘อินฟลูเอนเซอร์’ กำลังมี ‘อิทธิพล’ อย่างมากกับผู้บริโภค เป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงที่สำคัญของแบรนด์อย่างยิ่งในปัจจุบัน เพราะชาวโซเชียลกว่า 47 ล้านรายในไทยมีการติดตามอินฟลูฯ อย่างน้อย ‘1 คน’ และในปีที่ผ่านมามีการโฆษณาออนไลน์และใช้อินฟลูฯ เพิ่มขึ้นกว่า 20% ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกถ้าเหล่าเอเจนซี่จะเริ่มพัฒนาโซลูชั่นมาจับตลาดนี้กันมากมายรวมไปถึงรังกระต่าย ‘Rabbit Digital Group’

คู่แข่งเยอะแต่มีโอกาส

ด้วยความที่อินฟลูเอนเซอร์ในไทยมีจำนวนมาก แต่การที่แบรนด์จะหาอินฟลูฯ ที่ตรงกับงานก็ยาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องการวัดผลต่าง ๆ ส่วนอินฟลูฯ บางคนก็ทำเป็นงานอดิเรก ซึ่งก็อาจมีปัญหาเรื่องการคิดเรตราคาต่าง ๆ ดังนั้น เหล่าเอเจนซี่จึงเข้ามาเป็นตัวกลางในการจัดการให้ อย่าง ‘Tellscore’ หรือ ‘Revu’ ของกลุ่มเอเจนซี่ ‘YDM Thailand’ ที่จัดหาอินฟลูฯ ให้แบรนด์

โดยข้อมูลจาก DAAT พบว่า มูลค่าตลาดของอินฟลูเอนเซอร์มาร์เก็ตติ้งคาดว่าสูงถึง 1.8 พันล้านบาท เติบโตขึ้น 32% ซึ่งมูลค่าดังกล่าวยังไม่ร่วมแคมเปญที่อยู่นอกระบบไม่ผ่านเอเจนซี่ ซึ่งเกิดจากการดีลงานเองของแบรนด์ย่อย ๆ กับเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งตลาดจ้างตรงหรือ ‘ไมโครทรานซ์แซคชั่น’ อาจจะใหญ่กว่าผ่านเอเจนซี่ด้วยซ้ำ

ด้วยช่องว่างตรงนี้ที่เหล่าแบรนด์ย่อย ๆ หรือ SME ที่ดีลกับอินฟลูฯ เอง ทำให้ ‘Rabbit Digital Group’ เห็นเป็นโอกาสในการทำแพลตฟอร์ม ‘Pickle’ ที่จะช่วยให้ทั้ง ‘อินฟลูเอนเซอร์’ และ ‘แบรนด์’ สามารถเลือกกันและกันได้เอง เพื่อให้ตรงใจทั้งอินฟลูฯ และตรงใจแบรนด์ที่สุด

เราเห็นเทรนด์ Influencer marketing platform มาประมาณปีครึ่ง แม้ตลาดตอนนี้จะมีการแข่งขันสูงพอตัว แต่เรายังเห็นโอกาสที่ไมโครอินฟลูเอนเซอร์ เพราะบางคนเขาอยากจะรับงานแบรนด์ที่เขาอยากทำ แต่ก็จะเจอแต่แบรนด์ที่เขาไม่ชอบ ส่วนแบรนด์ก็ไม่รู้จะติดต่ออินฟลูฯ เหล่านั้นยังไง จะใช้บริการเอเจนซี่ก็ไม่มีงบมากขนาดนั้น เราจึงเป็นตัวกลางให้เขาเลือกกันและกัน”  รุ่งโรจน์ ตันเจริญ Head of Rabbit X, Co-founder of Rabbit Digital Group กล่าว

รุ่งโรจน์ ตันเจริญ Head of Rabbit X, Co-founder of Rabbit Digital Group

Pickle ทำงานยังไง

Pickle เป็น ‘Influencer marketing platform’ ที่เป็น ‘App Base’ โดยจะออกมาสำหรับฝั่งของ ‘แบรนด์’ และ ‘อินฟลูเอนเซอร์’ โดยแบรนด์จะสามารถกรอกรายละเอียดของแคมเปญ ค่าตอบแทนที่อินฟลูเอนเซอร์จะได้รับ (ให้เป็นของหรือเงินก็ได้) พร้อมกับระบุประเภทอินฟลูเอนเซอร์ที่ต้องการ โดยทางแอปฯ จะเลือกอินฟลูฯ ที่ตรงกับความต้องการให้ แบรนด์เองสามารถเลือกได้ว่าจะร่วมงานกับใคร จากนั้น ฝั่งอินฟลูเอนเซอร์ที่ถูกเลือกโดยแบรนด์ก็จะสามารถเลือกได้ว่าจะรับงานหรือไม่ ถ้าตกลงก็สามารถพูดคุยกับแบรนด์ได้เลย โดยหลังจบแคมเปญ Pickle จะช่วยแบรนด์วิเคราะห์ผลลัพธ์ได้ทันที

“อินฟลูเอนเซอร์เป็นการพาร์ตเนอร์ชิพ เป็นเหมือนกับ ‘แบรนด์ 2 แบรนด์’ มาอยู่ด้วยกัน ดังนั้น ความจริงใจเป็นสิ่งสำคัญ แบรนด์อย่าไปบังคับ ให้อินฟลูฯ เป็นตัวของตัวเอง และถ้าอินฟลูฯ ได้ทำกับแบรนด์ที่ชอบอยู่แล้วเขาจะหามุมพูดอย่าง ‘จริงใจ’ บางทีเรื่องเงินเป็นเรื่องรองด้วยซ้ำ ดังนั้น การแมตช์ระหว่างอินฟลูฯ กับแบรนด์จึงสำคัญ”

เบื้องต้น Pickle จะเน้นที่อินฟลูเอนเซอร์บน ‘Instagram’ อย่างเดียว ซึ่งปัจจุบัน ทาง Pickle จะรับเฉพาะอินฟลูฯ ที่มียอดผู้ติดตาม 3,000 คนขึ้นไป ปัจจุบันมีอินฟลูฯ เข้ามาสมัครประมาณ 1,000 คน ส่วนแบรนด์ที่เข้ามาใช้งานมีประมาณ 200 แบรนด์ตั้งแต่เปิดให้ใช้งานได้ 3 เดือน มียอดดาวน์โหลด 1,700 ครั้ง ปัจจุบัน แพลตฟอร์มให้ใช้งานฟรีถึงสิ้นปีนี้ คาดว่าจะเริ่มเก็บค่าบริการปีหน้า โดยกำลังคิดบิสซิเนสโมเดลอยู่

เราเตรียมทำแคมเปญจะรวมร้านดังในไอจีมาแมตช์กับอินฟลูฯ เพื่อขยายตลาด โดยเราตั้งเป้าที่จะมีอินฟลูฯ ในระบบให้ได้หลัก 1,000 คนภายในปีนี้ และจะขยายไปยังแพลตฟอร์มอื่น อย่าง Facebook ในปีหน้า”

เอเจนซี่ยุคนี้อยู่ยากเพราะแข่งขันรอบด้าน

สุนาถ ธนสารอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แรบบิท ดิจิทัล กรุ๊ป กล่าวว่า ย้อนไป 10-20 ปีก่อน แบรนด์จะทำอะไรก็จะใช้เอเจนซี่หมด แต่ทุกวันนี้ไม่จำเป็น บางแบรนด์มีทีมในบริษัทตัวเอง บางแบรนด์ต่อตรงไปที่อินฟลูเอนเซอร์เลย เพราะแคมเปญเล็ก ๆ อินฟลูฯ สามารถจัดการให้ได้หมด ขณะที่คู่แข่งก็มีมากขึ้นทั้งจากในและต่างประเทศโดยเฉพาะ ‘Martech’ หรือเทคโนโลยีสำหรับการตลาด ดังนั้น เอเจนซี่จะอยู่ได้ต้องทำงาน ‘เฉพาะทาง’ (Specialist) มากขึ้น เช่น การวิเคราะห์ดาต้าต่าง ๆ หรือสามารถดูแลลูกค้าตั้งแต่ ‘ต้นจนจบ’ ได้

“ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาเอเจนซี่ค่อนข้างเติบโต แต่ในปีที่ผ่านมาไม่ได้เติบโตขึ้นเพราะโควิด โดยเริ่มฟื้นในครึ่งปีหลังและช่วงต้นปี 2021 แต่การเปลี่ยนแปลงในเทรนด์คือ เอเจนซี่ต้องมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน งานโอเปอเรชั่น งานเล็ก ๆ ย่อย ๆ จะหายไป แต่งานที่ต้องการคุณค่าเอเจนซี่มีบทบาทมากขึ้น”

อย่างไรก็ตาม คงไม่สามารถคาดการณ์ตลาดมาร์เก็ตติ้งในปีนี้ได้ เพราะยังมีความ ‘ไม่แน่นอน’ มีเยอะ ทั้งสถานการณ์ COVID-19 ทั้งการแข่งขัน และการเมือง ขณะที่เทรนด์ที่เห็นคือ แบรนด์ต้องการคือ ‘คอนเวอร์ชั่น’ ว่าจะมียอดขายกลับมาได้มากน้อยแค่ไหนในแต่ละแคมเปญ นอกจากนี้ ความ ‘Authenticity’ (ความถูกต้องจริงใจ) จะเป็นพื้นฐานสำคัญของการตลาด และการตลาดที่บังคับคนดูจะค่อย ๆ หายไป

]]>
1323406
เปิด 10 วิธีเพิ่มยอดฟอลฯ ใน ‘TikTok’ สำหรับ Influencer หน้าใหม่ https://positioningmag.com/1320672 Wed, 24 Feb 2021 10:41:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320672 ‘TikTok’ แพลตฟอร์มสุดฮิตที่ไม่ต้องพูดสรรพคุณให้มากความ เพราะหากย้อนไปปี 2020 คงจะจำปรากฏการณ์ ‘เจน นุ่น โบว์’ ที่กลายเป็นไวรัลเพียงข้ามวัน ซึ่งเพราะความฮิตนั้นจึงทำให้ TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มที่หลายแบรนด์เริ่มให้ความสนใจในการใช้เป็นเครื่องมือด้านการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Gen Z และ Millennial ดังนั้น เหล่า Influencers ที่อยากจะใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์ม การเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม (Fallower) ก็ถือเป็นก้าวสำคัญที่ต้องทำ แต่จะทำอย่างไรนั้น ไปดูกัน

1.ระบุกลุ่มเป้าหมายให้ชัด

สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ต้องทำหากต้องการเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม TikTok คือ การระบุกลุ่มเป้าหมาย หลักการนี้ก็เหมือนกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เพราะด้วยความหลากหลายของผู้ใช้ TikTok ดังนั้น เนื้อหาที่คนกลุ่มหนึ่งชอบอาจไม่เหมาะกับคนอีกกลุ่ม  ดังนั้น ก่อนจะเริ่มสร้าง TikTok Marketing หรือ TikTok Influencer Strategy สิ่งสำคัญคือต้องหาว่ากลุ่มเป้าหมายเราเป็นใครและกำลังทำอะไรบนแพลตฟอร์ม เมื่อพบกลุ่มเป้าหมายแล้ว จากนั้นก็สร้างเนื้อหาสำหรับผู้ชมนั้นโดยเฉพาะ

2.Leverage Trends

หากสามารถเกาะติดเทรนด์ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว การเพิ่มผู้ติดตาม TikTok ก็จะก้าวกระโดดตามเทรนด์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่อะไรกำลังมาแรงแล้วจะต้องมีส่วนร่วมทั้งหมด แต่ต้องดูว่าเทรนด์ดังกล่าวตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเราหรือไม่ ถ้าใช่ก็ลุยเลย

ธามไท COVER แก้ว Influencer ที่กำลังมาแรงใน TikTok

3.ให้ความรู้ผู้ติดตาม

แม้ว่าเป้าหมายอย่างแรกคือการเพิ่มผู้ติดตาม แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องเข้าหาการสร้างเนื้อหาโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้และสร้างความบันเทิงให้กับกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่แท้จริง อย่าเพิ่งออกไปหาผู้ติดตามเพื่อเพิ่มผู้ติดตาม เพราะควรโฟกัสกับผู้ติดตามที่เหมาะสมกับแบรนด์, ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ แม้จะมีผู้ติดตามหลายล้านคน แต่ก็จะไม่เกิดประโยชน์หากผู้ติดตามเหล่านั้นไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมในช่องทางการตลาด

4.ใช้ #แฮชแท็ก

แฮชแท็กได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียส่วนใหญ่ เนื่องจากทำให้ง่ายต่อการค้นหาคอลเลกชันของคอนเทนต์ที่สนใจ ซึ่งการใช้แฮชแท็กบน TikTok สามารถช่วยให้คุณเพิ่มจำนวนผู้ชม TikTok ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้แฮชแท็กที่มีแบรนด์ร่วมกัน, แฮชแท็กที่กำลังมาแรง, แฮชแท็กเฉพาะธุรกิจและแฮชแท็กทั่วไป

5.โปรโมตข้ามแพลตฟอร์ม

การตลาดไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วย TikTok เพียงอย่างเดียว ดังนั้น กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพจะต้องรวมแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เช่น YouTube, Instagram, Facebook หรือทุกที่ที่กลุ่มเป้าหมายใช้เวลาบนแพลตฟอร์มนั้น ดังนั้น ใช้ทุกช่องทางออนไลน์เพื่อโปรโมตวิดีโอ TikTok ของคุณแชร์เนื้อหา TikTok ของคุณบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ติดตาม

6.โพสต์ในเวลาที่เหมาะสม

วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเพิ่มผู้ติดตาม TikTok คือการโพสต์บน TikTok ในเวลาที่เหมาะสม เวลาที่ดีที่สุดคือเวลาที่ผู้ชมของคุณมีแนวโน้มที่จะออนไลน์มากที่สุด อาจต้องใช้การลองผิดลองถูกเพื่อค้นหาจุดที่น่าสนใจ แต่เชื่อเถอะว่าคุ้มค่า

7.สร้าง (และเข้าร่วม) Challenge

Challenge มีมากมายบน TikTok ซึ่งการเข้าร่วม Challenge เดียวกับที่ผู้ชมเป้าหมายก็จะสามารถช่วยเพิ่มจำนวนผู้ติดตามได้ และไม่ใช่แค่เข้าร่วม แต่การสร้าง Challenge เองบน TikTok ก็สามารถทำได้เช่นกัน

8.มีส่วนร่วมกับครีเอเตอร์คนอื่น ๆ

โปรดจำไว้ว่า TikTok ก็เหมือนกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้การมีส่วนร่วมกับครีเอเตอร์คนอื่น ๆ บนแพลตฟอร์มจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยใช้ฟีเจอร์อย่าง ‘duet’ และ ‘stitch’ เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วมจากผู้ชม จากนั้นค่อยหาวิธีนำสินค้าและบริการแทรกเข้าไปกับการมีส่วนร่วมเหล่านี้ ดังนั้น อย่าอายที่จะมีส่วนร่วมกับผู้สร้างคนอื่น ๆ

ตัวอย่างการใช้ฟีเจอร์ Duet ใน TikTok (ภาพจาก howtomusically.com)

9.สร้างคอนเทนต์ที่สม่ำเสมอ

สร้างคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอ เพราะเมื่อเราสร้างคอนเทนต์และ Challenge มากขึ้นบน TikTok นั่นก็จะสามารถช่วยเพิ่มความไว้วางใจในแบรนด์ และยังช่วยให้มีส่วนร่วมมากขึ้นและเพิ่มผู้ติดตาม TikTok ได้

10.ลองใช้เครื่องมือต่าง ๆ

สุดท้าย ใช้ประโยชน์จากเครื่องมือต่าง ๆ จาก TikTok หรืออาจจะหาตัวช่วยจากเครื่องมือทางการตลาดอื่น ๆ เพื่อให้ช่วยค้นหาผู้ติดตามที่สนใจเนื้อหาที่เรากำลังสร้าง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจจะต้องเเลกกับการ ‘เสียเงิน’ และเสี่ยงว่าบริการที่ใช้จะหา ‘บอท’ มาให้แทนที่จะเป็นผู้ใช้ที่มีตัวตนหรือเปล่า ดังนั้นก็ต้องระวัดหน่อย

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่เริ่มต้นอาจไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดพร้อมกัน แต่ควรเริ่มต้นด้วยการมุ่งเน้นไปที่การค้นหาว่ากลุ่มเป้าหมายนั้นชอบดูอะไรบน TikTok และเวลาไหนที่พวกเขาใช้งานมากที่สุดบนแพลตฟอร์ม จากนั้นสร้างคอนเทนต์และเผยแพร่ในช่วงเวลาที่มีผู้คนจำนวนมาก จากนั้นค่อย ๆ ปรับใช้วิธีอื่นในการเพิ่มจำนวนผู้ติดตามต่อไป แต่ไม่ว่ายังไงต้องมีความสม่ำเสมอและตามกระแสจนเสียโพสิชั่นของตัวเองไปซะล่ะ เดียวจากจะเพิ่มยอดกลายเป็นเสียยอดฟอลไปล่ะแย่เลย

Source

]]>
1320672
หมดยุค Influencer ‘เล่นตัว’ อัพราคา ต้องมี DNA สื่อสารแบรนด์ได้มีสไตล์ https://positioningmag.com/1318092 Fri, 05 Feb 2021 11:42:09 +0000 https://positioningmag.com/?p=1318092 ก่อนที่ บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลโซเชียลของไทย จะจัดงาน “THAILAND ZOCIAL AWARDS 2021” ก็ได้ออกมาอัปเดตภาพรวมโซเชียลมีเดียยอดฮิตของคนไทย พร้อมกับจัดเสวนา How to measure success of social media performance พร้อมพา ‘กูรูการตลาดดิจิทัล’ มาฉายภาพการ ‘รับมือ’ การเปลี่ยนแปลงของแบรนด์ต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมา พร้อมกับแนะนำวิธีการรับมือกับ ‘ความไม่แน่นอน’ ที่ยังมีในปี 2021 นี้

2020 ปีที่การตลาดไร้กระบวนท่า

สิ่งที่เกิดหลัก ๆ ในปีที่ผ่านมาคือ ‘งบลดลง’ ดังนั้น งานโปรดักชั่นที่ใหญ่ของแคมเปญมาร์เก็ตติ้งจะน้อยลง แบรนด์เริ่มหันมาใช้เครื่องมือการตลาด เพื่อผลักดันสินค้าที่แท้จริงมากขึ้น เพื่อสะท้อนสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะเป็น และไทอินสินค้าควบคู่ไปด้วย

เมื่อมีการล็อกดาวน์คนใช้งานโซเชียลมีเดียสูงขึ้น ดังนั้น สิ่งที่แบรนด์ทำคือ ‘ชวนคนคุย’ ‘ชวนแบรนด์อื่นคุย’ ทำตัวเป็นหนึ่งในคอมมูนิตี้มากขึ้น จากเดิมสร้างคอนเทนต์และเอนเกจเมนต์ นอกจากนี้ยังทำ ‘Social Commerce’ มากขึ้น โดยสร้างแบรนด์น้อยลงแต่มาโฟกัสที่การขายมากขึ้น

“การตลาดที่ไร้กระบวนท่ามากขึ้น เริ่มเห็นคอนเทนต์ใหม่ ๆ จากรูปแบบใหม่ ๆ เช่น TikTok เห็นการรีวิวสินค้าแบบจริงใจ นี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคเปิดกว้าง และพร้อมจะเปลี่ยนแบรนด์ เมื่อได้เห็นคอนเทนต์ที่จูงใจ! เริ่มเห็นคอนเทนต์เข้ามาใช้ TikTok แชร์ไปยังโซเชียลฯ เพื่อหาผู้ติดตามใหม่ ๆ” มัณฑิตา จินดา กรรมการผู้จัดการ และผู้ก่อตั้ง ดิจิทัล ทิปส์ อคาเดมี กล่าว

ภาพจาก : pixabay

อินฟลูเอนเซอร์ก็ต้องปรับตัวไม่ใช่แค่แบรนด์

‘อินฟลูเอนเซอร์’ ถือเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกของแบรนด์ในปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็น ‘ยุคทอง’ เพราะแบรนด์ไปทุ่มกับดิจิทัลมากขึ้น ขณะที่ปัจจุบันคนก็ผันตัวมาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ง่ายขึ้นมาก อย่าง ‘TikTok’ ก็เป็นอีกแพลตฟอร์มที่ช่วยให้เกิดอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ ทำให้อินฟลูเอนเซอร์บางรายที่ทำตัว ‘น่าหมั่นไส้’ สามารถเลือกรับงานได้ แต่ตอนนี้ต้องเจอกับคู่แข่งที่มากขึ้น ดังนั้น อินฟลูเอนเซอร์ต้องปรับความคิดใหม่ถ้ายังอยากอยู่ในธุรกิจนี้

“เมื่อก่อนอินฟลูเอนเซอร์เลือกได้ จะรับไม่รับงานก็ได้ แต่ตอนนี้แข่งกันเยอะมาก แม้กระทั่งการแข่งขันที่ข้ามแพลตฟอร์ม ดังนั้น อินฟลูเอนเซอร์ต้องมาวางแผน ใช้แค่แพลตฟอร์มเดียวไม่พอ และไม่ใช่แค่ไทอิน แต่ต้องมีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์ สามารถทำให้เกิดประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์นั้น ๆ ต้องนำเสนอสิ่งที่แบรนด์ต้องการด้วยดีเอนเอของคุณ และเสนอผลลัพธ์ให้แบรนด์ได้พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอนี่มายด์ กรุ๊ป จำกัด กล่าว

ใช้ความหลากหลายรับมือความไม่แน่นอน

ในช่วง 1-2 ปีนี้ มีความไม่แน่นอนสูงมาก สิ่งที่จะได้เห็นในปี 2021 คือ แบรนด์จะใช้แพลตฟอร์มที่หลากหลายมากขึ้น แม้จะเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่เคยลองก็ตาม นอกจากนี้การสื่อสารจะยิ่ง ‘โปร่งใส’ แสดงอย่างตรงไปตรงมา มีจุดประสงค์มากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของ ‘สิ่งแวดล้อม’ ส่วนการใช้อินฟลูเอนเซอร์จะยังคงเห็นอยู่

นอกจากนี้ การใช้ Facebook Group ที่มากขึ้น ผู้บริโภคไม่พูดคุยกันในที่เปิด แต่พูดคุย-ซื้อขายกันในกลุ่ม ดังนั้น แบรนด์จะต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะคุยกับเขาโดยไม่รุกล้ำความเป็นส่วนตัว และการทำตลาดแบบ Direct to consumer หรือทำการตลาดตรงสู่ผู้บริโภคจะมาแน่นอน แบรนด์เริ่มไม่ทำการตลาดผ่านตัวกลางแล้ว เพื่อทำให้ลูกค้าใกล้ชิดแบรนด์มากขึ้น ทำให้แบรนด์มีอิทธิพล (Leverage) มากขึ้น

“เพราะ COVID-19 ทำให้สนามการแข่งขันทุกตลาดเดือดมาก แบรนด์ต้องทำความเข้าใจผู้บริโภคแล้วปรับตัว ไม่ได้มองแค่ What แต่ต้องมองหา Why พยายามหาช่องว่างจากอินไซต์ ดังนั้น อยากให้หาช่องทางที่ตอบโจทย์ ทำในสิ่งที่ถนัด และโฟกัสให้มากขึ้น” สโรจ เลาหศิริ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท แรบบิท ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าว

]]>
1318092