Innovation – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 06 Nov 2020 05:27:21 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คุยกับ “วิทวัส สวัสดิ์-ชูโต” CTO แห่ง ปตท. ภารกิจปั้น “วังจันทร์วัลเลย์” บุกเบิก 5G x UAV SANDBOX ในไทย https://positioningmag.com/1304782 Mon, 02 Nov 2020 04:00:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1304782

โลกเรากำลังจะก้าวเข้าสู่เทคโนโลยี 5G อย่างเต็มรูปแบบในเร็วๆ นี้ ว่ากันว่าด้วยความเร็วของ 5G นั้น จะเข้ามาเปลี่ยนเเปลงไลฟ์สไตล์และการเป็นอยู่ของเราอย่างมาก ดังนั้นการสร้างรากฐานที่มั่นคงเเละพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรองรับ “สิ่งใหม่” จึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

อีกความเคลื่อนไหวสำคัญในเเวดวง 5G ไทยช่วงนี้ คงหนีไม่พ้น การเปิดตัว โครงการ 5G x UAV SANDBOX WANGCHAN VALLEY ที่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกับพันธมิตร นำเสนอมิติใหม่แห่งเทคโนโลยี 5G มาเพิ่มขีดความสามารถการใช้งาน “โดรน”  เพื่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เปิดโอกาสให้ผู้สนใจร่วมทดสอบเพื่อการวิจัยเป็นแห่งแรกของไทย พร้อมรับสิทธิพิเศษในการพัฒนาธุรกิจระยะยาว…เหล่านี้ ดึงดูดนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศไม่น้อย

วันนี้เราจะมารู้จัก “วังจันทร์วัลเลย์” ภารกิจพัฒนาเมืองนวัตกรรม Smart City  กับการผลักดันโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม นำไปสู่การเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย

ผ่านมุมมองของ “เเม่ทัพ Innovation” ของ ปตท. อย่าง “วิทวัส สวัสดิ์-ชูโต” ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยีและวิศวกรรม ถึงความท้าทาย เป้าหมายเเละก้าวต่อไปของ “วังจันทร์วัลเลย์” ที่กำลังจะก้าวสู่การเป็น Smart City ของไทยเเบบ 100%

@รู้จัก “วังจันทร์วัลเลย์” 

 “ผมคิดว่า…ทุกประเทศสามารถมี Smart City ได้”

วิทวัส เล่าย้อนไปถึงการบุกเบิก “วังจันทร์วัลเลย์” สู่การเป็น Smart City ให้ฟังว่า แต่เดิมพื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ดินของ IRPC หรือบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งต่อมาทาง IRPC ดำเนินการขายพื้นที่แปลงนี้ให้กับ ปตท. จนกลายมาเป็น VISTEC (สถาบันวิทยสิริเมธี), KVIS (โรงเรียนกำเนิดวิทย์) และมีสถาบันปลูกป่าเกิดขึ้น โดยใช้เนื้อที่ไปประมาณ 900 ไร่

เเต่ด้วยความกว้างใหญ่ของพื้นที่ที่มีอยู่ถึง 3,500 ไร่ ณ ต.ป่ายุบใน อ.วังจันทร์ จ.ระยอง จึงเกิดคำถามว่า…ส่วนที่เหลือจะทำอะไรต่อดี ?

จากความเห็นของ ดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการบริษัท ปตท. ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) มองว่า “ควรจะมีพื้นที่สำหรับพัฒนานวัตกรรมให้กับประเทศ”  ประกอบกับช่วงนั้นรัฐบาลประกาศ EEC (โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) พอดี เป็นโอกาสที่จะผลักดัน Smart City

จากนั้น จึงได้มีการเริ่มคุยกับทางกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม) และ สวทช.ว่าควรจะทำพื้นที่ดังกล่าวให้กลายเป็นพื้นที่ทำนวัตกรรมของ EEC จึงเป็นที่มาของการตั้งชื่อว่า EECi (Eastern Economic Corridor of Innovation)  “มุ่งเน้นพัฒนาพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ให้เป็นเหมือนกับซิลิคอนวัลเลย์ของอเมริกา”

หลังจากเริ่มบุกเบิกมาตั้งเเต่ปี 2559 ตอนนี้ ต้องบอกว่า “วังจันทร์วัลเลย์” เข้าใกล้ความเป็น Smart City อย่างเต็มรูปแบบ โดย Smart City มีทั้งหมด 7 ด้าน ตอนนี้ปตท.ทำได้ 6 ด้านแล้ว ส่วนอีกหนึ่งด้านกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ

วิทวัส อธิบายต่อว่า ถ้าพูดถึงความเป็น Smart City ของพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ ถือว่า “งานเราสำเร็จแล้ว” แต่ก็ยังต้องทำเพิ่มไปเรื่อยๆ เพราะยุคนี้เทคโนโลยีเดินหน้าอยู่ตลอดเวลาและเปลี่ยนแปลงเร็ว จึงต้องมองหาเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

 “อะไรที่มันล้าหลังแล้ว ก็ต้องเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ ดังนั้นเมื่อถามถึงความเป็น Smart City จึงไม่ใช่ว่าพอทำได้สำเร็จ เสร็จสิ้นแล้วจะหยุดอยู่แค่นั้น แต่เราต้องเดินหน้าต่อ ตามต่อ และต้องคงความเป็น Smart City ไว้ตลอดเวลา”

@บิ๊กมูฟ 5G x UAV SANDBOX เเห่งเเรกในไทย

ในระยะแรก EECi จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคุณภาพ เช่น เทคโนโลยีในการวิเคราะห์ทดสอบแบตเตอรีประสิทธิภาพสูง ทั้งขนาดที่ไม่ใหญ่นักสำหรับการใช้งานใน AGV UAV/Drone แบตเตอรีขนาดกลาง สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า รถรางไฟฟ้า ไปจนกระทั่งระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่

ขณะที่โรงงานต้นแบบในการผลิตแบตเตอรีและการพัฒนาการใช้งานแบตเตอรีในรูปแบบใหม่ๆ ที่นอกเหนือจากการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้งานเพื่อการป้องการประเทศ (Dual use) รวมไปถึงการพัฒนาเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าและระบบการควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ก็จะมีการดำเนินการในพื้นที่ EECi ด้วย

ดังนั้น เพื่อเป็นการ “สานต่อ” พัฒนาธุรกิจให้สอดรับกับการเทคโนโลยีที่ทำมาเเล้วมากมาย นำมาสู่โครงการ 5G x UAV SANDBOX WANGCHAN VALLEY พัฒนาที่ดินบางส่วนของวังจันทร์วัลเลย์ให้เป็น “พื้นที่ต้นแบบ” เพื่อการวิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ (UAV Regulatory Sandbox) โดยใช้ประสิทธิภาพของสัญญาณ 5G

ปตท. ไม่ได้ฉายเดี่ยวเพราะ “บิ๊กมูฟ” การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ครั้งนี้ เป็นเรื่องที่ต้องร่วมมือกับหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน อย่าง CAAT (สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย) ซึ่งสนับสนุนให้พื้นที่วังจันทร์วัลเลย์สามารถบินโดรนเพื่อการทดลองและทดสอบได้สะดวกมากยิ่งขึ้น และช่วยให้การอนุญาตปฏิบัติแตกต่างจากเงื่อนไขที่กำหนด

ด้าน กสทช. (สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ได้เข้ามาช่วยบริหารและจัดสรรคลื่นความถี่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด สนับสนุนการทดสอบ 5G ในพื้นที่ เพื่อใช้งานในเชิงพาณิชย์

ขณะที่ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ในฐานะผู้บริหารจัดการเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EECi) ก็ให้การสนับสนุนด้านการดำเนินการ UAV Sandbox ได้อย่างสะดวกและประสบความสำเร็จ ขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี ทักษะ ความรู้ด้านการบินโดรนแก่กลุ่มเป้าหมายที่สนใจ

อีกทั้งยังมี บรรดาบริษัทเครือข่ายสัญญาณเจ้าใหญ่ของไทย อย่าง “AIS” ที่ทำงานร่วมกับ VISTEC ในการทดสอบและพัฒนาโดรนวิศวกรรม เพิ่มประสิทธิภาพการบำรุงรักษาสินทรัพย์

ขณะที่ “True”  ได้เข้ามาช่วยในด้านการทดสอบและพัฒนาโดรนลาดตระเวนติดกล้องที่ควบคุมและเชื่อมต่อรับส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ ผ่านเครือข่ายอัจฉริยะ True5G เพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยของพื้นที่

ส่วน “DTAC” ร่วมพัฒนาการทดสอบสู่กล้องตรวจการณ์อัจฉริยะ 5G สำหรับควบคุมจากทางไกลและถ่ายทอดข้อมูลความละเอียดสูง ให้การสั่งการรวดเร็วและภาพที่คมชัดเเบบเรียลไทม์

“ยิ่งมี 5G ที่พร้อมมากเท่าไหร่ ยิ่งช่วยให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ช่วยลดการดีเลย์ รวมถึงบริษัทต่างประเทศที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศเรา ในพื้นที่ EECi หากเขาเห็นว่าเรามี 5G นั่นหมายความว่าเราทันสมัย นวัตกรรมเเละเครื่องมื่อต่างๆ ที่เขานำเข้ามาก็จะช่วยต่อยอดเทคโนโลยีไทย ผู้ที่สนใจอยากเข้ามาลงทุนจะเชื่อมั่นว่า เมื่อมาร่วมลงทุนแล้ว ไทยจะมีพื้นที่ที่มีเทคโนโลยีรองรับ ซึ่งที่วังจันทร์วัลเลย์เราได้เตรียมความพร้อมในด้านนี้ไว้อย่างครบครันและดีที่สุดแล้ว”

 อย่างไรก็ตาม เขามองว่าเรื่องของ 5G SANDBOX มันเป็นแค่ “เรื่องวันนี้” เพราะเป้าหมายต่อไปคือการพัฒนาพื้นที่ “วังจันทร์วัลเลย์” ให้เป็น SANDBOX ในทุกๆ อย่าง เป็นไปได้ในทุกๆ เรื่อง

“ผมว่าโครงการ 5G x UAV SANDBOX WANGCHAN VALLEY มันมีพลังในการเชื้อเชิญนักลงทุนในตัวเองอยู่แล้ว เพราะเป็นพื้นที่เดียวที่ทั้ง สวทช., กสทช. และ CAAT มารวมอยู่ในที่แห่งนี้ เมื่อนักลงทุนได้เห็น ก็ต้องมีความสนใจแน่นอน”

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับสิทธิพิเศษจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในการพัฒนาธุรกิจใน ระยะยาว ได้แก่ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี, ยกเว้นภาษีอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ, ภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา ร้อยละ 17 ซึ่งต่ำที่สุดในเอเชีย, สมาร์ทวีซ่าสำหรับผู้เชี่ยวชาญและครอบครัว, พื้นที่ผ่อนปรนกฎระเบียบในการทำนวัตกรรม (Regulatory Sandbox) และศูนย์บริการด้านการลงทุนแบบเบ็ดเสร็จในที่เดียว (One Stop Service) เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน

@จงไปต่อ…กับการสร้าง New S-Curve ใหม่

 ความท้าทายของการสร้าง “New S-Curve” ใหม่ จากเทรนด์โลกที่เปลี่ยนไป เป็นความท้าทายขององค์กรเก่าเเก่ที่ประสบความสำเร็จเเล้วอย่าง “ปตท.” ไม่น้อย จากบริษัทที่ทำ Oil & Gas มาโดยตลอดหลายทศวรรษ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปเป็นยุค 5G มีการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า การถูก “Disrupt” ครั้งนี้ ก่อให้เกิดการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ออกมา

วิทวัส อธิบายว่า S-Curve กับ New S-Curve มีความหมายต่างกัน ที่ผ่านมาปตท.มีการทำ S-Curve ใหม่อยู่เสมอ เช่น การออกน้ำมันชนิดใหม่ขึ้นมา นั้นคือการต่อยอดของ S-Curve เดิม เเต่การทำ New S-Curve คือการพลิกไปทำธุรกิจอื่นไปเลย

“นี่เป็นที่มาของการตั้งตำแหน่ง CTO (Chief Technology Officer) ขึ้นมา เพื่อที่จะหา New S-Curve ใหม่ให้องค์กรเป็นหลัก ผมพูดได้เลยว่าหายากมาก แต่ผมก็ไม่หยุด และมีอะไรหลายๆ อย่างที่พอจะเริ่มเห็นแสงบ้างแล้ว” นับเป็นภารกิจที่มี “ความท้าทายสูงมาก” CTO ของปตท. บอกถึงความมุ่งมั่นว่า “การพูดถึงสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เป็นที่รู้จักให้คนเข้าใจ ต้องใช้ความอดทนสูง ต้องมีเเรงบันดาลใจที่จะทำ บางทีสิ่งที่เสนอไปอาจจะไม่ได้รับการยอมรับในครั้งเเรก เเต่จงทำต่อไป และต้องไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค”

ด้านการทำงานในองค์กรที่มีการผสม “หลายเจเนอเรชั่น” เขามองว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ “การเปิดใจ” โดยฝั่งผู้ใหญ่ต้องรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่ ไม่ทำให้พวกเขาเสียกำลังใจตั้งเเต่ยังไม่เริ่ม ให้คนรุ่นใหม่ได้มีทิศทางพัฒนาความคิดของตนเองต่อไป ส่วนคนรุ่นใหม่เองก็ต้องมีความตั้งใจจริง เลือกที่จะทำอะไรก็ต้องทำต่อไปให้ถึงที่สุด “ล้มเเล้วลุกให้ได้”

]]>
1304782
เปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิถีโลก ด้วย “แนวคิดของความพอเพียง” ของขวัญจากประเทศไทยแด่โลกที่ไม่ยั่งยืน https://positioningmag.com/1094390 Mon, 13 Jun 2016 05:22:25 +0000 http://positioningmag.com/?p=1094390 ประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก ระบบเศรษฐกิจของไทยจึงมีขนาดเล็ก จึงเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับคนต่างประเทศว่า ไทยจะมีโมเดลที่สำคัญอย่างปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่นนี้เกิดขึ้นที่เมืองไทย ประเทศไทยเป็นผู้นำของโลกในการนำเอาหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนไปใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ ทั่วประเทศจนประสบความสำเร็จ มีผลเป็นรูปธรรม ทั้งในกรณีของการประยุกต์ใช้ในองค์กรต่าง ๆ เช่น เอสซีจี หรือการพัฒนาพื้นดินที่แห้งแล้งที่แทบไม่มีใครใช้ประโยชน์จากตรงนั้นให้กลับมาเป็นผืนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ เช่น ที่เขาหินซ้อน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันรู้สึกประทับใจมาก ประเทศอื่น ๆ จะต้องเรียนรู้จากประเทศไทย ศาสตราจารย์ ดร.แกลย์ ซี เอเวอรี่ ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อภาวะผู้นำอย่างยั่งยืน ประเทศออสเตรเลีย และบรรณาธิการร่วมของหนังสือ แนวคิดของความพอเพียง: ของขวัญจากประเทศไทยแด่โลกที่ไม่ยั่งยืนกล่าว

หนังสือ แนวคิดของความพอเพียง: ของขวัญจากประเทศไทยแด่โลกที่ไม่ยั่งยืน (Sufficiency Thinking: Thailand’s gift to an unsustainable world)” ตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2559 โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.แกลย์ ซี เอเวอรี่ และ ศาสตราจารย์ ดร. ฮาราลด์ เบิร์กสไตเนอร์ เป็นบรรณาธิการ และได้มีการเปิดตัวหนังสือเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมาในการประชุมนานาชาติ ครั้งที่ 11 เรื่อง ภาวะผู้นำที่ยั่งยืนโดยหนังสือมีเนื้อหาเกี่ยวกับ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเป็นแนวทางในการนำพาประเทศไทยให้ข้ามผ่านวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของทวีปเอเชียที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 และหลายภาคส่วนในสังคมไทยได้น้อมนำหลักปรัชญานี้ไปเป็นแนวทางปฏิบัติอย่างแพร่หลาย ซึ่งภายในหนังสือประกอบด้วยมุมมองจากนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญชาวไทยจำนวน 20 ท่านเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้แนวคิดของความพอเพียงเพื่อทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน และองค์กรขนาดต่าง ๆ

ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานกรรมการมูลนิธิมั่นพัฒนา กล่าวในงานเปิดตัวหนังสือ แนวคิดของความพอเพียง” ว่า หนังสือ แนวคิดของความพอเพียงสะท้อนถึงประสิทธิภาพในเชิงวิทยาศาสตร์ของหลักแนวคิดของความพอเพียง โดยได้มีการรวบรวมกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่พิสูจน์ความสำเร็จของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติในทุกภาคส่วน ทั้งในระดับบุคคล ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ อาทิ ภาคธุรกิจ การศึกษา สาธารณสุข และการเกษตร เป็นต้น ซึ่งการตีพิมพ์หนังสือออกจำหน่ายในขณะนี้ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม หลังจากที่องค์การสหประชาชาติได้ประกาศถึงเจตจำนงระดับสากลในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมายตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2558 หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการแสดงความมุ่งมั่นของเราที่ต้องการแบ่งปันองค์ความรู้นี้สู่โลกภายนอก เพื่อให้บรรลุผลสำเร็จในเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ศาสตราจารย์ ดร.แกลย์ ซี เอเวอรี่ กล่าวถึงที่มาของการจัดทำหนังสืแนวคิดของความพอเพียงว่า ได้มีโอกาสเข้าฟังการนำเสนอผลงานของนักวิจัยไทยที่ได้พูดถึงการนำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปรับใช้กับภาคการศึกษาของไทย รวมถึงธุรกิจในไทยจำนวนมาก และประสบความสำเร็จ รู้สึกประทับใจกับงานวิจัยชุดนั้นและเห็นว่า ควรนำเสนองานวิจัยดังกล่าวให้สังคมโลกได้รับรู้ จึงเป็นเรื่องที่ดีและน่าภาคภูมิใจมากที่เราทั้งสอง (ศ. ดร.แกลย์ ซี เอเวอรี และ ศ.ดร. ฮาราลด์ เบิร์กสไตเนอร์) ได้เป็นบรรณาธิการของหนังสือเล่มนี้ เพราะเราอยากให้ประเทศอื่น ๆ ได้เรียนรู้จากประเทศไทยที่เป็นต้นแบบของความสำเร็จตามแบบอย่างการพัฒนาที่ยั่งยืนให้แก่โลก และหากเราใช้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงต่อไปในอนาคต สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนคือความสมดุลในทุกมิติ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และที่สำคัญที่สุดที่อาจยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือวัฒนธรรมดั้งเดิม นำไปสู่ความสมดุลที่ยั่งยืน

ดร. ปรียานุช ธรรมปิยา กรรมการมูลนิธิมั่นพัฒนา และหนึ่งในผู้วิจัยในหนังสือ แนวคิดของความพอเพียงกล่าวว่า แนวคิดของความพอเพียง เกิดจากการผสมผสานระหว่างคุณธรรมและปัญญา เพื่อให้บุคคล องค์กร และสังคมเกิดการเปลี่ยนแนวคิดแบบใหม่ ให้มีตัดสินใจที่ชาญฉลาด มีเหตุมีผล และเกิดการกระทำที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี คือ การมีความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน มีความสามารถในการพึ่งพาตนเอง มีภูมิคุ้มกันในการฟันฝ่าอุปสรรค มีความสามารถในการเผชิญปัญหาและการปรับตัวตามสถานการณ์ และเหนือสิ่งอื่นใด คือ การดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ในหนังสือ แนวคิดของความพอเพียงได้รวบรวมผลงานเชิงประจักษ์ว่าแนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงใช้ได้ผลจริง ก่อให้เกิดการพัฒนาและความสำเร็จที่ยั่งยืนในแต่ละภาคส่วน อาทิ เกษตรกรรม ธุรกิจทั้งเล็กและใหญ่ ทัณฑสถาน การพัฒนาชุมชน การจัดการทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และที่สำคัญคือการศึกษา เพราะการศึกษาคือการสร้างคนขึ้นมา คืออนาคตของชาติ เราดำเนินการส่วนนี้ผ่านการจัดตั้งมูลนิธิยุวสถิรคุณ เพื่อพัฒนาโรงเรียนทั่วประเทศให้เป็นสถานศึกษาพอเพียง ผลจากการวิจัยพบว่า เด็กที่ได้รับการบ่มเพาะด้วยแนวคิดของความพอเพียงจะมีจิตสาธารณะ มีวินัย มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีแนวคิดอยู่อย่างพอเพียง คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ทำให้เป็นคนที่ไม่เพียงแต่เก่งวิชาการ แต่ยังมีความสุขและมีภูมิคุ้มกันที่ดีด้วย

รศ.ดร.สุขสรรค์ กันตะบุตร กรรมการสถาบันมั่นพัฒนา และหนึ่งในผู้วิจัยในหนังสือ แนวคิดของความพอเพียงกล่าวว่า หลายคนอาจสงสัยว่า หลักเศรษฐกิจพอเพียงสามารถใช้ได้กับภาคธุรกิจจริงหรือ จะไม่ทำให้ธุรกิจย่ำอยู่กับที่และไม่เติบโตหรือเปล่า จากการที่เราได้ทำงานวิจัยมาตั้งแต่ปี 2546 ได้พบคำตอบพร้อมผลที่เป็นรูปธรรมชัดเจนแล้วว่า หลักปรัญชาเศรษฐกิจพอเพียงส่งเสริมให้ธุรกิจไม่ว่าจะขนาดเล็ก เช่น บริษัท นิธิฟู้ดส์ จำกัด ในจังหวัดเชียงใหม่ หรือธุรกิจขนาดใหญ่ อาทิ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งยังอยู่ในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ สามารถสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน สร้างผลกำไรที่เป็นธรรม และมีความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศ บทสรุปของงานวิจัยตั้งแต่ปี 2546 ถึงปัจจุบัน พิสูจน์ให้เห็นว่า องค์กรที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยล้วนปฏิบัติตามหลักการภาวะผู้นำอย่างยั่งยืนมาโดยตลอด คนที่ควรอ่านหนังสือเล่มนี้ คือ คนที่มีความคลางแคลงสงสัยว่า เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำไปใช้ได้จริงหรือไม่ และหากจะนำไปใช้ จะต้องทำอย่างไร

นายเสข วรรณเมธี อธิบดีกรมสารสนเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการจัดทำเป็นหนังสือเรื่องหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นภาษาอังกฤษ โดยได้รวบรวมข้อมูลของผลที่เป็นรูปธรรมของการประยุกต์ใช้หลักปรัชญาฯ ในทุกสาขา ไม่เฉพาะในภาคเกษตรกรรม ซึ่งในขณะนี้ถ้าเราติดตามข่าว นานาประเทศในโลกนี้ก็กำลังเผชิญสิ่งท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขจัดความยากจน การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม โรคระบาด ภัยพิบัติ สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายที่นานาประเทศกำลังจะต้องก้าวผ่านไปให้ได้ หนังสือเล่มนี้จะให้ข้อมูลที่ชัดเจนถึงการนำหลักการเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกต์ใช้ และจะช่วยตอบโจทย์เรื่องวิธีการแก้ไข โดยเฉพาะประเทศในตะวันตกที่กำลังเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะหนังสือเล่มนี้รวบรวมตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมจากการบริหารจัดการขององค์กรต่าง ๆ ทั้งบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติที่มีการลงทุนในประเทศไทย นี่น่าจะเป็นแนวทางให้บริษัทในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศตะวันตกสามารถประยุกต์ใช้ว่าจะบริหารจัดการธุรกิจของตนอย่างไรให้มีความยั่งยืน อย่างไร หนังสือแนวคิดของความพอเพียงจึงเป็นหนังสือที่จะสร้างความสนใจจากทุกภาคส่วน และเป็นที่น่าภาคภูมิใจว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

สิ่งที่สำคัญที่สุดนอกเหนือจากหลักในการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทั้ง 4 มิติที่หนังสือแนวคิดของความพอเพียงได้มอบให้กับผู้อ่านแล้ว ของขวัญที่หนังสือเล่มนี้ตั้งใจมอบให้คนทั่วโลกก็คือ วิธีคิดและวิธีการเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเราต้องกล้า เปลี่ยนวิธีคิดของเรา ทำอะไรต้องไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่เร็วไป ไม่ช้าไป ต้องมีเหตุมีผลอยู่บนหลักวิชาการ มีความไม่ประมาท สุดท้ายแล้วความรู้และคุณธรรมจะกลายเป็นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน ดร. ปรียานุช ธรรมปิยา กล่าวสรุป

หนังสือ “แนวคิดของความพอเพียง: ของขวัญจากประเทศไทยแด่โลกที่ไม่ยั่งยืน (Sufficiency Thinking: Thailand’s gift to an unsustainable world)” มีจำหน่ายแล้วตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป และสามารถสั่งซื้อทางออนไลน์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชม www.instituteforsustainableleadership.com

]]>
1094390
ไอบีเอ็มรุกลงทุนเอเชีย ตอบรับความต้องการเทคโนโลยีวัตสันและบล็อกเชนที่เพิ่มขึ้นทั่วทุกวงการ https://positioningmag.com/1094259 Fri, 10 Jun 2016 06:21:25 +0000 http://positioningmag.com/?p=1094259 ไอบีเอ็มเดินหน้าเสริมแกร่งองค์กรทุกขนาดทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคให้ก้าวล้ำนำคู่แข่งและอุตสาหกรรม ประกาศเปิดศูนย์ไอบีเอ็มวัตสัน ไอบีเอ็มการาจ และไอบีเอ็มสตูดิโอสิงคโปร์ นำเทคโนโลยีค็อกนิทิฟรวมถึงผู้เชี่ยวชาญเข้าทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อช่วยขับเคลื่อนความสำเร็จขององค์กร

เปิดศูนย์ไอบีเอ็มวัตสันที่มารีน่าเบย์ พร้อมเป็นแหล่งบ่มเพาะธุรกิจและงานวิจัยแห่งใหม่

ศูนย์ไอบีเอ็มวัตสันที่มารีน่าเบย์จะนำสู่การทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และผู้เชี่ยวชาญของไอบีเอ็มราว 5,000 คนจากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ครอบคลุมนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีวัตสัน นักวิทยาศาสตร์ข้อมูล วิศวกรซอฟต์แวร์ นักพัฒนา และผู้เชี่ยวชาญด้านอนาไลติกส์ พร้อมเป็นศูนย์กลางการศึกษา กิจกรรม และเวิร์คช็อปเฉพาะทางสำหรับกลุ่มผู้คิดค้นนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นบริษัท สตาร์ทอัพ นักพัฒนา หรือผู้ให้บริการระบบซอฟต์แวร์ต่างๆ บนพื้นฐานของเทคโนโลยีค็อกนิทิฟ บล็อกเชน และแนวคิดการออกแบบ

ศูนย์ไอบีเอ็มวัตสันที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของไอบีเอ็มเอเชียแปซิฟิคนี้ จะรองรับกลุ่มลูกค้าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจำนวนมากที่ต้องการก้าวนำในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยใช้ประโยชน์จากความสามารถของวัตสันในการหาเหตุผล การเรียนรู้ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพ และการค้นหามุมมองเชิงลึกที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลซับซ้อนปริมาณมหาศาล โดยที่ผ่านมาไอบีเอ็มได้พยายามอย่างมากที่จะตอบสนองความต้องการที่มีต่อค็อกนิทิฟคอมพิวติ้งที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังเห็นได้จากความร่วมมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชันแนล ในประเทศไทย และเอสเคโฮลดิ้งส์ซีแอนด์ซีในเกาหลี รวมถึงการจัดตั้งอีโคซิสเต็มนักพัฒนาในภูมิภาคนี้อีกด้วย

ปัจจุบันศูนย์ไอบีเอ็มวัตสันกำลังร่วมมือกับยักษ์ใหญ่การเงินอย่างธนาคารดีบีเอส ในการพัฒนารูปแบบการให้บริการใหม่ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีก้าวล้ำต่างๆ รวมถึงการหาแนวทางในการสนับสนุนกลุ่มสตาร์ทอัพด้านฟินเทคในภูมิภาค ขณะที่หนึ่งในกลุ่มธุรกิจการดูแลสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในเอชียแปซิฟิคอย่างพาร์คเวย์แพนไท กำลังมองหาแนวทางในการนำไอบีเอ็มวัตสันเข้าช่วยพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวังสุขภาพของผู้ป่วยที่โรงพยาบาลเมาท์เอลิซาเบธ เพื่อพัฒนาผลลัพธ์การรักษาและนำผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์เข้าช่วยให้แพทย์และพยาบาลสามารถรู้ภาวะวิกฤติของผู้ป่วยล่วงหน้า พร้อมเร่งรับมือก่อนที่เหตุรุนแรงจะเกิดขึ้น ขณะที่ผู้ให้บริการด้านการบริหารจัดการรายการสินค้าแก่บริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ทั่วโลกอย่างซูมาทา กำลังมองถึงการนำไอบีเอ็มวัตสันเข้าเรียนรู้รูปแบบความชอบของลูกค้าจากช่องทางการปฏิสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อนำสู่บริการที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าแต่ละคนอย่างแท้จริง

ไอบีเอ็มการาจพร้อมสนับสนุนบล็อกเชน

ในโอกาสเดียวกันนี้ ไอบีเอ็มยังได้ประกาศสนับสนุนให้เกิดการเร่งพัฒนาแอพบล็อคเชน ผ่านไอบีเอ็มการาจและโปรแกรมสนับสนุนผู้ประกอบกิจการระดับโลกของไอบีเอ็ม (IBM Global Entrepreneur) อันจะช่วยลดช่องว่างระหว่างการตอบโจทย์องค์กรขนาดใหญ่และวัฒนธรรมการทำงานแบบสตาร์ทอัพ พร้อมสนับสนุนมาตรฐานเปิดของอีโคซิสเต็มบล็อกเชน เพื่อสร้างโอกาสและงานใหม่ๆ

วัตสันและบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีสองอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตและการทำงานของเราอย่างรวดเร็ว กลุ่มลูกค้าในเอเชียแปซิฟิต่างกำลังมองหาแนวทางในการเป็นผู้นำการสร้างสรรค์และวิสัยทัศน์แห่งอนาคต” นายแรนดี้ วอล์เกอร์ ประธานและซีอีโอของไอบีเอ็มเอเชียแปซิฟิกล่าว “ที่นี่ ลูกค้าจะใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมด้านการออกแบบประสบการณ์สำหรับผู้บริโภคล่าสุด ใช้เทคโนโลยีค็อกนิทิฟเพื่อกลั่นกรองมุมมองเชิงลึกจากข้อมูลปริมาณมหาศาล และใช้ประโยชน์จากการลงทุนครั้งใหญ่ของไอบีเอ็มในด้านการวิจัยและพัฒนา การร่วมมือกับลูกค้าต่างๆ จะนำสู่การบ่มเพาะบุคลากรท้องถิ่นและการสร้างอีโคซิสเต็มที่จะช่วยกระตุ้นการพัฒนาโซลูชัค็อกนิทิฟและแพลตฟอร์มบล็อกเชนต่อไป

ไอบีเอ็มสตูดิโอสิงคโปร์มุ่งพัฒนาโซลูชั่นสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล

ศูนย์ไอบีเอ็มวัตสันที่มารีน่าเบย์ยังจะเป็นที่ตั้งของไอบีเอ็มสตูดิโอสิงคโปร์ ศูนย์กลางแห่งใหม่ที่จะผสมผสานการออกแบบบนพื้นฐานของประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับเข้ากับความเชี่ยวชาญด้านดิจิตอล เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับผู้บริโภค ที่สตูดิโอแห่งนี้ ไอบีเอ็มจะช่วยลูกค้าในเอเชียแปซิฟิวิเคราะห์ปัญหาทางธุรกิจและพัฒนาโซลูชันที่มุ่งเน้นประสบการณ์ดิจิตอลส่วนบุคคลมากขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีการวิจัยของไอบีเอ็ม ผสานรวมกับความสามารถด้านกระบวนการเรียนรู้และการออกแบบประสบการณ์

นักออกแบบของเราจะทำงานร่วมกับลูกค้าบนพื้นฐานของประสบการณ์ที่ได้รับ ตั้งแต่ขั้นตอนการวางกลยุทธ์ การสร้างสรรค์ รวมถึงการออกแบบแพลตฟอร์มดิจิตอล คอมเมิร์ซ โมบายล์ และอุปกรณ์สวมใส่ต่างๆ” นายสเตฟาน เฮิร์สช์ หัวหน้าทีม IBM iX ประจำภูมิภาคอาเซียนกล่าว “เราจะทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมกันคิดค้นโซลูชั่นนวัตกรรมเฉพาะบุคคลที่นำเทคโนโลยีค็อกนิทิฟ การวิจัย และการออกแบบของไอบีเอ็ม เข้าช่วยยกระดับประสบการณ์ดิจิตอลของลูกค้าต่อไป”

ไอบีเอ็มวัตสันบุกเบิกยุคใหม่แห่งเทคโนโลยีคอมพิวติ้ง

วัตสันเป็นเทคโนโลยีคอมพิวติ้งยุคใหม่ที่เรียกว่าค็อกนิทิฟคอมพิวติ้ง อันเป็นระบบที่สามารถเข้าใจโลกในวิถีเดียวกับมนุษย์ ผ่านการรับรู้ เรียนรู้ และซึมซับประสบการณ์ วัตสันสามารถเรียนรู้จากการปฏิสัมพันธ์ต่างๆ พร้อมสามารถเพิ่มพูนความรู้ไปได้เรื่อยๆ

วัตสันจะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของระบบค็อกนิทิฟคอมพิวติ้ง เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรม ช่วยให้มืออาชีพทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมแก้ปัญหาความท้าทายที่สำคัญต่างๆ

เพื่อพัฒนาความสามารถของวัตสัน ไอบีเอ็มจึงได้จัดตั้งหน่วยธุรกิจเฉพาะขึ้น 3 หน่วยได้แก่ 1) วัตสัน ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีค็อกนิทิฟคอมพิวติ้งผ่านคลาวด์ โดยเป็นการนำ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ “AI” มาปรับให้เข้ากับธุรกิจเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ 2) วัตสันเพื่อการดูแลสุขภาพ มุ่งเน้นการเสริมความสามารถของแพทย์ นักวิจัย และบริษัทประกัน ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาพอื่นๆ เพื่อให้ได้มุมมองเชิงลึกใหม่ๆ จากข้อมูลที่มี เพื่อต่อยอดนำเสนอเป็นบริการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และ 3) วัตสันไอโอที มุ่งเน้นการทำความเข้าใจข้อมูลที่ฝังอยู่ในอุปกรณ์เชื่อมต่อมากกว่า 9 พันล้านเครื่องนปัจจุบัน ที่ก่อให้เกิดข้อมูลใหม่มากกว่า 2.5 ล้านล้านล้านไบต์ต่อวัน

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไอบีเอ็มวัตสันได้ที่: ibm.com/Watson และ ibm.com/press/watson

]]>
1094259
โปรแกรมเมอร์อินเดียเจอศึกหนัก เจอไอทียุคใหม่ใช้ AI ทำงานแทนคน https://positioningmag.com/1094230 Thu, 09 Jun 2016 11:09:04 +0000 http://positioningmag.com/?p=1094230 สถิติการจ้างงานโปรแกรมเมอร์ในอินเดียลดฮวบ หลังโลกเทคโนโลยียุคใหม่ก้าวสู่ยุคของ AI เข้ามาทำงานแทน ส่งผลให้ความต้องการโปรแกรมเมอร์น้อยลงอย่างมาก

จากที่เคยเป็นที่ต้องการของบริษัทเทคโนโลยีจากซีกโลกตะวันตก มาในวันนี้ บริษัทไอทีอินเดียอาจถึงคราวต้องปรับกลยุทธ์กันใหม่เสียแล้ว เพราะโปรแกรมเมอร์ราคาถูกที่เคยเป็นตัวชูโรงให้บริษัทไอทีหันมาลงทุนในอินเดีย กลายเป็นสินค้าตกยุค ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดอีกต่อไป โดยบริษัทที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากในครั้งนี้ คือ Tata Consultancy Services ของอินเดีย ซึ่งมีสถิติการจ้างงานลดลง 10.7 เปอร์เซ็นต์ในปีการเงินนี้ (สิ้นสุดเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา) ปัจจุบัน บริษัทมีพนักงานทั้งสิ้น 353,843 คน และมีกำไรลดลงเหลือเพียง 7.1 เปอร์เซ็นต์ จากที่เคยมีสูงถึง 29 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2011

บริษัทที่ได้รับผลกระทบมากเป็นอันดับ 2 คือ ค่าย Infosys ซึ่งเคยมีการจ้างงานถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ก็ลดลงเหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา และรายได้ของบริษัทก็ลดลงจาก 26 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 9.1 เปอร์เซ็นต์ด้วย

แม้ว่าในภาพรวมมูลค่าของธุรกิจเอาต์ซอร์สด้านเขียนโปรแกรม และดูแลรักษาระบบของอินเดียยังคงสูงมากถึง 143 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีการจ้างงานโปรแกรมเมอร์ไว้มากกว่า 3 ล้านคน แต่การมาถึงของคลาวด์คอมพิวติ้ง, Big Data และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ก็เริ่มส่งผลกระทบต่ออาชีพโปรแกรมเมอร์ในอินเดียกันพอสมควร เพราะงานบางอย่างที่เคยจ้างโปรแกรมเมอร์ชาวอินเดียทำ ปัจจุบัน สามารถทำงานได้โดยระบบอัตโนมัติ แถมมีประสิทธิภาพมากกว่าเสียด้วย ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทไอทีอินเดียยังเจอการแข่งขันด้านราคา ทั้งจากคู่แข่งของตัวเอง และราคาที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการพัฒนาระบบอัตโนมัติแทนแรงงานคนอีกต่างหาก

หลังจากนี้ ภาพที่อาจเกิดขึ้นต่อตลาดไอทีอินเดียคงหนีไม่พ้นการปลดพนักงานออก เหลือไว้แต่ตำแหน่งสำคัญ ๆ ส่วนงานที่ไม่สำคัญก็จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสัญญาจ้างแทนนั่นเอง ส่วนนักศึกษาจบใหม่ที่ต้องการหางานทำจะใช้ใบปริญญาด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ก็อาจไม่การันตีว่าจะได้งานในอินเดียแล้ว โดยเทรนด์ในการหางานได้เปลี่ยนไปสู่การมีทักษะด้าน Big Data หรือ Cloud Computing ติดตัว หรือไม่ก็ต้องสามารถพัฒนา AI ได้แทน

คงต้องยอมรับว่า ตลาดไอทีนี้หากเปลี่ยนแปลงไม่ทันก็อาจกลายเป็นกบต้มสุกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งตลาดไอทีอินเดียเป็นตัวอย่างได้ดีถึงแนวโน้มดังกล่าว

ที่มา: http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000056817

]]>
1094230
เคล็บลับสำหรับเอสเอ็มอี: “หุ่นยนต์ทำงานร่วมกับมนุษย์” คือคำตอบของการเพิ่มผลผลิต https://positioningmag.com/1093364 Wed, 01 Jun 2016 05:24:54 +0000 http://positioningmag.com/?p=1093364 โดย เชอร์มีน ก็อตเฟรดเซ็น ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ยูนิเวอร์แซล โรบอทส์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เอสเอ็มอีขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย

มีบริษัทไม่น้อยกว่า 2.7 ล้านบริษัทที่มีส่วนในว่าจ้างงานกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศไทยด้าน การบริการ การค้าขาย และด้านการผลิต1 และในกลุ่มบริษัทเหล่านี้ วิสาหกิจขนาดเล็กและกลางหรือเอสเอ็มอี (SMEs) ประเมินได้ว่าคิดเป็นร้อยละ 37 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศ ตามข้อมูลของบมจหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง2

ภาคส่วนการผลิตเติบโตรุดหน้า

ภาคส่วนการผลิตของประเทศไทยมีอัตราสูงที่สุดของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศโดยคิดเป็นร้อยละ 403 จากการที่มีคู่แข่งสินค้านำเข้าจากจีน และอุปสงค์จากตลาดท้องถิ่นที่ค่อนข้างต่ำ4 ภาคส่วนการผลิตของประเทศ รวมทั้งเศรษฐกิจโดยรวมจึงมีความเปราะบางต่อการสูญเสียรายได้ หากผู้ผลิตไม่เริ่มต้นที่จะเพิ่มผลิตผลจากโรงงาน และลดค่าใช้จ่าย

ความท้าทายและโอกาสสำหรับเอสเอ็มอี

วิสาหกิจขนาดเล็กและกลางในภาคส่วนการผลิตนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลายประการ อาทิ ข้อจำกัดของพื้นที่และงบประมาณ รวมทั้ง ความขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ อย่างไรก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้สำหรับวิสาหกิจขนาดเล็กและกลางที่จะประสบความสำเร็จ โดยอาศัยประโยชน์จากการนำออโตเมชั่นมาใช้ในกระบวนการทำงานประจำวันในโรงงานผลิต

ในระดับโลก ร้อยละ 56 ของบริษัททั่วโลกกำลังใช้ออโตเมชั่น หรือวางแผนที่จะนำมาใช้งานภายในปีนี้ จากการสำรวจเมื่อปีพ.. 2558 ใน 36 เขตเศรษฐกิจ5 อย่างไรก็ตาม การสำรวจเดียวกันนี้ชี้ว่าประเทศไทย เพียงร้อยละ 36 ของธุรกิจในไทยที่นำเอาออโตเมชั่นมาใช้งาน ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก

สถิติข้างต้นเป็นตัวกระตุ้นเตือน ขณะที่สภาพการทำงานในสภาวะที่เป็นโรงงานนั้นอาจจะต้องกินเวลาหลายชั่วโมงปฏิบัติงานซ้ำๆ เดิมๆ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดที่เลี่ยงไม่ได้ขึ้นมา ดังนั้น วิสาหกิจขนาดเล็กและกลางสามารถพิจารณาตัวเลือกที่จะใช้ออโตเมชั่น เช่น หุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้ (collaborative robots หรือ co-bots) เข้ามาใช้ในสายการผลิตเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ปฏิบัติงานในการทำชิ้นงานที่ต้องอาศัยความบากบั่นอุตสาหะ

หุ่นยนต์ Cobots เหมาะสำหรับโรงงาน

Co-bots เป็นหุ่นยนต์ที่มีแขนกลที่เคลื่อนไหวคล่องตัว และเคลื่อนย้ายได้สะดวก ทำให้เหมาะสำหรับโรงงานที่มีแผนผังงานโปรดักชั่นตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ โดย co-bots ส่วนมากจะมีขนาดกะทัดรัดและนำหนักเบา ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ซึ่งมักจะมีข้อจำกัดด้านพื้นที่ และต้องทำชิ้นงานที่มีความซ้ำซากจำเจ ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นรูปหล่อแบบไปจนถึงงานประกอบชิ้นส่วน ในปัจจุบัน สิ่งสำคัญในสภาพแวดล้อมการผลิตที่ต้องอาศัยความรวดเร็วคือความยืดหยุ่นคล่องตัวนั่นเอง

จากภาวการณ์แข่งขันในหมู่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่ทวีความเข้มข้น บริษัทจึงหันมาพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อให้เป็นตัวที่สร้างความแตกต่างโดดเด่นจากคู่แข่ง โดยอิงจากประเภทของแอพพลิเคชั่น พบว่าหนึ่งหรือหลาย co-bots สามารถที่จะทำงานเคียงข้างกับมนุษย์ในโนโรงงานได้ เมื่อได้สรุปชิ้นงานให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ปฏิบัติงานสามารถตั้งค่าโปรแกรมให้หุ่นยนต์ทำกิจกรรมตามที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการฝึกอบรมยุ่งยากด้านวิศวกรรมใดๆ เลย

ข้อได้เปรียบอีกประการหนึ่ง คือ co-bots มีช่วงคืนทุนที่รวดเร็วกว่าหุ่นยนต์อุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม ซึ่งทำให้เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่มีข้อจำกัดด้านการเงิน ซึ่งนอกจากนี้แล้ว การยกระดับทักษะด้านการปฏิบัติงานก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ต้องไม่มองข้าม

เมื่อ co-bots มาทำงานบนสายการผลิต ผู้ปฏิบัติงานสามารถทำชิ้นงานอื่นที่ต้องอาศัยความประณีตละเอียดอ่อนมากกว่า เช่น การวางแผนงานหรือรับผิดชอบคุมงาน แรงงานที่มีทักษะนั้นสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิผลได้ และส่งผลอย่างยิ่งต่อการเติบโตของธุรกิจ

อนาคตที่สดใสสำหรับเอสเอ็มอีไทย

เจ้าของธุรกิจมีตัวเลือกที่จะเพิ่มประสิทธิผลอย่างมีประสิทธิภาพ และสานสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในองค์กรของตน ออโตเมชั่นของกระบวนการผลิตเป็นตัวเลือกหนึ่งนั้น ที่จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในพื้นที่การผลิต เพื่อให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน เป็นการสำคัญมากที่ธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่จะสร้างแนวความคิดที่มีความสร้างสรรค์ และเทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น co-bots ที่จะช่วยผลักดันธุรกิจให้เติบโตขึ้นอีกระดับในระยะยาว

เกี่ยวกับยูนิเวอร์แซล โรบอทส์

ยูนิเวอร์แซล โรบอทส์เป็นผลแห่งความสำเร็จในการวิจัยค้นคว้าด้านหุ่นยนต์อย่างหนักหน่วงติดต่อกันหลายปี ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทประกอบด้วย หุ่นยนต์ทำงานร่วมกับมนุษย์ UR3 UR5 และ UR10 หุ่นยนต์แขนกลเหล่านี้ตั้งชื่อรุ่นตามน้ำหนักที่รับในหน่วยกิโลกรัม

ตั้งแต่ UR ตัวแรกก้าวเข้าสู่ตลาดเมื่อเดือนธันวาคมปี พ.2551 บริษัทก็ได้เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง และสามารถทำตลาดได้ในประเทศต่างๆ มากกว่า 50 ประเทศทั่วโลกที่ให้ความสนใจในการนำหุ่นยนต์มาใช้งาน ระยะเวลาในการคืนทุนโดยเฉลี่ยสำหรับหุ่นยนต์ UR นี้เพียง 195 วันเท่านั้นถือเป็นอัตราที่เร็วที่สุดในอุตสาหกรรม บริษัทยูนิเวอร์แซล โรบอทส์มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองโอเดนส์ ประเทศเดนมาร์ก พร้อมด้วยงานพัฒนาวิจัยและผลิต เป้าหมายการจำหน่ายทั่วโลกอยู่ที่ การเติบโตยอดรายได้เท่าตัวทุกปี นับตั้งแต่ปี พ.2557 ถึง พ.. 2560 สนใจเยี่ยมชมเว็บไซต์ ได้ที่ www.universal-robots.com

1 http://www.nationmultimedia.com/business/SMEs-hold-key-to-economic-future-30277081.html

2 http://www.straitstimes.com/business/thailand-approves-812-bln-measures-to-aid-small-firms-as-economy-falters

3 http://www.ilo.org/wcmsp5/groups/public/—ed_dialogue/—sector/documents/publication/wcms_161290.pdf

4 http://www.wsj.com/articles/thailands-industrial-production-remains-weak-in-february-1459239293

5 http://www.grantthornton.global/en/insights/growthiq/automation/

]]>
1093364
เดนท์สุ มีเดีย ส่ง dmLab ยกทัพโชว์ศักยภาพผู้พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีในงาน CES Asia 2016 ณ เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน https://positioningmag.com/1091747 Fri, 13 May 2016 08:54:27 +0000 http://positioningmag.com/?p=1091747 เดนท์สุ มีเดีย (Dentsu media) บริษัทมีเดียเอเจนซี่ยักษ์ใหญ่ชั้นนำระดับโลก นำทัพส่ง เดนท์สุ มีเดีย แลบบอราทอรี่ (Dentsu media Laboratory) หรือ ดี เอ็ม แลป (dmLab) ผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับ เดนท์สุ อีจิส เน็ตเวิร์ค (Dentsu Aegis Network) และ เครือข่ายธุรกิจ โชว์ศักยภาพแสดงผลงานเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่างยิ่งใหญ่ในงานนิทรรศการแสดงนวัตกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภคภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ‘ซีอีเอส เอเซีย’ (CES Asia) ประจำปี 2016 ระหว่างวันที่ 11-13 พฤษภาคมนี้ ณ เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีการคาดการณ์ว่านิทรรศการดังกล่าวจะได้รับความสนใจและมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 30,000 คน

ซึ่งในปีนี้เดนท์สุ มีเดีย ได้ร่วมออกบูธภายในงานนิทรรศการดังกล่าวโดยมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลงานนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลชั้นนำภายใต้ธีม ‘Empower Extended Self’ เพื่อเป็นการจุดประกายให้ผู้ที่เข้าร่วมงานมีความรู้ความเข้าใจ ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์โลกดิจิทัลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน รวมถึงแนะแนวทางการบูรณาการและประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจให้มีการเติบโตได้อย่างยั่งยืน

มร. มิตสึยูกิ นากามูระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด และประธานบริษัท เดนท์สุ มีเดีย ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยว่า “ผมเชื่อว่า นวัตกรรมเทคโนโลยีเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนภาคธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน นับได้ว่าการที่เดนท์สุ มีเดีย ได้ยกทัพหน่วยงาน dmLab ออกบูธเพื่อโชว์ผลงานด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลใหม่ๆในงานนิทรรศการ CES Asia 2016 ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีของเราที่ได้มีโอกาสได้แสดงศักยภาพของการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออนาคต และเราได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและสร้างเสริมประสบการณ์ที่ดีในการเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคกับเทคโนโลยีดิจิทัลให้เกิดขึ้นด้วย”

มร. นากามูระ กล่าวเสริมว่า จุดมุ่งหมายสำคัญที่ เดนท์สุ มีเดีย จัดตั้ง dmLab ก็เพื่อมุ่งเน้นสนับสนุนและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีเชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้กับแบรนด์ธุรกิจดิจิทัล นอกจากนี้ dmLab ไม่ได้สนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น แต่ยังสร้างโอกาสให้กับผู้ริเริ่มธุรกิจ (Startup) ในประเทศต่างๆได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและพาร์ทเนอร์ในแต่ละประเทศอีกด้วย ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำศักยภาพของการเป็นผู้นำในการริเริ่ม คิดค้น สร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมทางเทคโนโลยีของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิคที่ช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคงรวมถึงสามารถยกระดับองค์กรสู่มาตรฐานสากลได้

“นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เรานำมาจัดแสดงในงานนิทรรศการครั้งนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นว่า dmLab หน่วยงานที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของเดนท์สุ มีเดีย คือ ผู้นำและผู้กำหนดทิศทาง (Trendsetter) การบูรณาการนวัตกรรม ซึ่งหน่วยงาน dmLab สามารถนำมิติความหลากหลายของเทคโนโลยีมาเป็นตัวหลักในการคาดการณ์และกำหนดทิศทางแนวโน้วของนวัตกรรมดิจิทัลที่กำลังจะเกิดขึ้นภายใน 3-5 ปีข้างหน้าได้เป็นอย่างดี และนี่คือจุดแข็งของ dmLab ที่จะช่วยลูกค้าวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ” มร. นากามูระ กล่าวเพิ่มเติม

ซึ่งในครั้งนี้หน่วยงาน dmLab มีการนำเสนอเทคโนโลยีนวัตกรรมเพื่ออนาคต ผ่านแนวคิดการเชื่อมโยงเทคโนโลยีของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้โดยไม่ต้องผ่านบุคคล หรือที่เรียกว่า Internet of Things (IoT) เช่น เทคโนโลยีความจริงเสมือน (Virtual Reality-VR) และอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ(Wearable) เป็นต้น

ไฮไลท์สำคัญของปีนี้ คือหน่วยงาน dmLab ของเดนท์สุ มีเดีย ร่วมกับ บริษัท ทัชดอทพลัส โชว์หุ่นยนต์ TABO บนเวทีนิทรรศการ CES Asia 2016 ซึ่งเป็นเวทีระดับโลก โดยหุ่นยนต์ TABO คือ หุ่นยนต์อัจฉริยะอัตโนมัติขนาดเล็กที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อการใช้งานสำหรับไอแพด รุ่นโปร ด้วยระบบจอสัมผัส (touch screen)

หุ่นยนต์ TABO ได้รับการพัฒนาจาก บ.ทัชดอทพลัส ร่วมกับ บ.แบสคิว อิงค์ และ บ.โปรเกส เทคโนโลยี อิงค์ โดยวัตถุประสงค์หลักของการคิดค้นและพัฒนาหุ่นยนต์ดังกล่าว คือ การประยุกต์ใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีมาสร้างประสบการณ์ที่ดีมอบให้แก่ลูกค้า ถือเป็นการเชื่อมโยงนวัตกรรมดิจิทัลกับลูกค้าก่อให้เกิดประสิทธิภาพอย่างสูงสุด

ด้าน นายนรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจกลุ่มดิจิทัล เดนท์สุ 360 บริษัท เดนท์สุ มีเดีย ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจ dmLab ไม่ได้สนับสนุนด้านเทคโนโลยีเพียงเท่านั้น เพราะ dmLab ยังสร้างโอกาสใหม่ๆโดยการจับมือทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีระดับ World Class ให้สามารถนำมาใช้ได้จริง ซึ่งจุดเด่นอีกประการหนึ่งของ dmLab นั่นคือ เน้นการทำงานแบบมีส่วนร่วมกัน โดยมีการประสานงานกับพาร์ทเนอร์ และ ผู้ริเริ่มธุรกิจ (Startup) แต่ละประเทศทั้งในและนอกประเทศ เรียกว่าเป็น Local Incubation และ Gateway to Global Innovation อย่างแท้จริง

และเมื่อไม่นานมานี้ บริษัท เดนท์สุ มีเดีย ประเทศไทย (จำกัด) ได้ประกาศเปิดตัวหน่วยงาน dmLab อย่างเป็นทางการ โดยประเทศไทย คือ ประเทศแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการจัดตั้งหน่วยงาน dmLab นี้ขึ้น ซึ่งในอนาคตมีแผนการขยายหน่วยงานไปยังประเทศต่างๆอีกด้วย ด้านผลงาน dmLab ของไทยยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา และคาดว่าจะเปิดตัวได้ในเร็วๆ นี้

“นี่คือโอกาสอันดีของหน่วยงาน dmLab ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในงานนิทรรศการ CES Asia 2016 และนี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการจุดประกายไอเดียด้านเทคโนโลยีนวัตกรรมทางธุรกิจให้แก่ทุกภาคส่วน ได้ตื่นตัวและก้าวให้ทันโลกดิจิทัลในอนาคต” นายนรสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับ บริษัท เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทยจำกัด

บริษัท เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทยจำกัด คือ Media Agency Network ที่เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท เดนท์สุ อิงค์ ประเทศญี่ปุ่น (Dentsu Inc.) ซึ่งได้มีการควบรวมกิจการเป็นกลุ่มบริษัท เดนท์สุ อีจิส เน็ตเวิร์ค (Dentsu Aegis Network) ส่งผลให้บริษัท เดนท์สุ มีเดียฯ มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจมีเดียเอเจนซี่ระดับสากล ปัจจุบันบริษัท เดนท์สุ มีเดียฯ ประกอบด้วย 3 มีเดียแบรนด์ ได้แก่ media palette, media matrix และ media cubic

นอกจากนี้ dentsu 360 และ dmLab เป็นอีกแบรนด์ของบริษัท เดนท์สุ มีเดียฯ ที่มุ่งเน้นการให้บริการแบบองค์รวม (Holistic Communication Solutions) และ การพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมดิจิทัลครบวงจร เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครันและมีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม

อนึ่ง เมื่อเร็วๆนี้ บ.เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทย) ประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่คว้า 2 รางวัลเหรียญทองได้รับการยกย่องให้เป็น ‘มีเดียเอเยนซี่ยอดเยี่ยม’ (Thailand Media Agency of the Year) และ ‘ดิจิตอลเอเจนซี่ยอดเยี่ยม’ (Thailand Digital Agency of the Year) ของประเทศไทยประจำปี 2558 รวมถึงถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Southeast Asia Integrated Agency of the Year จากงานประกาศผลรางวัล Campaign Asia Pacific’s Agency of the Year 2015 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ ผู้บริหารบริษัท เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด ประกอบด้วย มร.มิตสึยูกิ นากามูระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, คุณสรรค์ฉัตร จันทร์สระแก้ว กรรมการผู้จัดการ (บริหารงานธุรกิจกลุ่ม dentsu 360 และ media cubic), คุณอาวีพรรณ มาลัยรัตน์ ผู้อำนวยการบริหาร (บริหารงานธุรกิจกลุ่ม media palette) และคุณกนกพร เตชธรรมานนท์ ผู้อำนวยการวางแผนสื่ออาวุโส (บริหารงานธุรกิจกลุ่ม media matrix)

เกี่ยวกับ dmLab

Dentsu media Laboratory หรือ dmLab มีเป้าหมายทางธุรกิจที่สำคัญคือสนับสนุนและพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ สร้างการเชื่อมโยงระหว่างตราสินค้าต่างๆ กับแพลทฟอร์มรวมถึงสร้างสรรค์คอนเทนต์ต่างๆ เพื่อนำมาสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ซึ่งหน่วยงาน dmLab ในประเทศไทยอยู่ภายใต้การดูแลของกลุ่มธุรกิจ เดนท์สุ 360 บ.เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด

เกี่ยวกับ CES Asia

งาน CES Asia 2016 (Consumer Electronics Show) หรือ งานแสดงเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อผู้บริโภค ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค โดยปีนี้จัดขึ้นที่ เซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 11-13 พฤษภาคม 2559 ซึ่งงานนิทรรศการดังกล่าวจะเป็นการรวบรวมผู้ผลิต, นักพัฒนาด้านเทคโนโลยี ตลอดจนซัพพลายเออร์ จากทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย มานำเสนออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล ในหลายรูปแบบ เพื่อรวบรวมและอัพเดทเทรนด์ของนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถสร้างประโยชน์ต่อผู้บริโภคและวงการธุรกิจในหลากหลายแขนง รวมไปการคาดการณ์ภาพรวมของอุตสาหกรรมดิจิทัลในตลาดเอเชียตลอดทั้งปีอีกด้วย

]]>
1091747
“หัวเว่ย” สำนักงานใหญ่ในไทย รับเศรษฐกิจดิจิทัล https://positioningmag.com/1091443 Thu, 12 May 2016 02:21:26 +0000 http://positioningmag.com/?p=1091443 หลังจากที่หัวเว่ยได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมา 19 ปีแล้ว และได้ก่อตั้งสำนักงานใหญในไทยเมื่อปี พ.ศ. 2542 ซึ่งตลาดในประเทศไทยถือว่าสร้างรายได้อันดับต้นๆ ของหัวเว่ยเลยทีเดียว ในช่วง 5 ปีนี้ในประเทศไทยสามารถสร้างรายได้ 660 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หัวเว่ยมองตลาดประเทศไทยสำคัญอีกตลาดหนึ่ง

ทำให้ในปีนี้หัวเว่ยได้ตัดสินใจเปิดสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขึ้นที่ประเทศไทยเสียเลย ตั้งอยู่ที่อาคารจีพีเอฟ วิทยุ ทาวเวอร์ บี ชั้น 10-13 มีพื้นที่รวม 4,380 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 12 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในสำนักงานใหญ่ได้ประกอบด้วยศูนย์นวัตกรรมโซลูชั่น และการเรียนรู้ และศูนย์ฝึกอบรมแห่งใหม่

1_huawai 2_huawai

แต่สาเหตุที่หัวเว่ยได้เลือกประเทศไทยเป็นยุทธศาสตร์หลักของภูมิภาค นอกจากเรื่องรายได้แล้ว ยังมีเรื่องทำเลที่ตั้งที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค รวมไปถึงนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีการสนับสนุนให้บริษัทข้ามชาติมาเปิดสำนักงานในไทย โดยที่จะมีสิทธิ์พิเศษให้อย่างเช่นเรื่องภาษี เป็นต้น

โดยที่การบริหารงานมีการแยกกันชัดเจนระหว่างของหัวเว่ย ประเทศไทย และในระดับภูมิภาค มีการดูแลครอบคลุม 12 ประเทศไทย ได้แก่ ไทย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, พม่า, บังกลาเทศ, ศรีลังกา, ไต้หวัน, ฮ่องกง, มาเก๊า ลาว, กัมพูชา และเนปาล

3_huawai 4_huawai

เดวิด ซุน ประธานบริหาร หัวเว่ยเทคโนโลยี่ประจำภูมิภาพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “หัวเว่ยทำตลาดในประเทศไทยมายาวนาน ต้องมองหาอะไรใหม่บ้าง ในปีนี้มีความพร้อมในหลายๆ อย่าง ทั้งในประเทศไทยตอนนี้สถานการณ์การเมืองก็นิ่งขึ้น เศรษฐกิจก็ดีขึ้น พร้อมทั้งเรื่องนโยบายของทางภาครัฐที่สนุบสนุนเรื่องไอซีทีชัดเจน ทำให้มีโอกาสอย่างมากในประเทศไทย”

ปัจจุบันมีจำนวนพนักงานในส่วนของสำนักงานใหญ่มีอยู่ราว 1,200 คน และพนักงานในส่วนของภูมิภาค 535 คน

5_huawai 6_huawai 7_huawai 8_huawai 9_huawai 10_huawai 11_huawai 12_huawai

]]>
1091443
Xiaomi เปิดตัวหม้อหุงข้าวควบคุมด้วยสมาร์ทโฟน 5,400 บ. https://positioningmag.com/62913 Fri, 01 Apr 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62913
เสี่ยวหมี่ (Xiaomi) แบรนด์สมาร์ทโฟนดาวรุ่งจากจีน เปิดตัวหม้อหุงข้าวอัจฉริยะที่สามารถควบคุมได้ด้วยสมาร์ทโฟน ถือเป็นก้าวใหม่หลังจากบริษัทเปิดตัวเครื่องฟอกอากาศ เครื่องกรองน้ำ ระบบวัดความดัน และเซกเวย์อัจฉริยะ รวมถึงนานาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สามารถควบคุมได้ด้วยสมาร์ทโฟน
 
หม้อหุงข้าวของเสี่ยวหมี่ มีชื่อเต็มว่า “หมี่อินดักชันฮีตติ้งเพรชเชอร์ไรซ์คุกเกอร์” (Mi Induction Heating Pressure Rice Cooker) จุดนี้ ซีอีโอเสี่ยวหมี่ “เหล่ย จุน” (Lei Jun) เคยยืนยันว่า หม้อหุงข้าวของเสี่ยวหมี่มีความสามารถต่างจากหม้อหุงข้าวที่ใช้เทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น โดยมั่นใจว่า หม้อหุงข้าวแบรนด์เสี่ยวหมี่จะตอบโจทย์ผู้ใช้ได้เกินกว่าที่หลายคนคิด
 
หม้อหุงข้าวของเสี่ยวหมี่จะทำงานผ่านแอปพลิเคชันพิเศษที่บริษัทพัฒนาขึ้น ผู้ใช้สามารถสแกนถุงบรรจุข้าวเพื่อให้ระบบวิเคราะห์ประเภทข้าวในห่อ ผลการวิเคราะห์จะถูกนำไปประเมินเพื่อกำหนดเป็นค่าความร้อนที่เหมาะสมต่อการหุงข้าวประเภทนั้นๆ ทำให้ผลที่ได้ คือ ข้าวรสเลิศที่ผ่านการหุงด้วยความร้อนพอเหมาะต่อข้าวชนิดนั้น
 
 
 
ไม่เพียงข้าว หม้อหุงข้าวอัจฉริยะยังสามารถใช้อบเค้ก หรืออบอาหารได้หลากหลายประเภท โดยนอกจากความร้อน ระบบยังสามารถควบคุมแรงดันซึ่งมีผลทำให้อาหารถูกปรุงสุกอย่างพอดี ถือเป็นข้อแตกต่างจากผลิตภัณฑ์หม้อหุงข้าวอัจฉริยะที่เริ่มวางจำหน่ายในญี่ปุ่นแล้วขณะนี้
 
เสี่ยวหมี่ ระบุว่า ระบบรองรับข้าวมากกว่า 200 ยี่ห้อในท้องตลาดจีนขณะนี้ คาดว่าจะขยายเพิ่มขึ้นในอนาคต จุดนี้ข้อมูลระบุว่า แม้เครื่องจะทำตลาดภายใต้แบรนด์เสี่ยวหมี่ แต่การผลิตนั้นดำเนินโดยโรงงานของบริษัทชุนหมี่ (Chun Mi) โดยรูปแบบธุรกิจการรับสินค้าจากพันธมิตรมาจำหน่ายนี้เป็นรูปแบบเดียวกับที่เสี่ยวหมี่ใช้กับสินค้ากลุ่มเครื่องใช้ในบ้านมาก่อนหน้านี้
 
เบื้องต้น หม้อหุงข้าวนี้จะเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 6 เมษายนนี้ ในราคา 999 หยวน หรือประมาณ 5,400 บาท ราคานี้ถูกระบุว่า ต่ำกว่าราคาหม้อหุงข้าวไฮเทคญี่ปุ่นราว 4 เท่าตัว ยังไม่มีการประกาศแผนวางจำหน่ายในพื้นที่นอกประเทศจีนขณะนี้
 

]]>
62913
เก็บตก 4 เรื่องเด่นจากงานแถลงข่าวแอปเปิล https://positioningmag.com/62817 Tue, 22 Mar 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62817
ไม่เพียงไอโฟนใหม่และไอแพดสุดซิง งานแถลงข่าวที่แอปเปิลจัดขึ้นที่สำนักงานใหญ่ของตัวเองเมื่อวันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ยังมีอีก 4 เรื่องราวที่สาวกแอปเปิลทั่วโลกให้ความสนใจ นั่นคือ การเปิดตัวหุ่นยนต์รีไซเคิลไอโฟนของแอปเปิล การลดราคานาฬิกาไฮเทค ข่าวคราวของชุดอุปกรณ์เชื่อมต่อทีวี และการแจ้งเกิดระบบปฏิบัติการ iOS 9.3
 
1. Liam
 
เลียม (Liam) ไม่ใช่สินค้าที่แอปเปิลกำลังเตรียมทำตลาดในเร็วๆ นี้ แต่เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่บริษัทภูมิใจนำเสนอบนเวทีโชว์ตัวไอโฟนใหม่
 
 
Liam คือ หุ่นยนต์พิเศษที่ถูกแอปเปิลพัฒนาขึ้นเพื่อถอดชิ้นส่วนไอโฟนเครื่องเก่า แล้วคัดแยกชิ้นส่วนที่สามารถนำมาใช้งานใหม่ได้อีกครั้งอย่างสกรู หรือนอต รวมถึงวัสดุที่สามารถนำมาหลอมใช้ใหม่ได้อย่างทอง (แน่นอน มีทองในไอโฟนของพวกเรา)
 
 
2. Apple Watch
 
แอปเปิลเปิดเผยในงานนี้ว่า ผู้ใช้นาฬิกาไฮเทคของแอปเปิล Apple Watch มากกว่า 1 ใน 3 นิยมเปลี่ยนสายนาฬิกาใหม่ ดังนั้น บริษัทจึงเปิดตัวสายนาฬิกาสีใหม่เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้รุ่น Sport รวมถึงสายหนังสีใหม่ และสายไนลอนเพื่อการใช้งานที่สมบุกสมบันกว่า
 
 
 
 
แต่ข่าวใหญ่ของ Apple Watch ยังไม่ใช่เรื่องนี้ เพราะการลดราคา Apple Watch Sport ให้เริ่มที่ 299 เหรียญ (ราว 10,500 บาท) โดยราคาจำหน่ายในประเทศไทยยังเริ่มที่ 11,500 บาทสำหรับสายแบบ Sport Band
 
3. Apple TV
 
ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิลระบุว่า ปัจจุบัน แอปพลิเคชันที่รองรับชุดอุปกรณ์ Apple TV รุ่นเจเนอเรชันที่ 4 ใหม่ล่าสุดนั้นมีจำนวนมากกว่า 5,000 แล้ว จุดนี้แอปเปิลระบุว่า จะเพิ่มความสามารถให้ Apple TV รุ่นใหม่ผ่านการอัปเดตซอฟต์แวร์ tvOS ใหม่ เช่น ความสามารถในการสร้างไฟล์ การค้นหาที่ดีขึ้น รวมถึงการเริ่มใช้งานที่สะดวกขึ้นด้วยการเอ่ยชื่อยูสเซอร์เนม และรหัสผ่านเพื่อให้ Siri ดำเนินการแทน
 
 
ระบบปฏิบัติการ tvOS สำหรับ Apple TV เปิดให้ดาวน์โหลดฟรีแล้วตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา
 
4. iOS 9.3
 
iOS 9.3 ระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพาเวอร์ชันล่าสุดของแอปเปิลเริ่มทยอยเปิดให้ดาวน์โหลดฟรีแล้วตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ได้เพลินกับคุณสมบัติใหม่อย่าง Night Shift โหมดปรับลดความสว่างจอเพื่อใช้งานในที่มืด รวมถึงการเพิ่ม shortcut ใหม่สำหรับระบบ 3D Touch
 
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดตัวคุณสมบัติใหม่สำหรับใช้ในรถผ่านระบบ Car Play รวมถึงการเปิดตัวแอปพลิเคชัน Notes อย่างเป็นทางการ ทั้งหมดนี้คาดว่าแอปเปิลจะทยอยแจ้งให้ผู้ใช้อุปกรณ์ที่รองรับ iOS 9.3 ลงมือดาวน์โหลด iOS ใหม่โดยเร็วที่สุด
 
 

]]>
62817
BMW ประกาศลุยสร้าง “รถอัจฉริยะที่สุด” https://positioningmag.com/62694 Wed, 09 Mar 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62694
ผู้บริหารค่ายรถหรูบีเอ็มดับเบิลยู (BMW) ใช้คำว่า the most intelligent car สำหรับอธิบายรถแห่งอนาคตที่บริษัทจะทุ่มเทสร้างสรรค์ต่อเนื่อง ทั้งยานยนต์ไฟฟ้า และระบบขับเคลื่อนตัวเองอัตโนมัติ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของนานานวัตกรรมยานยนต์ที่ BMW จะพร้อมเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อสู้ศึกกับค่ายบริษัทไอทีในอนาคตแน่นอน 
 
ไม่กี่วันหลังจากฉลองอายุครบ 100 ปี บริษัท BMW ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมนี ออกมาเรียกความเชื่อมั่นจากตลาดโลกด้วยการยืนยันว่าจะปรับเปลี่ยนสัดส่วนทีมวิจัย และพัฒนารถยนต์ของบริษัทครั้งใหญ่เพื่อให้บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ดีพอที่จะสู้กับคู่แข่งที่ไม่ใช่รถ Cadillac หรือ Audi อีกต่อไป แต่เป็นบริษัทไฮเทคซึ่งเป็นต่อเรื่องระบบประมวลผลอัตโนมัติที่ทำให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนตัวเอง โดยที่มนุษย์มีหน้าที่แค่โดยสารไปกับรถเท่านั้น
 
Klaus Froehlich ประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบีเอ็มดับเบิลยู ยอมรับว่า บริษัทต้องปรับตัวเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องตกเป็นเหมือน “Foxconn for a company like Apple” หรือการเป็นเพียงโรงงานผลิตโครงเหล็กให้แก่บริษัทใหญ่ที่มีความเชี่ยวชาญในระบบอัจฉริยะสำหรับรถยนต์มากกว่า ดังนั้น บริษัทจึงต้องสร้าง “รถอัจฉริยะที่สุด” ด้วยตัวเอง เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้
 
จุดนี้ทำให้บีเอ็มดับเบิลยูกำลังเตรียมปรับโครงสร้างวิศวกรในบริษัทครั้งใหญ่ โดยปัจจุบัน วิศวกรกลุ่มซอฟต์แวร์นั้นมีสัดส่วนเพียง 20% จากพนักงาน ผู้ประสานงาน และฝ่ายผลิตทั้งหมด 30,000 คนที่ทำงานให้แก่ส่วนวิจัยและพัฒนา เป้าหมายของบีเอ็มดับเบิลยู คือ การเพิ่มจำนวนวิศวกรซอฟต์แวร์เป็น 50:50 ในเวลา 5 ปี
 
อย่างไรก็ตาม บีเอ็มดับเบิลยูยังมีการบ้านกองโตที่รออยู่เพื่อไล่ตามบริษัทไอทีอเมริกันให้ทัน เนื่องจากระบบขับเคลื่อนรถอัตโนมัตินั้นมักต้องทำงานควบคู่กับระบบประมวลผลคลาวด์ (cloud computing) ซึ่งรวมถึงระบบเก็บข้อมูล หรือสตรอเรจที่จะช่วยให้การประมวลผลของระบบขับเคลื่อนรถอัตโนมัติเป็นไปอย่างรวบรื่น ทั้งหมดนี้ผู้บริหารรถหรูยืนยันว่าจะมีการหาพันธมิตรควบคู่ไปด้วย โดยจะยอมซื้อไลเซนส์เทคโนโลยีในส่วนที่บริษัทไม่สามารถสร้างได้เอง
 
คำให้สัมภาษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยูนั้นเกิดขึ้นในวันที่เจ้าพ่อเสิร์ชเอนจินผู้พัฒนารถขับเคลื่อนตัวเองอย่างกูเกิล (Google) ดำเนินการทดสอบรถไร้คนขับบนถนนจริงมานานกว่า 6 ปี โดยตลอดเวลาที่ผ่านมา กูเกิลทดสอบรถขับเคลื่อนตัวเองมากกว่า 20 คัน เป็นระยะทางรวม 1.7 ล้านไมล์ คิดเป็นระยะทางเฉลี่ย 10,000 ไมล์ต่อสัปดาห์ โดย 1 ล้านไมล์เป็นระยะทางที่รถถูกขับเคลื่อนในโหมดไร้คนขับ ซึ่งระยะทางนี้รวมการทดสอบรถ จำนวน 3 คัน บนถนนในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งผ่านกฎหมายเพื่อรองรับกรณีการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนโดยรถไร้คนขับโดยเฉพาะตั้งแต่เดือนกันยายน 2015
 

]]>
62694