Investment – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 09 May 2024 09:17:54 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 UOB มองเศรษฐกิจไทยยังคงอ่อนแอ แม้ได้ภาคการท่องเที่ยวช่วยไว้ แนะนำลงทุนกระจายความเสี่ยงไปในหุ้นปันผลดี https://positioningmag.com/1472645 Thu, 09 May 2024 07:05:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472645 ยูโอบี (UOB) ได้คาดการณ์ว่าอาจปรับลดตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ จากตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในช่วง 2 เดือนแรก แม้ว่าจะมีภาคการท่องเที่ยวช่วยไว้ก็ตาม นอกจากนี้ยังแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มปันผลนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงเวลาตลาดมีความผันผวน

เอ็นริโก้ ทานูวิดจายา นักเศรษฐศาสตร์ Global Economics and Market Research กลุ่มธนาคารยูโอบี ได้กล่าวถึงสภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาว่ามีความท้าทาย และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกนั้นเพิ่มมากขึ้น ทางด้านเรื่องของความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ นั้นมีผลกระทบต่อราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้น 

ในส่วนของเศรษฐกิจโลก เอ็นริโก้ มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังมีความแข็งแกร่งอยู่ แม้ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวนั้นจะปรับตัวลดลงมาก็ตาม ทำให้เขามองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้เริ่มต้นในเดือนกันยายน และในช่วงปลายปีอีกครั้งหนึ่ง

ขณะที่เศรษฐกิจจีนเขามองว่าชะลอตัวลง แต่มีเสถียรภาพมากขึ้น ตรงข้ามกับอินเดียที่เติบโตอย่างมาก และเขามองว่าอินเดียจะเป็นดาวเด่นทางเศรษฐกิจด้วย

ข้อมูลจาก UOB

ชี้เศรษฐกิจไทยอ่อนแอ แม้ท่องเที่ยวจะเป็นพระเอกก็ตาม

นักเศรษฐศาสตร์ Global Economics and Market Research กลุ่มธนาคารยูโอบี ยังได้กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยว่าเศรษฐกิจไทยนั้นได้กลับมาเติบโตเท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิดแล้ว แต่การเติบโตนั้นกลับไม่เท่ากันจะเห็นได้จากภาคบริการเติบโตมากกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดไปแล้ว แต่หลายอุตสาหกรรมเองกลับไม่ฟื้นตัวกลับมา เช่น ภาคการผลิต เป็นต้น

เขากล่าวว่าภาคการท่องเที่ยวที่เป็นพระเอกของเศรษฐกิจไทยนั้น นักท่องเที่ยวชาวจีนได้กลับมาแล้ว แต่ไทยเองยังต้องการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ขณะเดียวกันภาคการส่งออกของไทยเขาก็มองว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

อย่างไรก็ดี เอ็นริโก้ มองว่าเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะตัวเลขการเติบโตของเงินให้สินเชื่อของสถาบันการเงินไทยที่เติบโตติดลบ แสดงให้เห็นการบริโภคภายในประเทศถือว่าอ่อนแอมาก ทำให้เขามองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมา 2 ครั้งในปีนี้ โดยเริ่มต้นในเดือนมิถุนายน และในช่วงปลายปี

UOB ได้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ในรายงานล่าสุดอยู่ที่ 2.8% แต่ เอ็นริโก้ มองว่าอาจมีความเสี่ยงขาลงจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ 2 เดือนแรกของปีแย่กว่าคาด และอาจมีการปรับประมาณการใหม่ เขาคาดว่า GDP ไทยจะเติบโตแค่ 2.4-2.5% ถ้าหากมีการประมาณการตัวเลขใหม่

สำหรับค่าเงินบาทของไทย เขาไม่ได้กังวลมากนัก และมองว่าเม็ดเงินจะไหลออกระยะสั้นเท่านั้น แต่มองว่าค่าเงินบาทของไทยมีเสถียรภาพเนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดยังเป็นบวก นอกจากนี้ถ้าหากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ก็จะทำให้ค่าเงินบาทไทยแข็งค่าด้วย

ข้อมูลจาก UOB

หุ้นปันผล อีกหนึ่งทางเลือกลงทุน

เอเบล ลิม Head of Wealth Management Advisory and Strategy กลุ่มธนาคารยูโอบี ได้กล่าวถึงแม้เศรษฐกิจโลกจะมีอุปสรรคมากมาย เช่น ความไม่แน่นอน แต่ก็พบว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังเติบโตได้ดี ขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังอยู่ในสภาวะฟื้นตัว ขณะที่ญี่ปุ่นตลาดหุ้นทำผลตอบแทนได้ดีมาก บริษัทญี่ปุ่นยังเติบโตได้ ทางฝั่งยุโรปพบว่ามีเศรษฐกิจถดถอยในไตรมาส 1 ปีที่แล้วแต่บริษัทหลายแห่งกลับยังทำผลงานได้ดี

เขากล่าวยังว่า “เนื่องจากตลาดมีความอ่อนไหวต่อดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางอัตราการเติบโตและการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่แตกต่างกัน การสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอผ่านการลงทุนในหุ้นปันผลจึงเป็นสิ่งสำคัญ” โดยเขายกเหตุผลถึงถ้าหาก Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็จะเป็นผลดีกับหุ้นปันผลด้วย

ในส่วนของการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อเสริมพอร์ตการลงทุนหลัก UOB ได้แนะนำ 4 กลุ่มได้แก่ หุ้นเติบโตขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพ (High Quality) หุ้นกลุ่ม Healthcare หุ้นเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น รวมถึงหุ้นในอาเซียน

ขณะที่ความเสี่ยงของการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2024 นี้ที่ UOB มองไว้ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อลดลงได้ช้ากว่าคาด ส่งผลทำให้ธนาคารกลางต้องคงดอกเบี้ยสูงเป็นระยะเวลานาน และยังรวมถึงความเป็นไปได้ที่ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐกับจีนจะขยายตัวขึ้น

]]>
1472645
Jitta Wealth ชูโมเดล AI วิเคราะห์ข้อมูลประเทศไหนน่าลงทุน มองหุ้นจีน-ฮ่องกงราคาถูกน่าสนใจ https://positioningmag.com/1472692 Wed, 08 May 2024 17:28:32 +0000 https://positioningmag.com/?p=1472692 จิตตะ เวลธ์ (Jitta Wealth) มองถึงการเข้ามาของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้สร้างแรงกระเพื่อมในหลายมิติ ซึ่งรวมถึงด้านการลงทุนด้วย ล่าสุดบริษัทได้มีการนำข้อมูลในหลายมิติมาเพื่อวิเคราะห์ถึงการลงทุนว่าประเทศไหนเหมาะสมในการลงทุน เพื่อที่จะเพิ่มผลตอบแทน หรือแม้แต่ลดความเสี่ยงให้กับลูกค้า

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ได้กล่าวถึงว่าบริษัทได้พัฒนา Jitta Intel อัลกอริทึม AI เพื่อการลงทุนของจิตตะมาตลอดช่วง 12 ปีที่ผ่านมา มีการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลกว่า 1,000 ล้านชุดข้อมูลต่อวัน วิเคราะห์หุ้นกว่า 48,000 หุ้น ครอบคลุมหุ้น 90% ทั่วโลก เพื่อหาหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดของแต่ละตลาด (Jitta Ranking) ตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (VI)

เขาได้กล่าวเสริมในเรื่องดังกล่าวว่า การเข้ามาของเทคโนโลยี AI ในส่วนของธุรกิจการเงินการลงทุน ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์การลงทุนทั่วโลก เพิ่มศักยภาพและโอกาสการลงทุนให้กับนักลงทุน ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกได้ฉลาดยิ่งขึ้น ในเวลาอันรวดเร็ว ช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพกว่ามนุษย์หลายเท่า

นอกจากนี้เขายังมองว่า การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการลงทุนยังช่วยไม่ให้เกิดความอคติในการลงทุน หรือแม้แต่ความกลัวเวลาตลาดเกิดผันผวนขึ้นมา เนื่องจากเทคโนโลยีจะช่วยในเรื่องดังกล่าวแทน

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Jitta Wealth ได้กล่าวว่าล่าสุด ได้มีการนำโมเดล AI ที่สามารถจะทำนาย (Jitta Market Prediction) ในตลาดหุ้นที่มีพื้นฐานดี และโมเดลดังกล่าวยังมองว่าตลาดไหนจะทำผลตอบแทนได้ดี ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และสร้างผลตอบแทนได้ดีมากขึ้น

เขายังกล่าวว่า ถ้านำโมเดลดังกล่าวมาใช้จะให้ผลตอบแทนดีมาก ถ้าหากเจอตลาดหุ้นดีๆ ซึ่งในอนาคต ตราวุทธิ์ กล่าวว่าตัวโมเดล AI ดังกล่าวสามารถทายได้ว่าปีไหนไม่ต้องลงทุนเลยก็ได้ เพื่อเน้นความปลอดภัยของพอร์ตลงทุน หรือแม้แต่จะหาสินทรัพย์ที่ไม่มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นเพื่อเพิ่มผลตอบแทนได้อีกทาง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Jitta Wealth ยังได้กล่าวว่า ถ้าหากนำข้อมูลด้านการลงทุนมาวิเคราะห์แล้วจะพบว่าหุ้นจีน กับหุ้นฮ่องกง ยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากหุ้นที่มีมูลค่าถูกนั้นยังมีจำนวนมาก เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ อย่างเช่น ไทย เป็นต้น

ปัจจุบันลูกค้าที่ใช้บริการของ Jitta Wealth ในส่วนกองทุนส่วนบุคคลนั้นมีมากกว่า 68,000 พอร์ต มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท

สำหรับผลตอบแทนของ Jitta Ranking สามารถเอาชนะผลตอบแทนของกองทุนส่วนมากในไทย โดย Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม สร้างผลตอบแทน 140.27% เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ก็สร้างผลตอบแทนได้ถึง 77.47% เป็นอันดับ 3 จากกองทุนหุ้นสหรัฐฯ 28 กองทุน เป็นต้น

ลูกค้าที่ต้องการที่จะลงทุนกับ Jitta Wealth นั้นมีเงินเริ่มลงทุนเพียงแค่ 10,000 บาทก็สามารถใช้บริการได้ ตราวุทธิ์ยังมองว่าการทำธุรกิจนั้นเหมือนกับการวิ่งมาราธอน ถ้าหากผลิตภัณฑ์นั้นดีคนก็จะสนใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งบริษัทได้พัฒนาในเรื่องเทคโนโลยีดังกล่าวอยู่ตลอดเวลา

]]>
1472692
บล.พาย เปิดตัวแอปฯ Pi Financial ชูจุดเด่นใช้งานง่ายลงทุนสะดวก ตั้งเป้าสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำโตเพิ่มอีก 43,000 ล้านบาท https://positioningmag.com/1467261 Fri, 22 Mar 2024 06:51:19 +0000 https://positioningmag.com/?p=1467261 บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน Pi Financial โดยชูจุดเด่นในเรื่องการใช้งานง่าย และลูกค้าสามารถลงทุนได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็น หุ้นไทย กองทุนรวม ไปจนถึงหุ้นต่างประเทศ โดยตั้งเป้าในปี 2024 นี้จะมีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำโตเพิ่มอีก 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 43,000 ล้านบาท

บ๊อบ เวาเทอร์ส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้มีการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัลที่ครบวงจร ควบคู่กับบริการแนะนำการลงทุนส่วนบุคคล เพื่อมอบประสบการณ์การลงทุนแบบไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด Digital With A Human Touch

สำหรับปี 2024 นี้ บล.พาย ได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน Pi Financial โดยชูจุดเด่นในเรื่องการลงทุนที่ง่าย ใช้เอกสารเปิดบัญชีเท่าที่จำเป็น และสามารถเปิดบัญชีได้สะดวกโดยผ่านระบบ NDID รวมถึงมีบริการยืนยันตัวตนที่ 7-Eleven ซึ่งระบบดังกล่าวจะมีภายหลังจากนี้

สำหรับแอปพลิเคชัน Pi Financial นั้นมีบริการซื้อขายสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนรวม ตราสารอนุพันธ์ ฯลฯ นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุน การทำธุรกรรมฝากและถอนเงิน การยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ ซึ่งบริษัทได้ชี้ถึงหน้าจอการใช้งานที่ง่าย และบริษัทยังรับฟังความเห็นจากลูกค้าที่ใช้งานจริงเพื่อพัฒนาระบบให้ใช้งานง่ายขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้ บล.พาย ยังชูจุดแข็งในเรื่องบทวิเคราะห์หุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศที่น่าสนใจ ทั้งช่องทางเดิมที่ลูกค้าสามารถดาวน์โหลดบทวิเคราะห์ไปอ่านได้ หรือแม้แต่ช่องทาง Social Content ที่เติบโตค่อนเร็ว ส่งผลทำให้บริษัทได้หันมาทำ Channel ผ่าน Youtube ซึ่งตัวเลขล่าสุดมีผู้ติดตามมากว่า 48,000 ราย และยังสามารถติดตามบทวิเคราะห์ดังกล่าวผ่านแอปฯ Pi Financial ได้ด้วย

บล.พาย ยังได้ชูถึงเรื่องบทวิเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นช่องทางแบบดั้งเดิม หรือการที่นักวิเคราะห์ได้ออกไลฟ์สตรีม / ภาพจากบริษัท

นอกจากนี้ บ๊อบ ยังได้กล่าวถึงการที่บริษัทเตรียมรุกธุรกิจ Wealth Management โดยจะเจาะกลุ่มลูกค้าความมั่งคั่งสูง โดย บล.พาย เตรียมที่จะดึงพนักงาน Relationship Manager จำนวนหนึ่งมาร่วมงานเพื่อให้บริการลูกค้ากลุ่มดังกล่าว และจะเริ่มหาลูกค้าในกลุ่มความมั่งคั่งสูงเข้ามาใช้บริการด้วย

ธุรกิจ Wealth Management ของ บล.พาย ที่กำลังจะเดินหน้านั้น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บล.พาย มองจุดเด่นที่แตกต่างจากธนาคารที่ได้ทำธุรกิจดังกล่าวในเรื่องของความอิสระที่มากกว่า

ในปี 2023 ที่ผ่านมา บล.พาย นั้นมีฐานลูกค้าล่าสุดมากกว่า 80,000 ราย และบริษัทได้ระดมทุน 10 ล้านเหรียญสหรัฐจากตระกูล Koo Family กลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่สัญชาติไต้หวัน และบริษัทคาดว่าจะระดมทุนเพิ่มอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐได้หลังจากนี้เพิ่มเติม ซึ่งอยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากผู้ถือหุ้น

สำหรับภาพรวมของอุตสาหกรรมบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยที่มีการแข่งขันสูง บ๊อบ มองว่าการลงทุนช่องทางดิจิทัลใช้เงินลงทุนสูงและเชื่อว่าผู้เล่นในอุตสาหกรรมจะมีจำนวนลดลง ซึ่งเกิดจากการควบรวมกิจการ แต่เขาเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ของบริษัท บล.พาย จะเป็นผู้เล่นที่อยู่รอดได้

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บล.พาย ยังมองว่า ด้วยทีมนักวิเคราะห์ที่แข็งแกร่ง และทีมที่ปรึกษาทางการลงทุนที่เชี่ยวชาญ บริษัทได้ตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า และมีสินทรัพย์ภายใต้การแนะนำโตเพิ่มอีก 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย 43,000 ล้านบาท

]]>
1467261
LGT มองเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี แนะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น https://positioningmag.com/1459194 Wed, 17 Jan 2024 11:22:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1459194 นักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที LGT ไพรเวทแบงก์กิ้งจากลิกเตนสไตน์ ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ถดถอย อาจเห็นลดดอกเบี้ยช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้เขาได้แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นอินเดีย-ญี่ปุ่น

สเตฟาน โฮเฟอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของแอลจีที (LGT) ไพรเวทแบงก์กิ้ง ภูมิภาคเอเชีย ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจโลกปี 2024 ในเชิงบวก โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกานั้นเขาคาดว่าจะไม่ถดถอย เพียงแต่จะเติบโตชะลอตัวลง หลังจากที่เศรษฐกิจได้เติบโตอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องประกาศขึ้นดอกเบี้ย

สำหรับในปีนี้ LGT มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวแบบ Soft Landing เพื่อหลีกเลี่ยงเศรษฐกิจถดถอย และถ้าหากสถานการณ์เป็นไปตามนี้ Fed จะประสบความสำเร็จในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่สูงโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย

โดย LGT คาดว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงเดือนมิถุนายน ขณะที่ GDP ของสหรัฐอเมริกาในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 2% และตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับมาอยู่ที่ 2% ได้ในช่วงไตรมาส 3

ในส่วนของเศรษฐกิจญี่ปุ่น LGT คาดการณ์ว่าธนาคารกลางของญี่ปุ่นจะปรับนโยบายการเงินเข้มงวดขึ้นในปีนี้ และเงินเยนญี่ปุ่นคาดว่าจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน สเตฟาน มองว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้หลุดพ้นสภาวะเงินฝืดซึ่งกินเวลายาวนานถึง 25 ปีได้

ทางด้านของเศรษฐกิจอินเดีย LGT คาดว่า GDP จะโตได้มากถึง 6% จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น ถนน สะพาน ทางรถไฟ ท่าเรือ และสนามบิน สเตฟานยังมองว่าถ้าหากอินเดียไม่ลงทุนกับสิ่งเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะเป็นประเทศที่ส่งออกเหมือนกับจีน หรือแม้แต่ไทยได้

ข้อมูลจาก LGT

สำหรับจีน LGT คาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตได้ 5% แต่ปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์จะยังคงอ่อนแอต่อเนื่องไปถึงปี 2025 หัวหน้านักยุทธศาสตร์การลงทุนของ LGT มองว่าราคาบ้านในปักกิ่งลดลงไวมาก เขามองว่าสถานการณ์นั้นเหมือนกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสวิตเซอร์แลนด์ช่วงยุค 1990

LGT ยังมองว่าเศรษฐกิจยุโรปในปี 2023 ที่ผ่านมาซึ่งเกิดภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในเยอรมนีและอิตาลี ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อส่งออกจากจีน อย่างไรก็ดีตัวเลขอัตราว่างงานในยูโรโซนถือว่าต่ำ ในปี 2024 นี้คาดว่า GDP จะกลับมาเติบโตได้ปานกลางจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป

ปิดท้ายด้วยเศรษฐกิจไทย LGT มองว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3% ได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการลงทุนระหว่างประเทศในภาคอุตสาหกรรมของไทย ขณะเดียวกันดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นโดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความคาดหวังต่อการผ่อนคลายทางการคลังที่สำคัญ (Digital Wallet) ที่อาจเกิดขึ้นในปีนี้

ขณะที่กลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 นั้น LGT คาดการณ์ว่านักลงทุนจะนิยมลงทุนในพันธบัตรมากกว่าหุ้นและเงินสดในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องจากระดับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้เอกชนในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เมื่ออัตราดอกเบี้ยเริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าเงินทุนระหว่างประเทศจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิ

LGT ยังแนะนำเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อินเดีย ขณะที่อุตสาหกรรมที่ชอบคือ กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มการแพทย์ กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย และแนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงลดน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มพลังงาน กลุ่มวัสดุ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น

]]>
1459194
InnovestX แนะนำกลยุทธ์การลงทุนปี 2024 เน้นแนว VI ให้เป้า SET Index ในช่วง 1,650-1,700 จุด https://positioningmag.com/1458912 Wed, 17 Jan 2024 01:45:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458912 บล. อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 คือ “A Year of Value Investing” โดยให้เหตุผลจากตลาดหุ้นไทยนั้นมีหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่ามาก และเป็นโอกาสดีในการลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันก็แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศเนื่องจากมีทางเลือกที่หลากหลายกว่า

InnovestX แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2024 คือ “A Year of Value Investing” หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อว่า VI ซึ่งป็นโอกาสดีในการลงทุนระยะยาว ขณะเดียวกันก็แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุนเไปยังต่างประเทศด้วย เนื่องจากมีสินทรัพย์ทางเลือกที่หลากหลายกว่า

สำหรับมุมมองเศรษฐกิจโลก InnovestX มองว่า เศรษฐกิจประเทศพัฒนาแล้ว สหรัฐฯ ยุโรป กำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 และจะทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Fed) ลดดอกเบี้ย 1% ในครึ่งปีแรก ในขณะที่เศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปด้วยแรงหนุนจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่ยังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างโดยเฉพาะเงินฝืด

ในส่วนของเศรษฐกิจไทยในปี 2024 ทาง InnovestX มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง Digital Wallet เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจในปีนี้ โดยคาดว่า GDP ไทยจะเติบโตได้มากถึง 4.1% อย่างไรก็ดีถ้าหากมาตรการนี้ไม่ผ่าน คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ 3.2% เท่านั้น

ขณะเดียวกันในปีนี้ InnovestX ยังมองว่ายังเป็นปีที่ตลาดหุ้นโลกและไทยยังคงมีความผันผวน ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นจาก 3 ปัจจัย ได้แก่

  1. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อาจเกิดภาวะถดถอยในช่วงครึ่งปีแรก ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะลดลงเร็วตามที่ตลาดการเงินกำลังคาดหรือไม่ โดยหากเป็นไปตามคาดจะส่งผลต่อดีต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่และตลาดหุ้นไทย (การลดลงช้ากว่าคาดอาจทำให้ตลาดหุ้นผิดหวัง) ด้านเศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคสำคัญทำให้การเติบโตชะลอตัวลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเริ่มหยุดนโยบายผ่อนคลายเมื่อไร ซึ่งจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และยังรวมถึงความคืบหน้าของโครงการ Digital Wallet ว่าจะสามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายของรัฐบาลหรือไม่
  2. เรื่อง Geopolitics ถือเป็นปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินเพิ่มขึ้นบางช่วงเวลา เนื่องจากมีโอกาสกระทบต่อเศรษฐกิจโดยผ่านทั้งทางเงินเฟ้อ หากความขัดแย้งกระทบต่อราคาพลังงานและอาหาร รวมถึงการขนส่งสินค้า
  3. ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ ซึ่งเรื่องดังกล่าวคาดการณ์ได้ยากแต่ไม่ควรมองข้าม

สำหรับเป้าหมายของ SET Index ในปี 2024 ทาง InnovestX คาดการณ์ว่าจะอยู่ในช่วง 1,650-1,700 จุด โดยจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,400-1,450 จุด

นอกจากนี้ InnovestX ยังแนะนำให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุนไปยังต่างประเทศ เนื่องจากยังมีความสำคัญ และยังเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน เนื่องจากมีสินทรัพย์ทางเลือกที่หลากหลายกว่า แม้ว่าจะมีนโยบายการเก็บภาษีซึ่งสร้างความกังวลให้กับตลาดก็ตาม

]]>
1458912
ดัชนีหุ้นจีน CSI 300 ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 5 ปี นักวิเคราะห์หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะออกมาเร็วๆ นี้ https://positioningmag.com/1457979 Mon, 08 Jan 2024 17:39:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457979 ดัชนีหุ้นจีนอย่าง CSI 300 ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 5 ปี สาเหตุสำคัญนั้นมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และยังรวมถึงเม็ดเงินจากนักลงทุนชาวต่างชาติลดน้อยลง โดยนักวิเคราะห์หวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนจะออกมาเร็วๆ นี้ เพื่อที่จะสร้างปัจจัยบวกให้กับตลาดหุ้นจีน

สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า ดัชนี CSI 300 ซึ่งเป็นดัชนีที่รวบรวมหุ้นที่ซื้อขายในจีนแผ่นดินใหญ่ 300 บริษัท ได้ทำสถิติต่ำสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา แม้ว่าสภาวะเศรษฐกิจของจีนจะฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดของโควิดก็ตาม

ดัชนีดังกล่าวปิดการซื้อขายเมื่อวันจันทร์ที่ 3,286.06 จุด ได้ทำสถิติต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2019 เป็นต้นมา นอกจากนี้ผลตอบแทนในปี 2023 ที่ผ่านมายังมีผลตอบแทนติดลบติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ด้วย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีหุ้นจีนทำสถิติต่ำสุดในรอบ 5 ปีก็คือปัจจัยของความเชื่อมั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจจีนที่แม้ว่าจะมี GDP เติบโตถึง 4.9% ในไตรมาส 3 ของปี 2023 ผ่านมา ซึ่งถือฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด อย่างไรก็ดีตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเฟ้อในจีนเองนั้นได้เข้าสู่สภาวะเงินฝืดหลายครั้งเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านี้ในปี 2023 ที่ผ่านมา นักลงทุนที่เป็นสถาบันการเงินต่างประเทศได้ลดการลงทุนในประเทศจีนลง สาเหตุสำคัญมาจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนที่เพิ่มมากขึ้น จะเห็นได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงหลายปี

นอกจากนี้ยังมีวิกฤตธนาคารเงาในประเทศจีนรายใหญ่อย่าง Zhongzhi ประกาศล้มละลาย ยิ่งทำให้สถานการณ์ของตลาดหุ้นจีนย่ำแย่ลงไปอีก

อย่างไรก็ดี Valuation ของหุ้นจีนนั้นถือว่าถูกแล้วถูกอีก โดยดัชนี CSI 300 นั้นมีสัดส่วนราคาต่อกำไร (P/E) อยู่ที่ราวๆ 10-11 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี นอกจากนี้หุ้นจีนยังถือว่าถูกกว่าดัชนี MSCI Asia ex Japan ซึ่งมี P/E อยู่ราวๆ 13 เท่าอีกด้วย

Jason Lui หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ตราสารอนุพันธ์ของ BNP Paribas ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลจีนไม่ได้มีการประกาศมาตรการใหม่ๆ ออกมาเพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง ขณะเดียวกัน Valuation ของหุ้นจีนถือว่าไม่ค่อยดีนัก และหุ้นจีนเองไม่ได้มีการเติบโตแบบก้าวกระโดดซึ่งจะเป็นจุดดึงดูดให้เม็ดเงินไหลกลับมาด้วย

ในบทวิเคราะห์หุ้นจีนจากหลายสถาบันการเงินต่างชาติได้มองสอดคล้องกันว่าในปีนี้ถือเป็นปีที่อาจลุ้นหุ้นจีนกลับมาได้ ถ้าหากจีนมีมาตรการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง

Meng Lei นักกลยุทธ์ของ UBS ได้กล่าวกับ Bloomberg ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดจบลงแล้วและเราค่อนข้างจะมองโลกในแง่ดี โดยมองถึงกำไรของบริษัทจีนที่จะเพิ่มมากขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ไม่ดึงเศรษฐกิจของจีนมากเกินไป หรือแม้แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

]]>
1457979
หลักทรัพย์บัวหลวง ชี้ปี 67 หุ้นไทยมีโอกาสแตะ 1,600 จุด ลุ้นเม็ดเงินนักลงทุนต่างชาติไหลกลับได้ https://positioningmag.com/1455363 Tue, 12 Dec 2023 13:01:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455363 บล.บัวหลวง มองหุ้นไทยปีหน้านั้นอาจมีโอกาสแตะ 1,600 จุดได้ โดยได้ปัจจัยจากเศรษฐกิจฟื้นตัว การเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจมีสิทธิ์ลดอัตราดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งได้

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงสภาวะของหุ้นไทยยังทำผลตอบแทนได้แย่กว่าหลายตลาดหุ้น ถ้าหากมองในเทอมค่าเงินบาทแล้วหุ้นไทยจะมีผลตอบแทน -17% แต่ถ้ามองในเทอมค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นลดลงถึง -20%

เขาได้ให้สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยทำผลตอบแทนได้แย่ เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ คือการปรับลดตัวเลขคาดการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขส่งออกขยายตัวต่ำกว่าคาด จำนวนนักท่องเที่ยวต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้ากว่าคาด และยังรวมถึงการลงทุนภาครัฐหดตัวจากการเปลี่ยนถ่ายรัฐบาลบริหารประเทศ

ขณะที่ตลาดหุ้นที่น่าสนใจ รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ ชัยพร ได้ให้มุมมองว่า ตัชนี Nasdaq กลับมาใกล้จุดสูงสุดเดิมแล้ว แต่ถ้าคนลงทุนหุ้นรายตัวอาจยังไม่ได้ผลตอบแทนกลับมาแต่อย่างใด ขณะที่ดัชนี S&P 500 ก็ให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี

ในส่วนของหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนค่อนข้างดีในรูปของเงินเยน แต่ถ้าปรับด้วยค่าเงินดอลลาร์แล้วแทบผลตอบแทนแทบไม่ไปไหน ทางด้านตลาดเวียดนามตอนนี้อยู่ใกล้ๆ กับช่วงก่อนโควิด ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตอนนี้ต่ำกว่าช่วงการแพร่ระบาดของโควิดแล้ว

ทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างน้ำมันดิบนั้นให้ผลตอบแทนเป็นบวกไปแล้ว 20% รวมถึงทองคำที่ให้ผลตอบแทนมากถึง 25%

ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ – กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง

ในส่วนของมุมเศรษฐกิจมหภาค ชัยพร มองว่าขณะนี้ที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐอเมริกาถือว่าสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายระยะยาวของสหรัฐนั้นโดยเฉลี่ยจะอยู่ในช่วง 2-2.5% ทำให้เขามองว่าตอนนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อลดลงต่อเนื่อง

ทำให้ปี 2567 เขาคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยเองก็จะลดลง กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมา หรือแม้แต่ต้นทุนทางการเงินจะเริ่มลดลง ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้น ดีขึ้น ความกดดันด้านการเงินตอนนี้อาจอยู่ปลายทางแล้ว เขายังมองว่างบการเงินของบริษัทต่างๆ อาจกระทบบ้าง บริษัทจดทะเบียนที่ยังไม่ต้องออกหุ้นกู้อาจประวิงเวลาออกไปได้ อาจใช้วิธีกู้เงินจากธนาคารก่อน แล้วค่อยออกหุ้นกู้ทีหลัง

แต่ถ้าบริษัทที่มีหุ้นกู้อยู่ ชัยพรมองว่าบริษัทเหล่านี้อาจ Roll Over หุ้นกู้ระยะสั้นๆ ไม่เกิน 2-3 ปีเท่านั้น เพราะมองว่าอัตราดอกเบี้ยลดลง บริษัทไม่อยากมีต้นทุนทางการเงินระยะยาวสูงมากๆ

ทางด้านของทวีปเอเชีย ธนาคารกลางแต่ละประเทศอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ยที่ไวกว่า จากเหตุผลคือเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าขณะเดียวกันในภาพรวมทำในปี 2567 นั้นเขาค่อนข้างชอบ ตลาดหุ้นกำลังพัฒนาที่อยู่ในทวีปเอเชีย (EM Asia) เนื่องจากมีกำไรของตลาดที่ดี และอาจทำให้ไทยได้ผลพลอยได้จากเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามาตรงนี้ด้วย

จะเห็นว่ากำไรของตลาดหุ้นในทวีปเอเช่ียในปี 2567 นั้นกำไรเติบโตแทบทุกตลาด  (ตาราง Consensus EPS 2024E) – ข้อมูลจาก บล. บัวหลวง

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ทาง บล. บัวหลวงคาดการณ์ว่าจะเติบโตประมาณ 3.8% จากปีนี้ที่คาดไว้ 2.7% หากโครงการ Digital Wallet เกิดขึ้น แต่ถ้าหากโครงการนี้ไม่เกิดเศรษฐกิจไทยก็ยังคงเติบโต 3.2% ขณะที่เงินเฟ้อของไทยในปีหน้านั้นจะลดลง และเขาคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังได้ 1 ครั้ง

ขณะที่หุ้นไทยในปี 2567 นั้น ประเมินเป้าหมายดัชนีระดับ 1,600 จุด โดยมองปัจจัยบวกจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวมากขึ้น เช่น การเบิกจ่ายของภาครัฐ ความหวังของนโยบายรัฐบาลที่มีความชัดเจนมากขึ้น และยังรวมถึงกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยอาจเติบโตประมาณ 15% ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอัตราเติบโตกำไรของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย

กลุ่มหุ้นไทยที่ บล. บัวหลวงแนะนำลงทุน ได้แก่ กลุ่มธนาคารไทย กลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ได้ผลดีจากค่า FT และต้นทุนการผลิตลดลง กลุ่มเกษตรแปรรูป รวมถึงกลุ่มค้าปลีก ที่ได้รับผลดีจากการบริโภคในประเทศ ขณะที่กลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุน คือ อสังหาริมทรัพย์ และวัสดุก่อสร้าง เนื่องจากกำลังซื้อชะลอจากการคุมสินเชื่อ

โดยกลยุทธ์การลงทุนในปี 2567 นั้น บล. บัวหลวง แนะนำกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ต่าง ๆ อันดับ 1 คือ ตราสารหนี้สัดส่วน 43% มองเป็นสินทรัพย์ที่ดีที่สุดในครึ่งปีแรก เพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่จะเห็นการปรับตัวลดลงทั่วโลกแต่ต้องเป็นตราสารหนี้คุณภาพ เพราะแม้จะเห็นแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยลดลง แต่ไม่ได้ลงเร็ว อันดับ 2 คือ ทองคำ สัดส่วน 12% ในขณะที่คนมองเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว ดอกเบี้ยลดลงทั่วโลก ทองคำจะช่วยป้องกันความเสี่ยง อันดับ 3 คือ ตราสารทุน หรือหุ้น สัดส่วน 45% (หุ้นไทย 7% และหุ้นต่างประเทศ 38%)

]]>
1455363
คุยกับผู้ก่อตั้ง “เทรเชอริสต์” มองหลากมุมกับพฤติกรรมการลงทุนของวัยรุ่นไทย https://positioningmag.com/1455063 Sun, 10 Dec 2023 12:22:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455063 Positioning คุยกับ Group CEO และผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เทรเชอริสต์ นอกจากนี้เขาเองยังเป็นผู้ก่อตั้งเพจและเว็บไซต์ Thailand Investment Forum ในหลากเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นมุมมองการลงทุนของวัยรุ่น การลงทุนในชีวิต มุมมองการลงทุนในระยะยาว หรือแม้แต่การหาความสุขในชีวิต

วัยรุ่นไทยนั้นในปัจจุบันถือว่ามีความลำบากในการใช้ชีวิตไม่น้อย หลายครั้งถ้าหากมีการพูดคุยเรื่องการลงทุน หรือแม้แต่เรื่องของการออมเงิน อาจสร้างความไม่พอใจให้กับวัยรุ่นเช่นกัน ซ้ำร้ายกว่านั้นคือเกิดมหกรรมทัวร์ลงเสียด้วยซ้ำโดยเฉพาะผ่านช่องทางเครือข่ายสังคม

และเรื่องนี้ถือเป็นปัญหาสำคัญของสังคมไทยเช่นเดียวกัน เพราะวัยรุ่นหลายคนเองก็พูดถึงปัญหาของการเก็บเงินออมไว้เช่นกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นรวมถึงพฤติกรรมการลงทุนของวัยรุ่นไทยในยุคปัจจุบันเราจะทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวได้อย่างไร

Positioning พาไปคุยกับ ศกุนพัฒน์ จิรวุฒิตานันท์ Group CEO และผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เทรเชอริสต์ นอกจากนี้เขาเองยังเป็นผู้ก่อตั้งเพจและเว็บไซต์ Thailand Investment Forum

เรื่องของการปรับค่าแรง เพื่อวัยรุ่นได้เหลือเงินเก็บ

ศกุนพัฒน์ มองว่าควรปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากทุกวันนี้ค่าแรงไม่ได้ทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างที่ควร ถ้าเราเปรียบเทียบกับต่างประเทศไม่มีสถิติที่ชัดเจนว่า ประเทศไหนที่ค่าแรงสูง แล้วเศรษฐกิจจะมีปัญหา แต่มันจะทำให้เกิดการหมุนเวียน ประชาชนมีกำลังซื้อ มีเงินเหลือในกระเป๋ามากขึ้น ถึงแม้ว่าตอนแรกเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ในท้ายที่สุดนั้นเงินเฟ้อก็จะปรับตัวกลับไปสู่ตัวเลขตามปกติ

เขามองว่าประเด็นเรื่องค่าแรงในไทยดังกล่าวไม่ค่อยมีใครกล่าวถึงในสังคมเท่าไหร่ มองว่าเรื่องของการเพิ่มรายได้ยังสร้าง Peace of mind ให้กับประชาชนด้วย ขณะที่เรื่องของทัวร์ลงของวัยรุ่นมองว่าปัญหาสำคัญคือเรื่องค่าแรงที่ได้กล่าวไปในข้างต้น

นอกจากนี้เขายังได้ให้มุมมองว่ารัฐฯ ควรที่จะเข้ามาช่วยในส่วนนี้ เพื่อคนใช้แรงงานหรือ First Jobber ฯลฯ จะได้มีมาตรฐานในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น และยังเพิ่มสวัสดิภาพของประชาชน

ศกุนพัฒน์ จิรวุฒิตานันท์ – Group CEO และผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เทรเชอริสต์

ทำไมวัยรุ่นถึงลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมวัยรุ่นหลายคนถึงชื่นชอบหรือแม้แต่มองสินทรัพย์ดิจิทัลในแง่บวกอย่างมาก ศกุนพัฒน์ ได้กล่าวว่า เราต้องมองว่าทำไมวัยรุ่นถึงทำอย่างงั้น จะเห็นได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล แม้ว่าคนที่อายุเยอะกว่าเห็นแล้วยังตื่นเต้นกับราคาที่เพิ่มขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาเขามองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่ราคาเพิ่มขึ้นมาในช่วงหลายปีสามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตคนได้ และถ้าหากมองกลับไปว่าวัยรุ่นเองนั้นมีเงินตั้งต้นที่น้อยกว่า ก็ต้องพึ่งพาการเติบโตของผลตอบแทนที่สูง ซึ่งสินทรัพย์ดิจิทัลตอบโจทย์ดังกล่าว

เขายังยกตัวอย่างเช่น วัยรุ่นถ้าต้องการเก็บเงิน 10,000 บาทอาจใช้เวลาหลายเดือนหรือเป็นปี แต่ถ้าหากลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในจังหวะที่ราคาเพิ่มขึ้นร้อนแรง ก็อาจใช้เวลาน้อยกว่านั้นมาก และตัวของวัยรุ่นเองก็หมดหวังในหลายเรื่องรวมถึงเรื่องการลงทุนในรูปแบบทั่วไปด้วย กว่าที่จะลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้นั้นโอกาสมีน้อยมาก

ช่วงเวลาดังกล่าวสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นเปรียบเหมือแสงสว่างปลายอุโมงค์ ทำให้วัยรุ่นหลายคนตัดสินใจลงทุน ด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องใหม่ของทุกคน จึงไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่น ราคาที่ขึ้นมาจากหลักหมื่นบาทเป็นหลักล้านบาท ฉะนั้นแล้วการมองการลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวของวัยรุ่นว่าเป็นเรื่องลบก็อาจไม่ใช่เรื่องที่ยุติธรรมเท่านัก

ศกุนพัฒน์ให้มุมมองว่า สินทรัพย์ดิจิทัลที่ราคาเพิ่มขึ้นมาในช่วงหลายปีสามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตคนได้ จากผลตอบแทนที่สูง – ภาพจาก Shutterstock

วัยรุ่นและการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ

ผู้ก่อตั้งของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ เทรเชอริสต์ รายนี้เคยเขียนไว้ใน Facebook ส่วนตัวว่า เขาทำงานในสถาบันการเงิน การลงทุนไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์ทางการเงิน หรือแม้แต่เรื่องเศรษฐกิจมหภาค บางช่วงก็ยาก โดยเฉพาะช่วงเวลานี้ถือว่ายากขึ้น หากสินทรัพย์เวลาปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในบางช่วง ทุกอย่างถือว่าเป็นเรื่องง่ายหมด แต่ถ้าหากราคาสินทรัพย์ไม่ไปไหน แกว่งตัวไปมา คนในวงการเองก็ยังมองยาก

เมื่อประกอบกับเรื่องของการเข้าถึงข้อมูลในระดับที่ต่างกันระหว่างบุคคลทั่วไป กับนักลงทุนสถาบัน ที่นักลงทุนสถาบันและมืออาชีพ เข้าถึงได้ง่ายกว่า ยังรวมถึงเงินลงทุนที่มากกว่า ทำให้การจับจังหวะเพื่อทำกำไร หรือความสามารถในการวิเคราะห์ทำได้ต่างกัน แม้คนในแวดวงการลงทุนเองยังต้องใช้ความเข้าใจ แล้วคนนอกอย่างวัยรุ่น ที่จะต้องมารับมือกับสภาวะตลาดแบบนี้ถือเป็นโจทย์ที่ยากมาก

จากหลายๆสาเหตุประกอบกัน ส่งผลต่อมุมมองในการเปิดรับความเสี่ยงของวัยรุ่นที่เราเห็น ที่ทำให้วัยรุ่นหลายคน ถ้าตัดสินใจลงทุนอะไร จะลงแทบหมดหน้าตัก ศกุนพัฒน์ทำความเข้าใจแนวคิดนี่ว่า ในกรณีที่แย่ที่สุด ถ้าหากสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดเลย ก็อาจใช้เวลาไม่นานในการฟื้นกลับมา แต่ถ้าหากลงทุนสำเร็จ ก็เหมือนเปลี่ยนชีวิตของเขาได้เลย

เพราะการลงทุนที่ต้องใช้เวลายาวนาน ทำให้วัยรุ่น หรือแม้แต่คนทั่วไป ไม่อยากลงทุนระยะยาว – ภาพจาก Shutterstock

ทำไมวัยรุ่น (หรือแม้แต่คนทั่วไป) ไม่อยากลงทุนระยะยาว

ศกุนพัฒน์ให้มุมมองว่าสิ่งที่เหมือนกันระหว่างนักลงทุนระยะยาวกับระยะสั้นคือทุกคนอยากรวยเร็วเท่ากันหมด แต่ความเป็นจริงคือตลาดได้ให้ผลตอบแทนจริงๆ แบบนั้นหรือเปล่า ถ้าหากตลาดเป็นขาขึ้น การลงทุนระยะยาว 10 ปีถือเป็นเรื่องที่รับได้ เขาได้ยกตัวอย่างหุ้นสหรัฐฯ ที่ผลตอบแทนถือว่าดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็อาจให้ความหวังกับนักลงทุน แตกต่างกับสภาวะของตลาดหุ้นไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความผิดหวังกับนักลงทุน ทำให้หลายคนไม่กล้าลงทุน

การลงทุนในระยะยาวเป็นการตัดสินใจในวันนี้เพื่ออนาคต ซึ่งเรามักจะใช้ข้อมูลจากอดีต เพราะเราไม่มีข้อมูลอื่นประกอบมากนัก อย่างการลงทุนในกองทุน SSF ซึ่งเป็นกองประเภทที่ค่อนข้างใหม่ เราก็จะดูผลงานในอดีตของกองที่มีรูปแบบใกล้เคียงกัน แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองทุนที่ลงทุนระยะยาวเช่น LTF ก็ไม่ได้มีผลงานที่ดีนัก ซึ่งก็อาจจะทำให้คนกังวลมากขึ้นเพื่อต้องลงทุนยาว

การมองไม่เห็นอนาคต 10 ปีเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เขาได้กล่าวกับลูกค้าว่ากองทุนระยะยาว โดยเฉพาะกองทุนลดหย่อนภาษีแบบ RMF / SSF สามารถที่จะสลับกองทุนได้ ถ้าหากช่วงไหนหุ้นตกจนเสียแนวโน้มชัดเจน ก็สามารถสลับมาถือกองทุนตราสารหนี้ได้ และถ้าสลับกองทุนลดหย่อนภาษีในบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุนเดียวกันยิ่งถือเป็นเรื่องที่ง่ายมาก สามารถทำได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ถ้าหากคนเข้าใจว่ากองทุนระยะยาว โดยเฉพาะกองทุนลดหย่อนภาษีแบบ RMF หรือ SSF สามารถสลับกองทุนได้ ก็จะทำให้คนมาสนใจการลงทุนระยะยาวมากขึ้น

ศกุนพัฒน์ยังมองถึงเรื่องการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีว่ามนุษย์เงินเดือนที่เป็นเหล่า Top Management มีฐานภาษี 35% เท่ากับได้สิทธิประโยชน์จากการลงทุนในกองลดหย่อนภาษี จากภาษีที่ลดลงไปมากกว่าคนทั่วไปหรือวัยรุ่น ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากตรงนั้น สามารถทำให้ลดความคาดหวังของผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว ในขณะที่คนเพิ่งเริ่มทำงานที่ยังเงินเดือนและฐานภาษีไม่มาก จะได้ประโยชน์ทางภาษีน้อยกว่า ทำให้ต้องพิจารณาว่า การลงทุนระยะยาวอย่าง SSF และ RMF คุ้มค่ามากกว่าเลือกลงทุนอย่างอื่นหรือไม่

นอกจากนี้ยังรวมถึงอัตราภาษีที่วัยรุ่นที่เป็น First Jobber นั้นยังไม่ต้องเสียภาษี แต่ถ้าหากจะเริ่มเสียภาษีจริงๆ แล้วจะต้องมีเงินเดือนประมาณ 27,000 กว่าบาทขึ้นไปแล้ว เขายังตั้งคำถามว่าด้วยเงินเดือนที่มากกว่า 27,000 บาทนั้นไม่ใช่สัดส่วนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ทำให้หลายคนจึงยังมองว่า การลงทุนระยะยาว เช่นการลงทุนในกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ยังไม่ใช่สินทรัพย์ที่จำเป็นสำหรับตัวเขาเอง

ศกุนพัฒน์มองว่าลงทุนเหมือนเป็นพื้นฐานคณิตศาสตร์ กับเรื่องของตรรกะ แค่คำนวณเลขได้ และมีเหตุผลโอเคก็สามารถลงทุนได้แล้ว – ภาพจาก Unsplash

ความรู้เรื่องลงทุน วัยรุ่นจะศึกษายังไงดี

เขามองว่าเรื่องลงทุนเหมือนเป็นพื้นฐานคณิตศาสตร์ กับเรื่องของตรรกะ แค่คำนวณเลขได้ และมีเหตุผลโอเคก็สามารถลงทุนได้แล้ว ไม่ได้เป็นศาสตร์ที่ลึกลับซับซ้อนแต่อย่างใด ถ้าเรามีวิธีคิดที่ถูกต้อง เราจะเอาไปปรับใช้กับการตัดสินใจได้ แม้ว่าเราจะเห็นหลายๆ สถาบันการเงิน แพลตฟอร์มการลงทุนได้ให้ความรู้ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต

แต่เขาก็ชี้ว่า เพราะต่างคนต่างพูด ตามแต่วัตถุประสงค์ของหน่วยงานในขณะที่เรื่องดังกล่าวควรจะให้ความรู้แบบเป็นขั้นเป็นตอนจากเรื่องการเงินส่วนบุคคล เช่น การคำนวณดอกเบี้ย การคิดมูลค่าปัจจุบัน (Present Value) ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ควรรู้

นอกจากนี้สถานศึกษาควรจะให้ความรู้เช่นกัน เขายังเปรียบว่าวิชาการเงินส่วนบุคคลนั้นบางคนคิดว่าตัวเองอาจเข้าใจอยู่แล้ว เปรียบได้กับการข้ามถนนด้วยตัวเอง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่ใช่ และไม่มีใครสอนเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง และเรื่องนี้ควรจะมีการจัดทำหลักสูตรอย่างจริงจัง รวมถึงการทำวิจัยเพื่อตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาเหล่านี้

ไม่เพียงเท่านี้ศกุนพัฒน์ยังมองว่าปัญหาทุกอย่างข้างต้นถือเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงต่อกันมา ไม่ว่าจะเป็นการเรียนที่ไม่ได้สอนเรื่องการเงินส่วนบุคคล ทำงานกลับได้ค่าแรงที่ต่ำจนเงินก็ไม่เหลือเก็บ เป็นหนี้บริหารไม่ได้ เลยไม่เหลือเงินมาลงทุน ซ้ำร้ายยังโดนคนด่าว่าเป็นเรื่องที่ตัวเองทำล้วนๆ ทั้งๆ ที่บางทีคนเหล่านี้เกิดมาบนสภาพแวดล้อมแบบนี้ และถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ ถ้าหากผู้มีอำนาจไม่เข้ามาจัดการ ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจไม่เกิด

ด้วยธุรกิจที่ศกุนพัฒน์ทำอยู่ เขาเองอยากให้ทุกคนมีเงินมากกว่านี้ เพราะไม่งั้นแล้วธุรกิจอย่างเขาก็จะจับแต่กลุ่มนักลงทุนเดิมๆ ที่มีความพร้อม ซึ่งจริงๆ ก็ง่าย แต่เขาเองก็ต้องการอยากให้ทุกคนมีรายได้ที่ดี มีเงินเหลือเก็บ และเขาจะได้ช่วยบริหารเงินเหล่านี้ให้ได้ และคนไปมุ่งเป้าพัฒนาความเชี่ยวชาญของตัวเอง แต่ปัจจุบันคือหลายคนยังติดหล่มเป็นหนี้ส่วนบุคคลอยู่ด้วยซ้ำ

นอกจากนี้เขายังชี้ว่าถ้าหากวัยรุ่นยังเป็นหนี้ โดยเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงมาก ควรที่จะรีบจ่ายหนี้ดังกล่าวก่อน เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญมาก

ถ้าหากวัยรุ่นยังเป็นหนี้ โดยเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงมาก ควรที่จะรีบจ่ายหนี้ดังกล่าวก่อน เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญมาก – ภาพจาก Shutterstock

ศึกษาหาความรู้ เป็นอีกวิธีในการลงทุน (ในตัวเอง)

ศกุนพัฒน์กล่าวถึงการแบ่งชีวิตของเขาเองเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกคือตอนเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ นั้นจะเรียกตัวเองว่า Saver เขาได้เล่าถึงความโชคดีของเขาที่ได้อยู่บ้านกับพ่อแม่ จึงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้มาก แล้วเก็บเงินแบบออมทรัพย์ จากนั้นเมื่อเติบโตในการทำงานมากขึ้น ทำให้เก็บเงินได้มากขึ้น สามารถต่อยอดการลงทุนได้ ทำให้เริ่มเปลี่ยนโหมดมาเป็น Investor ต่อมาก็ได้เปิดกิจการของตนเอง คือเป็นโหมด Creator เป็นคนนำเสนอสินค้าและบริการด้วยการก่อตั้งธุรกิจจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของตนเอง

ผู้ก่อตั้งของบริษัทกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เทรเชอริสต์ กล่าวเสริมว่า ถ้ามีเงินเก็บ 100,000 บาทจะเก็บให้ได้ 200,000 บาทยังไง วิธีแรกคือเก็บเงินหลักพันจากเงินเดือนทุกเดือนซึ่งอาจใช้เวลานานหน่อย แต่ก็มีอีกวิธีคือ ถ้าหากเราพัฒนาตัวเองจนได้เงินเดือนเพิ่มขึ้นจากการทำงาน เช่น จาก 30,000 ไป 40,000 บาท หรือเพิ่มเยอะกว่านั้น ก็จะทำให้เรามีเงินเก็บได้ไวขึ้น นั่นคือการลงทุนกับตัวเองเพื่อเพิ่มความรู้ความสามารถ และเต็มที่กับการทำงาน

เพราะการมีรายได้เพิ่มขึ้นผ่านวิธีการดังกล่าวนี้มีความเสี่ยงเท่ากับศูนย์ ยกเว้นกรณีตกงานกะทันหัน ดังนั้นสำหรับวัยรุ่นที่ยังมีโอกาสเติบโตในการทำงานอีกมาก เขาแนะนำว่าการลงทุนกับตัวเอง จะทำให้ประสบความสำเร็จทางการเงินได้เร็วและยั่งยืนกว่า

ลงทุนเพื่อยามแก่ และอดทนอย่างไร

หากยึดโยงกับหลักการลงทุน ศกุนพัฒน์ ชี้ว่าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงอย่างหุ้น ในระยะยาวโดยเฉพาะหุ้นเติบโต ให้ผลตอบแทน 2 หลักต่อปี ซึ่งถ้าหากเศรษฐกิจมีปัญหาขึ้นมา ก็มีมาตรการช่วยเหลือจากธนาคารกลางของแต่ละประเทศ เช่น กรณีการทำนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของสหรัฐอเมริกา ทำให้ผลตอบแทนนั้นเพิ่มมากขึ้น เพราะสหรัฐอเมริกาทำอะไร โลกจะขยับตามเสมอ

นอกจากนี้ถ้าหากมองอีกแนวคือตามช่วงชีวิต (Life-path) ถ้าหากอายุน้อยรับความเสี่ยงสูงได้ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นทั่วโลก ที่ไม่ได้จำกัดในประเทศไทยอย่างเดียว เนื่องจากผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงกว่า และพออายุมากขึ้นก็ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงมา มาถือสินทรัพย์ปลอดภัยสัดส่วนมากขึ้น อย่างตราสารหนี้ โดยมองว่าเงินก้อนในช่วงที่อายุมากแล้วจะเยอะ เช่น 10 ล้าน ถ้าหากได้ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ 3% ต่อปี ก็จะได้ผลตอบแทน 300,000 บาท โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงมาก

สำหรับวิธีสำหรับการอดทนในการลงทุน ศกุนพัฒน์ มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยาก เพราะในวงการการลงทุนนั้นมองไม่เหมือนกัน เพราะหลายคนมองว่าก็ทนไปเดี๋ยวดีเอง แต่เขาได้ยกตัวอย่างว่า กองทุนหุ้นเทคโนโลยีบางกองทุนนั้น ผลตอบแทนตกลงมาจาก 100 เหลือ 20 แบบนี้เราไม่ควรอดทน จะไม่ทำอะไรเลยก็ไม่ได้ ต้องรู้ร้อนรู้หนาวพอสมควรที่จะจัดการเรื่องดังกล่าวได้

Group CEO และผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เทรเชอริสต์ ยังทิ้งท้ายว่า “ดังนั้นอย่าลืมที่จะหาความสุขให้กับตัวเองในวันนี้ด้วย” – ภาพจาก Unsplash

สมดุลของชีวิต

เขาชี้ว่าชีวิตควรจะมีความสุข ก็ต้องสร้างความสมดุลให้กับตัวเอง ซึ่งจุดสมดุลของแต่ละคน และแต่ละจังหวะชีวิตไม่เท่ากัน ถ้าเราเพิ่งเริ่มทำงาน และยังมีโอกาสเติบโตในการทำงานอีกมาก ก็ควรจะทำให้เต็มที่ ถ้าหากว่ามีโอกาสที่จะทำให้เรามีเงินเดือนเพิ่มขึ้นมากใน 5-10 ปี เราก็ควรจะให้น้ำหนักไปกับตรงนั้น ก็ถือว่าเป็นการสร้างสมดุลให้เหมาะกับจังหวะของตัวเอง

แต่เขายังทิ้งท้ายว่า โดยธรรมชาตินั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ มนุษย์ไม่รู้ว่าเราตัวเองจะตายเมื่อไหร่ ดังนั้นอย่าลืมที่จะหาความสุขให้กับตัวเองในวันนี้ด้วย ลองกลับมาคิดบ้างว่าชีวิตวันนี้มีความสุขไหม เราอาจจะเลือกให้ตัวเองไม่มีความสุขในวันนี้แล้วหวังว่าจะมีความสุขในวันข้างหน้าอย่างเดียว แต่อย่าลืมว่าทุกอย่างมีความไม่แน่นอน เราต้องอย่าลืมสมดุลชีวิตในมุมนี้ด้วยเช่นกัน

]]>
1455063
วัยรุ่นจีนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น มองเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนสูง เงินมีน้อยก็ซื้อเก็บได้ https://positioningmag.com/1454514 Wed, 06 Dec 2023 05:51:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1454514 สภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนที่แม้ว่า GDP จะเติบโต แต่อัตราการว่างงานที่ยังเพิ่มสูงขึ้น ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังกลายเป็นขาลง รวมถึงควาไม่แน่นอนในด้านต่างๆ ส่งผลทำให้วัยรุ่นในประเทศจีนเริ่มหันมาลงทุนในทองคำมากยิ่งขึ้น

สำนักข่าว Reuters รายงานข่าวว่า วัยรุ่นในประเทศจีนเองเริ่มหันมาสนใจลงทุนในทองคำมากขึ้น หลังจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เป็นใจ นอกจากนี้แหล่งการลงทุนสำคัญของชาวจีนอย่างอสังหาริมทรัพย์ที่เคยสร้างรายได้อย่างงดงามกำลังอยู่ในสภาวะขาลงอย่างเต็มตัว

สาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นจีนหันมาซื้อทองคำเก็บอีกครั้ง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจในประเทศจีนไม่เป็นใจ แม้ว่าตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนยังไปต่อได้ อย่างไรก็ดีตัวเลขอัตรการว่างงานของวัยรุ่นจีนในเดือนมิถุนายนนั้นสูงถึง 21.3% ทำให้ท้ายที่สุดทางการจีนต้องยกเลิกการประกาศตัวเลขดังกล่าว

ปัจจัยความไม่แน่นอนดังกล่าว รวมถึงสภาวะภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ราคาลดลงเมื่อเทียบกับในอดีต ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในประเทศจีนก็ยังมีระดับต่ำเตี้ยเรี่ยดินเมื่อเทียบกับในหลายประเทศ ยิ่งส่งผลทำให้วัยรุ่นจีนหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้น

Chow Tai Fook บริษัทผู้ค้าเครื่องประดับและอัญมณี ได้ออกรายงานสำรวจชาวจีนในการซื้อสินค้าประเภทดังกล่าวเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา 70% ของผู้ที่มีอายุ 18-40 ปี นั้นพบว่ามีความต้องการซื้อเครื่องประดับที่ทำจากทองคำ ซึ่งปกติแล้วผู้ที่มักจะซื้อทองคำส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัย

Kent Wong กรรมการผู้จัดการของ Chow Tai Fook กล่าวว่า บริษัทพบว่าวัยรุ่นอายุ 18-24 ปีเริ่มมีการซื้อทองคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความแปลกใจให้กับบริษัท

Linda Liu อายุ 26 ปี ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทผลิตยาในกรุงปักกิ่ง ได้กล่าวว่า การซื้อทองทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น และสำหรับในงานแต่งงานของเธอเอง เธอต้องการเครื่องประดับที่ทำจากทองคำมากกว่าเพชรด้วยซ้ำ ขณะเดียวกันเธอเองยังกังวลถึงสภาวะตลาดแรงงานในประเทศจีนที่มีความไม่แน่นอนด้วย

นอกจากนี้ตามแพลตฟอร์มเครือข่ายสังคมในประเทศจีน วัยรุ่นเริ่มมีการพูดคุยถึงการลงทุนในทองคำ เนื่องจากแม้จะมีรายได้น้อยก็ยังสามารถซื้อทองคำเพียงไม่กี่กรัมได้

ประเทศจีนถือเป็นตลาดสำคัญในการซื้อขายทองคำ ซึ่งราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานั้น และล่าสุดได้ทำราคาสูงสุดใหม่เมื่อวันจันทร์ (4 ธันวาคม) ที่ผ่านมา ยิ่งทำให้ความคึกคักในการลงทุนทองคำเพิ่มสูงขึ้น

]]>
1454514
คุยกับ 2 ผู้บริหาร GCAP Gold กับมุมมองราคาทองคำ ทำไมถึงยังเป็นสินทรัพย์น่าลงทุนระยะยาวได้ https://positioningmag.com/1452197 Sun, 19 Nov 2023 07:52:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1452197 Positioning พาไปคุยกับ 2 ผู้บริหารของบริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP Gold ที่จะมาเปิดเผยถึงพฤติกรรมการลงทุนทองคำของคนไทย ปัจจัยอะไรที่ทำให้ราคาทองคำขึ้น-ลง การปรับตัวของบริษัทจากที่เป็นผู้ทองคำรายใหญ่ของไทยได้หันมาเปิดบริการออมทองคำด้วย

วลีที่เราอาจเคยได้ยินบ่อยอย่างมีเงินเค้านับเป็นน้อง มีทองเค้านับเป็นพี่ จะเห็นได้ว่าคนไทยกับทองคำมีความสัมพันธ์มาเป็นระยะเวลานานแล้ว แม้ว่าเวลาผ่านไปทองคำถือเป็นสินทรัพย์อันดับต้นๆ ที่คนไทยให้ความนิยมในการลงทุน ต่อจากการเก็บออมเงินในธนาคาร

แต่หลายคนสงสัยไม่น้อยว่าปัจจัยทำให้ราคาทองคำขึ้นลงในปัจจุบันมีอะไรบ้าง นอกจากนี้ถ้าอยากจะเริ่มออมทองคำนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง

Positioning พูดคุยกับ ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานกรรมการบริหารของ GCAP Gold รวมถึง ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD ซึ่งเป็น 2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ของบริษัท ในหลากหลายมุมมองเกี่ยวกับทองคำรวมถึงธุรกิจของบริษัท

ชัยวัฒน์ สามัคคีนิชย์ – ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GCAP GOLD (ภาพจากบริษัท)

วิวัฒนาการของการลงทุนทองคำ และปัจจัยขึ้นลงของราคาทองคำ

ธนพิศาล และ ชัยวัฒน์ กล่าวว่าปัจจุบันการลงทุนในทองคำปัจจุบันมีวิวัฒนาการเพิ่มขึ้นเยอะมาก มีหลายผลิตภัณฑ์หลายๆ นักลงทุนสามารถลงทุนในหลายช่องทางได้ และมองว่าตอบโจทย์ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ การซื้อทองคำแทง ตลาดซื้อขายล่วงหน้าทองคำ หรือแม้แต่การลงทุนซื้อทองคำแบบซื้อราคาเฉลี่ย (DCA) ที่สามารถออมทองคำได้ตั้งแต่ไม่กี่กรัม จนถึงมูลค่าหลายบาท

2 ผู้บริหารของ GCAP Gold ยังมองว่าสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนลงทุนในทองคำคือ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์สำคัญในโลก คนจะมองว่าอะไรที่เซฟสุด ซึ่งทองคำเป็นสินทรัพย์หนึ่งที่เป็นคำตอบดังกล่าว

ธนพิศาล ยังกล่าวว่า เวลาโลกเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ราคาทองคำกลายเป็นกระชากขึ้นและไม่เคยกลับมาที่เดิมเลย และเขายังให้มุมมองว่าหลังเหตุการณ์ 9/11 ที่สหรัฐอเมริกามุมมองของนักลงทุนกับทองคำเปลี่ยนไปอย่างมาก เขายังให้ความเห็นว่าตอนนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่า เมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา และมองว่าค่าเงินบาทจะอยู่ระดับนี้ 

ขณะเดียวกับ 2 ผู้บริหารมองว่าช่วงเศรษฐกิจถดถอย คนจะสนใจทองคำมากขึ้น ยิ่งมีข่าวสารน่ากังวล ราคาทองคำมักจะมีราคาขึ้น

ขณะที่ชัยวัฒน์ ได้กล่าวถึงปัจจัยราคาทองคำว่า ตอนนี้ตลาดทองคำเดายากมาก แต่เขาเชื่อว่าระยะยาวราคาทองคำน่าจะขึ้นแน่ๆ ขณะเดียวกันทิศทางราคาทองคำมีช่วงที่ราคาซึมๆ ก็มี ไม่ได้มองว่าจะขึ้นตลอด มันมีช่วงเวลาของมัน

ชัยวัฒน์ยังกล่าวเสริมว่า ตอนนี้ตลาดถือว่าเงียบมาก ตอนนี้นักลงทุนเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่ขึ้น ตลาดหุ้นก็ขึ้น เขายังมองว่าปีหน้าตลาดสหรัฐฯ จะซบเซาหรือไม่ ต้องดูสภาวะดัชนีค่าเงินดอลลาร์ ถ้าหากดัชนีอ่อนค่าลงอาจไปราคาทองคำอาจกลับมาได้

ธนพิศาล คูหาเปรมกิจ – ประธานกรรมการบริหารของ GCAP Gold (ภาพจากบริษัท)

คนไทยกับการออมทอง

ชัยวัฒน์มองว่าคนไทยชินกับการออมทองมานานแล้ว ตั้งแต่ทองคำในอดีตมีราคาที่ถูกมากสามารถซื้อทองคำสลึงนึงได้ง่ายๆ แต่ปัจจุบันทองคำสลึงนึงถือว่าแพงมาก คนเริ่มศึกษาว่าทำไมทองคำถึงราคาขึ้น คนไทยมีวินัยออมทองคำ โดยลงทุนทีละเล็กละน้อย โดยเขาสังเกตว่าในช่วงของโควิดคนไทยเอาทองคำที่เก็บออมไว้มาขายเยอะมาก

เขายังชี้ว่าคนไทยมีพฤติกรรมออมมานานแล้ว ปัจจุบันวัยรุ่นก็ออมทองคำมากขึ้น นอกจากนี้คนไทยเองยังซื้อ Gift Card ทองคำให้มอบให้คนที่รัก หรือแม้แต่พ่อแม่ด้วย

เขายังชี้ว่าทองคำในฐานะสินทรัพย์อาจไม่หวือหวาเหมือนหุ้น แต่ทองมีความเสี่ยงแต่ไม่มากเท่า มองว่าในกรณีที่แย่สุดราคาของทองคำจะไม่ลดลงมาเหลือ 0 บาทเหมือนหุ้นรวมถึงตราสารหนี้ที่หลายคนมองว่ามีความปลอดภัยก็ยังมีโอกาสไม่ได้รับเงินต้นคืน

นอกจากนี้ทองคำสามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ไว เขายังชี้ว่าพฤติกรรมของคนไทยชอบซื้อทองคำรูปพรรณ แต่ชัยวัฒน์ก็แนะนำว่าถ้าหากจะลงทุนแล้ว แนะนำให้เป็นทองคำแท่งเนื่องจากจะเสียค่าธุรกรรมน้อยกว่า และตลาดมีสภาพคล่องมากกว่า

ผู้บริหารของ GCAP Gold มองว่าควรจะลงทุนทองคำในรูปแบบเงินบาทจะปลอดภัยสุด – ภาพจาก Shutterstock

ชัยวัฒน์ อยากจะแนะนำเพื่อการออม มองว่าซื้อหรือลงทุนในทองคำแบบเป็นเงินบาทจะปลอดภัยสุด เขามองว่าการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าเหมือนกับมีคนถือหางให้ ทำให้ราคาทองคำที่อยู่ในรูปสกุลเงินบาทไม่เหวี่ยงมากเมื่อเทียบกับราคาทองคำในรูปแบบสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ

นอกจากนี้ ชัยวัฒน์มองว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทยเองไม่แย่ แต่ในระยะยาวแล้วเขาเองให้มุมมองว่าค่าเงินบาทของไทยจะอ่อนค่าในระยะยาวจากโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยเอง โอกาสค่าเงินบาทระยะยาวโอกาสแข็งค่าน้อยมาก เขาชี้ว่าราคาทองคำในรูปเงินบาทตอนนี้น่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ

ในช่วงที่ผ่านมานั้น 2 ผู้บริหารมองว่าพฤติกรรมอีกอย่างของคนไทยคือถ้าหากเศรษฐกิจดีคนก็ซื้อทองคำไว้ เศรษฐกิจที่ไม่ดีคนซื้อน้อยลง แต่ปัญหาคือจะปรับตัวได้กับราคาทองคำที่แพงได้หรือเปล่า ถ้าคนปรับตัวกับราคาทองที่ยืนราคาได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากนี้คนชอบโทรมาถามที่บริษัทตอนที่ราคาทองคำนั้นแพงที่สุด

สำหรับเรื่องการออมทองคำนั้น ทั้ง 2 อยากให้ออมทองกับบริษัทที่มีความมั่นคง แนะนำให้ดูคู่ค้าว่าเป็นใคร ต้องดูให้ดี และต้องระวังการโดนหลอกจากมิจฉาชีพด้วย เช่น หลอกว่าลงทุนในราคาทองคำถูกกว่า 20% แต่รับเงินปีหน้า แบบนี้ถือว่าโดนหลอก เป็นต้น

ผู้บริหารของ GCAP Gold ชี้ว่าปัจจัยที่น่าติดตามมองในปี 2024 คือเรื่องของค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา – ภาพจาก Shutterstock

ธุรกิจของ GCAP Gold

2 ผู้บริหารรุ่นใหม่ของ GCAP Gold ได้กล่าวว่าบริษัทประกอบธุรกิจซื้อขายทองคำแท่ง และเป็นผู้เล่นรายใหญ่ 1 ใน 5 ของตลาดทองคำในประเทศไทย และมีโรงหล่อทองคำที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ ปัจจุบันธุรกิจบริษัทมีทั้งค้าปลีกโดยส่งทองคำให้ตามร้านทอง รวมถึงดูแลรายย่อย จากปริมาณการค้าทองเพิ่มมากขึ้น ตามเทรนด์ราคา

ชัยวัฒน์ ได้กล่าวว่าปัจจุบันทองคำนั้น มีแหล่งที่มาหลักๆ คือมาจากประเทศออสเตรเลียซึ่งมีเหมืองทองคำกับโรงหล่อทองคำ รวมถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นแหล่งรวมโรงหล่อทองคำ ทั้ง 2 นั้นถือเป็นแหล่งสำคัญของทองคำของโลก

ทั้ง 2 ผู้บริหารยังกล่าวว่า GCAP Gold ให้ความสำคัญกับลูกค้า คำไหนคำนั้น ทำธุรกิจตรงไปตรงมาเหมือนกับสมัยรุ่นของคุณปู่ ซึ่งทำให้ธุรกิจในปัจจุบันนั้นคงอยู่ได้

สำหรับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจนั้น ชัยวัฒน์กล่าวว่า สมัยคุณพ่อ คือธุรกิจทองคำสมัยนั้นจะทำในสิ่งที่ทุกคนถนัด คือใครถนัดนำเข้าก็นำเข้า ใครถนัดส่งออกก็ส่งออก และสมัยก่อนการสั่งซื้อทองคำยังไม่มาก ก็มีคนช่วยจดคำสั่งซื้อ แต่เวลาผ่านไปก็นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น ทำให้รับคำสั่งซื้อ-ขาย ได้มาก

นอกจากนี้บริษัทขยายเข้ามาในธุรกิจออมทองคำมาเป็นเวลา 7-8 ปีแล้ว มีลูกค้าออมทองคำกับบริษัทมากถึง 4,000 กว่าราย

2 ผู้บริหารยังกล่าวว่าตอนนี้ได้ทำแอปพลิเคชันตัวใหม่ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า มองว่าคนสนใจทองคำมากกว่านี้ เพื่อเตรียมรับลูกค้า และรองรับปริมาณธุรกรรมที่มากขึ้น ภายใน 3 ปีน่าจะโตได้อีกเท่าตัว และตอนนี้ราคาทองคำขยับตลอด บริษัทต้องดูแลลูกค้า ตลาดเปลี่ยนไป ราคาผันผวนมาก มองปัจจัยดังกล่าวเป็นนทั้งโอกาสและการปรับตัว

]]>
1452197