Jitta – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 04 Jul 2024 08:42:16 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อารมณ์-ค่าธรรมเนียม ต้นทุนลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม https://positioningmag.com/1481143 Thu, 04 Jul 2024 03:47:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1481143

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

“The Greatest Enemies of Equity investors are Expenses and Emotions”
“ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ของนักลงทุนในหุ้น ก็คือค่าใช้จ่ายและอารมณ์”
วลีของปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ไอดอลนักลงทุนสายเน้นคุณค่าหรือ VI ของใครหลายคนเคยว่าไว้

คุณเองอาจจะคิดว่าในการลงทุนมีแค่ ไม่ ‘กำไร’ ก็ ‘ขาดทุน’ เท่านั้น แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังกว่าจะทำให้คุณมีกำไรหรือขาดทุนมีอยู่มากมาย

“ค่าใช้จ่าย” และ “อารมณ์” คือ 2 สาเหตุหลัก มีส่วนสำคัญให้นักลงทุนทำผลตอบแทนได้แย่ลงกว่าเดิม บางคนอาจขาดทุนหนักจนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้ด้วยซ้ำ

เรามาเริ่มกันที่เรื่องใกล้ตัวอย่างเรื่องอารมณ์กันก่อนนะครับ

อารมณ์ VS การลงทุน

หากคุณลงทุนด้วยตัวเอง ย่อมรู้ว่าการเป็นนักลงทุนคุณภาพต้องใช้ทักษะวิเคราะห์เชิงเหตุและผลสูงมาก ทั้งสภาพเศรษฐกิจ พื้นฐานธุรกิจ วิเคราะห์เชิงตัวเลข วิเคราะห์เชิงคุณภาพ การคาดการณ์ความน่าจะเป็นในอนาคต และอื่นๆ การจะเป็นนักลงทุนที่ดีจึงต้องติดตามข่าวสารและข้อมูลการลงทุนในหุ้นที่เราลงทุนอยู่อย่างใกล้ชิด

ยิ่งใกล้ชิดข้อมูลอาจจะยิ่งได้เปรียบ เมื่อก่อนอาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ในโลกที่ข้อมูลกำลังล้นโลก ไม่ต่างจากขยะจากครัวเรือน เราจะแยกแยะอย่างไรว่า เรื่องไหนจริงหรือเรื่องไหน ‘ปั่น’

แม้ว่าคนที่มีทักษะในการวิเคราะห์หุ้นมากกว่า ก็จะสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนดีกว่า แต่เรื่องทักษะ แค่มีความเพียรก็ไล่ตามกันทันได้ แต่สติเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณมองทะลุตลาดที่ขมุกขมัวไปได้  ซึ่งเราก็ได้เห็นกันแล้วว่าการใช้อารมณ์ในการลงทุน ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อมีข่าวที่สร้าง Panic ให้นักลงทุนจนตลาดเหวี่ยงขึ้นลงจนยากจะทำใจว่าขาลงจะสิ้นสุดที่เท่าไร

มาดูกันครับนักลงทุนที่ซื้อขายหุ้นตาม “อารมณ์” อย่างเดียวโดยไม่มีการวิเคราะห์ใดๆ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ข้อผิดพลาดของการลงทุนโดยใช้ “อารมณ์”

  • ซื้อหุ้นตามข่าว ตามเพื่อนบอก โดยไม่เคยรู้จักธุรกิจจริงๆ
  • กระจายความเสี่ยงไม่เป็น ทำให้พอร์ตขาดทุนหนัก
  • หุ้นกำไรนิดหน่อยขาย หุ้นขาดทุนเยอะๆ ยังเก็บไว้
  • หุ้นที่กำไร กำไรนิดเดียว หุ้นที่ขาดทุน ขาดทุนหนักมาก
  • ไม่กล้าลงทุนตอนหุ้นดีๆ ราคาลดลงมา เพราะกลัวราคาจะลงมาอีก
  • รอซื้อหุ้นตอนราคาสูงๆ แล้ว เพราะกลัวจะขึ้นไปอีก
  • และอื่นๆ

ข้อผิดพลาดเหล่านี้เอง ที่ส่งผลให้ผลตอบแทนของนักลงทุนกลุ่มนี้ ได้ผลตอยแทนต่ำกว่าตลาด หรือบางคนอาจขาดทุนหมดตัวจากตลาดหุ้นได้เลยครับ

ถ้าลองประมาณตัวเลขแบบง่ายๆ ในมุมมองของผมเอง ก็จะขอแบ่งนักลงทุนออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 50 คน หรือ 25% ตามทักษะการลงทุน โดยกลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มที่มีทักษะการลงทุนสูงสุด และ กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่ใช้อารมณ์ในการลงทุนมากสุด ผลตอบแทนของแต่ละกลุ่มจะเป็นดังต่อไปนี้

  • กลุ่มที่ 1 : ทำผลตอบแทนได้ 12% – 20% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 2 : ทำผลตอบแทนได้ 6% – 12% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 3 : ทำผลตอบแทนได้ 0% – 6% ต่อปี
  • กลุ่มที่ 4 : ขาดทุน

กลุ่มที่ 1 ที่ใช้ช่วงผลตอบแทนเป็น 12% – 20% เพราะคือ กลุ่มที่ชนะตลาดหุ้นไทยได้ เลยต้องมีผลตอบแทนมากกว่า 11.87% และให้สูงสุดที่ 20% ต่อปี เทียบเท่ากับสถิติที่ปู่ Warren Buffett ทำได้ครับ (ต้องเป็นคนที่ลงทุนเก่งมากๆ เลยทีเดียว ถึงจะทำได้เท่ากับคุณปู่ครับ)

ดังนั้นจะเห็นว่า ถ้าคุณไม่ได้มีทักษะการลงทุนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ การพยายามเข้ามาซื้อขายหุ้นด้วยตนเอง มากๆ คือความเสี่ยงอย่างที่สุด เพราะจะมีคนที่ลงทุนได้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดหุ้นอยู่แค่ 25% เท่านั้น อีก 75% ทำผลตอบแทนได้แย่กว่าการนั่งอยู่เฉยๆ และลงทุนทั้งตลาดเสียอีกครับ

ถัดจากเรื่องอารมณ์ ผมจะพาไปดูเรื่องค่าใช้จ่ายกันบ้างครับ

ค่าใช้จ่าย VS การลงทุน

เพราะในการลงทุนต้องมี “ต้นทุน” แฝงอยู่ด้วยเสมอ นั้นก็คือ ค่าคอมมิชชั่นที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทหลักทรัพย์ทุกครั้งที่ทำการซื้อขายหุ้น โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 0.25% ของมูลค่าการซื้อหรือขายแต่ละครั้ง

ดังนั้นถ้าในแต่ละปี มีการซื้อขายหุ้น 4 รอบ (8 ครั้ง) ก็จะต้องเสีย ค่าคอมมิชชั่นในการซื้อขายหุ้นราวๆ 2% แล้วครับ ถ้าคุณทำผลตอบแทนได้แค่ 12% ต่อปี พอหักค่าคอมมิชชั่นตรงนี้ไปแล้ว ผลตอบแทนก็จะเหลือแค่ 10% ต่อปีเท่านั้น ซึ่งทำให้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดหุ้นทันทีครับ

หลายๆ คนที่มีการเก็งกำไรกันมากๆ อาจจะซื้อขายหุ้นกันปีนึงอย่างต่ำเป็น 10 รอบ คิดเป็นค่าคอมมิชชั่นราวๆ 5% เลยทีเดียว เท่ากับว่าถ้าซื้อขายบ่อยขนาดนี้ ต้องทำผลตอบแทนได้ประมาณ 17% ต่อปี ก่อนหักค่าคอมมิชชั่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนสุทธิชนะตลาดหุ้น ที่ 12% ต่อปี

เมื่อรวมเรื่อง “ค่าใช้จ่าย” เข้าไปด้วย นักลงทุนกลุ่มที่ 1 ที่ทำผลตอบแทนได้ 12% – 20% ต่อปี จำนวน 50 คนนั้น หักกับค่าคอมมิชชั่นเหล่านี้ไปแล้ว ก็จะเหลือแค่ประมาณ 20 คน ที่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาดหุ้นครับ

ทีนี้คุณลองนึกภาพตามผมนะครับ ในขณะที่เรากำลังเก็งกำไร เราต้องลงทุนอยู่บน  ‘อารมณ์’ และ ‘ค่าใช้จ่าย’ ยิ่งซื้อขายบ่อย ต้นทุนเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วยเสมอ

สุดท้ายแล้วนักลงทุนที่เลือกวิถีการเก็งกำไรก็จะยิ่งมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนในที่สุดก็ขาดทุน  เทียบกับ การถือครองหุ้นอยู่เฉยๆ ตามหลักการลงทุนที่ถูกต้อง ยังจะสามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าคนที่พยายามจะซื้อขายหุ้นกันไปมา

ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้จัดการกองทุนมืออาชีพด้วยครับ เพราะผู้จัดการกองทุนเอง ก็ไม่สามารถหลีกหนีหลักการเรื่องอารมณ์ และค่าใช้จ่ายได้ครับ หากนักลงทุนสายเก็งกำไรมีผู้จัดการกองทุนที่พยายามแข่งขันกันทำผลตอบแทน จึงต้องซื้อๆ ขายๆ หุ้นกันเอง สุดท้ายแล้ว สถิติก็จะออกมาแบบเดียวกันครับ หรืออาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ เพราะกองทุนจะมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นมาด้วยอีกส่วนนึงครับ

แล้วยิ่งกองทุนมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน ยิ่งส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่แตกต่างกันด้วยครับ

ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ

สมมติว่าคุณลงทุนเริ่มต้น 10,000 บาท ผ่านไปประมาณ 50 ปี เทียบกัน 2 พอร์ตที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่างกัน พอร์ตแรกหากเอามูลค่าทรัพย์สินสุทธิหักค่าธรรมเนียม 0.5% ต่อปี มูลค่าของพอร์ตสุทธิจะอยู่ที่ 1,859,487.30 บาท แต่มูลค่าของพอร์ตที่ 2 ที่ค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1.5% ต่อปีจะมีมูลค่าสุทธิของพอร์ตอยู่ที่ 1,165,333.93 บาท

และยิ่งระยะเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ค่าธรรมเนียมก็จะมีผลกับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น

อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว​ เชื่อว่าคุณคงกำลังฝึกที่จะตัดอารมณ์ออกจากการลงทุน ผมแนะนำว่าให้ตั้งกฏเหล็กให้กับตัวเอง ที่นิยมใช้กันเช่นการตั้งตัวเลขไว้ที่ 10% หากราคาหุ้นขึ้นถึงระดับดังกล่าว ก็ให้ขายออกเสีย แล้วไม่ต้องไปสนใจราคาหลังจากนั้นครับ หรือหากยังทำไม่ได้ก็ให้ AI ลงทุนให้ครับ เพราะ AI ไร้อารมณ์​เสมอครับ ให้ AI คอยเลือกธุรกิจที่ดีและปล่อยให้เงินลงทุนเติบโตไปตามการเติบโตของธุรกิจและปันผล มีการกระจายความเสี่ยง และการปรับพอร์ตอย่างเป็นระบบตามหลักการให้เรียบร้อย สะดวกสบายกว่าเยอะครับ

ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมนั้น หากคุณเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะยาว แทนการเก็งกำไร ก็อาจจะลดต้นทุนส่วนนี้ไปได้ หรือหากเป็นกองทุนที่มีค่าบริหารจัดการ คุณควรเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำไว้ก่อน เช่นกองทุนดัชนี หรือลงทุนกับ Jitta Wealth เองก็คิดค่าบริหารจัดการที่ต่ำมากเพียง 0.5% เท่านั้นครับ

การลงทุนในตลาดหุ้นสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าการลงทุนในทรัพย์สินอื่นๆ อยู่แล้ว ขอเพียงแค่อดทนกับความผันผวนระยะสั้นและถือครองการลงทุนไปได้เรื่อย ในทางกลับกันการเก็งกำไรในตลาดหุ้น เป็นเกมศูนย์ (Zero Sum Game) ​​ถ้ามีคนนึงขายหุ้น ก็ต้องมีคนนึงซื้อหุ้น และเมื่อมีคนนึงได้กำไร อีกคนก็ต้องขาดทุนเสมอครับ

ดังนั้นหากคุณสามารถตัด “ค่าใช้จ่าย” และ “อารมณ์” ออกไปได้จากการลงทุนได้มากเท่าไหร่ โอกาสที่จะทำผล    ตอบแทนระยะยาวได้เหนือกว่านักลงทุนคนอื่นๆ ไปก็มีสูงมากขึ้นเท่านั้นครับ

]]>
1481143
ให้ AI นำทางบนถนนสายการลงทุน https://positioningmag.com/1477404 Tue, 11 Jun 2024 03:25:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477404

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

กระแสการใช้ AI ในทุกวันนี้กระเทือนไปหลายอุตสาหกรรม มนุษย์ทำงานเองก็ยังรู้สึกหวั่นๆ เมื่อไรจะถูก AI มาแทนที่ หลายคนอาจรู้สึกเช่นนั้น แต่ผมในฐานะที่ใช้ AI ทำงานในการบริหารพอร์ตการลงทุนให้ลูกค้ามาตลอด 12 ปี อยากแนะนำให้ทุกท่านใจเย็น มอง AI อย่างสร้างสรร และใช้ประโยชน์จาก AI ให้ได้มากที่สุด และทุกวันนี้เทคโนโลยีก็พัฒนา AI ให้พวกเราทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้จริงมากขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโต้ตอบกับ AI ในหัวข้อต่างๆ ที่เราสนใจ หรือจะใช้วาดรูป สร้างคลิปวิดีโอทำพรีเซนเทชั่นก็สุดล้ำ และที่ง่ายคือทุกอย่างทำได้บนมือถือของเราเองครับ

ผมกล้าพูดได้ว่า ทุกวันนี้ AI ฉลาดขึ้นมาก คำตอบที่เรามักจะได้กลับมาจาก AI แชตบอต มีความลึกขึ้นมาก ผมได้ทดลองตั้งคำถามกับ Copilot ที่ทาง​ไมโครซอฟท์เพิ่ง เปิดตัวแชตบอต​ AI สำหรับทำงานด้านการเงินโดยเฉพาะเมื่อไม่นานมานี้ ผมลองตั้งคำถามเกี่ยวกับการลงทุนแบบ​ DCA ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนนิยมใช้กันด้วยการทยอยๆ ซื้อสินทรัพย์ที่เลือกไว้ด้วยจำนวนเงินเท่ากัน เป็นระยะๆ ข้อดีก็คือ ช่วยสร้างวินัยในการออมและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้นทำให้ไม่ต้องพยายามจับจังหวะตลาด

ผมได้ทดลองพิมพ์คำถามเข้าไปว่า ‘DCA ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการลงทุนหุ้นจริงๆ หรอ?’

และนี่คือคำตอบที่ผมได้รับครับ

Copilot :

การลงทุนแบบ Dollar-Cost Averaging (DCA/ เป็นกลยุทธ์ที่นิยมใช้ในการลงทุนหุ้นโดยการทยอยซื้อสินทรัพย์ที่เลือกไว้ด้วยจำนวนเงินที่เท่ากันในช่วงเวลาที่กำหนด

1. ข้อดีของ DCA คือช่วยสร้างวินัยในการออมและลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาหุ้น ทำให้นักลงทุนไม่ต้องพยายามจับจังหวะตลาด

2. อย่างไรก็ตาม, DCA อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาการลงทุน, ความสามารถในการรับความสี่ยง, และเป้าหมายการลงทุนของแต่ละบุคคล

3. สำหรับบางคนที่ต้องการผลตอบแทนสูงสุด และสามารถรับความเสี่ยงได้, การลงทุนแบบเลือกจังหวะ (timing the market) อาจเหมาะสมกว่า แต่สำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคง และมีวินัยในการออม, DCA อาจเป็นทางเลือกที่ดี

ในท้ายที่สุด, การเลือกวิธีการลงทุนควรพิจารณาจากสถานการณ์ส่วนบุคคลและคำปรึกษาจากที่ปรึกษาทางการเงินที่มีความรู้ และประสบการณ์เพื่อวางแผนการลงทุนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

เป็นอย่างไรครับคำตอบที่ได้ ค่อนข้างชัดเจนนะครับว่าหากคุณเป็นนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงแล้ว DCA คือคำตอบที่ดี

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งในการใช้ AI ที่รู้เรื่องการเงิน รู้จักและเข้าในเรื่องของการ DCA ส่วนคุณในฐานะนักลงทุนจำเป็นต้องรู้ตัวเองว่า คุณเป็นนักลงทุนแบบไหน นี่คือสิ่งที่ AI ยังตอบไม่ได้ เพราะยังเรีนนรู้ไปไม่ถึงจิตใจของคุณในเวลานี้ แต่อนาคตไม่แน่นะครับ หาก AI ได้เห็นพฤติกรรมการลงทุนของคุณบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้เพราะในโลกการลงทุน ผมได้มีการใช้ AI กับการลงทุนมาเป็นเวลานานมากแล้วครับกองทุนระดับโลกหลายแห่งก็ได้นำ AI มาใช้บริหารพอร์ตลงทุน ไม่ว่าจะเป็น JPMorgan Chase & Co, Morgan Stanley, Vanguard Group, Deutsche Bank AG, ING Groep NV, Fidelity และ Wealthfront ซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 บริษัทจัดการลงทุนที่นำ AI มาใช้บริหารจัดการพอร์ตลงทุนมากที่สุดนั่นเอง

และปัจจุบัน 70% ของปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดสหรัฐฯ มาจาก AI ทั้งการใช้ AI มาช่วยวิเคราะห์และมนุษย์เป็นผู้ตัดสินใจลงทุน และการใช้ AI ทำการซื้อขายหุ้นเองแบบเบ็ดเสร็จ และนับวัน AI จะฉลาดมากขึ้นจากข้อมูลที่เราป้อนเข้าไป บวกกับการเรียนรู้สภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลานั้น

ผมขอยกตัวอย่าง Jitta Intel ซึ่งเป็น AI ของ Jitta ทำงานต่อเนื่องมาตั้งแต่ก่อตั้งจิตตะเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ทำการประมวลผลข้อมูลกว่า 1,000 ล้านชุดข้อมูลต่อวันเพื่อวิเคราะห์หุ้นทั่วโลกกว่า 48,000 หุ้น ครอบคลุมหุ้น 90% ทั่วโลก เพื่อหาหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดของแต่ละตลาด (Jitta Ranking) ตามหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investing: VI) ที่ใช้ศาสตร์ของ ‘Quant VI’ ช่วยคัดหุ้นดีราคาถูก สร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในระยะยาว

และต่อมาก็ได้เพิ่มศักยภาพของ AI ด้วยการนำมาพัฒนาเทคโนโลยีการลงทุนอัตโนมัติ (Automated Investing) ให้กับลูกค้า Jitta Wealth ช่วยในการบริหารจัดการพอร์ตลงทุนส่วนบุคคลให้กับนักลงทุนกว่า 68,000 พอร์ต ในทุกๆ มิติการลงทุน ​ทั้งการบริหารความเสี่ยง การจัดสินทรัพย์ให้กระจายทั่วโลก รวมถึงการปรับพอร์ตรายบุคคลอัตโนมัติอีกด้วย

ข้อดีอย่างนึงของการบริหารพอร์ตด้วย AI นอกจากการประมวลผลจาก Big Data ในระยะเวลาอันสั้นแล้ว สิ่งที่ AI เหนือกว่ามนุษย์ชนิดที่เลียนแบบไม่ได้เลยคือเรื่องของ ‘อารมณ์’ ครับ เพราะ AI ไม่มีอารมรณ์ ทุกครั้งที่ตลาดได้รับข่าวบางอย่างจนเกิด Panic นักลงทุนมักเทขายหุ้นออกมาเพราะความกลัว โดยไม่ได้สนใจว่านั่นคือหุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ ​และนั่นก็จะเป็นโอกาสสำหรับ AI โดยเฉพาะ AI ของ Jitta Wealth ที่ยังถูกตั้งโปรแกรมให้ค้นหา ‘หุ้นดีราคาถูก’ เพื่อเข้าลงทุน AI ไม่ได้รู้สึกกลัวไปตามภาวะตลาดนะครับ

และสิ่งนึงที่พิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของ AI คือเรื่องของผลตอบแทนที่ AI สามารถบริหารพอร์ตได้ดีกว่าหลายๆ กองทุนที่ใช้คนในการบริหาร เช่น Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ในช่วง 4 ปีเศษที่ผ่านมาสร้างผลตอบแทน 140.27% เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มกองทุนหุ้นเวียดนาม

AI ที่ผ่านการเรียนรู้และบททดสอบในแต่ละวิกฤติทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเทคโนโลยีไม่เคยหยุดนิ่ง​มันพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ผมเองในฐานะผู้ใช้ AI ก็ต้องไม่หยุดนิ่งเช่นกัน การเรียนรู้ระหว่างผมและ AI ดำเนินไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกัน เราก็ต้องเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้อย่าง AI Predictive Analytics ที่เป็นการนำฐานข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ในทุกมิติ สร้างโมเดลการลงทุน เพื่อค้นหาตลาดที่น่าลงทุน และมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และสร้างผลตอบแทนได้ดีมากขึ้น

หากถาม AI ว่าในเวลานี้ ตลาดหุ้นใดที่กำลังน่าสนใจ Jitta Intel ซึ่งเป็น AI ที่ Jitta ฝึกฝนมาตลอด 12 ปี จะประมวลผลจากหุ้นทั่วโลก บวกกับพฤติกรรมการลงทุนเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในมิติต่างๆ และยังได้ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา เราพบว่าอัตราส่วนหุ้นถูกแพงในตลาดต่างๆ ทั่วโลก มีนัยต่อผลตอบแทนการลงทุนในระยะยาว ซึ่งคำถตอบที่ Jitta Intel พบในเวลานี้ ชี้ไปที่ตลาดหุ้นจีน-ฮ่องกง เป็นตลาดที่มีจำนวนหุ้นดีราคาถูกมากที่สุด หรือมีมากกว่าหุ้นดีที่ราคาแพง จึงบอกได้ว่าเป็นตลาดที่น่าลงทุนและมีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้มากที่สุด

นี่คือความล้ำหน้าของ AI ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ซื้อขายตามคำสั่งที่ป้อนเข้าไปเท่านั้น แต่ยังสามารถนำข้อมูลในอดีตมาคาดการณ์อนาคตให้เราลงทุนได้เสียด้วย แน่นอนครับ AI เพื่อการลงทุนยังได้รับการพัฒนาต่อไปด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินและการลงทุนในมิติต่างๆ ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น ตรงตามรูปแบบการลงทุนเฉพาะบุคคล ความเสี่ยงและ Lifestyle ของแต่ละบุคคล ซึ่งผมเชื่อว่าจะช่วยให้การลงทุนเป็นเรื่องง่ายและออกแบบได้เฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้น

ทุกวันนี้คนที่ไม่เคยออกไปลงทุนต่างประเทศได้ ก็กลายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ด้วยเงินลงทุนที่ไม่ต้องสูงมากเหมือนในอดีตแล้ว แต่ในอีกมุมหนึ่ง เราก็ยังพบว่ามีคนอีกกลุ่มที่สนใจลงทุน แต่ยังติดอุปสรรคหลายๆ ด้าน หนึ่งในนั้นคือเรื่องของวินัยทางการเงินที่ไม่สามารถเก็บออมจนมีเงินเริ่มต้นเพียงพอที่จะลงทุนได้ และรู้สึกว่าการลงทุนเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงได้ ผมถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะเรื่องของการลงทุนเป็นพื้นฐานสำคัญหนึ่งในการใช้ชีวิต และเป็นพื้นฐานที่จะพาไปสู่โอกาสใหม่ๆ ในชีวิต ซึ่ง AI ก็กำลังพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มาช่วยออกแบบวิธีการเก็บออมให้เป็นเรื่องง่าย ใครจะรู้เงินเล็กๆ น้อยๆ ของคุณอาจสร้างมูลค่ามหาศาลได้ในอีกไม่นานนี้ ด้วยเทคโนโลยีที่เข้ามาปลดล็อกอุปสรรคต่างๆ ให้คุณได้เข้าถึงการลงทุนด้วยวิธีที่คุณเอง อาจจะคาดไม่ถึงก็ได้นะครับ

แล้วคุณจะมีความสุขเมื่อเห็นเม็ดเงินที่งอกเงยและผลตอบแทนเติบโตสวยงามได้ด้วยเทคโนโลยี AI

]]>
1477404
3 เทคนิคสร้างวินัยการออม สร้างพอร์ตให้โตได้ด้วย​ DCA ​ https://positioningmag.com/1468014 Thu, 28 Mar 2024 03:49:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1468014

โดยตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

นักลงทุนระดับโลกอย่างปู่ Warren Buffett ได้กล่าวเอาไว้ว่า
“Successful investing takes time, discipline and patience.”
เป็นคำสอนนักลงทุนทั่วโลกอย่างง่ายๆ ว่าสิ่งที่จะทำให้การลงทุนของคุณประสบความสำเร็จ พอร์ตเติบโตได้นั่นก็คือ เวลา วินัย และความอดทน ​

กลยุทธ์การลงทุนที่มีองค์ประกอบครบทั้ง เวลา วินัยและความอดทน ทั้ง 3 สิ่งนี้รวมอยู่ในเรื่องของ Dollar cost Average (DCA) หรือการลงทุนแบบถั่วเฉลี่ยอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง

ดังนั้นหากจะพูดว่ากลยุทธ์การ DCA หรือเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอในสินทรัพย์ที่ดีเป็นหนทางแห่งความสำเร็จในโลกการลงทุนก็คงจะไม่ผิดเพี้ยนมากนัก

การ DCA ถูกพิสูจน์มาแล้วว่าช่วยสร้างผลตอบแทนให้ดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องจับจังหวะ​

และยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญมาก!

จนบางครั้งอาจจะชี้ชะตาว่าพอร์ตจะกำไรหรือขาดทุนได้เลย

แต่ผมเชื่อว่ายังมีนักลงทุนหน้าใหม่ที่กำลังละล้าละลัง ไม่กล้าที่จะเริ่มต้นลงทุน เพราะคิดว่าเงินทุนที่มีในมือจะน้อยเกินกว่าจะใช้สร้างกำไรได้

ผมอยากบอกตรงนี้เลยครับว่า คุณไม่จำเป็นต้องพะวงอะไรให้มากมายเลยครับ เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ที่ดียิ่งเริ่มเร็ว ก็ยิ่งทำให้การลงทุนระยะยาวของคุณค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป แต่มีประสิทธิภาพได้

Photo : Shutterstock

ยิ่งในปัจจุบันการลงทุนเป็นเรื่องเข้าถึงง่ายและรวดเร็วขึ้น คุณไม่จำเป็นต้องรอเก็บเงินจนได้ก้อนใหญ่ มีเงินเพียงไม่กี่บาทก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้แล้ว และยิ่งหากคุณสร้างวินัยให้กับตัวเองด้วยการออมเงิน DCA ได้อย่างสม่ำเสมอจะยิ่งเห็นหนทางแห่งความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าเลยครับ

หากคุณยังรู้สึกว่าการ DCA ทำได้ยาก หรือคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้ DCA กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น​อยู่

วันนี้ผมมี 3 เทคนิคง่ายๆ  ที่จะช่วยให้ DCA กลายเป็นเรื่องง่าย​ คุณสามารถเริ่มต้นออมเงินหรือ DCA ได้อย่างสม่ำเสมอ ทำอย่างไรตามไปดูกันได้เลยครับ

1. ทำงบรายรับ-รายจ่ายประจำเดือน

อาจจะฟังดูน่าเบื่อเพราะเป็นวิธีที่ถูกพูดถึงบ่อยๆ แต่ถ้าคุณทำได้คุณจะเข้าใจว่ามันสำคัญมากแค่ไหน

คุณไม่จำเป็นต้องมองหาสมุดบัญชีมาเริ่มต้นการบันทึกให้ดูยุ่งยากเลยครับ เมื่อคิดจะเริ่มแล้ว เพียงแค่หยิบมือถือที่คุณติดมืออยู่ขึ้นมาแล้วเริ่มการจดรายรับรายจ่ายของคุณใส่ในแอปโน๊ตธรรมดาๆ หรือจะเป็นแอปสำหรับรายรับรายจ่ายที่จะช่วยให้คุณบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างสะดวกขึ้นก็สามารถทำได้ง่ายๆ ครับ

เพราะไม่ว่าจะจดที่ไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับ ‘จด’ จริงๆ แค่คุณเริ่มทำแบบนี้สัก 2-3 เดือนคุณก็จะพอเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้วว่า ‘คุณหมดเงินไปกับอะไรบ้าง’

แน่นอนว่าถึงตอนนั้นมันจะช่วยให้คุณสามารถเลือกว่ารายการไหนที่ไม่จำเป็น ตัดได้ หรือตัดไม่ได้ แล้วเอางบส่วนนั้นมาใส่เป็นรายการ DCA เติมเข้าพอร์ตรายเดือนได้บ้าง

ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีนะครับ เพราะวิธีนี้จะทำให้คุณเห็นภาพมากขึ้นว่า คุณสามารถ DCA ได้เดือนละเท่าไหร่ ถ้าอยากเพิ่มจำนวนเงินจะทำอย่างไรได้บ้าง

Photo : Shutterstock

2. จ่ายแค่ไหน ออมเท่านั้น

ถ้ามีคนมาบอกว่า ‘คุณจะมีเงินออมมากขึ้น ถ้าคุณใช้มากขึ้น’ ฟังแล้วคุณอาจจะคิดว่า มันช่างย้อนแย้งจัง จะเป็นไปได้อย่างไร

แต่อย่าลืมว่าการใช้จ่าย ได้ช้อปปิ้งในสิ่งที่ชอบ ถือเป็นความสุขในชีวิตครับ

ดังนั้นคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต

แต่ใช้วิธีช้อปที่ช้อบชอบบบ มาช่วยออมเงินแทน

วิธีการก็คือ คุณต้องตั้งกฏให้กับตัวคุณเอง ‘ซื้อเท่าไหร่ ก็ออมเท่าที่ใช้ไป’

นอกจากจะเก็บเงินได้แล้ว คุณก็จะไตร่ตรองมากขึ้นก่อนช้อป และเมื่อมีเงินเก็บ คุณก็สามารถแบ่งเงินนั้นไป DCA ต่อได้บ่อยขึ้นด้วย

หรือคุณอาจจะตั้งกฏที่เบาลงไปหน่อยว่า ถ้าเดือนนี้ใช้เงินเกิน 5,000 บาท จะต้องโอนเงินเข้าพอร์ต 1,000 บาท ถ้าใช้เงินเกิน 10,000 บาท จะโอนเงินเข้าพอร์ต 5,000 บาท

พอร์ตของคุณก็จะงอกเงยขึ้นได้ด้วยเงินเพิ่มทุนเหล่านี้

นอกจากจะเก็บเงินได้แล้ว คุณก็จะไตร่ตรองมากขึ้นก่อนช้อป และเมื่อมีเงินเก็บ คุณก็สามารถแบ่งเงินนั้นไป DCA ต่อได้บ่อยขึ้น มากขึ้นแบบไม่รู้สึกผิดกับการใช้จ่ายครับ

Photo : Shutterstock

3. เก็บเงินตามสูตร 50/30/20

เทคนิคสุดท้ายของวันนี้ อาจจะเป็นสูตรที่ดูคุ้นตา แต่คุณต้องรู้ไว้ว่าหนทางการออมเงินที่เวิร์กที่สุดสำหรับหลายๆ คนคือ ‘ออมก่อนใช้’

การแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ เป็นเรื่องสำคัญมาก! สูตร 50/30/20 ก็เป็นหนึ่งในสูตรแบ่งเงินยอดฮิต

ง่ายๆ เลยครับ เมื่อเงินรายได้ของคุณเข้าบัญชีมา คุณก็แค่จัดแบ่งออกเป็นก้อนๆ ประมาณนี้

  • 50% สำหรับสิ่งที่จำเป็น (Need)
  • 30% สำหรับสิ่งที่ต้องการ (Want)
  • 20% สำหรับเก็บออม

และส่วนนี้ 20% นี้จะเป็นส่วนที่เราจะแบ่งสัดส่วนมันอีกทีก็ได้ว่า จะ DCA สำหรับพอร์ตลงทุนเท่าไหร่ และเหลือไว้เท่าไหร่สำหรับเป็นเงินเก็บฉุกเฉิน

ซึ่งสัดส่วนเหล่านี้ เป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้นครับ คุณเองก็สามารถออกแบบตัวเลขในแต่ละส่วนของคุณได้ตามความเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ

แต่อย่าลืมว่าเมื่อได้สัดส่วนที่จะเอามา DCA แล้ว ทุกครั้งที่มีเงินเดือนหรือรายรับเข้ามาก็แบ่งเงินให้ชัดเจนก่อนนำไปใช้ หรือหากกลัวลืมผมเทคนิคง่ายๆ ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้กับตัวเองได้ อย่างเช่นการตั้งค่า DCA ในวันที่เงินเดือนออกก็สะดวกดี

ทุกวันนี้ก็มีหลายแอปการเงินที่ได้นำเทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยนักลงทุนให้สามารถเลือกตั้งค่า DCA ไว้แล้ว เช่นเดียวกับแอปของ Jitta Wealth ที่ได้พัฒนาฟีเจอร์การ DCA เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถออมก่อนใช้ ช่วยให้คุณลงทุนอย่างมีวินัยและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

]]>
1468014
ให้ 11.11 เป็นมากกว่าวันคนโสด แต่เปิดโอกาสมั่งคั่งจากการลงทุน https://positioningmag.com/1453214 Mon, 27 Nov 2023 08:36:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453214

บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

11.11 ผ่านไปแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เสียหายกันไปเท่าไร
เปล่าครับ ผมไม่ได้มาเสนอส่วนลดพิเศษอะไรให้แต่อย่างใด เพียงแต่จะมาชวนคุยถึงที่มาของแคมเปญสุดปัง 11.11 หรือ วันที่ 11 เดือน 11 ที่ร้านค้าต่างแข่งกันออกโปรโมชันเพื่อดึงดูดคนให้เข้าร้านกันยกใหญ่ ลดแลกแจกแถมกันแบบฉ่ำมง

ทำไมต้องเป็น 11.11 ผมขออนุญาตเล่าให้คนที่อาจจะยังไม่รู้ที่มาที่ไปสักเล็กน้อยครับ

หากคุณมองตัวเลข 11.11 แล้วเห็นอะไรบ้างคับ มีแต่เลขคี่เต็มไปหมดเลยใช่ไหมล่ะครับ

11.11 จึงเป็นวันที่ถูกนิยามให้เป็นวันคนโสด

หากย้อนไปดูตามประวัติแล้ว วันคนโสดเกิดขึ้นตั้งแต่ราวๆ ปี 2533 จากกิจกรรมของนักศึกษามหาวิทยาลัยในประเทศจีน 4 คน ที่ฉลองความโสดของตัวเอง…

ที่ผ่านมาผู้คนอาจจะคุ้นเคยกับวันวาเลนไทน์ หรือวันแห่งความรักกันใช่ไหมล่ะครับ ในเมื่อมีวันของคนมีคู่ ทำไมจะมีวันของคนไม่มีคู่ไม่ได้ล่ะ

เพราะความรักไม่จำกัดแค่คนมีคู่ เราสามารถมอบความรักให้ตัวเองได้ด้วยเช่นกัน

เมื่อมีการเผยแพร่เรื่องราวของนักศึกษากลุ่มนี้ออกไป ทำให้วันคนโสดกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันกลายเป็นเทศกาลในระดับภูมิภาคไปแล้ว

ในวันนี้ ผู้คนจะใช้จ่ายเพื่อตัวเอง เลือกซื้อของที่อยากได้ ‘วันคนโสด’ จึงมีอีกชื่อว่า ‘วันแห่งการช้อปปิ้ง’ ด้วย

นี่จึงเป็นที่มาของวันคนโสดครับ และต่อมาในยุคที่มีการซื้อขายออนไลน์ เทศกาลนี้ยิ่งแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลกด้วย ผลักดันให้กลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) พุ่งกระฉูดไปตามๆ กัน

ข้อดีของวันนี้ยังไม่หมดแค่นั้นครับ เพราะไม่ใช่เฉพาะคนโสดที่จะออกมาจับจ่ายใช้สอย คนมีคู่เองก็ออกมาช้อปปิ้งเยอะไม่แพ้กันครับ ทำให้ตัวเลขการบริโภคในระบบเศรษฐกิจเพิ่มสูงขึ้น​

รวมถึงหุ้นในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce) พุ่งกระฉูดไปตามๆ กัน เป็นอานิสงส์ดีๆ ให้นักลงทุนที่โสดหรือไม่โสด ก็ยิ้มรับกันอย่างชื่นบานเลยทีเดียวครับ

แม้ในช่วงการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่ทำให้การซื้อของออนไลน์ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซพุ่งกระฉูดเป็นประวัติการณ์ แต่ 11.11 หรือวันคนโสด ก็มีส่วนช่วยผลักดันไม่แพ้กันครับ

หากคุณอยากรู้ว่า วันคนโสด คนช้อปโหดขนาดไหน และช่วยเศรษฐกิจให้ดีขึ้นได้อย่างไร ผมจะพาไปดูสถิติที่น่าสนใจของวันคนโสดกัน​

1. Alibaba

เรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่เห็นถึงความสำคัญของวันคนโสด และมีการจัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขาย ซึ่งในปี 2562 ได้ทำสถิติขาย 1 ชั่วโมง กวาด 360,000 ล้านบาท มากกว่ายอดขายทั้งปีของแบรนด์ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ในไทยทั้งหมด

และล่าสุดในปี 2565 ที่แม้จะมีความท้าทายในภาพรวมของเศรษฐกิจ แต่ Alibaba ก็ยังสามารถทำยอดขายสุทธิในวัน 11.11 รวมกับวันอื่นๆ ตลอดระยะเวลาแคมเปญ 18 วัน ได้ถึง 2.65 ล้านล้านบาทเลยทีเดียวครับ

2. Shopee

ทำสถิติยอดขาย 11 ล้านชิ้น ภายใน 5 นาทีแรกของ 11.11 ในปี 2564 และยอดซื้อที่มากที่สุดใน 1 รายการคือ 180,000 บาท เป็นสินค้าประเภทแล็ปท็อปและคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

3. Lazada

ทำสถิติจำนวนสินค้าที่ขายได้โตกว่า 200% จำนวนผู้ใช้เพิ่มขึ้นกว่า 120% และดันจำนวนผู้ขายที่รายได้มากกว่า 100,000 บาท เพิ่มขึ้นกว่า 300% ในช่วงแคมเปญ 11.11 ปี 2564

และในปี 2565 ที่ผ่านมา 11.11 มียอดขายในไทยโตทะลุกว่า 20 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ภายใน 2 ชั่วโมงแรก ขณะที่ยอดขายทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพิ่มขึ้นกว่า 124 เท่า ตั้งแต่ 11 นาทีแรกของแคมเปญ

เป็นข้อมูลที่ OMG ในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซมากๆ ครับ

จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่

แม้ว่าที่มาของวันนี้จะเป็นเพียงการฉลองของคนโสดแค่ 4 คน แต่มันก็ได้กลายเป็นเทศกาลหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนได้ไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

ซึ่งผลกระทบนั้นก็ได้ถูกส่งต่อมายังประเทศไทยอีกด้วย

ที่สำคัญคือเทรนด์การช้อปปิ้ง ได้ทะลายข้อจำกัดด้านระยะทางด้วยการเปิดให้มีซื้อขายออนไลน์ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่ายๆ เพียงปลายนิ้ว

มีการขายแนวใหม่ประเภทการไลฟ์โชว์สินค้า ที่ช่วยกระตุ้นอีคอมเมิร์ซได้เป็นอย่างดีครับ

ทำให้การกระตุ้นยอดขายจากเทศกาลที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ กลายเป็นรากฐานของเศรษฐกิจระยะยาวในที่สุด

Shopping cart Ecommerce Marketing channel distribution concept on supermarket background

ลงทุนอีคอมเมิร์ซ โอกาสเติบโตของเมกะเทรนด์

ปัจจุบันรัฐบาลทั่วโลกกำลังวางนโยบายที่สนับสนุนอีคอมเมิร์ซ เช่น การลดหย่อนภาษีและขั้นตอนศุลกากรที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเติบโตของช่องทางอีคอมเมิร์ซ

และในปี 2566 อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซคาดจะสร้างรายได้ทั่วโลกถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และตลาดอีคอมเมิร์ซคาดจะขยายตัว 10.4% ภายในสิ้นปี

เศรษฐกิจที่ฟื้นตัว มีการกระตุ้นให้ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องในแพลตฟอร์มออนไลน์ ผลักดันให้กำไรของบริษัทต่างๆ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น

หากคุณสนใจที่จะลงทุนในอีคอมเมิร์ซ เรามีตัวเลือกการลงทุนในนโยบาย Thematic ที่สามารถเลือกลงทุนในธีมอีคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็น ETF ที่เข้าไปลงทุนในหุ้นของบริษัทค้าปลีกทั่วโลกที่มีรายได้หลักมาจากการค้าขายออนไลน์ อาทิเช่น Amazon และ Alibaba

สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ /jitta.co/3MCjoRM

หรือหากคุณสนใจในการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ที่นอกเหนือจากเทศกาลวันคนโสด 11.11 ที่มีการจับจ่ายใช้สอย กระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่แล้วรัฐบาลจีนเองก็มีการออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกมากมาย

เป็นที่น่าสนใจว่าตลาดหุ้นที่ปัจจุบันปรับตัวลดลงมาจากสถานการณ์ของภาคอสังหาฯ จะกำลังกลับตัวตามสภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น

เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นจีนคุณสามารถเข้าไปศึกษาเพิ่มได้ที่ jitta.co/49JkhlJ

When Paying Means Savings…

การใช้จ่ายในช่วง 11.11 หรือเทศกาลที่มีโปรโมชัน ลดแลกแจกแถม นอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ผู้บริโภคเองก็ได้รับสิทธิประโยชน์จากการใช้เงินมากมายให้เกิดความคุ้มค่าได้เช่นกันครับ

ทำให้เงินที่ได้จากส่วนลดกลายมาเป็นเงินออม และเงินลงทุนต่อได้อีกต่อด้วย

นอกจากซื้อของเป็นรางวัลให้ตัวเองในวันนี้แล้ว อย่าลืมลงทุนเป็นรางวัลให้ตัวเองในวันข้างหน้าด้วยนะครับ

]]>
1453214
ล้างอาถรรพ์ให้โลกลงทุน พอกันทีกับพอร์ตต้องคำสาป https://positioningmag.com/1449647 Mon, 30 Oct 2023 13:20:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1449647

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ช่วงใกล้วันฮาโลวีนแบบนี้ นักลงทุนอาจจะกำลังสัมผัสกับเรื่องหลอนๆ ในโลกการลงทุน หรือความลี้ลับบางอย่างที่ทำให้เราไม่ว่าจะลงทุนอย่างไร พอร์ตก็แดงวนไป  ทำอย่างไรก็ไม่กำไรอยู่ดี 

คิดไปคิดมา คุณเป็นนักลงทุนที่ต้องคำสาป หรือพอร์ตคุณกำลังต้องคำสาปกันแน่ แล้วเราจะล้างอาถรรพ์ที่แฝงอยู่กับพอร์ตลงทุนได้อย่างไรกัน

วันนี้ผมจะชวนมาร่วมไขปริศนาเกี่ยวกับอาถรรพ์ และเรื่องราวของ ผี วิญญาณ และคำสาป พร้อมวิธีป้องกัน ที่อาจจะทำให้การลงทุนของคุณไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..

โลกนี้อาจมีสิ่งลึกลับที่มองไม่เห็น… เข้ามามีบทบาทกับชีวิต หรือแม้กระทั่งการลงทุนโดยที่คุณไม่รู้ตัว…

วิญญาณ อาถรรพ์ และคำสาป เป็นเรื่องราวที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมของมนุษย์เรามาอย่างยาวนานครับ ไม่ว่าจะเป็นทวีปใด หรือมุมไหนของโลก ล้วนต้องมีเรื่องลึกลับ หาคำตอบไม่ได้ ไปจนถึงสยองขวัญจนไม่อยากหาคำตอบเป็นส่วนประกอบเสมอ

ในโลกการลงทุนก็มีเรื่องน่ากลัวเช่นนี้อยู่เหมือนกันครับ… แต่มันจะเป็นไปในลักษณะไหน ผมจะพาคุณเปิดสัมผัสที่หก แล้วเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ไปพร้อมๆ กันครับ

ยินดีที่ (ไม่) รู้จัก ‘ผี’

ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2554 คำว่า ‘ผี’ มีไว้ใช้เรียกคนที่ตายไปแล้ว และหมายถึง สิ่งที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสภาพลึกลับ มองไม่เห็นตัว แต่อาจจะปรากฏเหมือนมีตัวตนได้ อาจให้คุณหรือโทษ มีทั้งดีและร้าย

หลายคนในที่นี้คงได้รับการสะกดจิตมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ว่าผีคือสิ่งที่น่ากลัว ​หลายคนบนโลกนี้กลัวผี ทั้งที่บางคนอาจจะไม่เคยเห็นหรือสัมผัสด้วยซ้ำ…

ไม่ใช่แค่คนไทยที่พูดถึงเรื่องผีๆ เราจะเห็นได้ว่า ‘ผี’ มีลักษณะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมครับ อย่างทางฝั่งยุโรปผีจะมีลักษณะเป็นปีศาจไล่ฆ่าคน เช่น ปีศาจสับหัว (The Headless Horseman) ที่เป็นบุรุษขี่ม้าสีดำและไม่มีหัว ไล่สังหารผู้คนโดยการตัดศีรษะ

Etf
Photo : Shutterstock

ทางฝั่งเอเชีย ผีมักมาในลักษณะของวิญญาณที่มีความคับแค้นใจจากการเสียชีวิตอันน่าเศร้า มักไปสิงร่างคน หรือกระตุ้นจิตใจให้ทำเรื่องไม่ดี ไปจนถึงขั้นพรากชีวิตของคนที่ถูกเล่นงาน

ในโลกการลงทุนก็มีวิญญาณหลอนที่คอยมาสร้างความหวาดกลัวให้กับนักลงทุนเป็นระยะครับ ไม่ว่าจะเป็น วิญญาณ “ข่าวร้าย” วิญญาณ “เงินเฟ้อ” วิญญาณ “เงินฝืด” วิญญาณ “ดอกเบี้ย” วิญญาณ “ภาษี”​ เผลอๆ อาจจะน่ากลัวกว่าเจอผีจริงๆ เสียอีกนะครับ

เพราะถ้ามีวิญญาณเหล่านี้เข้ามาเมื่อไหร่ เมื่อคุณเปิดดูพอร์ต คุณอาจจะมีความรู้สึกขนหัวลุก เหมือนมีลมเย็นๆ พัดผ่านหลังคอให้เย็นวาบ ส่วนบางคนที่จิตอ่อน คุณอาจได้ยินเสียงกระซิบที่คอยบอกว่า ขาย ขาย ขาย ขาย…

และวิญญาณเหล่านี้ มักเป็นตัวแทนของความทรงจำที่เลวร้าย แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเป็นอดีตไปแล้ว แต่ความทรงจำยังคงติดอยู่กับเรื่องราว และคอยตามหลอกหลอนเราอยู่เรื่อยไป

ใครที่เคยติดดอยหรือขายหมูสักครั้ง จะซื้อจะขายหุ้นแต่ละทีคงเสียวสันหลังไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ

ไสยศาสตร์และการลงทุน

ที่ร้ายแรงกว่าการมีวิญญาณมาล่อลวงจิตใจ คือคุณก้าวเข้าสู้ด้านมืดด้วยตัวเอง…โดยการลงทุนใน ‘หุ้นผีบอก’

‘ผีบอก’ เป็นคำที่เรามักได้ยินในบริบทของ ‘ยาผีบอก’ ครับ สูตรยาที่ไม่มีที่มาที่ไป มีเพียงสรรพคุณเลิศเลอ

ตลาดหุ้นที่ขับเคลื่อนด้วย ‘ความหวัง’ นี่เองจึงเป็นบ่อเกิดของ ‘หุ้นผีบอก’ ครับ

หุ้นที่ไม่มีที่มาที่ไปแน่ชัดสักเท่าไหร่ แต่กลับถูกพูดถึงต่อๆ กันในวงกว้างว่ามีโอกาสจะทำกำไรได้เท่านั้นเท่านี้ ซึ่งพอมีการยืนยันจากหลายปากหลายเสียง ก็ทำให้ข่าวหุ้นตัวนั้นดูน่าเชื่อถือขึ้นมาเสียอย่างนั้น

Photo : Shutterstock

พอข่าวเรื่องหุ้นตัวนี้เริ่มมีการกระจายออกไปมากเข้า คนที่ได้รับข่าวหลังๆ จะรู้สึกว่ามันน่าเชื่อถือ เพราะถูกยืนยันมาจากหลายๆ แหล่ง ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมาจากแหล่งเดียวนั่นแหละครับ

หากโชคดีผีผลักก็จะได้กำไร แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นผีซ้ำด้ามพลอย พากันขาดทุนเป็นแถบๆ

การลงทุนแบบไม่มีหลักการ หวังพึ่งแต้มบุญ และหวังว่าหุ้นผีบอกที่ลงไปจะต้องทำกำไรแน่ๆ มักจบด้วยการบาดเจ็บขาดทุนจนต้องออกจากตลาดไป

และหากคุณถลำลึกวนเวียนอยู่แต่กับหุ้นผีบอก หรือลงทุนแบบพึ่งดวง ก็อาจทำให้พอร์ตของคุณติดอาถรรพ์สีแดง ทำยังไงก็ไม่กำไรสักที

ล้อมสายสิญจน์ รดน้ำมนต์ให้พอร์ตลงทุน

ใจเย็นๆ นะครับ อย่าเพิ่งรีบแต่งตัวเตรียมไปหาหมอผี หรือหมอธรรมะที่ไหน เพราะวิธีแก้ คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

วันนี้ผมมีวิธีแก้อาถรรพ์มาบอกครับ…

หาก วิญญาณร้าย มาทำให้จิตใจที่แข็งแกร่งของคุณหวั่นไหว คอยมากระซิบให้คุณขายหุ้นดีๆ ทิ้ง เพราะแค่ราคาผันผวนจากภาวะตลาด หรือฉุดรั้งไม่ให้คุณลงทุน จริงๆ แล้วอาจมาจากจิตใต้สำนึกของคุณเองก็ได้ครับ

เมื่อต้องเลือก ย่อมเกิดความลังเล และความกลัวขึ้นมาเป็นเรื่องธรรมดา น้ำมนต์ที่เราจะใช้ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกลครับ สามารถใช้น้ำสะอาดสำหรับล้างหน้า หรือน้ำเย็นๆ สักแก้วมาดื่มสักหน่อย

เรียกสติของตัวเองกลับมาให้มากที่สุดครับ หยุดคิดและวิเคราะห์ให้รอบคอบถึงโอกาสและความเสี่ยง สิ่งที่จะได้และอาจต้องเสียไป หากคุณตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่าง เช่น การขายหุ้นในพอร์ต

Photo : Shutterstock

จากนั้นค่อยเสริมด้วยหลักการลงทุนดีๆ ที่จะทำให้คุณมองเห็นวิธีการ และมุมมองที่กว้างมากขึ้น

ส่วนวิธีแก้อาถรรพ์พอร์ตจาก หุ้นผีบอก คือเริ่มจากปรับเปลี่ยนนิสัยการลงทุนครับ จากที่เอาแต่เฝ้าติดตามข่าวอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นคอยศึกษาพื้นฐานของกิจการควบคู่ไปด้วยครับ

หลีกเลี่ยงเหตุผลในการซื้อขายหุ้นที่ว่า ‘ใครๆ ก็บอกอย่างนั้น’

แค่นี้หุ้นผีบอกก็ทำอะไรคุณไม่ได้แล้วครับ

คาถานักลงทุนระยะยาว ไล่พอร์ตแดงไปจากชีวิต

การลงทุน ต้องมีสติ มีเหตุและผล

การลงทุน ต้องเข้าใจ มีเหตุและผล

การลงทุน ต้องมองไกล มีเหตุและผล

คำภีร์หรือบทสวดอาจไม่ได้เท่าสติ ความรู้ และหลักการลงทุนที่ดีครับ

]]>
1449647
กองทุน S&P500 ETF ประตูบานแรกสู่การลงทุนระยะยาว https://positioningmag.com/1447078 Fri, 06 Oct 2023 06:10:49 +0000 https://positioningmag.com/?p=1447078

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
สำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นลงทุนอย่างไรให้ปลอดภัยและสร้างผลตอบแทนได้ระยะยาว ผมอยากแนะนำเครื่องมือการลงทุนหนึ่ง ที่สุดแสนจะคลาสสิกและเรียบง่าย ที่สำคัญไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ก็ยังเป็นที่นิยมอย่าง ‘การลงทุนเชิงรับ’ (Passive Investment) ที่คุณก็สามารถเริ่มลงทุนได้ เพียงเลือกสินทรัพย์ที่ลงทุนอิงดัชนีและมีค่าธรรมเนียมต่ำ เพราะจัดเป็นการลงทุนระยะยาวในสินทรัพย์ ที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และมีการซื้อขายน้อยครั้งทำให้ค่าธรรมเนียมไม่สูงเกินไป

และนั่นก็ทำให้ก็การลงทุนเชิงรับยังคงอยู่คู่ตลาดและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งหนึ่งในกองทุนยอดนิยมที่ไม่เคยตกเทรนด์อย่าง S&P500 ETF ก็เป็นสินทรัพย์อ้างอิงที่ได้รับความนิยมและเป็นถูกพูดถึงเสมอเมื่อพูดถึงการลงทุนเชิงรับ

มาถึงตรงนี้ อาจจะมีใครเริ่มงง ว่าเจ้า S&P 500 คืออะไร และ ETF อีกล่ะ

มาครับ ผมอยากขอทบทวนความเข้าใจสักเล็กน้อย

S&P 500 หรือ Standard & Poor’s 500 เป็นดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ประกอบไปด้วยบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นดังกล่าว ซึ่ง 500 บริษัทเหล่านี้ก็ครอบคลุมกว่า 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมดไปแล้ว

ETF หรือ Exchange Traded Funds คือ กองทุนที่มีนโยบายลงทุนตามดัชนีต่างๆ ที่ใช้อ้างอิง เพื่อทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงการเคลื่อนไหวของดัชนีนั้นๆ มากที่สุด โดยสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนในตลาดได้เหมือนหุ้น จึงกลายเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในหมู่นักลงทุนเชิงรับ (Passive Investment)

Etf
Photo : Shutterstock

พอจะนึกออกแล้วใช่ไหมครับ เจ้า S&P 500 ETF ก็คือ กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิง S&P500 นั่นเอง ความน่าสนใจคือ เจ้า S&P 500 ETF ถือว่าเป็น ETF ตัวชี้วัดเศรษฐกิจโลกเลยก็ว่าได้ และไม่แปลกใจที่นักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสนใจ และเป็นหนึ่งใน ETF ที่นักลงทุนหลายคนมีติดพอร์ตเอาไว้

ไม่เว้นแม้แต่ปรมาจารย์ด้านการลงทุนเชิงรับ (Passive Investment) อย่าง Warren Buffett ก็ชื่นชอบการลงทุนในกองทุนดัชนี โดยเฉพาะในดัชนี S&P 500

แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ในปัจจุบันมีกองทุน ETF มากถึงกว่า 800 กองที่มีนโยบายการลงทุนโดยอ้างอิงดัชนี S&P 500 โดยแต่ละ ETF มีความแตกต่างในด้านการบริหารจัดการและการคัดเลือกหุ้นที่จะเข้าไปลงทุน

เอาล่ะสิ แล้วถ้าจะลงทุน เราจะเลือกอย่างไร

อย่าเพิ่งเลิกลั่ก มาครับ ผมจะใหัเทคนิคกการเลือกลงทุน ว่าเราควรใช้เกณฑ์ใดในการพิจารณาลงทุนใน ETF

1. ดัชนีที่ใช้อ้างอิง

ดัชนีคือส่วนหนึ่งของตลาดหุ้น ยกตัวอย่างเช่น ดัชนี S&P500 เป็นหนึ่งในดัชนีที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฉะนั้นก่อนที่คุณจะเลือกลงทุนใน ETF สักกอง คุณควรรู้ก่อนว่าคุณอยากลงทุนในดัชนีอะไร หรือมีความสนใจในอุตสาหกรรมใดเป็นพิเศษหรือไม่ เพื่อที่คุณจะสามารถตีกรอบหาดัชนีที่คุณต้องการได้ ก่อนที่คุณจะเลือก ETF ที่อ้างอิงมาจากดัชนีนั้นๆ ซึ่งจะแสดงให้เห็นอยู่ในชื่อของ ETF อยู่แล้ว

2. ผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีที่อ้างอิง

เมื่อคุณเลือกได้แล้วว่าจะลงทุนใน ETF ที่อ้างอิงดัชนีอะไร ก็ต้องมาดูต่อว่า ควรจะลงทุนใน ETF กองไหน เพราะแต่ละดัชนีก็มี ETF ที่อ้างอิงอยู่หลายกองเช่นกัน ดังนั้นสิ่งต่อมาที่เราจะใช้พิจารณาคัดเลือก นั้นก็คือ ผลตอบแทน ไม่ใช่ว่าผลตอบแทนจะต้องทำกำไรได้มากมาย แต่จะต้องทำได้ใกล้เคียงกับดัชนีที่ใช้อ้างอิง เพราะแม้ว่าจะทำผลตอบแทนได้เยอะ แต่ไม่ใกล้เคียงดัชนี ก็ถือเป็นความเสี่ยงอย่างนึงเช่นเดียวกัน

3. สภาพคล่องสูง

สภาพคล่องสูง คือ ถ้าวันนึงคุณไม่ต้องการ ก็ยังคงมีคนอื่นที่สนใจ ทำให้บริหารจัดการพอร์ตได้สะดวก ซึ่งสามารถดูได้จากจำนวน AUM (Asset Under Management) ยิ่ง AUM สูงยิ่งแสดงให้เห็นว่า ETF ตัวนั้นมีคนเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก นอกจากจำนวน AUM แล้ว การมีปริมาณการซื้อขายต่อวันที่สูง และช่องว่างระหว่างราคาเสนอซื้อกับเสนอขายที่ต่ำ ก็สามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่า ETF ตัวนั้นเป็นที่ต้องการมากแค่ไหน

4. ค่าธรรมเนียม

โดยพื้นฐานของ กองทุน ETF จะเป็นการลงทุนแบบ Passive fund ที่เน้นทำผลตอบแทนล้อไปตามดัชนีตลาด ค่าธรรมก็จะต่ำกว่าการลงทุนแบบ Active fund ที่พยายามเอาชนะตลาดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ETF แต่ละกองก็จะมี อัตราค่าใช้จ่ายรวม (Expense Ratio) ที่แตกต่างกัน ยิ่งกองไหนมี Expense Ratio ต่ำ ก็จะยิ่งทำให้คุณได้ผลตอบแทนแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย

5. ระยะเวลา

แม้ผลตอบแทนในอดีตจะไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคตได้ แต่ก็สามารถดูได้ว่า ETF กองนั้นบริหารเป็นยังไง ยิ่งเปิดตัวมานาน ก็แสดงให้เห็นว่าผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมาแบบไหน ผลตอบแทนในช่วงนั้นเป็นอย่างไร เราก็สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ละเอียดยิ่งขึ้นด้วย

เอาล่ะครับ น่าจะพอได้ไอเดียกันบ้างแล้วนะครับ แต่ยังไม่จบครับ วันนี้ผมมีของแถม ด้วยการสปอย 4 กองทุน S&P 500 ETF ที่มีพื้นฐานที่ดี อยู่เหนือกาลเวลาให้คุณๆ ได้เลือกสรรเข้าพอร์ตลงทุนของคุณได้โดยสะดวก บอกเลยว่า แต่ละกองเปิดมาเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี แต่ยังมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นทั้งนั้นครับ

Etf
Photo : Shutterstock

SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY)

ชื่อ ETF : SPY

วันที่เปิดตัว : 22 มกราคม 2536 (30ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.095%

มูลค่า AUM : 413,148 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 20.55%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

ETF ตัวแรกที่หยิบยกขึ้นมาจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก SPY ซึ่งเป็น ETF กองแรกที่เปิดตัวในสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2536 เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ซึ่ง SPY ก็ยังคงทำผลงานได้ดีตลอดมา จนปัจจุบันก็ยังคงเป็น ETF ที่มี AUM มากที่สุดในโลก อีกทั้งยังมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันมากที่สุด อยู่ที่ราว 39,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แค่นั้นยังไม่พอ SPY ยังเป็น ETF หนึ่งในสองกองที่ถูกเลือกเข้าพอร์ต Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett อีกด้วย

iShares Core S&P 500 ETF (IVV)

ชื่อ ETF : IVV

วันที่เปิดตัว : 15 พฤษภาคม 2543 (23ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.03%

มูลค่า AUM : 352,055 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 18.44%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

IVV ถือเป็นกองทุน ETF ที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก SPY โดยจุดเด่นคือ อัตราค่าใช้จ่ายรวมที่ถูกมาก เมื่อเทียบกับกองอื่นๆ ที่เราหยิบยกขึ้นมา โดย IVV เปิดมากว่า 23 ปี ผ่านช่วงวิกฤตเศรษฐกิจมามากมายเช่นกัน แต่ปัจจุบันก็ยังคงสามารถทำผลงานได้ดี และด้วยข้อได้เปรียบเรื่องค่าธรรมเนียม จึงทำให้ IVV เป็นที่สนใจของใครหลายๆ คน

iShares S&P 500 Growth ETF (IVW)

ชื่อ ETF : IVW

วันที่เปิดตัว : 22 พฤษภาคม 2543 (23ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.18%

มูลค่า AUM : 35,895 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 24.15%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

IVW เปิดตัวตามหลัง IVW เพียงไม่กี่วัน โดยเป็นการลงทุนในสินทรัพย์คล้ายๆ กัน แตกต่างกันที่นโยบายการลงทุนและการบริหารจัดการ โดย IVW จะเน้นลงทุนไปที่หุ้นกลุ่มเติบโตมากขึ้น แม้ปลายทางจะเป็นการทำผลตอบแทนให้ใกล้เคียงดัชนี แต่การเคลื่อนไหวของผลตอบแทนจะมีการเปลี่ยนแปลงขยับขึ้นลงมากกว่า แต่ก็พ่วงมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า IVV อยากไรก็ตาม IVW ก็ยังคงมีข้อได้เปรียบในเรื่องของราคาที่ถูก ทำให้กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนไม่น้อย

Etf
Photo : Shutterstock

Invesco S&P 500 Equal Weight ETF (RSP)

ชื่อ ETF : RSP

วันที่เปิดตัว : 24 เมษายน 2546 (20ปี)

อัตราค่าใช้จ่ายรวม : 0.20%

มูลค่า AUM : 41,850 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ผลตอบแทน Year to date : 5.36%

(ข้อมูล ณ วันที่ 5 กันยายน 2556)

RSP เป็นอีกหนึ่งกองทุน ETF ที่เปิดตัวมานานตั้งแต่ ปี 2546 โดยเน้นการเติบโตเป็นหลัก ความน่าสนใจของ RSP ก็คือ การคัดเลือกสินทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุน จะมีการแบ่งสัดส่วนที่เท่าๆ กัน เฉลี่ยอยู่ที่ 0.20% ของแต่ละสินทรัพย์ที่ลงทุนอยู่ใน ETF ซึ่ง ETF กองอื่นๆ ส่วนใหญ่จะมีนโยบายที่ลงทุนในหุ้นแต่ละตัวโดยให้น้ำหนักไม่เท่ากัน โดยการถือหุ้นบางตัวในสัดส่วนที่สูง ทำให้การกระจ่ายความเสี่ยงและบริหารจัดการของ RSP ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ ซึ่งก็แลกมาด้วยค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

เป็นอย่างไรบ้างครับ ETF ทั้ง 4 กองที่เราหยิบยกมาแนะนำให้คุณ ล้วนแล้วแต่เป็น ETF ท็อปฟอร์มตลอดกาล เพราะล้วนพิสูจน์ตัวเองด้วยระยะเวลากว่า 20 ปี ที่พอจะทำให้อุ่นใจได้ว่า มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเผชิญอุปสรรคหรือวิกฤตใดๆ ก็ตาม

ในโลกการเงินปัจจุบันยังมีสินทรัพย์ที่น่าลงทุนรวมถึง ETF ดีๆ ที่คุณสามารถนำมาบริหารพอร์ตลงทุน รวมถึงใช้เป็นเครื่องมือในการนำพาคุณไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่คุณวาดหวังไว้ในอนาคต หากคุณสนใจแนวทางการลงทุนและแสวงหาโอกาสในโลกการเงินที่ผมและทีมงานได้เตรียมข้อมูลที่น่าสนใจให้คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา https://blog.jittawealth.com/

]]>
1447078
เลือกวิธีลงทุนอย่างไรให้สร้างกำไรที่ยั่งยืน​ https://positioningmag.com/1439790 Mon, 07 Aug 2023 03:11:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1439790

ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
เป็นเหมือนกันไหมครับเมื่อตอนเราเด็กๆ เรามีความสุขกับการหยอดเงินในกระปุกออมสินให้เต็ม แต่พอโตขึ้นมาหน่อยก็ชอบมองเห็นตัวเลขในบัญชีเงินฝากที่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ทำไมพอรู้ตัวอีกทีเงินฝากที่มีกลับดูไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อน

คำตอบคือเงินเฟ้อครับ สิ่งที่ทำให้เงินสดที่คุณถืออยู่มีมูลค่าลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อ 20 ปีก่อนคุณอาจจะซื้อข้าวผัดกะเพราไข่ดาวจานละ 15 บาท แต่เดี๋ยวนี้ 15 บาทอาจจะได้แค่ข้าวสวยกับไข่ดาวหนึ่งฟอง

นั่นเป็นเพราะการเลือกที่จะ “อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเลย” ไม่เคยรู้เลยว่าเราสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ด้วยการลงทุนครับ

คนส่วนมากมองว่าการลงทุนเป็นเรื่องไกลตัวไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร กลัวความเสี่ยงของการลงทุนจะทำให้เงินต้นหายไป สุดท้ายก็ทิ้งเงินก้อนนั้นไว้เฉยๆ ฝากธนาคารไปเรื่อยๆ โดยไม่เคยรู้เลยว่า

“การไม่ลงทุนนั้นแหละคือสิ่งที่เสี่ยงที่สุด”

แต่ไม่ใช่ว่าลงทุนอะไรก็เหมือนกันนะครับ คุณต้องลงทุนในสินทรัพย์ที่คุณมั่นใจได้ว่าจะเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาวโดยจำกัดความเสี่ยงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะรับได้

ลงทุนอะไรดี

ในบรรดาสินทรัพย์ยอดนิยมอย่างหุ้น พันธบัตร ทองคำ และเงินฝาก คุณว่าสิ่งไหนจะทำให้เงินของคุณเติบโตได้มากที่สุดครับ

แม้ว่าภาวะตลาดลงทุนในตลาดหุ้นเวลานี้อาจจะดูไม่สดใสเท่าที่ควรโดยเฉพาะตลาดหุ้นไทย แต่จากสถิติที่ทางทีมงานจิตตะเวลธ์เคยรวบรวมไว้พบว่า ในระยะยาวเวลา 36 ปี (ระหว่างปี 2518-2565) หากคุณไปลงทุนในทองคำหน่วยละ 178 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2518 มาถึงปี 2565 ราคาทองคำโลกเพิ่มขึ้นเป็น 1,926 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับคุณจะได้ผลตอบแทน 1,082.02% แต่ในปี 2518 คุณเลือกที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาจนถึงปี 2565 คุณจะได้รับผลตอบแทนถึง 1,884% ดังนั้น หุ้นจึงเป็นทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุดในระยะยาว

ดังนั้นถ้าอยากเพิ่มมูลค่าของเงินให้เติบโตได้ดีกว่าไปฝากธนาคารทิ้งไว้เฉยๆ คุณมีทางเลือกอยู่เพียง 2 ทางเท่านั้นครับ คือซื้อหุ้นกับซื้อพันธบัตร

สินทรัพย์ทั้ง 2 นี้ให้ผลตอบแทนไม่เท่ากัน ความเสี่ยงก็ไม่เท่ากัน หุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าแต่ก็แลกมาด้วยความผันผวนที่มากกว่า ส่วนพันธบัตรให้ผลตอบแทนต่ำกว่าแต่ความผันผวนก็น้อยกว่าเช่นกัน จะเลือกลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งหรือลงทุนทั้ง 2 อย่าง ผลลัพธ์ต่างกันแน่นอนครับ

เพราะฉะนั้นคำนวณให้ดีก่อนครับว่าเป้าหมายการลงทุนของคุณคืออะไร ต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ และรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน

ลงทุนเท่าไหร่ดี

การจัดสัดส่วนการลงทุนขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่แต่ละคนจะรับได้ครับ

ถ้ายังเป็นหนุ่มสาวมีเวลาให้ลงทุนอีกนานอย่างน้อย 10 ปีสามารถหาเงินมาทดแทนส่วนที่อาจจะสูญเสียไปได้ทุกเมื่อรับความเสี่ยงได้มากกว่า อาจจะเลือกลงทุนในหุ้น 80% และพันธบัตร 20% หรืออาจจะลงในหุ้นหมดเลยก็ได้ เพื่อให้เงินเติบโตได้สูงสุดในระยะยาว

ส่วนผู้สูงวัยที่เกษียณแล้ว แน่นอนว่ารับความเสี่ยงได้น้อยกว่า อาจจะเลือกลงทุนหุ้น 40% และพันธบัตร 60% หรือจะ 50:50 ก็แล้วแต่ความต้องการของแต่ละคน

ต้องยอมรับว่าถ้าคุณเน้นเงินเติบโตมากกว่ารักษาเงินต้น การลงทุนในหุ้นเป็นสัดส่วนเยอะๆ จะช่วยให้คุณไปถึงฝั่งฝันได้ง่ายกว่า

ยิ่งคุณลงทุนในหุ้นด้วยหลักการที่ดีและวิธีที่ถูกต้อง คุณก็สามารถลดความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้นไปได้เยอะเลยครับ

เลือกหุ้นอย่างไรปลอดภัยกว่า

ลงทุนในตลาดหุ้นก็เหมือนกับลงทุนในธุรกิจต่างๆ เหมือนกับว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นๆ ตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่เรามีโดยที่เราจะได้รับผลตอบแทนจากกำไรที่เติบโตขึ้นและเงินปันผลที่จ่ายออกมาตามสัดส่วนการลงทุน

ถ้าดูดีๆ แล้วผลตอบแทนจากตลาดหุ้นในระยะยาวเป็นผลตอบแทนจากธุรกิจที่เติบโตขึ้นเป็นหลัก (กำไร + ปันผล) ไม่เกี่ยวกับการเก็งกำไรในตลาดหุ้นรายวัน หมายความว่าเราลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นทำให้เรา “ลงทุนอย่างสบายใจกำไรอย่างยั่งยืน” ตราบใดที่เศรษฐกิจยังเติบโตได้ธุรกิจในตลาดหุ้นยังคงมีกำไรและจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องทำอะไรเงินลงทุนก็จะยังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งลงทุนนานมากเท่าไหร่เงินก็จะยิ่งเติบโตอย่างมหัศจรรย์มากขึ้นเท่านั้นครับ

คาดหวังกับตลาดหุ้นได้มากแค่ไหน

มองภาพตลาดหุ้นให้ยาวขึ้นเกือบร้อยปีจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเงินลงทุนจะเติบโตไปเรื่อยๆ ผ่านร้อนผ่านหนาวจากวิกฤตต่างๆ บนโลกใบนี้

ดูผลตอบแทนตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500) เป็นเวลาทั้งหมด 95 ปีตั้งแต่ปี 2471 ถึงปี 2565 จะพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทนประมาณ 9.64% ต่อปีแบ่งออกเป็น

  • ผลตอบแทนจากการปรับขึ้นของดัชนี 85% ต่อปี
  • ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จ่ายออกมา 79% ต่อปี

ข้อมูลจาก S&P Capital IQ

ระยะเวลา 95 ปีนี้น่าจะครอบคลุมการลงทุนทั้งชีวิตของทุกๆ คนที่ผ่านมาแล้วทุกวิกฤต ทั้งฟองสบู่ดอทคอม ต้มยำกุ้งเศรษฐกิจตกต่ำ เงินเฟ้อสูง รวมไปถึงสงครามโลก ดังนั้นแล้วสบายใจได้เลยครับว่าถ้าอิงกับการลงทุนในธุรกิจอย่างแท้จริงแล้วตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีสุดอยู่เสมอครับ

อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นไม่สามารถคาดเดาได้ในระยะสั้นแต่คาดการณ์ผลตอบแทนได้อย่างแม่นยำในระยะยาว

คุณสามารถสร้างเงินให้งอกเงยในตลาดหุ้นได้แน่นอน เพียงแค่ลงทุนในหุ้นทั้งตลาดและถือเป็นระยะเวลาที่นานพอ

4 วิธีเริ่มต้นลงทุนในหุ้น

วิธีลงทุนนั้นมีอยู่หลายแบบด้วยกันครับขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล รวมไปถึงผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ คุณเหมาะกับวิธีไหนเลือกด้านล่างนี้ได้เลยครับ

1. ลงทุนในกองทุนรวม SET50

กองทุนนี้จะกระจายความเสี่ยงลงทุนในหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุด 50 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย ซึ่งผลตอบแทนก็จะได้ใกล้เคียงกับตลาด 8-10% ที่สำคัญก่อนซื้อให้เลือกกองทุน SET50 ที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำที่สุดครับ เพราะยิ่งค่าธรรมเนียมต่ำเท่าไหร่ผลตอบแทนก็จะยิ่งมากขึ้นด้วยครับ

2. ลงทุนด้วยตัวเองแบบ Value investing

เน้นลงทุนตามพื้นฐานของกิจการ เลือกบริษัทที่คุณภาพธุรกิจดีมีราคาเหมาะสม ให้มั่นใจว่ากิจการของบริษัทจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ มีความแข็งแกร่งในระยะยาว แล้วราคาหุ้นก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เองครับ ทำให้ได้รับกำไรมากขึ้น

ยิ่งถ้าเราคัดเลือกหุ้นดี เลือกบริษัทที่น่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่า 10% มาลงทุนผลตอบแทนระยะยาวที่คุณจะได้รับดีกว่าการลงทุนทั้งตลาดแน่นอน

นักลงทุนเก่งๆ อย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ใช้หลักการลงทุนนี้ทำผลตอบแทนได้ประมาณ 20% ต่อปี เป็นเวลานานกว่า 50 ปี เรียกได้ว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเลยก็ได้ครับ เคล็ดลับการลงทุนที่บัฟเฟต์พูดถึงเสมอก็คือ “จงลงทุนในธุรกิจที่ดีในราคาที่เหมาะสม”

แต่ต้องยอมรับว่าลงทุนด้วยวิธีนี้อาจแลกมาด้วยเวลา เพราะการศึกษาวิเคราะห์งบอ่านแผนธุรกิจและคอยคัดเลือกหุ้นดีราคาไม่แพงเข้าพอร์ตอยู่เสมอๆ จะต้องมีวินัยที่เคร่งครัด ตัดสินใจด้วย เหตุผลและควบคุม อารมณ์ได้ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อมองว่าเราจะต้องลงทุนด้วยวิธีนี้ไปอีก 10 ปี เมื่อไหร่ที่เราหยุดลงทุนเงินเราก็จะหยุดเติบโตไปด้วยครับ

3. ลงทุนตามแนวทาง QVI (Quantitative Value Investing)

การลงทุนที่รวมเอาวิธีที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกันโดยแทนที่จะลงทุนในหุ้นทั้งตลาดแค่คัดกรองหุ้นตามตัวเลขทางการเงินเพื่อเลือกลงทุนใน “หุ้นดีราคาถูก” กว่าหุ้นในตลาดโดยรวม จากนั้นกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปยังหลายๆ หุ้นคอยปรับพอร์ตตามรอบเวลาที่กำหนดเพื่อให้เรามีหุ้นดีราคาถูกอยู่ในพอร์ตทุกๆ ปีครับ

การลงทุนแบบ QVI มีผู้พิสูจน์มามากมายครับว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในระยะยาว ถ้าเรียงลำดับหุ้นที่น่าลงทุนตามตัวเลขงบการเงินที่สำคัญๆ จากนั้นเลือกลงทุนในหุ้นที่ยังราคาไม่แพง

ในปัจจุบันวิธีนี้ค่อนข้างทำได้ง่ายแล้วครับถ้าเทียบกับสมัยก่อน เพราะว่ามีข้อมูลงบการเงินของหุ้นครบถ้วน มีเทคโนโลยีที่วิเคราะห์และจัดอันดับหุ้นน่าลงทุนได้ตลอดเวลา จึงทำให้วิธีนี้ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ

4. ลงทุนตาม Jitta Ranking

Jitta ก็มีหลักการลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์เป็นที่เรียบร้อย โดยเลือกลงทุนในหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดตาม Jitta Ranking  30 อันดับแรกในแต่ละปี และปรับพอร์ตปีละ 1 ครั้ง ผลตอบแทนที่เราจะได้รับใน 10 ปีล่าสุดเทียบกับตลาดหุ้นในแต่ละประเทศจะให้ผลตอบแทนเหนือกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นในทุกประเทศ และเมื่อดูค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเฉลี่ยของทั้ง 27 ประเทศนั้น Jitta Ranking จะทำผลตอบแทนได้ 12.43% ต่อปีมากกว่าผลตอบแทนตลาดหุ้นที่ 9.24% ต่อปีครับ

แน่นอนว่าบางปี Jitta Ranking อาจจะทำผลตอบแทนได้มากกว่าหรือน้อยกว่าตลาดอยู่มากเพราะว่ามีเลือกลงทุนหุ้นน้อยตัวกว่า แต่ในระยะยาวแล้วถ้าธุรกิจที่เราเลือกมามีการเติบโตที่สูงกว่าตลาดโดยรวมผลตอบแทนในระยะยาวก็จะมากกว่าตลาดหุ้นโดยรวมได้เองครับ

สำหรับใครที่ต้องการ “ลงทุนอย่างสบายใจกำไรอย่างยั่งยืน” ด้วยการลงทุนตาม Jitta Ranking แบบอัตโนมัติเลยก็สามารถให้ระบบจัดการพอร์ตอัตโนมัติของ Jitta Wealth ช่วยบริหารจัดการให้ได้ครับ

การลงทุนไม่ใช่เรื่องยากและเสี่ยงอย่างที่คิด สิ่งที่ควรกังวลมากกว่าคือ การพลาดกำไรระยะยาวจากการไม่ลงทุนอะไรเลยเพราะกลัวความผันผวนระยะสั้นของตลาดมากเกินไป

ลองศึกษาข้อมูลสักหน่อยก็จะเจอวิธีการหลายแบบที่นำไปใช้ลงทุนแบบสบายๆ เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินให้เติบโตได้ด้วยผลตอบแทนทบต้นที่แสนมหัศจรรย์ ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอด 43 ปีที่ผ่านมาด้วยผลตอบแทน 11.87% ต่อปี เงินลงทุนของเราจะเพิ่มขึ้นถึง 124 เท่า เงิน 1 ล้านบาทจะกลายเป็น 124 ล้านบาทโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลยเพียงแค่ลงทุนให้ถูกต้องและลงทุนให้นานพอครับ

เชื่อเถอะครับว่าการลงทุนไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานานๆ แล้วผลตอบแทบทบต้นจะสร้างความมั่งคั่งให้กับเราเองครับ

]]>
1439790
ลงทุนจน ‘หยดสุดท้าย’ สไตล์ปู่ Buffett ตัวอย่างการวางแผนการเงินที่คุณเลียนแบบได้ https://positioningmag.com/1436287 Tue, 04 Jul 2023 08:05:42 +0000 https://positioningmag.com/?p=1436287
บทความโดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
ผมพูดถึงเรื่องราวของการวางแผนทางการเงินมาหลายตอนแล้ว  หลายท่านที่มีแผนทางการเงินอยู่แล้วอาจจะอ่านผ่าน ๆ บางท่านที่กำลังวางแผนอาจจะเริ่มมีไอเดียกันบ้าง แผนการเงินของคุณเป็นอย่างไรบ้างครับ วางไว้ถึงช่วงเกษียณหรือกว้างไกลไปถึงบุคคลเบื้องหลังหรือไม่อย่างไร

ผมเชื่อว่าเป้าหมายหนึ่งในชีวิตของใครหลายๆ คน คงต้องมีเป้าหมายทางการเงินแทรกอยู่ด้วย เพราะการมี ‘อนาคตทางการเงินที่มั่นคง’ หลายคนจึงพยายามหาวิธีลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง เพื่อความสบายในอนาคต

วันนี้ผมมีตัวอย่างของบุคคลหนึ่งที่อยากนำมาเป็นแรงบันดาลใจ

ไม่ใช่ใครที่ไหนครับปู่ Warren Buffett นักลงทุนระดับโลก ไอดอลนักลงทุนสาย VI (Value Investing) และล่าสุดยังเป็นไอดอลเรื่องความใจบุญ หลังจากเพิ่งมีข่าวว่าปู่ได้บริจาคหุ้น Berkshire Hathaway อีก 4.64 พันล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศล 5 แห่ง ไม่นับรวมยอดบริจาคเดิมที่ปู่ทำมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ปู่จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างความมั่งคั่งทางการเงินที่ไม่ได้อยู่เฉพาะที่ความมั่งคั่งส่วนตัวของปู่เอง แต่ยังเผื่อแผ่ไปถึงสังคมในวันนี้

และที่ผมอยากจะนำมาเล่าให้ฟังวันนี้ก็คือการวางแผนทางการเงินของปู่ที่เตรียมแผนการลงทุนเอาไว้แล้ว แต่ตนเองจะไม่มีลมหายใจหรือตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
ลงทุนจนวินาทีสุดท้าย ยังน้อยเกินไปสำหรับ Buffett

เรื่องนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อ 10 ปี ที่แล้วครับ ในวันที่ Buffett ฉีกซองพินัยกรรมของตัวเองออกมากางให้ทุกคนได้รับรู้!

จดหมายถึงผู้ถือหุ้นบริษัท Berkshire Hathaway ในปี 2556 ได้ระบุถึงข้อมูลพินัยกรรมบางส่วนที่ปู่ Buffett ได้เขียนเอาไว้ให้กับภรรยา

เนื้อหาในพินัยกรรมก็ยังเป็นไปตามการลงทุนฉบับคุณปู่ครับ เพราะเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ง่ายจนใครๆ ก็ทำตามได้

โดยปู่ Buffett ได้ทิ้งคำแนะนำให้ผู้จัดการมรดกว่า

“หากผมเสียชีวิตลง 90% ของมรดกที่ผมมอบให้ภรรยาควรลงทุนใน กองทุนดัชนีหุ้น ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ และอีก 10% ที่เหลือลงทุนใน พันธบัตรระยะสั้น”

กลยุทธ์ลงทุนแบบ 90/10 ได้ถือกำเนิด

กองทุนดัชนีที่ว่าหนีไม่พ้น กองทุน S&P 500 ครับ ด้วยความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ของคุณปู่ ที่สำคัญมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากอยู่ที่ 0.03% เท่านั้น

ส่วนอีก 10% ปู่แบ่งสัดส่วนเงินออกมาเพื่อลงทุนใน ตราสารหนี้ระยะสั้น

เป็นไปได้ว่าเป็นส่วนที่เผื่อเอาไว้ในกรณีฉุกเฉิน ทั้งยังช่วยเรื่อง ‘ลดความเสี่ยง’ และ ‘เพิ่มสภาพคล่อง’ ให้พอร์ตลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ลงทุนตามพินัยกรรมของปู่

ผมบอกได้เลยว่าพินัยกรรมของปู่ Buffett ได้ซ่อนกลยุทธ์การลงทุนที่น่าเหลือเชื่อเอาไว้

และที่น่าประหลาดใจคือกลยุทธ์ลงทุนที่น่าสนใจในพินัยกรรมของ Buffett มีความคล้ายคลึงกับกลยุทธ์ของ GlobalETF ของ Jitta Wealth อย่างบังเอิญครับ เพราะกองทุน Global ETF Jitta Wealth เป็นกองทุนบริหารจัดการเงินอัตโนมัติ ตามทฤษฎีจัดพอร์ตรางวัลโนเบล โดยจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ใน กองทุนหุ้น และตราสารหนี้คุณภาพทั่วโลก

มาดูกันว่าสูตร 90/10 ของ Buffettและ Global ETF คล้ายกันอย่างไรนั้น

แต่ก่อนอื่น คุณน่าจะเห็นคล้ายกับผมว่าปู่ Buffett เชื่อมั่น และมั่นใจในเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากทีเดียว ด้วยตัวเลขที่ปู่แนะนำให้ลงทุนในสัดส่วน 90% ของพอร์ตในกองทุนดัชนี S&P 500 ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ และปล่อยให้เงินลงทุนงอกเงยตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพื่อให้พอร์ตโตตามธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด 500 บริษัทในระยะยาวเลยครับ

Global ETF ของ Jitta Wealth ก็ให้ความสำคัญกับหุ้นสหรัฐฯ เพราะยังมีสัดส่วนลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มากที่สุด ทำให้การเติบโตของพอร์ตจะคล้ายกับการลงทุนในกองทุนดัชนี S&P 500 และยังมีการกำหนดการลงทุนในหุ้น และ ตราสารหนี้ ตามสัดส่วนที่ถูกออกแบบมาอย่างเหมาะสมในแต่ละแผนต่างกันแค่ว่า Global ETF เพิ่มโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ เข้าไปด้วย ทำให้พอร์ตกระจายการลงทุนไปทั่วโลก และจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น แถมยังมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติทุกปีหรือเมื่อสัดส่วนสินทรัพย์ เพิ่ม หรือ ลด เกิน 5% จากสัดส่วนเดิม   

Global ETF จึงน่าจะเป็นคำตอบสำหรับ ‘การลงทุนที่เรียบง่าย’ อย่างสบายใจที่คุณกำลังตามหามานานก็เป็นได้ครับ

เพราะปู่ Buffett เป็นอีกคนที่มีแผนเอาไว้สำหรับทุกสิ่ง แม้แต่ การลงทุน ที่เป็นสิ่งที่ปู่ทำมาทั้งชีวิต ถึงวันนึงที่ Buffett จากโลกนี้ไปปู่ก็มีกลยุทธ์ลงทุนที่ยอดเยี่ยมและใช้ได้จริง ทิ้งเอาไว้เป็นมรดกตกทอดสู่โลกใบนี้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าปู่ Buffett เยี่ยมยอดยัน ‘หยดสุดท้าย’ จริงๆ

คุณคงเห็นแล้วว่าพินัยกรรมนี้ได้ซ่อนกลยุทธ์การลงทุนที่น่าเหลือเชื่อเอาไว้ คุณเองอาจจะยังไม่ต้องถึงขั้นเตรียมแผนก่อนจากโลก แต่คุณสามารถใช้กลยุทธ์เดียวกับปู่ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่แบบนี้แหละ เพื่อความไม่ประมาทเช่นเดียวกับปู่ที่ได้เตรียมการณ์ไว้สำหรับคนข้างหลัง

เราหวังว่าการพาคุณเปิด ‘จดหมายลับ’ ในพินัยกรรมของ Buffett ในวันนี้จะทำให้คุณได้ไอเดียการลงทุนอย่างชัดเจน และทำให้คุณเข้าใจ Global ETF ที่บังเอิญคล้ายกลยุทธ์ลงทุนที่ Buffett แนะนำมากยิ่งขึ้นครับ

สุดท้ายหากคุณได้ลงทุนตามเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณรับได้ มันจะกลายเป็น ‘การลงทุนอย่างสบายใจ ที่ทำกำไรให้คุณอย่างยั่งยืน’ ได้อย่างแน่นอนครับ

]]>
1436287
สร้างเข็มทิศทางการเงิน เติมเต็มชีวิตมั่งคั่งให้มั่นคง https://positioningmag.com/1429600 Sun, 07 May 2023 04:17:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1429600

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็เข้าสู่ไตรมาส 2 ของปี 2566 กันแล้ว สุขภาพการเงินเป็นอย่างไรกันบ้างครับ ผมอยากชวนให้มาสำรวจกันบ้างว่า ขณะนี้สุขภาพการเงินของคุณแข็งแรงแค่ไหน

ผมไม่ได้หมายถึงเพียงเรื่องการออมเงิน พอร์ตการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ หรือเงินฝากต่างๆ ที่ออกดอกออกผลเติบโตเท่านั้น แต่ผมโฟกัสไปถึง ‘การเงินทั้งหมด’ แบบครบวงจรที่จะตอบโจทย์ ครอบคลุมทั้งการสร้างความมั่นคง มั่งคั่งให้กับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีอิสระในระยะยาวหรือรองรับช่วงเวลาหลังเกษียณได้อย่างแท้จริง

ผมเข้าใจครับว่า เส้นทางสู่การสร้างสุขภาพการเงินแข็งแรง ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จริงๆ ก็ทำได้ไม่ยากมากครับ ขอเพียงให้คุณเริ่มต้นโดยเร็ว เพราะยิ่งเริ่มต้นทำตั้งแต่อายุน้อยๆ คุณจะมีโอกาสไปถึงเป้าหมายได้เร็วและมากกว่าคนที่เริ่มต้นช้า วันนี้ผมเลยขออาสามาแนะนำแนวทางการวางแผนการเงินในสไตล์จิตตะ (Jitta)

ก่อนอื่น คุณคิดเหมือนผมใช่ไหม ‘คู่แข่งตัวจริง’ ที่มีผลต่อสุขภาพการเงินของคุณ คือ โลกทุนนิยมที่พยายามโน้มน้าวสร้างกิเลสให้ผู้คนใช้เงินเยอะๆ ไปกับการซื้อของโน่นนี่ที่อยากได้ตามแต่ละช่วงวัยที่มีเงินในกระเป๋า

Photo : Shutterstock

เพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเรามาตลอด หากเป็นช่วงวัยเด็กของคน Gen Y ขึ้นไป คุณพ่อคุณแม่ก็จะมีรูปแบบการออมเงินให้ในรูปแบบของการฝากเงินกับธนาคารกันแทบทั้งนั้น แต่พอเด็กเหล่านี้เรียนจบหรือเริ่มทำงานใหม่ๆ พอมีรายได้เข้ามา พวกเขาส่วนใหญ่จะหาซื้อสิ่งของที่อยากได้เป็นรางวัลชีวิตก่อนตามโลกทุนนิยมดิจิทัล

ขณะที่สิ่งที่ Jitta อยากให้คุณพยายามทำไม่ว่าจะเป็นทำให้ตัวเองหรือให้คุณลูกๆ คือ แนะนำให้คุณสร้างความสมดุลด้านการเงิน ผมอยากชวนให้มาวางแผนการเงินส่วนบุคคลกันตั้งแต่วัยเด็ก จนถึงวัยสูงอายุกันเลยครับ เริ่มต้นจากมีเงินน้อยก็จัดแบบน้อยๆ ไปก่อนครับ

วิถีจิตตะ 7 ขั้นตอนอุดรอยรั่ว สร้างสุขภาพการเงินแข็งแรง

มาดูกันว่า การวางแผนการเงินส่วนบุคคล กับ 7 ขั้นตอนง่ายๆ ที่คนโสดทุกคนทำตามได้ เพื่อใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างมีความสุข และถ้าทำไปเรื่อยๆ คุณจะชินและเกิดเป็นวินัยทางการเงินขึ้นมาเองอัตโนมัติครับ

ขั้นตอนแรก จดรายรับ-รายจ่าย เงินเข้าเงินออกต้องรู้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสุขภาพการเงินที่ดี การจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย จะทำให้คุณรู้ว่ามีเงินไหลเข้ากระเป๋าจากทางไหน และไหลออกกับอะไรบ้าง ซึ่งเดี๋ยวนี้มีวิธีจดรายรับ-รายจ่ายเยอะมาก ไม่ว่าจะจดโน้ตง่ายๆ ในมือถือ หรือจะหาแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่ายและฟรีมีให้เลือกเยอะ เพียงหยิบมือถือออกมากดไม่กี่ปุ่มก็เสร็จแล้ว

ที่แปลกแต่จริง ก็คือถ้าคุณจดรายรับ-รายจ่ายติดกันสัก 2-3 เดือนแล้วเอามาทำบัญชีแบบง่ายๆ ในสมุดสักเล่มหรือโปรแกรม Spreadsheet คุณจะเริ่มขยับตัว หาทางทำให้ตัวเองมีเงินเหลือเก็บเองโดยธรรมชาติ ถ้าไม่เชื่อให้ลองทำตามดูครับ ใช้ชีวิตปกติของคุณไป แล้วจดให้หมดว่า จ่ายอะไรไปเท่าไรโดยไม่ต้องรู้สึกผิด อย่าลืมว่าคุณกำลังจัดระเบียบการเงินของตัวเองอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ

Photo : Shutterstock

ขั้นตอนที่สอง ตั้งงบประมาณ จัดระเบียบเงิน หลังจากที่คุณจดรายรับ-รายจ่ายมาสักพัก ก็จะเริ่มเห็นว่าในแต่ละเดือนคุณใช้เงินไปกับอะไรบ้าง และถ้าคุณอยากปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายในแต่ละเดือนให้เป็นไปตามที่ต้องการ ต้องทำยังไงบ้าง?

คำตอบคือ การ ‘ตั้งงบประมาณ’ สำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละหมวด เช่น คุณอยากลดค่าใช้จ่ายในการดื่มกาแฟแต่ละเดือนลงจาก 4,000 บาท ให้เหลือ 3,000 บาท คุณอาจตั้งงบค่ากาแฟในเดือนถัดไปให้เหลือ 3,500 บาทก่อนเพื่อไม่ให้ตึงเกินไป แล้วค่อยลดเหลือ 3,000 บาทอีกทีก็ได้ หรือถ้าใครอยากให้รางวัลตัวเองทุกเดือนแบบไม่บานปลาย ก็ตั้งงบประมาณตรงนี้เอาไว้ได้เหมือนกันครับ

เพราะฉะนั้น การตั้งงบประมาณช่วยให้คุณคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นระบบมากขึ้น แต่คุณก็ต้องมี ‘วินัย’ ที่จะไม่ใช่จ่ายเกินงบที่ตัวเองตั้งมาด้วย ขอย้ำว่าข้อนี้สำคัญมากๆ ครับ

ขั้นตอนที่สาม เคลียร์หนี้ระยะสั้น ก่อนพอกหางหมู หลังจากเห็นว่าเงินตัวเองไหลเข้า-ออกไปไหนบ้าง และเริ่มจัดระเบียบการใช้จ่ายได้แล้ว ถึงตอนนี้คุณน่าจะเห็นตัวเลขมีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนกันแล้วครับ ซึ่งอาจจะยังไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรดี

ผมแนะนำว่าสิ่งแรกที่คุณควรทำคือการ ‘จ่ายคืนหนี้ระยะสั้น’ เช่น หนี้บัตรเครดิต หนี้บัตรกดเงินสดที่คิดดอกเบี้ยสูง ซึ่งหนี้เหล่านี้พร้อมจะพอกพูนเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ที่ทำให้หลายคนติดกับดักจนหาทางออกไม่ได้ ดังนั้น ถ้าสามารถจ่ายคืนหนี้ระยะสั้นได้ ขอให้รีบเคลียร์เป็นอันดับแรกเมื่อมีเงินเหลือครับ

Photo : Shutterstock

ส่วนหนี้สินระยะยาว เช่น ค่างวดผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ที่ต้องจ่ายทุกเดือนและอยู่ในงบรายรับ-รายจ่ายอยู่แล้ว ถ้าสามารถโปะเงินต้นได้ก็ดีครับ แต่ถ้ามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องใช้เงินก็ไม่เป็นไร อยู่ที่การบริหารเงินของแต่ละคน

ขั้นตอนที่สี่ เงินสำรองฉุกเฉิน มีหรือยัง? หลังจากที่เคลียร์หนี้ระยะสั้นหมดแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการป้องกันความเสี่ยง โดยเงินก้อนแรกที่ทุกคนต้องมีคือ ‘เงินสำรองฉุกเฉิน’ จำนวน 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือนครับ

สมมติว่าจากที่คุณจดรายรับ-รายจ่ายมา คุณใช้เงินเฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท คุณก็ควรมีเงินส่วนนี้อยู่ 6 x 20,000 = 120,000 บาท หรืออย่างน้อยมีสักครึ่งนึงก็ยังดี เพราะเงินก้อนนี้จะถูกใช้ในยามที่ชีวิตเดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน เช่น ถูกให้ออกจากงาน ขาดรายได้กะทันหัน คุณจะยังพอมีเวลาให้ตระเตรียมหัวใจ ตั้งหลักให้ชีวิตอีกครั้ง แต่ห้ามใช้เงินก้อนนี้ไปกับเรื่องอื่นที่ ‘ไม่ฉุกเฉิน’ เด็ดขาดนะครับ

ขั้นตอนที่ห้า ทำแผนการออม พร้อมเกษียณอย่างสำราญ เมื่อคุณมีเงินก้อนนึงเตรียมไว้สำหรับเหตุฉุกเฉินที่จำเป็นสำหรับทุกคนแล้ว ก็เริ่มวางแผนใช้ชีวิตเกษียณให้มีความสุขได้แล้วครับ

วิธีคำนวณว่าต้องเก็บเงินเท่าไร ทำได้ง่ายๆ โดยการนำจำนวนเงินที่คุณวางแผนจะใช้ต่อเดือนในยามเกษียณ มาคูณด้วยจำนวนเดือนที่คุณ (คิดว่า) จะมีชีวิตอยู่แบบไม่มีรายได้ เพื่อหาจำนวนเงินที่ต้องเก็บได้เลย สมมติว่าคุณจะเกษียณตอนอายุ 60 ปี คิดว่าจะอยู่ไปถึงอายุ 80 ปี และน่าจะต้องใช้เงินเดือนละ 30,000 บาท (ไม่รวมเงินเฟ้อ) เท่ากับว่าคุณต้องเก็บเงินให้ได้อย่างน้อย 30,000 x 240 เดือน (20 ปี) = 7.2 ล้านบาท เงินก้อนนี้ คือเป้าหมายที่คุณต้องเก็บเงินไปให้ถึงเป็นอย่างน้อย เพราะจริงๆ แล้วต้องคิดถึงเรื่องเงินเฟ้ออีก โดยอาจวางแผนเก็บเงินทุกเดือน เดือนละกี่บาทก็ว่าไป เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายนี้

Photo : Shutterstock

เห็นจำนวนเงินแล้ว คุณอย่าเพิ่งท้อครับ เพราะจริงๆ แล้วเราเก็บเงินคนเดียวก็ไปถึงจุดนั้นได้ ถ้าเรามีตัวช่วยที่เรียกว่า ‘การลงทุน’ เพื่อให้เงินช่วยเราทำงาน ซึ่งก็จะมีออกดอกออกผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมาได้

ขั้นตอนที่หก เรียนรู้การลงทุน ให้เงินทำงานแทน หลายคนพอเห็นคำว่า ‘การลงทุน’ อาจจะรู้สึกว่ายากจัง แต่ผมอยากบอกว่า เรื่องการลงทุน คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนเก่ง ก็สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ปีละ 6-8% ได้ด้วย ‘การลงทุนอิงดัชนี’ หรือจะใช้กลยุทธ์ที่ทำตามง่ายแต่ได้ผลจริง คือ การลงทุนแบบ ‘DCA’ หรือ Dollar-Cost Averaging ซึ่งเป็นส่วนเสริมที่ทำให้พอร์ตกลับมาเติบโตและทำกำไรได้เร็วขึ้นจากการเฉลี่ยต้นทุน การมีวินัยที่ชัดเจนและสม่ำเสมอจะทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงราบรื่นขึ้นได้อย่างแน่นอน

แต่ถ้าคุณไม่เคยรู้จักคำเหล่านี้มาก่อน สิ่งสำคัญ คือ คุณต้อง ‘หาความรู้’ เรื่องการลงทุนเพิ่มเติมด้วยตัวเอง โดยอาจจะเริ่มจากหนังสือด้านการลงทุน อาทิ THE Jitta WAY (วิถีจิตตะเพื่อการลงทุนเน้นคุณค่า) คุณจะรู้หลักการลงทุน การเลือกซื้อหุ้นราคาถูก ธุรกิจมีอนาคต และอีกหลายๆ เรื่อง ที่ติดอาวุธลงทุน หรือหาข้อมูลแหล่งความรู้ฟรีบนอินเทอร์เน็ตที่มีเยอะมาก ยิ่งคุณมีความรู้ในการลงทุนมากขึ้นเท่าไหร่ แผนเกษียณของคุณก็จะยิ่งยืดหยุ่นมากขึ้นตามไปด้วย และไม่แน่ว่าพอศึกษาเรื่องการลงทุนมากขึ้นแล้ว คุณอาจจะมีเงินใช้ตอนเกษียณมากกว่าที่วางแผนไว้ครับ

ขั้นตอนที่เจ็ด การทำประกันภัย ต้องพร้อม หลังจากที่วางแผนเกษียณและการลงทุนแล้ว สิ่งที่ต้องมีต่อไป คือการจัดการความเสี่ยงและการสร้างความมั่งคั่งคู่ขนานกันไปตามความเหมาะสมของชีวิตแต่ละคนแล้วครับ

Photo : Shutterstock

ประกันภัย ถือเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยบริหารความเสี่ยงชีวิตทางการเงินครับ เพราะทุกวันนี้ ‘เรื่องสุขภาพ’ ไม่เข้าใครออกใคร แม้เราจะพยายามดูแลสุขภาพออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารถูกหลักโภชนาการ แต่จู่ๆ มีโรคใหม่อุบัติขึ้น อย่างเช่น ‘โควิด-19’ ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ ยังมีเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์อยู่ และในอนาคตอาจมีโรคใหม่อื่นๆ อีกก็ได้ ซึ่งเวลาที่คุณเกิดเจ็บป่วยหนักขึ้นมา กรณีไม่ได้ทำประกันสุขภาพไว้ คุณก็ต้องจ่ายเองหมด ไม่มีใครมาช่วงแบ่งเบาภาระได้ ยิ่งทุกวันนี้ค่ารักษาพยาบาลมีแต่แพงขึ้นทุกวัน อาจทำให้ฐานะการเงินที่มีอยู่ของคุณสั่นคลอนและเปราะบางลงในที่สุดก็ได้

การทำประกันสุขภาพหรือประกันชีวิตตามความเหมาะสมกับช่วงชีวิตนั้นๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญและต้องคิดให้ละเอียด เพื่อไม่ให้การเจ็บป่วยมากระทบกับแผนเกษียณที่คุณออกแบบมามากจนเกินไป

Trick คือคุณอาจเทียบค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลที่คุณใช้บริการบ่อยๆ เพื่อดูว่าต้องซื้อความคุ้มครองแค่ไหน หรือดูว่ามีคนที่รอรับรายได้ต่อจากคุณอยู่มากแค่ไหน โดยอาจจะเป็นพี่น้อง พ่อแม่หรือหลานๆ ก็ได้

ที่สำคัญคือเบี้ยประกันสุขภาพสามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ด้วย เป็นผลประโยชน์ต่อที่ 2 ที่เหล่าคนโสดสายมนุษย์เงินเดือนน่าจะรู้กันดี

จัดระเบียบการเงิน ปูพรมชีวิตมั่นคง มั่งคั่ง อุ่นใจ ถึงวัยเกษียณ

เรื่องเงินคือเรื่องสำคัญของชีวิตทุกคนครับ ถ้าคุณไม่อยากนั่งทนปวดหลังทำงานแต่ละวันไปแบบฟรีๆ ก็จะต้องหันกลับมามองตัวเองและเริ่มจัดระเบียบการเงินให้ตัวเองบ้างแล้ว มาเริ่มสร้างสุขภาพทางการเงินกันครับ

เพียงคุณเริ่มทำ 7 ขั้นตอนนี้ได้ คุณจะอุดรอยรั่วได้และเริ่มมีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งผมก็เชื่อว่าทุกคนทำได้ครับ แม้ว่าการวางแผนการเงิน ช่วงแรกๆ หรือระหว่างทาง อาจจะไม่ได้ทำให้คุณร่ำรวยขึ้นทันตาเห็น แต่อย่างน้อยเงินที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของคุณ ก็จะค่อยๆ ออกดอกออกผลในรูปแบบต่างๆ ตกมาถึงตัวคุณตามระยะเวลาบ้าง ที่สำคัญคุณจะได้มุมมองใหม่ๆ การบริหารจัดการเรื่องการเงิน และเริ่มเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

และหากในอนาคต คุณพบคนที่ใช่ อยากจะสละโสดแล้วมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน คุณก็จะมีรากฐานที่แข็งแรงเพื่อสร้างครอบครัวที่มั่นคงได้อีกระดับ เปรียบเสมือนคุณกำลังสร้างเรือที่แข็งแกร่งพร้อมฝ่ามรสุมชีวิตที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดช่วงชีวิตของคุณ

ยิ่งไปกว่านั้น การวางแผนการเงินส่วนบุคคล ยังเป็นรากฐานให้คุณมีสุขภาพการเงินที่มั่นคง มั่งคั่งไปถึงเป้าหมายในชีวิตวัยเกษียณอย่างอุ่นใจ ใช้ชีวิตอิสระสุขเกษมสำราญบั้นปลายชีวิตกับลูกหลานครับ

สุดท้ายนี้ ผมขอพูดในฐานะตัวแทนของ Jitta ซึ่งให้บริการดูแลลูกค้ามาจนเข้าสู่ปีที่ 11 แล้ว เราก็คงมีเป้าหมายที่อยากเห็นทุกคนมีสุขภาพการเงินแข็งแรงครับ และเราเองก็ต้องการขยายขอบเขตด้านการเงินและการลงทุนให้มากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรงได้ มาร่วมกันสร้าง Wealth & Health เติบโตไปด้วยกันนะครับ

]]>
1429600
สูตรลับ ‘กระจายความเสี่ยง’ สร้างผลตอบแทนแสนคลาสสิก https://positioningmag.com/1421338 Wed, 01 Mar 2023 05:18:12 +0000 https://positioningmag.com/?p=1421338

โดย ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth

ปีใหม่ผ่านมาจะเข้าสู่เดือนที่ 3 ของปีแล้ว ไม่ทราบว่าใครได้เริ่มลงมือปฏิบัติ New Year’s Resolution 2023 หรือสิ่งที่ตั้งใจทำในปีนี้กันบ้างแล้วครับ

เท่าที่ผมได้พบปะกับนักลงทุนโดยตรง หรือพูดคุยกันผ่าน social media ต่างๆ ‘การวางแผนลงทุน’ ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายของใครหลายๆ คนในปีนี้ และสำหรับบางคนอาจเป็นเป้าหมายในทุกๆ ปีด้วยซ้ำ ที่สำคัญเราเห็นแนวโน้มของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการออมและการลงทุนมากขึ้น นับเป็นนิมิตหมายที่ดีเลยครับ

ผมเองก็ได้รับคำถามแนว How to เกี่ยวกับการลงทุนจากนักลงทุน New gen มากขึ้น ที่เริ่มสนใจลงทุนจากเงินจำนวนไม่มากมากนัก หรือโอนย้ายจากเงินฝากมาเป็นเงินลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น เป็นโอกาสให้คนหนุ่มสาว วัยทำงาน หรือเพิ่งเริ่มทำงานได้วางแผนการเงิน สร้างวินัยทางการเงิน เพื่อสั่งสมความมั่งคั่งในอนาคต และผมก็ได้รับโจทย์จากนักลงทุนรุ่นใหม่ท่านหนึ่งที่ถามถึงหลักการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน วันนี้เลยมาแบ่งปันข้อมูลและแลกเปลี่ยนมุมมอง ถือเป็นการเล่าสู่กันฟังมากกว่าการเฉลยคำตอบนะครับ เพราะกลยุทธ์ลงทุนของแต่ละคนไม่มีคำว่า ‘ผิด’ หรือ ‘ถูก’

พื้นฐานการกระจายความเสี่ยง

หลักการกระจายความเสี่ยง พูดง่ายๆ ก็คือการจัดสรรพอร์ตลงทุนให้เหมาะกับ ‘จริต’ ของนักลงทุนแต่ละคนนั่นเองครับ ซึ่งจริตนี้ก็แตกต่างกันไปตามวัย ความรู้ ประสบการณ์ ความชื่นชอบ ความกล้าได้กล้าเสีย รวมไปถึงตัวเลขเงินในบัญชี และจำนวนที่พร้อมจะสูญเสียได้ หรือปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งที่เกิดจากบุคลิกและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนเอง หรือสถานการณ์แวดล้อมต่างๆ ที่เข้ามากระทบ

สมมติเรามีเงินลงทุน X บาท การจัดพอร์ตลงทุนก็จะต้องมาดูว่าเราต้องการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทไหน อะไรบ้าง และมาแบ่งสัดส่วนว่าเราจะลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ กี่เปอร์เซนต์ของเงินลงทุนทั้งหมด แต่ก่อนที่จะวางเงินลงในสินทรัพย์ใดๆ ต้องวางใจในตัวเองเสียก่อนว่าได้ศึกษาข้อมูลมาอย่างครบถ้วนชัดเจนแล้ว ซึ่งไม่เพียงแต่ต้อง ‘รู้จริง’ ในสินทรัพย์ที่จะลงทุนเท่านั้น แต่ต้อง ‘รู้ใจ’ ตัวเองอย่างถ่องแท้ด้วย และผมมีหลักการพื้นฐาน 3 ข้อ ที่นักลงทุนควรรู้ก่อนลงมือจัดพอร์ตลงทุน

ข้อแรกคือ รู้จักตัวเอง ถ้าว่ากันตามทฤษฎีก็คือ Risk profile นั่นเองครับ โดยต้องตอบคำถามตัวเองให้ได้ว่า ต้องการลงทุนในอะไร ต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ ในระยะเวลานานแค่ไหน ที่สำคัญต้องทำความเข้าใจกับตัวเองให้ได้อย่างชัดเจนว่า สามารถยอมรับผลขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะผลขาดทุนนี่แหละคือความเสี่ยงของการลงทุน

Financial Investing
Photo : Shutterstock

นักลงทุนหลายท่านคงเคยผ่านการทำแบบประเมินความเสี่ยงการลงทุนกันมาบ้างแล้ว ซึ่งคะแนนที่ได้จากแบบประเมินสะท้อนถึงระดับความเสี่ยงและสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับตัวเรา หลายคนอาจทำแบบประเมินมามากกว่า 1 ครั้ง ผลลัพธ์ในแต่ละครั้งอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ และหนึ่งใน ‘ปัจจัย’ เหล่านั้นอาจเป็น ‘ใจ’ ของเราเอง ตามคำกล่าวที่ว่า เวลาเปลี่ยนใจคนเปลี่ยน.. ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรนะครับ แต่ในการทำแบบประเมิน เราต้องไม่หลอกตัวเอง ต้องตอบคำถามตามความจริง เพื่อให้แม่นยำว่าเราสามารถยอมรับความเสี่ยงนั้นๆ ได้จริง

ข้อต่อมาคือ รู้จักความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำไปถึงสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง ตั้งแต่เงินฝาก หุ้น ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล น้ำมัน ทองคำ ตราสารอนุพันธ์ หรือแม้กระทั่งสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างคริปโทเคอร์เรนซี ซึ่งสินทรัพย์แต่ละประเภทล้วนมีคุณสมบัติเฉพาะตัว ผลตอบแทนและความเสี่ยงก็แตกต่างกันไปด้วย

ข้อสุดท้ายคือ รู้เท่าทันสถานการณ์ โดยต้องติดตามข่าวสาร และปัจจัยต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมส่งผลต่อระดับความเสี่ยง ผลตอบแทนในสินทรัพย์ที่เราลงทุน และอาจกระทบถึงพอร์ตลงทุนโดยรวมได้เช่นกัน

จัดพอร์ตตามวัย

การจัดพอร์ตตามช่วงอายุของผู้ลงทุนเป็นอีกหนึ่งในหลักการกระจายความเสี่ยง ตามหลักทฤษฎีเราคงจะทราบกันอยู่แล้วนะครับว่า คนอายุน้อยมีโอกาสรับความเสี่ยงได้มากกว่าคนที่อายุมากขึ้น และสินทรัพย์เสี่ยงเหมาะกับการลงทุนระยะยาว เมื่อประมวลตามทฤษฎีนี้ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ว่า คนอายุน้อยสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้มากกว่าคนอายุเยอะ เพราะรับความเสี่ยงได้สูงกว่า

ขณะที่การกระจายความเสี่ยงตามวัยก็มีอยู่หลายทฤษฎี เป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การลงทุนของตัวเอง วันนี้ผมมี 2 แนวทางมาแบ่งกันกันครับ โดยแนวทางแรกเป็นทฤษฎีของ John Bogle นักลงทุนสหรัฐฯ ที่เป็นผู้คิดค้นกองทุนอิงดัชนี ซึ่งใช้วิธีคิดง่ายๆ โดยให้เอา 100 – อายุ เช่น หากคุณอายุ 30 ปี เมื่อเข้าสูตร 100-30 = 70 นั่นหมายความว่า คุณสามารถแบ่งสัดส่วนลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ถึง 70%

Photo : Shutterstock

ส่วนอีกแนวทาง เป็นการจัดพอร์ตตามวัยที่พ่วงมาด้วยความรับผิดชอบ ซึ่งแบ่งได้เป็นช่วงอายุคือ

  • อายุ 20-30 ปี วัยเริ่มต้นทำงาน เริ่มมีรายได้ ยังไม่มีภาระค่าใช้จ่ายมากนัก แนะนำให้หัก 20% ของรายได้เป็นเงินออม และสามารถลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้สูงถึง 80% ของพอร์ต
  • อายุ 30-40 ปี เริ่มสร้างครอบครัว มีภาระค่าใช้จ่ายมากขึ้น เช่น ค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ แต่งงานมีลูก ควรหักเงินออมไว้ 10% ของรายได้ และลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงได้ 60% ของพอร์ต
  • อายุ 40-50 ปี วัยผู้ใหญ่ มีรายได้มากขึ้น เริ่มมีความมั่งคั่ง แต่ก็เป็นช่วงอายุ ‘แซนวิช’ ที่อาจต้องดูแลทั้งลูกหลานและพ่อแม่ สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงจึงลดลงเหลือ 40% ของพอร์ต
  • อายุ 50 ปีขึ้นไป วัยเตรียมเกษียณจนถึงวัยเกษียณ การจัดพอร์ตควรเน้นในสินทรัพย์ปลอดภัยเป็นหลัก และหากมีเงินออมอยู่พอสมควรอาจกระจายลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสัก 10-20% เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ

กระจายลงทุนพอร์ต Core/Satellite

สำหรับผู้ลงทุนที่มีประสบการณ์มาระดับหนึ่งแล้ว คงทราบหลักการกระจายความเสี่ยงแบบ Core/Satellite กันนะครับ โดยเป็นการจัดสรรพอร์ตลงทุนระหว่างพอร์ตหลักกับพอร์ตเติบโต ซึ่งระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนก็จะแตกต่างกันไป ตามหลักการ high risk high return นั่นเองครับ

โดย Core จะเป็นพอร์ตลงทุนหลัก ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของพอร์ต จึงเน้นลงทุนในธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น บริษัทในดัชนี S&P 500 ซึ่งถือว่ามี Buffer ค่อนข้างหนาที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงให้พอร์ตลงทุนของเราได้ แต่ผลตอบแทนอาจไม่หวือหวานัก หากต้องการผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น เราอาจกระจายสัดส่วนลงทุนไปในพอร์ต Satellite ได้ ซึ่งเป็นพอร์ตลงทุนที่เน้นการเติบโต โดยเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมหรือบริษัทที่โตเร็ว เช่น Thematic ETF ต่างๆ พอร์ตลงทุนแบบ Satelite จึงช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่มากกว่าการลงทุนในดัชนี และแน่นอนครับ.. จะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น

ทีนี้ถามว่า แล้วเราจะจัดสรรสัดส่วนระหว่างพอร์ต Core กับ Satellite อย่างไรดี ผมก็ขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าเราสามารถจัดพอร์ตลงทุนในแต่ละฝั่งได้ตั้งแต่ 0-100%เลยครับ ดูเหมือนเป็นคำตอบกวนๆ หรือตอบแบบไม่ตอบ แต่นี่คือคำตอบตามหลักการจริงๆ ครับ เพราะสัดส่วนลงทุนในแต่ละฝั่งขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคนเลยครับ

หากคุณต้องการปกป้องเงินต้นเป็นหลัก เวลาที่พอร์ตตกต่ำลงมาแล้วรู้สึกกระสับกระส่ายใจคอไม่ดี แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในฝั่ง Core มากกว่า 50% แต่ถ้าคุณต้องการเห็นพอร์ตเติบโต และมีจิตใจที่มั่นคงพอ ไม่ได้หวั่นไหวเมื่อราคาทรุดตัวลงมา สัดส่วน Satellite เกิน 50% คือพอร์ตลงทุนที่คู่ควรกับคุณครับ

Photo : Shutterstock

โดยพื้นฐานแล้ว นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับสูงกว่า 50% ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่อายุยังน้อย ซึ่งอายุของผู้ลงทุนจะมีความสัมพันธ์กับระยะเวลาลงทุนและระดับความเสี่ยง เพราะในช่วงอายุน้อยเรายังมีเวลาลงทุนได้อีกมาก ยืนระยะสะสมพอร์ตลงทุนได้อีกยาว มีเวลาให้แก้ตัวเมื่อกลยุทธ์ลงทุนผิดพลาดไป และสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับสูง นักลงทุนที่อายุน้อยจึงสามารถลงทุนในพอร์ต Satellite ได้มากขึ้น ในทางกลับกันหากเราอายุเยอะขึ้น รับความเสี่ยงได้น้อยลง ไม่อยากเห็นพอร์ตลงทุนผันผวนเกินไป ก็ไม่ควรลงพอร์ต Satellite มากเกินไปครับ

สำหรับคนที่เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังไม่มาก และยอมรับความเสี่ยงได้สูง ก็อาจเทพอร์ตไปฝั่ง Satellite ได้ถึง 100% โดยไม่ต้องลงพอร์ต Core เลยก็ได้ หรือบางคนอายุมากแล้ว แถมนำเงินเก็บทั้งชีวิตมาลงทุน ไม่อยากเสี่ยงมาก ต้องการปกป้องเงินต้นไว้และเก็บเกี่ยวผลตอบแทนไปเรื่อยๆ ไม่ได้หวังกำไรเติบโตหวือหวา อาจเลือกลงพอร์ต Core 100% ได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น ผลตอบแทนละความผันผวนของพอร์ตลงทุนแต่ละคนก็จะผันแปรไปตามสัดส่วนลงทุนในพอร์ต Core และพอร์ต Satellite หากเราให้น้ำหนักในพอร์ต Satellite มากขึ้นเท่าไหร่ ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น ขณะที่เดียวกันก็ต้องรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกันครับ

จากสถิติการลงทุนระหว่างพอร์ต Core และ พอร์ต Satellite ช่วงเดือนสิงหาคม 2013 – กุมภาพันธ์ 2020 พบว่า การลงทุนในพอร์ต Satellite 100% จะได้รับผลตอบแทนสูงขึ้นประมาณ 7% ต่อปี ในขณะที่ความผันผวนก็จะมากกว่าเดิมได้ถึง 18% แต่หากลดสัดส่วนลงทุนลงเหลือ 90%, 80% จนถึง 0% อัตราผลตอบแทนและระดับความผันผวนก็จะลดหลั่นลงตามมา

เรียนหลักการ-รู้หลักปฏิบัติ

เมื่อทราบถึงหลักการกระจายความเสี่ยงกันแล้ว เราลองมาเรียนรู้การจัดพอร์ตลงทุนจริงๆ จากที่มีผู้ตั้งโจทย์เป็นตุ๊กตามาให้ว่า ‘หากมีเงินเย็น 100,000 บาท การนำเงินทั้งหมดมาลงใน Thematic Optimize ในระยะเวลาลงทุน 10 ปีขึ้นไป โดยจะ DCA ไตรมาสละ 10,000 บาท ถือว่าเสี่ยงมากเกินไปหรือไม่?’ ผมขอตอบตามนี้นะครับ

Thematic Optimize ถือเป็นพอร์ต Satellite เพราะเน้นลงทุนในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตตาม Megatrend ต่างๆ โดยลงทุนตาม Thematic ETF อยู่แล้ว ถ้าหากอุตสาหกรรมเหล่านี้เติบโตในระยะยาว พอร์ตการลงทุน Thematic Optimize ก็จะเติบโตตามไปด้วย ในทางกลับกันพอร์ตก็มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ซึ่งกรณีเลวร้ายสุดคือเงินลงทุนหายไปทั้งจำนวน แต่กรณีนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ทุกอุตสาหกรรมที่เราลงทุนสูญเสียมูลค่าเชิงเศรษฐกิจไปพร้อมกันทั้งหมด ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นถือว่ามีน้อยมากครับ

Photo : Shutterstock

ดังนั้น ในทางปฏิบัติการจัดสัดส่วนลงทุนในพอร์ต Thematic Optimize ว่าเป็นเท่าไหร่ ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนของแต่ละคน รวมถึงความเสี่ยงที่รับได้ หากคุณเป็นนักลงทุนที่อายุยังไม่มาก มีเวลาลงทุนได้อีก 10-20 ปีขึ้นไป โดยเงินที่นำมาลงทุนและทำ DCA นั้น เป็นคนละส่วนกับเงินที่ต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หากพอร์ตลงทุนตกต่ำลงก็ไม่กระทบกับการใช้ชีวิตปกติ ที่สำคัญคุณหากคุณยอมรับความเสี่ยงที่สูงได้ เพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ก็สามารถลงทุนใน Thematic Optimize ได้ 100%

อย่างไรก็ตาม ระหว่างทางของพอร์ตลงทุนคุณควรหมั่นทบทวนเป้าหมายการลงทุนว่ายังเป็นไปตามที่วางไว้หรือไม่ และต้องเช็คหัวใจตังเองด้วยว่ายังสามารถยอมรับความเสี่ยงในระดับเดิมได้หรือเปล่า ถ้าเริ่มรู้สึกว่ามีมุมมองการลงทุนที่เปลี่ยนไป เป้าหมายการลงทุนก็ไม่เหมือนเดิม หรือรับความเสี่ยงได้น้อยลงตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ถึงเวลาที่ต้องปรับสัดส่วนพอร์ตลงทุนให้ตรงกับความต้องการของตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วการปรับพอร์ตลงทุนสามารถทำให้ตลอดนะครับ ขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป

เปิดเดือนแรกของปีใหม่ เราเริ่มเห็นสัญญาณการลงทุนที่สดใสขึ้นเมื่อเทียบกับตลอดปีที่ผ่านมา คนที่วางแผนการลงทุนและเริ่มทำตาม Roadmap ที่วางไว้ ถือว่าคุณได้เดินมาไกลกว่าคนที่ยังไม่เริ่มทำอะไรเลย อย่างน้อยก็ 1 ก้าวแล้ว แม้เส้นทางการลงทุนในปีนี้ยังอีกยาวไกล และไม่มีใครหยั่งรู้ได้อย่างชัดเจนว่าระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่การวางแผนลงทุนถือเป็นเครื่องกันกระแทกขั้นพื้นฐาน ที่จะช่วยให้คุณตั้งสติเพื่อปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ลงทุนไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และอีกหนึ่ง Buffer ที่จะช่วยปกป้องคุณจากความผันผวนของตลาดก็คือ ‘การกระจายความเสี่ยง’ ของพอร์ตลงทุนอย่างเหมาะสมนั่นนเองครับ   

]]>
1421338