L’Oreal – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 22 Apr 2021 08:40:11 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ลอรีอัล’ เล็งปั้นตลาด ‘ผู้ชาย’ เป็นกลุ่มสร้างการเติบโตใหม่ใน 10 ปีข้างหน้า https://positioningmag.com/1328795 Thu, 22 Apr 2021 08:35:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1328795 ‘ลอรีอัล’ (L’Oreal) บริษัทเครื่องสำอางยักษ์ใหญ่สัญชาติฝรั่งเศสได้ตั้งเป้าสร้างการเติบโตใหม่ ๆ โดยจะเน้นไปที่กลุ่ม ‘ผู้ชาย’ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้, เอเชียแปซิฟิก และตะวันออกกลาง

35 ตลาดทั่วเอเชียใต้, เอเชียแปซิฟิก, ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือของลอรีอัลที่เรียกย่อ ๆ ว่า ‘SAPMENA’ กำลังเป็นภูมิภาคสำคัญที่จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัท โดย ‘Vismay Sharma’ ประธานของภูมิภาค กล่าวว่า สาเหตุที่ภูมิภาคดังกล่าวมีโอกาสเติบโตในอนาคต ส่วนหนึ่งมาจากจำนวนประชากร เพราะภูมิภาคเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัยของประชากรโลก 40% โดยมีอายุเฉลี่ยที่ 28 ปี

“ภูมิภาคนี้หรือ SAPMENA ที่เราเรียกกำลังจะเป็นกลไกการเติบโตที่สำคัญสำหรับเรา นี่คือที่ที่เราจะได้ผู้บริโภคจำนวนมากที่สุดในทศวรรษหน้า และผู้บริโภคกว่า 40% ในภูมิภาคมีอายุน้อยกว่า 25 ปี นั่นทำให้มันน่าตื่นเต้นมากสำหรับเราและเป็นตลาดเชิงกลยุทธ์สำหรับอนาคต”

ที่ผ่านมา ลอรีอัลที่มีอายุ 112 ปีกำลังพยายามปรับตัวให้เข้ากับตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยค่อนข้างทำได้ดีในช่วงที่มีการระบาด และไตรมาสแรกที่ผ่านมาก็มียอดขายเพิ่มขึ้น 10.2% ซึ่งกลับมาใกล้ระดับก่อนเกิดการระบาด

Vismay Sharma กล่าวว่า การระบาดของไวรัส COVID-19 ได้กระตุ้นความต้องการในสินค้าบางประเภท โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความแข็งแรง นอกจากนี้ผู้บริโภคยังต้องการผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน อย่างไรก็ตาม เครื่องสำอางสำหรับผู้ชายก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

Hong Kong, December 19, 2018: Hair coloring products in Mannings store.

โดยบริษัทความงามของญี่ปุ่น Shiseido รายงานว่ามีการเติบโตเป็นเลขสองหลักของสายการแต่งหน้าผู้ชายในปี 2020 เนื่องจากผู้บริโภคชายเริ่มใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตนมากขึ้นหลังจากที่ต้องประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ซึ่งลอรีอัลคาดว่าความสนใจในเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายจะยังคงดำเนินต่อไปโดยเฉพาะในภูมิภาค SAPMENA

“ในอดีตผู้ชายไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามมากพอการเจาะกลุ่มนี้นัก ขณะที่การใช้จ่ายเฉลี่ยก็ลดลงมาก ความถี่ในการใช้งานก็ลดลงมาก แต่ตอนนี้เราจะเห็นว่าผู้ชายมีความเข้าใจเรื่องผิวพรรณมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับน้ำหอมที่พวกใช้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม ซึ่งส่วนนี้น่าสนใจมากในแง่ของเปอร์เซ็นต์การเติบโต”

อย่างไรก็ตาม การที่เห็นโอกาสของกลุ่มผู้ชายไม่ได้แปลว่าการเติบโตของผู้หญิงลดลง โดยในกลุ่มผู้หญิงจะยังคงเป็นฐานผู้บริโภคที่ใหญ่ขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ความงามในอนาคต

Source

]]>
1328795
L’Oréal จับมือ Facebook ใช้ AR เปลี่ยนการแต่งหน้าให้เหมือนจริง แบบนี้สาวๆ จะออกจากหน้าเฟซบุ๊กหรือหยุดช้อปเครื่องสำอางได้ยังไง https://positioningmag.com/1183338 Tue, 14 Aug 2018 09:29:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1183338 มีเทคโนโลยีต้องรู้จักใช้ น่าจะเป็นบทสรุปที่ชัดเจนสำหรับความร่วมมือระหว่างโมดิเฟส (ModiFace) บริษัทลูกของลอรีอัล ได้ประกาศความร่วมมือระยะยาวกับเฟซบุ๊ก (Facebook) ลอรีอัล (L’Oréal) และเฟซบุ๊ก (Facebook) ที่จับมือกันพัฒนาและนำเทคโนโลยีเออาร์ (AR-Augmented Reality) ที่ผสมผสานโลกจริงและโลกเสมือนเข้าด้วยกัน มาใช้สร้างประสบการณ์และตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก งานนี้ทั้งสนุกและคาดว่าน่าจะทำให้ลอรีอัลขายของได้ดีขึ้นด้วย โดยเฉพาะทางออนไลน์และโซเชียลคอมเมิร์ซ (Social Commerce)

ทั้งนี้ ลอรีอัล ได้ซื้อกิจการของบริษัทเทคโนโลยี ModiFace ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเอไอ (AI-Artificial Intelligence) และเออาร์ เมื่อต้นปี 2561 เพื่อนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมความงาม และได้ร่วมมือกับบริษัทดังๆ ทั่วโลกอย่าง Samsung และ Pinterest เกี่ยวกับบริการเออาร์มาแล้ว แต่นั่นก็ไม่มากเท่าการจับมือกับเฟซบุ๊ก ที่มีฐานผู้ใช้อยู่ถึง 2 พันล้านคนทั่วโลกในปัจจุบัน

Lubomira Rochet หัวหน้าฝ่ายดิจิทัลของลอรีอัล กล่าวว่า การร่วมมือกันนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงแบรนด์ได้อย่างแท้จริง และมีโอกาสลองผลิตภัณฑ์ใหม่ก่อนซื้อ ผ่านการใช้เครือข่ายทางสังคมอย่างเฟซบุ๊กนั่นเอง

โครงการด้านเทคโนโลยีเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบดิจิทัลของลอรีอัล ในการปรับปรุงและสร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่เชื่อว่าจะทำให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท สามารถเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น เพราะว่าเทคโนโลยีเออาร์จะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมองเห็นเทรนด์ความงามในแบบฉบับของพวกเขา และเลือกสีที่เหมาะสมสำหรับการแต่งหน้าได้จากภาพจำลองที่เห็นจริง จากนั้นจะสามารถคลิกผ่านเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ในเว็บไซต์ของลอรีอัลได้อย่างไร้รอยต่อ

เทคโนโลยีเออาร์ที่พัฒนาขึ้นนี้ จะทำงานร่วมกับเฟซบุ๊ก คาเมร่า (Facebook Camera) เพื่อช่วยเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภคสามารถลองแต่งแต้มสีสันเสมือนจริงได้ นำร่องโดยผลิตภัณฑ์ภายใต้ นิกซ์ โปรเฟสชั่นแนล เมกอัพ (NYX Professional Makeup) แบรนด์ในสังกัดของลอรีอัล แบรนด์ที่มาแรงในกลุ่มคนรุ่นใหม่ รักการแต่งหน้าที่สะท้อนความเปลี่ยนตัวเองและเปลี่ยนไปไม่ซ้ำแนว โดยจะในปลายเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้

การรุกตลาดด้วยเทคโนโลยีร่วมกับพันธมิตรที่มีฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่สุดในโลกอย่างเฟซบุ๊ก  สะท้อนให้เห็นถึงการให้ความสำคัญของลอรีอัลต่ออีคอมเมิร์ซอย่างมาก โดยเชื่อว่าจะเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง ซึ่งยืนยันได้จากรายงานประจำปี 2017 ของลอรีอัล ก็พบว่า บริษัทสามารถสร้างรายได้มากกว่า 2 พันล้านยูโรต่อปีจากยอดขายออนไลน์ หรือคิดเป็นประมาณ 8% ของรายได้รวม และทำให้อีคอมเมิร์ซกลายเป็นช่องทางตลาดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของแบรนด์ ถ้าคิดสัดส่วนจากอีคอมเมิร์ซเฉพาะในตลาดจีน ตัวเลขรายได้จากอีคอมเมิร์ซของบริษัทเครื่องสำอางจากฝรั่งเศสรายนี้ ทำสัดส่วนสูงถึง 1 ใน 4 หรือ 26.4% ของยอดขายเลยทีเดียว

เรื่องเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยแล้วว่า ทำไมลอรีอัลจึงพยายามค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการเพิ่มยอดขายจากอีคอมเมิร์ซมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น การทำแอปพลิเคชั่นต่างๆ กระตุ้นยอดขายออนไลน์ นอกเหนือไปจากช่องทางของตน อีกทั้งตอนนี้ยังเล็งเห็นความสำคัญและบุก โซเชียลคอมเมิร์ซเต็มตัว และเชื่อว่าจะกลายเป็นอีกแหล่งรายได้สำคัญของแบรนด์ แม้ว่าเป้าหมายหลักของกลยุทธ์การใช้เออาร์ในตอนแรก จะเน้นที่การเข้าถึงผู้บริโภครายใหม่ด้วยวิธีที่อาศัยความบันเทิงและทำให้สนุกสนานเท่านั้นก็ตาม แต่ดัชนีชี้วัดผลงานหรือความสำเร็จด้านตัวเลขก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ และทำให้บริษัทต้องคิดไปไกลกว่าเดิมเมื่อมองเห็นโอกาส

อย่างไรก็ตาม นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ลอรีอัล นำเออาร์มาใช้ เพราะเคยทำงานร่วมกับ Founders Factory ในการหาสตาร์ทอัพเพื่อนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับธุรกิจมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จับมือกับเฟซบุ๊ก แล้วนำมาปรับให้เข้ากับองค์กร ทั้งในส่วนของวิธีการทำการตลาดและการสื่อสารกับผู้บริโภคให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

เหตุผลง่าย ๆ ที่ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ก็เพราะยุคนี้การสร้างประสบการณ์และทำให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆ นั่นเอง ส่วนการใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ครั้งนี้จะให้ประโยชน์และผลลัพธ์ที่ดีมากน้อยแค่ไหน รอไม่นานก็รู้ผล.

ที่มา : https://www.marketingweek.com/2018/08/09/loreal-looks-to-drive-up-ecommerce-sales-in-ar-partnership-with-facebook/?cmpid=em~newsletter~weekly_news~n~n&utm_medium=em&utm_source=newsletter&utm_campaign=weekly_news&eid=5903569&sid=MW0001&adg=05A1F053-04FF-43C5-AFF0-1347831A82CE

]]>
1183338
สไตล์นันดะ ขี่คลื่น K-Pop โตด้วยกลยุทธ์ Fashion ควบ Beauty จนเตะตาแบรนด์โลก https://positioningmag.com/1169842 Mon, 14 May 2018 00:08:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1169842 เป็นแบรนด์แฟชั่นสุดชิค สัญชาติเกาหลีใต้ ที่สร้างชื่อและความประสบความสำเร็จไปทั่วเอเชียทั้งประเทศต้นกำเนิดอย่างเกาหลีใต้ และขยายไปนิยมถึงประเทศใกล้เคียงอย่าง ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ รวมไปถึงประเทศไทยด้วย

ความโดดเด่นเป็นที่รู้จักของนันดะ คือความมีเอกลักษณ์ทั้งด้านเสื้อผ้าแบบชิค มีสไตล์ และสวมใส่ได้ในชีวิตประจำวัน ที่ทำให้จับลูกค้าได้ไว โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและกลุ่มที่ผู้ชื่นชอบแฟชั่น และอีกแบรนด์เด่นที่เป็นตัวสร้างชื่อให้กับ สไตล์นันดะ ไม่น้อย คือ เครื่องสำอาง 3CE ในสังกัด ซึ่งที่ผ่านมาก็เปิดช็อปในหลายๆ ประเทศรวมถึงประเทศไทยและเป็นที่ยืนยันว่าเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มเป้าหมายเพราะได้รับการตอบรับอย่างดีทุกที่

ที่สำคัญ ทำให้แฟลกชิพสโตร์ของแบรนด์ทั้ง สไตล์นันดะ และ 3CE ที่ไปเปิดตามแลนด์มาร์กของประเทศต่าง ๆ อาทิ ฮงแด ในเกาหลีใต้, ฮาราจูกุ ที่ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ร้านสไตล์นันดะในไทยที่ ดิ เอ็มควอเทียร์ ฯลฯ กลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้กับสถานที่นั้น ๆ ยิ่งขึ้น

เครือนันดะ จากเกาหลีใต้ เริ่มเติบโตขึ้นตั้งแต่ปี 2004 หลังจากที่ คิม โซฮี CEO และผู้ก่อตั้งสไตล์นันดะ ที่เริ่มธุรกิจเสื้อแฟชั่นภายใต้แบรนด์สไตล์นันดะ ที่ชูความเป็น Fast-Fashion อย่างเต็มรูปแบบ แถมเปิดตัวภายใต้กระแส K-Pop ที่กำลังบูมทำให้แบรนด์นี้เกิดได้ไม่ยากและเติบโตอย่างรวดเร็ว

เธอเพิ่มกระแสการเติบโตให้กับแบรนด์ ด้วยการเปิดร้านค้าออนไลน์หลังการก่อตั้งธุรกิจซึ่งกลายเป็นร้านค้าออนไลน์ที่ทำยอดขายได้อย่างโดดเด่น และใช้เวลาเพียงแค่ 10 ปี ก็สามารถทำให้สไตล์นันดะ มียอดขายถึง 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2014 และได้รับการจัดอันดับว่าเป็นแบรนด์ที่มียอดขายติดอันดับท็อป 10 จากออนไลน์ในเกาหลีในปี 2015

แม้จะประสบความสำเร็จจากธุรกิจแฟชั่น แต่ นันดะ ไม่คิดจะหยุดตัวเองไว้แค่นั้น

ช่วงปี 2009 นันดะ เปิดตัวเครื่องสำอางแบรนด์ 3CE (Three Concept Eyes) เพื่อขยายไปสู่อุตสาหกรรมความงาม ภายใต้แนวคิดการใช้แฟชั่นเคป็อป หรือ k-fashion ทำตลาดคู่กับ k-beauty ซึ่งได้แรงส่งจากความนิยมทั้งจากวัฒนธรรมเคป็อป ที่ทำให้เครื่องสำอางจากเกาหลีใต้เป็นที่รู้จัก พูดถึง และรับรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในต่างประเทศ จากเทรนด์การแต่งหน้าอันเป็นเอกลักษณ์แบบสาวเกาหลี

แนวคิดนี้ได้ผล เพราะเครื่องสำอาง 3CE ซึ่งเปิดตัวทีหลังประสบความสำเร็จมากกว่าแบรนด์เสื้อผ้าอย่างสไตล์นันดะ ตัวอย่างเช่น ปี 2016 ที่ผ่านมา เฉพาะในประเทศจีน 3CE สามารถทำรายได้ให้กับนันดะกรุ๊ปมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด โดยแบรนด์สไตล์นันดะทำยอดขายได้ราว 1.7 แสนล้านวอน (ประมาณ 5,000 ล้านบาท)

ไม่ได้มีแค่ ลอรีอัล ที่อยากซื้อ สไตล์นันดะ

จากความสำเร็จที่ทำให้ นันดะกรุ๊ป เติบโตทั้งยอดขายและความนิยม ส่งผลให้ผู้ผลิตและแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดังจากสองประเทศชั้นนำในผลิตความงาม อย่าง ลอรีอัล (L’oreal) จากฝรั่งเศส และ ชิเซโด (Shiseido) จากญี่ปุ่น ให้ความสนใจอยากควบรวมกิจการกับนันดะ

แต่ท้ายที่สุดเมื่อวานนี้ (10 พ.ค.2018) ลอรีอัล เป็นประกาศว่าได้ซื้อหุ้น 100% ของบริษัท นันดะ จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“บริษัทเข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท นันดะ จำกัด เป็นบริษัทเครื่องสำอางและแฟชั่นเกาหลี ภายใต้แบรนด์สไตล์นันดะ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับความสนใจอย่างสูงในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลในเกาหลีและจีน” อเล็กซี เพราคิสวา ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ลอรีอัล กรุ๊ป กล่าวในการประกาศเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้

การซื้อหุ้นของนันดะ ทำให้ลอรีอัลควบแบรนด์ต่าง ๆ อาทิ สไตล์นันดะ และ 3CE ที่เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในวงกว้างเข้ามาไว้ในพอร์ตของลอรีอัล ซึ่งต้องบอกว่านอกจากความสำเร็จและความมีเอกลักษณ์น่าสนใจของแบรนด์ที่เข้าตาลอรีอัลแล้ว สไตล์นันดะ ยังมีกลยุทธ์การตลาดที่คล้ายคลึงกับการทำตลาดของลอรีอัลในยุคนี้อีกด้วย เช่น การเน้นเจาะกลุ่มมิลเลนเนียม การเป็นแบรนด์ที่เน้นสไตล์การแต่งหน้าเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองหลากหลายและจัด รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาดที่เลือกแมตชิ่งแฟชั่นสไตล์กับสไตล์การแต่งหน้าเข้าด้วยกันเพราะหลายแบรนด์ในสังกัดลอรีอัลก็เลือกทำตลาดร่วมกับเสื้อผ้าแบรนด์เนมชื่อดังของฝรั่งเศสอยู่เสมอในการจัดกิจกรรมการตลาด รวมทั้งออกคอลเลกชั่นที่ไปด้วยกันระหว่างเครื่องสำอางกับแฟชั่น ฯลฯ

การเข้าซื้อสไตล์นันดะครั้งนี้ ลอรีอัล ยังได้ประโยชน์จากช่องทางการจำหน่ายของนันดะที่มีอยู่ แน่นอนว่าเป็นช่องทางที่เชื่อมถึงลูกค้าจำนวนมหาศาล ซึ่งมีทั้งช่องทางของอีคอมเมิร์ซ ร้านค้าปลีก ห้างสรรพสินค้า รวมถึงในร้านค้าปลอดภาษี และที่สำคัญคือแฟลกชิพสโตร์ต่าง ๆ ของแบรนด์ สไตล์นันดะและ 3CE ที่มีอยู่ตามแลนมาร์กของประเทศต่างๆ

ร้านค้าปลีกของนันดะกรุ๊ป ที่มีอยู่ตอนนี้คร่าว ๆ ในเกาหลีใต้มีทั้งในกรุงโซลในย่านช้อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้า ย่านมหาวิทยาลัย และเมืองสำคัญนอกกรุงโซลอย่างปูซาน ประมาณ 12 สาขา ร้านที่อยู่ในร้านค้าปลอดภาษีแบรนด์ต่าง ๆ อย่าง Shilla, Lotte, Hanwha, Doosan ฯลฯ รวม 14 แห่ง นอกจากนี้ยังมีร้านในฮ่องกง 15 แห่ง มาเก๊า 1 แห่ง จีน 13 แห่ง สิงคโปร์ 11 แห่ง มาเลเซีย 14 แห่ง และไทย 2 แห่ง

“บริษัทเชื่อมั่นว่าการขายกิจการครั้งนี้ จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของนันดะ ด้วยการสนับสนุนของลอรีอัล ซึ่งเป็นบริษัทความงามระดับโลก เราคาดว่าจะสามารถขยายเส้นทางของสไตล์นันดะสู่ตลาดระดับสากล และผลักดันให้กลายเป็นแบรนด์ที่เป็นผู้นำในด้านความงามระดับโลกได้” คิม โซฮี CEO และผู้ก่อตั้งสไตล์นันดะ กล่าว

สำหรับ คิม โซฮี เป็นบุคคลที่น่าสนใจ เพราะทำธุรกิจได้สำเร็จโดยไม่มีผู้สนับสนุนด้านการลงทุน เป็นเจ้าของคนเดียว โดยเธอเป็นคนเกาหลีรุ่นใหม่ มาจากครอบครัวธรรมดา ไม่ได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมากของคนเกาหลี แต่ก็สามารถสร้างสไตล์นันดะให้ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นจนเป็นที่ต้องตาของแบรนด์ดังระดับโลกที่มีอายุมากกว่า 100 ปี และสร้างปรากฏการณ์ทางธุรกิจจากการขายกิจการในระดับนานาชาติจากการขายกิจการครั้งนี้

ท้ายที่สุด การเปลี่ยนมือของสไตล์นันดะครั้งนี้ เป็นเหมือนการผนึกกำลังที่เข้มแข็งระหว่างแบรนด์น้องใหม่จากโลกตะวันออกกับแบรนด์ระดับโลกจากฝั่งตะวันตก ซึ่งคงต้องจับตามองสเต็ปต่อไปว่า โปรเจกต์ต่อ ๆ ไปของนันดะจากนี้ไปภายใต้มุมมองของลอรีอัลจะเป็นเช่นไร แล้วแบรนด์อื่นๆ ในสนามเดียวกันนี้จะมีลูกเล่นอะไรมาสู้อย่างไร ซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นข้อดี ๆ แน่ ๆ อย่างหนึ่ง ก็คือการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคแบบเรานี่เอง.

]]>
1169842