Under extreme challenges of economic recession in recent years, the phenomenon of employment with lay-off, voluble protests from labor union, salary and hiring freeze will certainly effects employee morale. And at the end of this year, there are many situations to consider regarding human resource disputes and litigation.
“How do you choose your HR strategy to maintain employee relations, save company benefits and practice win-win situation between employer and employees?” – This is HR task that must be accomplished successfully to ensure the company reputation and sustainability in the long run.
To prevent trial and error practice of human resource management in concern with labor law, The Executive Alliance Co Ltd is pleased to organize ‘LABOR & EMPLOYMENT LAW SEMINAR’ on November 4, 2009 at Ploenchit Room 2, JW Marriott Hotel for middle to top management responsible for human resource management, personnel management, compensation and benefits and employee relations. The seminar has designed to cover the hot labor issues from new labor law updates, Thai protection act and social welfare recent benefits to organization, strategies to create and sustain employee relations, outsource & temporary employment in practice, litigation & arbitration, etc.
Honorable Guest Speakers:
Mr. Kreangkri Jiambsoonsri, Associate, Weerawong, Chinnavat & Peangpanor Ltd
Mr. Thanawat Duangudom, Senior Vice President, Kasikornbank Plc
Mr. Songpol Premanan, Director, Social Security Office
HIGHTLIGHT
Discovering the exact practice according to ‘Thai Labor Protection Act and Social Welfare Updates on July 2009’ – Benefits and Guidelines of HR practice to gain maximum advantages.
***BE PREPARED FOR SERIOUS LABOR ISSUES AND BENEFITS IN THE UPCOMING YEAR 2010***
Contact Person:
Ms. Kananang Dhanadchaipuen, The Executive Alliance Co Ltd
Tel: 02-204-1045, Email: [email protected]
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ฉลองครบรอบ 40 ปีแห่งการสร้างมาตรฐาน เพื่อยกระดับคุณภาพอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศ ตอบสนองการใช้ชีวิตที่ดีให้กับคนไทย พร้อมประกาศเดินหน้ารับพันธกิจสำคัญ ด้วยการกำหนดมาตรฐาน การรับรองมาตรฐาน การส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐาน การประสานความร่วมมือเกี่ยวกับการมาตรฐานระดับสากลภูมิภาคและ ทวิภาคี การเป็นศูนย์สนเทศด้านการมาตรฐาน และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนและให้การรับรอง เพื่อให้ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทยเป็นที่ยอมรับ และแข่งขันได้ในตลาดโลก ล่าสุดมีการปรับตราสัญลักษณ์ “สมอ.” ให้สอดคล้องกับสัญลักษณะ “มอก.” พร้อมทั้งจัดทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ชุดใหม่ ชื่อ “เบื้องหลัง” เพื่อสร้างการรับรู้และจดจำให้กับผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
นางรัตนาภรณ์ จึงสงวนสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ซึ่งเป็นสถาบันมาตรฐานแห่งชาติ ที่ดำเนินงานด้านการมาตรฐาน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง นำมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมและมาตรฐานระบบการจัดการต่างๆ ไปใช้พัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และระบบงานให้มีประสิทธิภาพ เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและในระดับสากล ปัจจุบันมีอายุครบ 40 ปีในวันที่ 25 มีนาคม 2552 นี้ ดังนั้นจึงได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างการรับรู้แก่ภาคธุรกิจและสาธารณชนทั่วไป ภายใต้งาน “40 ปี สมอ. 40 ปี แห่งความภาคภูมิใจ ยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อคนไทยตลอดไป” ขึ้น นอกจากนี้เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 4 ทศวรรษ ภายใต้การสร้างสรรค์มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของ สมอ. ได้มีการปรับเปลี่ยนตราสัญลักษณ์ใหม่ พร้อมทั้งจัดทำสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโทรทัศน์ชุด “เบื้องหลัง” และจัดทำสื่อต่างๆ เพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำให้กับผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
“ภารกิจด้านการมาตรฐานที่ สมอ.รับผิดชอบ คือ การกำหนดมาตรฐานให้กับภาคธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่ระดับชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศและระหว่างประเทศ จนอาจกล่าวได้ว่า มาตรฐานที่ สมอ. ได้กำหนดขึ้นนั้น เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคให้ได้รับประโยชน์อย่างเสมอภาคกัน รวมถึงยังสามารถใช้ปกป้องอุตสาหกรรม และการค้าเสรีกับต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย ซึ่งพันธกิจสำคัญของ สมอ. อันได้แก่ การกำหนดมาตรฐาน การรับรองด้านมาตรฐาน การส่งเสริมและพัฒนาด้านการมาตรฐาน การประสานความร่วมมือเกี่ยวกับการมาตรฐานระดับสากลภูมิภาคและทวิภาคี การเป็นศูนย์สนเทศด้านการมาตรฐาน และกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนและให้การรับรอง ภายใต้วิสัยทัศน์องค์กรที่ระบุอย่างชัดเจนว่า สมอ. เป็นองค์กรนำด้านการมาตรฐาน เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และระหว่างประเทศ ผลักดันอุตสาหกรรมทุกระดับให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกนั่นเอง” เลขาธิการ สมอ. กล่าว
ที่ผ่านมา สมอ. มีผลงานสำคัญด้านการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแล้ว 2,828 เรื่อง แบ่งเป็นมาตรฐานทั่วไป 2,733 เรื่อง มาตรฐานบังคับ 95 เรื่อง และให้การรับรองแล้ว 26,019 ราย นอกจากนี้ สมอ. ได้ให้การรับรองคุณภาพห้องปฏิบัติการทดสอบและสอบเทียบ ตาม มอก.17025-2548 แล้ว 225 ราย อีกทั้งยกระดับคุณภาพผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยประกาศมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มผช.) 1,418 เรื่อง ให้การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชนแล้ว 33,775 ราย
“40 ปีที่ผ่านมา สมอ. ได้พิสูจน์คุณค่าแห่งความสำเร็จอย่างเต็มภาคภูมิด้วยการดำเนินภารกิจหลักเพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศด้วยการมาตรฐาน อีกทั้งยังคงมุ่งมั่นปฎิบัติหน้าที่ด้านการมาตรฐานเพื่อประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศไทย ให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถและศักยภาพในการแข่งขันได้ในระดับสากล ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างวิสาหกิจชุมชนให้สามารถเติบโตและมีความแข็งแกร่งโดยทั่วหน้า ทั้งนี้เพื่อความเจริญก้าวหน้าของประเทศไทยที่มั่นคง….ยั่งยืนสืบไป” เลขาธิการ สมอ. กล่าว
บริษัท ทรู อินเทอร์เน็ต จำกัด โดยนายวสุ คุณวาสี ผู้จัดการทั่วไป (ที่สามจากขวา) ให้การต้อนรับวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมให้ความรู้ ในงานสัมมนา “เตรียมความพร้อมรับ พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ 2550” โดยมีรศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ์ (ที่สองจากขวา) รองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ต.อ. ศิริพงษ์ ติมุลา (ที่สามจากซ้าย) ผู้กำกับการศูนย์ตรวจสอบและวิเคราะห์การกระทำผิดทางเทคโนโลยี สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อม 2 บริษัทพันธมิตร นายวิวัฒน์ ลีลาไชยสกุล (ซ้ายสุด) ผู้จัดการบริหารงานลูกค้าด้านกลยุทธ์ บริษัท ฟอร์ทิเนท อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และนาง ศิรินันทนา สมสุวรรณ (ขวาสุด) ผู้จัดการด้านการตลาด บริษัท นวกิจศิริ จำกัด ซึ่งร่วมให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการควบคุมและตรวจสอบข้อมูลด้านคอมพิวเตอร์ให้เป็นไปตาม พ.ร.บ. โดยงานสัมมนาครั้งนี้ได้รับความสนใจจากลูกค้าองค์กรของทรู อินเทอร์เน็ต และประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมฟังอย่างคับคั่ง ณ ห้องจูเนียร์ บอลรูม 2 ชั้น 3 โรงแรมแกรนด์ มิลเลนเนียม สุขุมวิท เมื่อเร็วๆนี้
นรัตถ์ สาระมาน (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลเทคโนโลยี อินทริเกรเทด จำกัด ผู้คิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ระบบเฝ้าระวังภัยคุกคามเครือข่ายสารสนเทศ “สราญ” (SRAN) ให้ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ “Computer Crime Act” พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ก่อนมีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 สิงหาคม นี้ ในงาน “กู้ด มอร์นิ่ง กูรู” ครั้งที่ 7 จัดโดย สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ดำเนินรายการโดย อาจารย์ชลิต ลิมปนะเวช (กลาง) ประธานคณะกรรมการกลุ่มบริหารการตลาด TMA โดยมี ศศิพร สุจิพิธธรรม (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารงานลูกค้าการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค ร่วมงาน ณ หอประชุมพุทธคยา อาคารอัมรินทร์พลาซ่า เมื่อเร็วๆนี้
นักวิชาการนิด้า มั่นใจใช้ พ.ร.บ..สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงิน ขณะที่ประชาชนกระจายการออมเงิน ปลุกตลาดหลักทรัพย์ ตราสารหนี้และพันธบัตรรัฐบาลตื่นตัว ชี้จับตามีแนวโน้มแบงก์เล็กควบรวมกิจการสร้างความแข็งแกร่ง หวังลดต้นทุนเบี้ยประกันเงินฝาก
รศ.ดร.มนตรี โสคติยานุรักษ์ รองคณบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2551 ที่มีวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองเงินฝากทุกบัญชีในปีแรกไม่จำกัดวงเงิน ปีที่ 2 คุ้มครอง 100 ล้านบาท ปีที่ 3 คุ้มครอง 50 ล้านบาท ปีที่ 4 คุ้มครอง 10 ล้านบาท และปีที่ 5 จะคุ้มครองเงินฝาก 1 ล้านบาท ต่อ 1 บัญชีต่อสถาบันการเงิน 1 แห่ง ซึ่งการบังคับใช้ในครั้งนี้ จะส่งผลให้ประชาชนที่มีเงินฝากมากกว่า 1 ล้านบาท จะเลือกการออมเงินในรูปแบบอื่น เช่น การลงทุนในตลาดทรัพย์ การซื้อตราสารหนี้ การซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งจะช่วยให้ตลาดเหล่านี้มีเม็ดเงินจากการลงทุนเพื่อออมเงินของประชาชนเข้ามาในตลาดมากยิ่งขึ้น
“การบังคับใช้ พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝาก จะทำให้ประชาชนที่มีเงินออมจำนวนมาก ต้องบริหารเงินออม โดยรูปแบบอาจกระจายการออมเงินไปยังธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง หรือกระจายการออมเงินสู่การลงทุนอื่นๆ เพื่อการออมทรัพย์ ส่งผลให้การออมในรูปแบบของการลงทุนในหลักทรัพย์หรือพันธบัตร ทั้งในตลาดหลักทรัพย์ ตลาดตราสารหนี้ หรือการซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้รับความสนใจจากประชาชนมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่จะช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาตลาดทุนอีกด้วย” รศ.ดร.มนตรี กล่าว
นอกจากนี้ พ.ร.บ.ดังกล่าว ยังได้กำหนดให้มีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เพื่อให้ความคุ้มครองเงินฝาก โดยจะมีรายได้จากการเรียกเก็บเบี้ยประกันเงินฝากจากสถาบันการเงิน ที่นำเงินฝากที่ได้จากผู้ฝากเงินมาทำประกันคุ้มครองเงินฝากอีกทอดนั้น
ซึ่งในระยะแรกนั้นสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะเรียกเก็บประกันเงินจากสถาบันการเงินเท่ากัน ทุกแห่ง ในอัตรา 0.40 เปอร์เซ็นของเงินฝาก เริ่มตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2556 เป็นต้นไป การเก็บเบี้ยประกันเงินฝากของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จะเรียกเก็บเบี้ยประกันจากสถาบันการเงินไม่เท่ากัน โดยใช้เกณฑ์เรื่องของฐานะการเงินและการดำเนินงานของสถาบันการเงิน มาเป็นตัววัดในการเรียกเก็บเบี้ยประกัน
ทั้งนี้ จากแนวคิดการเรียกเก็บเบี้ยประกันดังกล่าว ทำให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะต้องปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริหารการจัดการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้สถาบันการเงินเสียเบี้ยประกันเงินฝากกับสถาบันคุ้มครองเงินฝากในอัตราที่ต่ำ เพื่อหวังให้ต้นทุนในการดำเนินการของธนาคารพาณิชย์ต่ำลงด้วย ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กที่มีการบริหารการจัดการที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ต้องควบรวมกิจการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มอำนาจการแข่งขันในกลุ่มสถาบันการเงิน รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้ฝากเงิน
“ต่อไปธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งจะปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขัน เพราะแต่ละแห่งจะต้องนำเงินฝากของประชาชนไปทำประกันเงินฝากกับสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ที่มีการเรียกเก็บเบี้ยประกันแต่ละแห่งไม่เท่ากัน จึงเป็นแรงผลักให้กับธนาคารพาณิชย์ต้องสร้างความมั่นคงและเชื่อมั่นให้กับประชาชน การควบรวมธนาคารพาณิชย์ขนาดเล็กจึงมีความเป็นไปได้ เพื่อให้มีค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันที่ต่ำ และช่วยให้ธนาคารมีความสามารถในการทำกำไรได้มากขึ้น”
รศ.ดร.มนตรี กล่าวว่า สถาบันประกันเงินฝากจึงเป็นจิ๊กซอว์ที่ช่วยให้ระบบสถาบันการเงินมีความสมบูรณ์และมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เมื่อสถาบันการเงินมีการพัฒนา ประชาชนก็จะมีความเชื่อมั่นในการฝากเงินมากขึ้น เพราะมีสถาบันประกันเงินฝากเข้ามาดูแลในการคุ้มครองเงินฝากให้ จึงทำให้แต่ละฝ่ายสามารถกำกับซึ่งกันและกัน เปรียบเสมือนเสา 3 ต้นที่ช่วยค้ำจุนระบบสถาบันการเงินของไทย ที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมต่อไปในอนาคต
บริษัท เอ็มบีเอ็มจี อินเตอร์เนชันแนล จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการเงิน การลงทุน และกฎหมายให้กับนักธุรกิจและบริษัทต่างชาติในทวีปเอเชีย ได้เปิดตัวสำนักงานกฎหมายเอ็มบีเอ็มจี ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทางด้านกฎหมายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเอ็มบีเอ็มจี อินเตอร์เนชันแนล ได้เปิดให้บริการในปี พ.ศ.2538 บริษัทมีทีมที่ปรึกษาทางกฎหมายที่คอยให้คำแนะนำควบคู่กับการเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินและการลงทุน และในช่วงสองปีที่ผ่านมา ความต้องการของลูกค้าทางด้านกฏหมายเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ เอ็มบีเอ็มจี กรุ๊ป เปิดบริษัททางด้านกฎหมายขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อรองรับลูกค้าชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย
สำนักงานกฎหมายเอ็มบีเอ็มจีประกอบด้วยทีมที่ปรึกษาผู้มีประสบการณ์อันยาวนานด้านกิจการระหว่างประเทศและมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจก่อสร้าง, สื่อ, ค้าปลีก, การเงิน และท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับแฮมป์ตันส อินเตอร์เนชั่นแนล มอร์ตเกจ ประเทศไทย หนึ่งในผู้ให้บริการที่สำคัญด้านการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในไทย และบริการที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ชาวต่างชาติ จึงทำให้สำนักงานกฎหมายเอ็มบีเอ็มจีเป็นสำนักงานกฎหมายที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ
นางสาวจันจิรา สุมนัส ซีอีโอ สำนักงานกฎหมายเอ็มบีเอ็มจี กล่าวว่า “จากผลการตอบรับของลูกค้า ทำให้เราทราบว่าพวกเขาต้องการได้รับการบริการจากที่ปรึกษารายเดียวซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งชาวไทยและต่างประเทศ การเปิดสำนักงานกฎหมายเอ็มบีเอ็มจีจึงเป็นการนำความเชี่ยวชาญด้วยมาตรฐานระดับโลก มานำเสนอทางออกด้านกฎหมายเกี่ยวกับธุรกิจและบุคคลทั่วไปที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย เช่นกฎหมายว่าจ้างงาน, การจัดตั้งบริษัท, การชำระภาษี, การตรวจสอบบัญชีและการเงิน, ทรัพย์สินทางปัญญา, พินัยกรรมและสินเชื่อ”
สำนักงานกฎหมายเอ็มบีเอ็มจีตั้งอยู่ที่สมคิด เพลส ชั้นจี ใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร ผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการต่างๆ หรือเพื่อนัดหมายพูดคุยเกี่ยวกับการให้บริการทั้งในระดับบุคคลและองค์กร สามารถติดต่อได้ที่นายอาร์เบอร์ ลิคา โทร 0-2655-6044 อีเมล์ [email protected]
เกี่ยวกับเอ็มบีเอ็มจี กรุ๊ป:
เอ็มบีเอ็มจี กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2538 ในฐานะบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านวางแผนและให้คำแนะนำทางด้านการเงิน การลงทุน และกฎหมาย ให้แก่นักธุรกิจชาวต่างชาติและบริษัทต่างๆ ในทวีปเอเชีย โดยมีลูกค้ากว่า 7,600 รายในประเทศไทย ในปัจจุบัน โดยร้อยละ 65 เป็นนักธุรกิจและบริษัทจากประเทศอังกฤษและออสเตรเลีย
นับตั้งแต่การดำเนินธุรกิจ เอ็มบีเอ็มจี ได้ขยายการให้บริการลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนปัจจุบันมียอดการลงทุนของลูกค้ารวมทั้งสิ้นประมาณ 3.3 พันล้านบาท (หรือหนึ่งร้อยล้านเหรียญสหรัฐ) และยังคงเพิ่มความหลากหลายในการให้บริการมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน นอกจากนี้ เอ็มบีเอ็มจียังได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ ไมดัส แคปปิตอล (หรือที่รู้จักในชื่อเดิมว่า ไมตันออปติมัล) ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากหนังสือพิมพ์ซันเดย์ เทเลกราฟ ให้เป็นผู้บริหารการลงทุนระดับโลกที่ดีที่สุดในทศวรรษที่ผ่านมา
U-Nee.Com สถานีดาวน์โหลดความฮิต 3 ช่องทางด่วน web-wap-call ลุยตลาด Voice Service ร่วมกับค่ายเอไอเอส ออกบริการ “ทนายไขทุกข์” *4983 ให้ลูกค้าเอไอเอสคุยสดปรึกษาทุกข์คดีกับอ.ประมาณและทีมทนายชื่อดัง และ *49934 ฟังสาระกฎหมายผ่านระบบ IVR โทรได้ตลอด 24 ชั่วโมง คาดตอบสนองกลุ่มเป้าหมายในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองเป็นอย่างดีที่สุด และพร้อมส่งอีกหนึ่งบริการ “นายอร่อยเหาะ *49933” เจาะลึก ครบเครื่อง เรื่องร้านอร่อยทั่วประเทศ
นายบัณฑิต ว่องวัฒนะสิน กรรมการผู้จัดการ บ.คอนเนค วัน จำกัด (U-Nee.Com) เปิดเผยว่า “โดยปกติแล้วผู้ใช้บริการมีความคุ้นเคยกับ U-Nee.Com ในฐานะของผู้ให้บริการดาวน์โหลดดิจิตอลคอนเทนต์ผ่าน web-wap-call และบริการออนไลน์ผ่าน www.u-nee.com เป็นอย่างดี และด้วยศักยภาพและความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีของบริษัท เราเล็งเห็นโอกาสที่จะพัฒนาบริการใหม่ๆเข้ามาเติมเต็มให้กับตลาดใหม่ ซึ่งตลาดที่เรามุ่งไปจะเป็นตลาด Voice Service หรือที่รู้จักกันดีในรูปแบบของการให้บริการข้อมูลเสียงผ่านโทรศัพท์ทั้งแบบสนทนาสดและระบบอัตโนมัติ ที่ยังต้องการบริการรูปแบบใหม่และยังไม่มีที่ไหนให้บริการลักษณะนี้มาก่อน ล่าสุด เราได้ร่วมกับเอไอเอส เปิดบริการ “ทนายไขทุกข์” ซึ่งเป็นบริการเกี่ยวกับการรับปรึกษาคดีความทุกประเภทตั้งแต่คดีรายวัน เช่น ลักทรัพย์ ข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย หนี้สินบัตรเครดิต จนกระทั่งคดีใหญ่ เช่น คดีครอบครัว ยาเสพติด ละเมิดทางเพศ ฆาตกรรม ฟ้องล้มละลาย เป็นต้น ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องกับคดีความและเปิดกว้างสำหรับทุกเพศทุกวัย เพราะเราตั้งใจว่าบริการทนายไขทุกข์จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม”
สำหรับจุดเด่นของบริการ คือ 1.) ความเชี่ยวชาญทางด้านการให้คำปรึกษาคดีจากทีมทนายชื่อดัง อาทิ อ.ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช, อ.วันชัย สอนสิริ, อ.ธนา เบญจาทิกุล, อ.พิเชฐ พัฒนโชติ และอ.นิวัฒน์ แก้วล้วน พร้อมทีมทนายความที่มีความเชี่ยวชาญอีกหลายท่าน และ 2.) ลักษณะของการให้คำปรึกษาที่นำภาษากฎหมายมาพูดคุยในภาษาของคนทั่วไป เข้าใจง่าย ได้ใจความ สามารถปรึกษาได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยบริการทนายไขทุกข์จะมี 2 รูปแบบ คือ แบบคุยปรึกษาสดผ่านเบอร์ *4983 นาทีละ15 บาท และแบบฟังสาระกฎหมายน่ารู้จากระบบตอบรับอัตโนมัติ(IVR)ผ่านเบอร์ *49934 นาทีละ 6 บาท ซึ่งเฟสแรกเปิดให้บริการกับผู้ใช้บริการเครือข่าย AIS ก่อน
ด้านนายปรัธนา ลีลพนัง ผู้อำนวยการสำนักบริการเสริม บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ AIS กล่าวว่า “สำหรับบริการทนายไขทุกข์นี้ ถือว่าการสร้างสรรค์คอนเทนต์รูปแบบใหม่ๆ ให้กับตลาดบริการเสริมด้านเสียง (Voice Service) ซึ่งเอไอเอสรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับพันธมิตรชั้นนำอย่าง U-Nee.Com เปิดให้บริการกับลูกค้าเอไอเอสเป็นรายแรก เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า ความรู้ด้านกฎหมาย คดีความต่างๆ ดูเหมือนเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยากสำหรับบุคคลทั่วไป แต่ด้วยเทคโนโลยีของมือถือที่สามารถเป็นสื่อกลางให้ความรู้ดังกล่าว เข้าถึงประชากรทั่วประเทศได้อย่างกว้างขวาง ทำให้ลูกค้าและประชาชนสามารถใช้บริการ ปรึกษาปัญหาด้านคดีความ ได้อย่างสะดวก ตลอด 24 ชั่วโมง ถือเป็นการช่วยเหลือประชาชนที่อาจจะกำลังเดือดร้อน และเป็นบริการที่มีประโยชน์อย่างมากต่อสังคมไทยอีกบริการหนึ่ง”
อาจารย์นิวัฒน์ แก้วล้วน อุปนายกฝ่ายกิจกรรมพิเศษ สภาทนายความแห่งประเทศไทย, บริษัท กรีนลอร์ แอนด์บิสเนส จำกัด และหนึ่งในทีมทนายชื่อดังของบริการกล่าวว่า “ทางทีมทนายทุกท่านรู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานกับ U-Nee.Com และเป็นครั้งแรกที่ได้ให้การปรึกษาคดีความในรูปแบบนี้ ซึ่งนับว่าเป็นช่องทางใหม่ในการให้บริการของทนายความ เสมือนว่าทุกคนมีที่ปรึกษาด้านกฎหมายส่วนตัว ช่วยไขทุกข์คดีให้กับผู้ที่มีปัญหาคดีความ ผู้ที่ต้องการความรู้ความเข้าใจตัวบทกฎหมาย รวมถึงการซักถามข้อสงสัยต่างๆ ได้แบบเป็นกันเอง ”
และอาจารย์พิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา สำนักงานกฎหมายทนายความ และหนึ่งในทีมทนายชื่อดังกล่าวว่า “ปัจจุบันนี้โอกาสที่เราจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความง่ายกว่าแต่ก่อน ด้วยเหตุปัจจัยทางเศรษฐกิจ สภาพสังคมและปัจจัยอื่นๆ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วส่วนใหญ่ไม่มีทนายส่วนตัวเป็นปรึกษา เพราะค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงสำหรับคนทั่วไป ก็อาจจะค้นคว้าหาข้อมูลเองหรือเสิร์ช จากอินเตอร์เน็ตแทน ซึ่งข้อมูลที่ได้อาจมีความชัดเจนไม่พอ ไม่ตรงประเด็น หรือเป็นแค่กรณีเทียบเคียงเท่านั้น ดังนั้น บริการนี้เปิดกว้างให้คนทั่วไปได้ซักถามปรึกษาคดีความทุกประเภท เป็นการกระจายความรู้ทางด้านกฎหมายโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงเกินไป”
นายบัณฑิตกล่าวเสริมว่า “การเปิดบริการทนายไขทุกข์ตรงกับช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง ข้าวแพง น้ำมันแพง ส่งผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้โอกาสเกิดภาระหนี้สินของคนทั่วไปเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการก่อคดีต่างๆที่ตามมาจากผลกระทบเหล่านั้น จึงคาดว่าบริการนี้จะสามารถเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยไขทุกข์และตอบสนองความต้องการของคนในสังคมที่เผชิญกับเศรษฐกิจยุคนี้ได้เป็นอย่างดีที่สุด และนอกเหนือจากบริการทนายไขทุกข์แล้ว ทางเราก็ยังมีบริการ “นายอร่อยเหาะ” เป็นบริการสอบถามข้อมูลร้านอาหารอร่อยทั่วประเทศที่พร้อมจะเปิดให้บริการในสัปดาห์หน้าอีกด้วย”
บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค ได้แจ้งต่อกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ดีแทคได้ลงนามในสัญญาประนีประนอมยอมความกับบริษัท ดิจิตอล โฟน จำกัด หรือ ดีพีซี แล้วในวันนี้ (30 พ.ค. 51) เพื่อยุติข้อพิพาททั้งปวง ทั้งที่คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้วและที่ยังค้างพิจารณาอยู่ ตามสัญญายกเลิกสัญญาแต่งตั้งตัวแทนเพื่อจัดให้บริการ (Agreement to Unwind the Service Provider Agreement) โดยตามสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ ดีพีซีตกลงจะชำระเงินจำนวน 3,000,000,000 บาท (สามพันล้านบาท) และภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ดีแทค โดยดีพีซีตกลงยกเลิกสัญญาแต่งตั้งตัวแทนเพื่อจัดให้บริการและปลดภาระผูกพันทั้งหมดของดีแทค และดีแทคตกลงจะเพิกถอนข้อเรียกร้องที่ยังค้างอยู่ตามคำเสนอข้อพิพาทหมายเลขดำที่ 36/2546 ตามที่ได้ยื่นไว้ต่อคณะอนุญาโตตุลาการภายใน 3 วันทำการ
การตกลงประนีประนอมยอมความระหว่างดีแทคและดีพีซีดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังอนุญาโตตุลาการได้มีคำตัดสินชี้ขาดจากคดีความที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ปี 2546 เนื่องจากดีแทคได้โอนสิทธิและหน้าที่การให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ PCN 1800 ตามสัญญาสัมปทาน โดยโอนความถี่บางส่วนกลับไปให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ผู้ให้สัมปทาน และ กสท ได้แบ่งคลื่นความถี่ให้กับดีพีซี เพื่อให้บริการโทรศัพท์มือถือโดยใช้เครือข่ายของดีแทค ซึ่งในสัญญาระบุว่าดีพีซีจะต้องชำระเงินค่าตอบแทนในการโอนสิทธิและหน้าที่และค่าใช้เครือข่ายของดีแทคให้กับดีแทคเป็นงวด ๆ ทั้งสิ้น 8 งวด แต่หลังจากที่บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เข้ามาถือหุ้นในดีพีซี ก็มีการค้างชำระใน 4 งวดสุดท้าย ได้แก่ งวดที่ห้า 16.9 ล้านเหรียญสหรัฐ งวดที่หก 18.5 ล้านเหรียญสหรัฐ งวดที่เจ็ด 40.63 และงวดที่แปด 46.75 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยอนุญาโตตุลาการได้มีคำตัดสินชี้ขาดให้ดีพีซีชำระเงินงวดที่ 6, 7 และ 8 ให้แก่ดีแทค เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2551 ที่ผ่านมา
ซิคเว่ เบรคเก้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารดีแทค กล่าวว่าบริษัทพอใจต่อข้อตกลงดังกล่าวเพราะไม่ต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในชั้นศาลซึ่งอาจใช้เวลานาน โดยบริษัทมีแผนที่นำเงินที่ได้รับไปเป็นส่วนหนึ่งในการลงทุนในระบบ 3G ต่อไป”
โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน – นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่ากรมฯ ได้จัดทำโครงการยกระดับศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SMES ให้มีความรู้ ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญของการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาธุรกิจ โดยจะเริ่มที่ภาคเหนือเป็นลำดับแรก ซึ่งกรม ฯได้จัดให้มีการสัมมนาและประชุมเชิงปฏิบัติการในวันที่ 8 เมษายน 2551 ณ โรงแรมเซ็นทารา ดวงตะวัน จังหวัดเชียงใหม่
นางพวงรัตน์กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดสัมมนาครั้งนี้ว่า ผู้เข้าร่วมสัมมนาจะได้รับความรู้ด้านทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างโอกาสทางธุรกิจ พร้อมกันนี้ยังได้เรียนรู้วิธีการต่อยอดสินค้าจากเอกสารสิทธิบัตรเพื่อนำไปใช้ในการต่อยอดสินค้าของตนเอง หรือสร้างสรรค์สินค้าใหม่ๆเพื่อเพิ่มโอกาสการแข่งขันทางการค้า อีกทั้งยังเป็นการสร้างผลงานเพื่อเข้าสู่ระบบการจดทะเบียนคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
“อีกทั้งยังได้รับการอำนวยความสะดวกในการยื่นคำขอจดทะเบียน แจ้งข้อมูลทรัพย์สินทางปัญญา และได้รับคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาโดยตรง ตลอดจนได้มีทรัพย์สินทางปัญญาของตนเอง และนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางธุรกิจ และมีโอกาสขอรับทุนสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)” นางพวงรัตน์กล่าว
“เนื้อหาในการสัมมนาประกอบด้วย การยกระดับศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยทรัพย์สินทางปัญญา บรรยายโดยนายชุมพล ศิริวรรณบุศย์ ประธานโครงการยกระดับศักยภาพวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้วยทรัพย์สินทางปัญญา, การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อยกระดับศักยภาพ SMES โดยนายชยธวัช อติแพทย์ นายกสมาคมส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาแห่งประเทศไทย, เทคนิคการสืบค้นสิทธิบัตรนานาชาติ 50 ล้านเรื่องมาผลิตสินค้าโดยไม่ผิดกฎหมาย, เทคนิคการนำสิทธิบัตรต่างประเทศมาใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และต่อยอดจดสิทธิบัตรในประเทศไทย หรือต่างประเทศ, การตรวจสอบ การเตรียมคำขอ และการยื่นขอรับสิทธิบัตร รวมถึงความต้องการของผู้ประกอบการและความพร้อมที่จะเข้าร่วมโครงการประกอบการพิจารณาจัดกิจกรรม” นางพวงรัตน์กล่าว
กรมทรัพย์สินทางปัญญาตอกย้ำจุดยืน ระบุเดินหน้าปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างจริงจังต่อเนื่อง และเป็นระบบ ยืนยันให้ความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามพันธกรณีความตกลง TRIPs มาโดยตลอด ชี้สหรัฐกล่าวหาไทยเกินเลยกว่าพันธกรณีระหว่างประเทศ เตรียมส่งข้อมูลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเดือนที่ผ่านมาให้ USTR ประกอบการพิจารณาจัดอันดับประเทศไทย
กรมทรัพย์สินทางปัญญา – นางพวงรัตน์ อัศวพิศิษฐ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า จากการที่ USTR ได้เสนอรายงาน NTE ประจำปี 2551 ต่อรัฐสภาของสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยมีการหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของไทยขึ้นมา และจะนำข้อมูลดังกล่าวมาประมวลในการจัดอันดับประเทศคู่ค้าที่ไม่ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอย่างเพียงพอ ตามกฎหมายการค้าสหรัฐมาตรา 301 พิเศษ ซึ่งจะประกาศผลในช่วงปลายเดือนเมษายน ศกนี้นั้น ในส่วนของกรมทรัพย์สินทางปัญญาขอยืนยันว่า ประเทศไทยได้ให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาตามพันธกรณีความตกลง TRIPs อยู่แล้ว ข้อกล่าวหาของสหรัฐอเมริกาเรื่องที่ว่าประเทศไทยไม่ให้การคุ้มครองข้อมูลทดลองยา และการเชื่อมโยงระบบสิทธิบัตรกับการขึ้นทะเบียนยาอันทำให้ไม่เป็นผลต่อการคุ้มครองอุตสาหกรรมยาของสหรัฐอเมริกานั้น ถือเป็นเรื่องของการขอความคุ้มครองมากกว่ามาตรฐานของ WTO ซึ่งจริงๆแล้วสหรัฐอเมริกาพยายามผลักดันเรื่องนี้ในหลายๆเวทีแต่ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ จึงอาจกล่าวได้ว่าสิ่งที่สหรัฐอเมริกาเรียกร้องประเทศไทยนั้นเกินเลยกว่าพันธกรณีระหว่างประเทศ
“กรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเรื่องการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาได้มีการปราบปรามสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างต่อเนื่อง และเฉียบขาด โดยได้มีการประสานกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดีเอสไอ และกรมศุลกากรเพื่อตั้งคณะทำงานระดับชาติมาทำหน้าที่ปราบปรามสินค้าละเมิดอย่างเป็นรูปธรรม และเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ทางกรม ฯ จะจัดส่งสรุปข้อมูลการปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในเดือนที่ผ่านมาส่งให้กับ USTR เพื่อประกอบการพิจารณาจัดอันดับประเทศไทยตามมาตรา 301 ซึ่งจะมีการประกาศผลในวันที่ 30 เมษายน ศกนี้ ” นางพวงรัตน์กล่าว
นางพวงรัตน์กล่าวถึงประเด็นเรื่องการแก้ไขปัญหาการขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในห้างสรรพสินค้าว่าที่ผ่านมากรมทรัพย์สินทางปัญญาได้มีการลงนามความตกลง (MOU) กับ ห้างสรรพสินค้าจำนวน 10 แห่ง โดยมีสาระสำคัญคือถ้าตำรวจจับได้ว่าผู้ขายสินค้าในห้างสรรพสินค้านั้นๆขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้นทางตำรวจจะแจ้งให้เจ้าของห้างสรรพสินค้านั้นๆรับทราบ และถ้ายังฝ่าฝืนอยู่ และจับได้เป็นครั้งที่สอง ห้างต้องยกเลิกสัญญาเช่ากับร้านค้านั้นๆทันที ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากห้างสรรพสินค้า ส่วนเรื่อง
การละเมิดลิขสิทธิ์หนังสือนั้นในประเทศไทยได้รณรงค์อย่างต่อเนื่องและจะร่วมมือกับ DSI กรมศุลกากร
ในการสืบหาแหล่งผลิตเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไปหากมีการละเมิดจริง
อนึ่งประเด็นที่ทางสหรัฐอเมริกาต้องการจากประเทศไทยมี 6 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.) แม้ว่าไทยจะกำลังเข้าเป็นสมาชิกสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร (PCT) แต่ไทยไม่มีการคุ้มครองข้อมูลการทดลองยา และไม่มีการเชื่อมโยงระบบสิทธิบัตรยากับข้อมูลการทดลองยา ทำให้มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาสำหรับยาสามัญโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในขณะที่ยาต้นแบบยังอยู่ในระยะเวลาคุ้มครองสิทธิบัตร และการตรวจสอบสิทธิบัตรของไทยใช้ระยะเวลานาน 2.) ประเทศไทยมีสิทธิทำซีแอลได้แต่กระบวนการขาดความโปร่งใส และไทยควรตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่มีต่อการพัฒนายาชนิดใหม่ด้วย 3.) ไทยมีการละเมิดหนังสือในปริมาณมากทำให้เอกชนสหรัฐ ฯ สูญเสียรายได้ประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา 4.) กฎหมายควบคุมการผลิตซีดีของไทยไม่ให้อำนาจการควบคุมที่เพียงพอ อีกทั้งบทลงโทษไม่รุนแรง 5.) ในการพิจารณาคดีของศาลไทยเรื่องการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญานั้นไม่รุนแรง ไม่ทำให้ผู้กระทำผิดหลาบจำ อีกทั้งยังมีความยากลำบากในการขอออกหมายค้น และเกิดปัญหาของกลางในคดีหายอีกด้วย และ 6.) สหรัฐฯเห็นว่าประเทศไทยควรแก้ไขปัญหาการขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในห้างสรรพสินค้า นอกเหนือจากการบังคับใช้ MOU ระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาและเจ้าของห้างสรรพสินค้าอย่างเข้มงวด ซึ่ง USTR เห็นว่าไทยควรกำหนดให้เจ้าของห้างสรรพสินค้าต้องรับผิดในกรณีที่มีการขายของละเมิดภายในห้างด้วย