Leica – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Mar 2021 08:11:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ถอดสูตรมัดใจลูกค้าในแบบ ‘Leica’ ที่ไม่ใช่แค่ของ ‘สะสม’ แต่ต้องเป็น ‘ไลฟ์สไตล์’ https://positioningmag.com/1323179 Fri, 12 Mar 2021 07:32:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323179 ในปีที่ผ่านมาตลาด ‘กล้องถ่ายภาพ’ เป็นอีกตลาดที่โดนพิษของ COVID-19 เล่นงานอย่างหนัก โดยฉุดตลาดดิ่งถึง -43% เนื่องจาก ตลาดกล้องเป็นตลาดที่ต้องอาศัยอุตสาหกรรม ‘ท่องเที่ยว’ และ ‘งานอีเวนต์’ แต่ลองไปดูฝั่งแบรนด์กล้องลักชัวรีอย่าง ‘Leica (ไลก้า)’ กันบ้าง ว่า COVID-19 ส่งผลกระทบอะไรกับแบรนด์ได้บ้าง

COVID-19 ดันดีมานด์ แต่ซัพพลายไม่เอื้อ

หลายคนคงจะคุ้นชื่อของแบรนด์ ‘Leica (ไลก้า)’ กล้องถ่ายภาพระดับไฮเอนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีอย่างแน่นอน เพราะด้วยนวัตกรรมด้านการถ่ายภาพที่โดดเด่น และการผลิตที่ทำด้วยมือทุกขั้นตอนทำให้ไลก้ากลายเป็นสินค้าระดับลักชัวรีที่มีราคาสูงตั้งแต่หลักแสนถึงหลักล้านบาทเลยทีเดียว โดยในประเทศไทยนั้น บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด ถือเป็นตัวแทนรายเดียว ซึ่งเริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2016

ในปี 2017 ไลก้าประเทศไทยทำรายได้ 147 ล้านบาท จากนั้นก็สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปี 2018 ทำรายได้ 152 ล้านบาท ปี 2019 มีรายได้ 167 ล้านบาท แต่มาในปี 2020 ที่เจอพิษ COVID-19 ทำให้รายได้ลดเหลือ 138 ล้านบาท

ดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด

อย่างไรก็ตาม ดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด ได้ระบุถึงสาเหตุที่รายได้ลดลงว่า ไม่ใช่เพราะคนไม่ซื้อ แต่เพราะของไม่พอขาย เนื่องจากประเทศผู้ผลิต ทั้ง โปรตุเกส และ เยอรมนี มีมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงจำกัดเวลาทำงาน ทำให้ซัพพลายมีจำกัด ลูกค้าเองต้องรอสินค้านาน 4-5 เดือน อีกทั้ง ยังไม่มีสินค้า ‘Limited Edition’ เข้ามากระตุ้นยอดขาย จากปกติต้องมีปีละประมาณ 1-2 รุ่น

COVID-19 ไม่ได้ส่งผลต่อตลาดลักชัวรี เรายังเห็นดีมานด์ยังมีเต็ม 100% แต่ของไม่พอขาย อย่างช่วงล็อกดาวน์ทำให้คนมีเวลามากขึ้น ก็หางานอดิเรกใหม่และเริ่มจับจ่ายมากขึ้นโดยเฉพาะปลายไตรมาส 2 แต่เพราะซัพพลายไม่พร้อม ยอดเลยตก กลายเป็นว่าวันนี้เรากลัวว่าลูกค้าจะเดินมาซื้อ เพราะเราไม่มีสินค้าให้”

เปลี่ยนจากของสะสมให้ใช้งานจริง

ในช่วง 5 ปีก่อน กล้องไลก้ามักจะถูกซื้อไป ‘สะสม’ มากกว่าใช้งานจริง เนื่องจากราคาขึ้นตลอดอย่างน้อย 3-5% ทุกปี ส่วนสินค้าลิมิเต็ดที่ราคาจะสูงกว่าสินค้าทั่วไปประมาณ 10% แต่สามารถนำมาทำกำไรได้สูงกว่ามาก ดังนั้น โจทย์ของไลก้าในไทยคือ ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมให้นำไปใช้งานไม่ใช่เเค่สะสม เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ต่ำกว่า 45 ปี โดยเริ่มจากเปิด ไลก้า บูติค ที่ เกษรพลาซ่า ซึ่งจะเน้นให้คำแนะนำมากกว่า ‘ขาย’ นอกจากนี้ ยังทำกิจกรรมเวิร์กช็อป เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้านำกล้องมาใช้งาน โดยเมื่อรู้สึกว่า ‘สนุก’ ก็จะเกิดเป็นไลฟ์สไตล์

5 ปีก่อน เพอร์เซปชั่นของลูกค้าไลก้ามักซื้อมาสะสม ซื้อมาไม่ใช้ แต่เราเปลี่ยนให้เขารู้สึกสนุกกันมัน โดยเดินหน้าสร้างคอมมูนิตี้ มีการสร้างเวิร์กช็อป สร้างอคาเดมีสอนถ่ายภาพ มี kol เข้ามาแชร์ และร้านเราต้องไม่ใช่ร้านหรูที่หยิ่งใส่ แต่อยากให้ลองให้จับ ซึ่งตอนนี้ Instagram เพจไลก้าจากที่มีผู้ติดตาม 100 คน แต่ตอนนี้มีกว่า 40,000 คน”

ปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าเดิมอายุ 40 ปีขึ้นไปก็ยังคงอยู่ แต่ได้ฐานกลุ่มลูกค้าเจนเนอเรชั่นใหม่ อายุตั้งแต่ 18 ปี ถึง 30 ปี โดยฐานลูกค้าในปี 2020 นั้น กลุ่มอายุ 40 ปีขึ้นไปมีสัดส่วน 38%, อายุ 31-40 ปี 47%, อายุ 23-30 ปี 14% และต่ำกว่า 22 ปี 1% โดยลูกค้ากว่า 50% ถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก ขณะที่จำนวนเลนส์เฉลี่ยที่ 5-6 ตัวต่อคน

Gen Y เป็นฐานลูกค้าที่กว้างที่สุดเพราะเขาต้องการครีเอตคอนเทนต์ตัวเองบนโซเชียลมีเดีย และแม้วันนี้จะไม่มีเงินซื้อ แต่ถ้าวันหนึ่งมีเงินเป้าหมายสูงสุดก็คือ ไลก้า”

ไม่เน้นขยายสาขาเยอะ เพราะของไม่พอ

แต่เพราะหน้าร้านเดิมไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้บริษัทตัดสินใจเปิดไลก้า บูติคแห่งใหม่ที่ ‘เอ็มโพเรียม’ เพื่อกระจายการบริการ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทไม่ได้วางแผนว่าจะขยายสาขาจำนวนมากเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ แต่จะเปิดเพื่อเน้นให้บริการและสร้างประสบการณ์มากกว่า เพราะมองว่าแค่มีสินค้าให้พอขายยังยาก ดังนั้น ถ้าขยายเพิ่มอีกสาขาแล้วต้องหารสินค้ากันอาจไม่เป็นผลดีนัก

“ที่เราเลือกเอ็มโพเรียมเพราะอยู่ใกล้แหล่งพักอาศัยของคอร์คัสตอมเมอร์ อีกทั้งยังไม่วุ่นวายมาก ซึ่งเราอยากให้ลูกค้ามาใช้เวลาที่ร้านมาพูดคุยแลกเปลี่ยนนาน ๆ ไม่ต้องรีบร้อนกลับ ซึ่งตอนนี้แบรนด์ลักชัวรีเปลี่ยนความคิดหมด ไม่เน้นเปิดเยอะเพื่อเข้าถึงคน แต่เปิดน้อยเน้นให้ประสบการณ์ลูกค้าเต็มที่”

ในส่วนของช่องทางออนไลน์ปัจจุบันขายผ่าน ‘Line Official: @leicath’ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการให้ข้อมูลมากกว่า เพราะลูกค้าบางคนแค่มาสอบถามราคา แต่สุดท้ายก็จะไปหน้าร้านเพื่อลองจับลองใช้ก่อน ส่วนการเปิดเว็บไซต์ของไลก้าก็มีแผนจะทำแต่ก็จะเน้นการให้ข้อมูลมากกว่าขาย เพราะสินค้าราคาสูง ดังนั้นอาจจะเน้นซื้อขายอุปกรณ์เสริมมากกว่า

มั่นใจโต 30% เพราะดีมานด์อั้น

แม้ยอดขายในปี 2020 จะลดลง แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าในปี 2021 จะสามารถเติบโตได้ 30% ทำรายได้รวม 180 ล้านบาท เนื่องจากดีมานด์ที่อั้นตั้งแต่ปี 2020 รวมถึงซัพพลายที่เริ่มฟื้นตัว อีกทั้งลูกค้าไปต่างประเทศไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องซื้อที่ประเทศไทย ซึ่งน่าจะทดแทนส่วนของ ‘นักท่องเที่ยวต่างชาติ’ ที่มีสัดส่วนประมาณ 20% ของลูกค้าทั้งหมด

“ยอมรับว่าลูกค้าไลก้า 40% ซื้อจากต่างประเทศ แต่ที่ซื้อเพราะไม่ใช่ว่าราคาถูกกว่า เพราะเราปรับราคาทุกไตรมาสเพื่อให้เท่ากันทุกประเทศ แต่อาจเป็นสิทธิด้านภาษีที่อาจจะแลกคืนได้ ราคาก็อาจจะลดลงมาราว 10% แต่ตอนนี้เดินทางไปไหนไม่ได้ ก็ต้องซื้อที่ไทย”

ทั้งนี้ จากรายได้ 180 ล้านบาทคาดว่าสัดส่วนยอดขาย 80% จะเป็นสินค้าธรรมดา โดยในจำนวนนี้แบ่งเป็นกล้อง 50% เลนส์ 40% และ 10% เป็นอุปกรณ์เสริม โดยรุ่นขายดี ได้แก่ Leica Q2 ราคา 178,200 บาท, Leica M10R ราคา 280,000 บาท และ Leica SL2 ราคา 213,900 บาท

ส่วนยอดขายอีก 20% เป็นสินค้าลิมิเต็ด โดยสินค้าลิมิเต็ดตัวตัวแรกของปีคือ ‘Leica Q2 Special Edition Daniel Craig x Greg Williams’ ผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 750 ตัวในโลก ราคา 221,400 บาท ซึ่งในไทยคาดว่าจะได้มาประมาณ 22 ตัว จากที่สั่งไป 90 ตัว ซึ่งถือว่าได้มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะไทยถือเป็นเบอร์ 1 ที่มียอดขายสูงสุดในภูมิภาค

“แม้ภาพรวมตลาดกล้องทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากพิษ COVID-19 แต่สำหรับไลก้า เราไม่ได้มองใครเป็นคู่แข่งเลย เพราะเราไม่ได้อยู่ในตลาดแมส ไม่ได้แข่งกันในเรื่องของสเปก หรือฟังก์ชัน แต่เป็นนิชมาร์เก็ตของกลุ่มคนที่มีความชอบ และมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง”

ภาพจาก Facebook Leica

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่สุดของไลก้าคือ cycle ของลูกค้าใหม่ที่ไม่ใช่ฮาร์ดคอร์แฟนที่จะหายไป ดังนั้น ต้องทำตลาดทุก ๆ 3 ปี และโจทย์สำคัญของเราตลอดมาคือ ไม่ต้องการซื้อไปเพื่อวางไว้เฉย ๆ อยากให้คนซื้อไปแล้วได้ถ่าย เราต้องกระตุ้นให้คนซื้อไปแล้วใช้ สนุกกับการถ่ายรูปไม่ใช่แค่ซื้อไปเก็บ

]]>
1323179
ส่อง 6 ไฮไลต์ ที่ทำให้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นของขวัญปีใหม่สุดปัง https://positioningmag.com/1311643 Wed, 23 Dec 2020 12:00:38 +0000 https://positioningmag.com/?p=1311643

ในช่วงท้ายปีหลายคนคงกำลังมองหาของขวัญเพื่อมอบให้กับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นคู่รัก เพื่อน ครอบครัวหรือแม้กระทั่งการให้รางวัลตัวเอง ซึ่งสมาร์ทโฟนก็ถือเป็นไอเท็มยอดฮิตที่ใครหลายใฝ่ฝัน หากใครที่อยากสัมผัสประสบการณ์การถ่ายภาพและวิดีโอระดับโลก HUAWEI Mate 40 Pro 5G ถือเป็นหนึ่งในของขวัญที่คุ้มค่า น่าลงทุน ไม่เพียงแต่ดีไซน์สวยแล้วยังมาพร้อมกับความสามารถที่รอบด้านอีกด้วย

6 ไฮไลต์ที่ทำให้ HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นของขวัญที่คนให้ก็สุขใจ คนรับก็แฮปปี้

  1. การประมวลผลที่ยอดเยี่ยม เร็วและแรง ด้วยชิปเซ็ต 5G SoC ขนาด 5 นาโนเมตรที่รวมเอาโปรเซสเซอร์ไว้กับโมเด็ม ภายในชิปเซ็ตระดับเรือธง Kirin 9000 ทำให้ประมวลฉับไว พร้อมรองรับการใช้งานอินเทอร์เนตความเร็วสูงและสัญญาณ 5G ทุกคลื่นความถี่ ให้การใช้งานสัญญาณ 5G ทุกเครือข่ายเต็มประสิทธิภาพ มาพร้อม GPU ระดับเทพอย่าง 24-Core Mali-G78 GPU ที่เล่นภาพกราฟิกขั้นสุดได้อย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด ให้ทุกเกมยอดฮิตที่ภาพกราฟิกล้ำเป็นไปได้ทุกที่ ทุกเวลา หากต้องฉลองปีใหม่หรือจัดกิจกรรมความบันเทิงใดๆ ก็เล่นได้บนสมาร์ทโฟนทันที

 

2. เหนือชั้นในทุกมิติด้วยระบบกล้องระดับโลกอย่าง Leica ตัวที่ประสานการทำงานอย่างอัจฉริยะ ทั้งกล้องหลัก Ultra Vision Cine ที่ให้มุมภาพแบบภาพยนตร์จะถ่ายวิดีโอหรือภาพนิ่งก็สวยประหาร ให้ผู้ใช้มี killer content โพสท์เรียกไลก์ได้ตลอดเทศกาลข้ามปี มาพร้อมกล้องเลนส์กว้างพิเศษ Ultra Wide และกล้องซูม Telephoto ที่ซูมแบบออปติคัลได้ 5 เท่า แบบไฮบริด 10 เท่า และแบบดิจิทัลสูงถึง 50 เท่า ถ่ายภาพกลางคืนได้คมชัด เก็บภาพไฟสถานที่สำคัญได้ไม่มีมัว บันทึกวิดีโอได้ความละเอียดสูงสุดถึงระดับ 4K รวมกับโหมด XD Fusion HDR video ที่เรนเดอร์ฟุตเทจได้แบบเฟรมต่อเฟรม ให้คุณภาพวิดีโอคมชัดราวกล้องมืออาชีพ ส่งคอนเทนต์ขึ้นจอในงานปาร์ตี้ส่งท้ายปีได้อย่างสบายๆ

3. เพื่อนเยอะเก็บครบ หายห่วงด้วยกล้องเซลฟี่มุมกว้างพิเศษ ปาร์ตี้ปีใหม่นี้ รวมตัวกันทั้งที ต้องเก็บภาพที่ระลึกไว้ให้หมดทุกคนด้วยกล้องเซลฟี่มุมกว้างพิเศษ พร้อมถ่ายวิดีโอได้ระดับ 4K ให้ทุกชอตของคุณเสมือนมีช่างภาพมืออาชีพถ่าย ด้วยกล้องหน้าความละเอียดสูง 13 ล้านพิกเซล ให้ภาพคมชัดคุณภาพสูง ทั้งยังอัปเกรดมุมกล้องให้กว้าง เก็บเพื่อนร่วมเฟรมได้มากขึ้น ลดข้อจำกัดของการถ่ายภาพเซลฟี่ ไม่ต้องคอยพกอุปกรณ์เสริมอย่างไม้เซลฟี่ที่บางสถานที่ก็ไม่อนุญาตให้พกพา ให้มุมภาพกว้างแม้ในพื้นที่จำกัด วิดีโอที่ถ่ายด้วยกล้องหน้าก็สามารถปรับเป็นความละเอียดสูงได้สูงสุดถึง 4K ในอัตราเฟรมที่ 60 เฟรมต่อวินาที พร้อมโหมด Dual View 2.0 ที่ถ่ายพร้อมกันได้ทั้งกล้องหนัง กล้องหลัง เพื่อการเก็บคอนเทนต์อย่างต่อเนื่อง

4. สนุกทั้งวันทั้งคืนไม่มีหยุดด้วยแบตเตอรี่ใหญ่จุใจ ทำให้การจัดการพลังงานของสมาร์ทโฟน HUAWEI Mate 40 Pro 5G เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากรวมเอาโปรเซสเซอร์และโมเด็มเข้าไว้ด้วยกัน เมื่อรวมเข้ากับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ 4,400 mAh ทำให้มั่นใจได้ว่าความเพลิดเพลินในการใช้สัญญาณ 5G บนเครื่อง HUAWEI Mate 40 Pro 5G จะไม่สะดุด แต่หากเกิดแบตเตอรี่อ่อนแรงลง รุ่นนี้ก็รองรับเทคโนโลยีชาร์จไว HUAWEI SuperChargeTM ทั้งแบบไร้สายและมีสาย เมื่อชาร์จแบบใช้สายก็เร็วถึง 66 วัตต์ ชาร์จเต็มใช้เวลาเพียง 46 นาทีเท่านั้น ขณะที่การชาร์จแบบไร้สายเร็วถึง 50 วัตต์

5. มือไม่ว่าง แค่สั่งงานด้วยการควบคุมท่าทางอัจฉริยะ สำหรับบางกิจกรรมที่ผู้ใช้งานไม่สะดวกใช้มือในการสัมผัส ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพียงแค่สั่งงานด้วยการควบคุมท่าทาง ไม่ว่าจะเป็นการยกมือขึ้นเพื่อกดรับสายหรือหยุดเพลง หรือปัดมือไปทางซ้าย-ขวา ขึ้น-ลง เพื่อเลื่อนภาพโดยไม่ต้องสัมผัส เรียกว่าสะดวก ง่ายและรวดเร็วสุดๆ

 6. ยืนหนึ่งเรื่องความปลอดภัย หัวเว่ยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความปลอดภัยของผู้ใช้งาน เหนือขั้นด้วยการตรวจสอบอัตลักษณ์จากลายนิ้วมือและการแสกนใบหน้า 3 มิติ ซึ่งทำได้อย่างสะดวกแม้ในที่น้อย เพิ่มความปลอดภัยให้การใช้งานด้วยระบบปฏิบัติการ EMUI 11 อัปเกรดอีโคซิสเต็มและแพลตฟอร์มในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันให้มีความปลอดภัยยิ่งกว่าที่เคย พร้อมเปิดหน้าจอให้อยู่ในโหมด Always On ได้อย่างง่ายๆ เพียงส่งสายตามองไปยังหน้าจอ

บรรยายภาพ: (ซ้าย) การควบคุมการสั่งงานด้วยท่าทาง (ขวา) ปลดล็อคหน้าจอด้วย 3D Face Unlock

และสำหรับแฟนๆ หัวเว่ย ที่กำลังหากิจกรรมทำเล่นช่วงปลายปีหรืออยากลองสวมบทบาท Vlogger ก็สามารถถ่ายคลิปร่วมสนุกเพื่อลุ้นเป็นเจ้าของ HUAWEI FreeBuds Pro ได้ในกิจกรรม HUAWEI Vlog Contest 2020 เพียงถ่ายวิดีโอด้วยสมาร์ทโฟนของหัวเว่ยภายใต้หัวข้อ Christmas Theme (ธีมคริสต์มาส), New year resolutions (ปณิธานปีใหม่), Fitness (ฟิตเนส), หรือ ASMR; Autonomous Sensory Meridian Response (เสียงบำบัด) หัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง โดยต้องยาวไม่ต่ำกว่า 1 นาทีและไม่เกิน 10 นาที อัพโหลดลงเฟซบุ๊ก ตั้งค่าเป็นสาธารณะพร้อมติดแฮชแท็ก #VlogcontestbyHUAWEIMate40ProTH โดยเล่าถึงแรงบันดาลใจในการถ่าย Vlog บนแคปชันรวมถึงอธิบายเกี่ยวกับความประทับใจในสมาร์ทโฟนหัวเว่ยที่ใช้ถ่ายด้วย เพียงแค่นี้ก็มีสิทธิลุ้นรับ HUAWEI FreeBuds Pro มูลค่า 5,499 บาทจำนวน 3 รางวัล สามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 18 มกราคม 2564 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ HUAWEIMobileTH

ครีเอทคอนเทนต์บนโลกออนไลน์ได้ว้าวกว่าเดิม ด้วยเคส Ring Light ที่สามารถปรับไฟได้หลากสี หลายระดับ จะที่แสงน้อย แสงอ่อน หรือไม่มีแสงก็พร้อมเป็นคู่หูเซลฟี่ได้แบบไม่มีพลาด หน้าไม่ดรอป เพียบพร้อมด้วยแอปพลิเคชันสุดฮิตใน HUAWEI AppGallery และ Petal Search โดย HUAWEI Mate 40 Pro 5G สั่งจองและซื้อได้แล้ววันนี้ในราคา 34,990 บาท มีให้เลือก 2 สี คือ Mystic Silver และ Black พิเศษสุดสำหรับผู้ที่ซื้อตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ผ่านทางหน้าร้าน HUAWEI Experience Store ทุกสาขา หรือออนไลน์สไตล์สาย social-distancing ก็จับจองได้ที่เว็บไซต์ HUAWEI Online Store โฉมใหม่ รวมถึงร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รับฟรีทันทีของสมนาคุณมูลค่ารวม 7,970 บาท ประกอบด้วย ปากกา HUAWEI M-Pen 2, เคสไฟวงแหวน HUAWEI Ring Light Case และแท่นชาร์จเร็วไร้สาย HUAWEI SuperChargeTM Wireless Charger Stand พร้อมบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟจากหัวเว่ย

สามารถติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ได้ที่ https://consumer.huawei.com/th/shop/product/huawei-mate-40-pro/

เกี่ยวกับหัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป 

หัวเว่ยมีผลิตภัณฑ์และบริการในกว่า 170 ประเทศ และมีผู้ใช้ถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั่วโลก มีศูนย์วิจัยและพัฒนา 14 แห่งในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในเยอรมนี สวีเดน รัสเซีย อินเดีย และจีน หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป เป็น 1 ใน 3 กลุ่มธุรกิจของหัวเว่ย โดยครอบคลุมสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป แท็บเล็ต ผลิตภัณฑ์สำหรับสวมใส่ (wearable) และบริการคลาวด์ เป็นต้น เครือข่ายทั่วโลกของหัวเว่ยสร้างขึ้นด้วยความเชี่ยวชาญมากกว่า 30 ปีในแวดวงอุตสาหกรรมโทรคมนาคม และมีพันธกิจในการส่งมอบความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดให้กับผู้บริโภคทั่วโลก 

ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมของ หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป (ประเทศไทย) ได้ที่:     

Website: http://consumer.huawei.com/th

Facebook: http://www.facebook.com/HuaweiMobileTH

Huawei Store: https://consumer.huawei.com/th/offer/ 

LINE: HuaweiMobileThailand

Instagram: Huawei.TH

 

]]>
1311643
เมื่อ “ไลก้า” ใช้ “โฟโต้ เจอร์นี่” ขยายลูกค้ากล้องลักชัวรี่ https://positioningmag.com/1156203 Fri, 09 Feb 2018 00:15:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1156203 ผมไม่ได้ขายกล้อง แต่ขายสิ่งที่เกิดมาจากกล้อง ดนัย สรไกรกิติกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอลิส ไพรเวต จำกัด บอกถึงวิธีคิดของการทำตลาดกล้อง ไลก้า แบรนด์กล้องอายุร้อยปี ที่บริษัท เอลิส ได้สิทธิ์เป็นตัวแทนรายเดียวมาเป็นเวลา 2 ปีเต็ม

เป็นวิธีคิดที่ดนัยนำมาต่อยอดกลยุทธ์การตลาดให้กับกล้องไลก้า ที่วางจุดยืนให้เป็นสินค้าลักชัวรี่ แตกต่างไปจากกล้องทั่วไป โดยมุ่งเน้นสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และกลุ่มผู้ใช้ผ่านช่องทาง ร้านบนเกษรพลาซ่า รวมถึงกิจกรรมต่างๆ เช่น การจัดเวิร์คช้อปอย่างพาลูกค้าไปออกทริปถ่ายรูปสร้างประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์

กิจกรรมลักษณะนี้ ไปกระตุ้นให้ลูกค้าเก่าที่ซื้อกล้องไปแล้วไปเก็บสะสม ให้เปลี่ยนมาลงมือถ่ายรูปด้วยตัวเอง เมื่อรู้สึกว่าสนุกก็จะเกิดเป็นไลฟ์สไตล์ถ่ายภาพในยามว่าง จากนั้นสิ่งที่ตามมาคือคอมมูนิตี้ไลก้าต่อยอดไปสู่การสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ อายุเด็กลงเพิ่มขึ้น

เมื่อบวกกับ กลยุทธ์ด้านราคาที่ต่ำลงมา ซื้อที่ไทยราคาเท่ากับเยอรมนีทำให้ยอดขายไลก้าขยับขึ้นทุกปี

จากยอดขาย ปีแรก 150 ล้านบาท ปีต่อมา 2560 ปิดตัวเลขไปได้ 300 ล้านบาทเติบโตเท่าตัว เป้ายอดขายในปีนี้เพิ่มไปถึง 500 ล้านบาท

แม้ไม่ต้องปวดหัวกับปัญหาเครื่องตกรุ่นและราคาตกอย่างรวดเร็วเหมือนตลาดกล้องทั่วไป เพราะด้วยความที่ผลิตจำนวนจำกัด ทำให้สินค้าไม่พอขาย แต่โจทย์ต่อไปของไลก้า คือ การขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น ให้ลูกค้าเดิมใช้เวลากับกล้องมากขึ้น

ดังนั้นเป้าหมายของไลก้าในปีนี้ จึงเป็นเรื่องของการต่อยอด Photo Journey ให้ครบ เพราะถ้าดูจากขั้นตอนการถ่ายภาพ แบ่งเป็น 3 ขั้นหลักๆ 1) การถ่ายภาพ 2) การแต่งภาพ คอมพิวเตอร์ หรือ Light room และ 3) การปริ้นท์ภาพ เพื่อดูรายละเอียด

พฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มผู้ใช้งานกล้องถ่ายภาพของไทยเวลานี้ ยังอยู่ในเพียงขั้นแรกเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น เป้าหมายที่เอลิสต้องทำอย่างเข้มข้นในปีนี้ คือ การต่อยอดไปสู่ถึงขั้นที่ 2 หรือ 3

นั่นคือที่มาของการเปิด ไลก้า อะคาเดมี ให้ผู้ใช้งานไลก้าเรียนรู้ผ่านเวิร์คช้อป ถ่ายภาพทั้งขั้นเริ่มต้น ไปจนถึงระดับแอดวานซ์ รวมทั้งต่อยอด ไลก้า แกลเลอรี แบงค็อก เป็นแห่งที่ 19 ของโลก และแห่งที่ 4 ของเอเชีย รองจาก กรุงโตเกียว, เกียวโต ประเทศญี่ปุ่น และประเทศสิงคโปร์ นำผลงานถ่ายภาพของศิลปินต่างชาติและไทย มานำแสดง ประเดิมด้วย ผลงานนิค อุท ช่างภาพระดับโลกชาวเวียดนาม เจ้าของรางวัล Pulitzer (พูลิตเซอร์) รวมทั้งแผนการเปิดสาขาใหม่อีก 1 แห่ง ใจกลางเมืองที่จะมีขึ้นภายในปีนี้

ภาพที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์

ดนัยก็หวังว่า ด้วย Photo Journey เหล่านี้ จะนำไปสู่การสร้างฐานลูกค้า และแบรนด์ ไลก้า ในตลาดไทยให้เติบโตต่อไป.

]]>
1156203
“หัวเว่ย” ใช้ “ไลก้า” เสริมแบรนด์ P9 ลุยตลาดพรีเมี่ยม https://positioningmag.com/1094087 Thu, 09 Jun 2016 01:30:11 +0000 http://positioningmag.com/?p=1094087 ตลาดสมาร์ทโฟนยังคงมีอะไรใหม่ๆ ออกมาให้เห้นอยู่เรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้หวือหวาเหมือนช่วงหลายปีก่อนมากนัก ซึ่งทิศทางของแต่ละแบรนด์จะเริ่มเจาะเซ็กเมนต์มากขึ้น ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องกล้องถ่ายรูป เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน

หัวเว่ยเองก็ลงมาเล่นในเซ็กเมนต์นี้เหมือนกัน จากที่เมื่อปีก่อนได้เริ่มรีโพสิชั่นตัวเองให้อยู่ในเซ็กเมนต์พรีเมี่ยม หรือพรีเมี่ยมแมสด้วยการส่งสินค้าอย่าง P8 ออกมาในตลาด และเมื่อต้นปีก็เพิ่งส่งสินค้ารุ่น Mate 8 ทั้งนี้เพราะด้วยการแข่งขันในตลาดของสมาร์ทโฟนระดับกลางและล่างสูงมาก ทางฝั่งโอเปอเรเตอร์ก็ลงมาเล่นในตลาดนี้มากขึ้น

1_huawei

กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของหัวเว่ยมีหลักๆ อยู่ 3 อย่างด้วยกัน อย่างแรกคือ วางจุดยืนใหม่ให้พรีเมี่ยม เพื่อปิดจุดอ่อนเรื่องแบรนด์จากประเทศจีน แต่เป็นการวางราคาที่อยู่ในช่วงที่ไม่มีผู้เล่นเยอะอย่างช่วง 16,000-20,000 บาท เพราะผู้เล่น 2 แบรนด์ใหญ่จะเป็นราคา 20,000 บาทขึ้นไปทั้งสิ้น

อย่างที่สองคือเพิ่มช่องทางจัดจำหน่าย เป็นช่องทางของโอเปอเรเตอร์ กำลังอยู่ในช่วงการพูดคุยกันอยู่ อาจจะได้เห็นความคืบหน้าในช่วงไตรมาส 3

3_huawei

และกลยุทธ์สุดท้ายที่เรียกว่าสำคัญที่สุดก็คือการใช้ “แบรนด์ บิวท์ แบรนด์” นำแบรนด์ที่ได้รับความนิยมมาผนึกกำลังอย่างสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุด “หัวเว่ย P9” และ “หัวเว่ย P9 พลัส” ที่หัวเว่ยต้องการชูดจุดเด่นด้วยการเป็น “Smartphone Photography” จึงได้พัฒนากล้องร่วมกับ “ไลก้า” แบรนด์กล้องถ่ายรูประดับลักชัวรี่ เพื่อนำมาเสริมให้แบรนด์หัวเว่ยดูพรีเมี่ยมขึ้น และให้สมาร์ทโฟนรุ่นนี้เป็นมากกว่าความไฮเทค แต่มีเรื่องศิลปะเข้ามาผสม   

4_huawei

ทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันความนิยมในการถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนมีเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่รักการถ่ายภาพ และแบรนด์กล้องถ่ายรูปก็ต้องเลือกไลก้าเท่านั้น ซึ่งเข้ามาช่วยเรื่องแบรนดิ้ง และเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักเยอะด้วย เป็นการเสริมช่วยให้หัวเว่ยดูพรีเมี่ยมขึ้น”

ไลก้าเป็นพันธมิตรระยะยาวของหัวเว่ย เป็นไปได้ว่าสมาร์ทโฟนรุ่นอื่นๆ จะมีแบรนด์ของไลก้าเข้าไปร่วมด้วย ซึ่งเป็นการเดินหน้าใช้พันธมิตรเข้ามาช่วยสร้างแบรนด์ โดยที่สายแฟชั่นจะมีการเปิดตัวหัวเว่ย พี 9 กับนิตยสารลิปส์ต่อไปด้วย

สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่นี้หัวเว่ยตั้งเป้ายิดขายในระดับโกลบอลจำนวน 10 ล้านเครื่อง ภายใน 1 ปี ส่วนในประเทศไทยตั้งเป้าการเติบโต 50% ในปี 2558 หัวเว่ยมีส่วนแบ่งตลาด 2% ตั้งเป้าภายใน 3 ปีเพิ่มขึ้นเป็น 15%

ทศพร

]]>
1094087
“ไลก้า” ปั้นแบรนด์กล้องให้เป็น “ลักชัวรี่ โปรดักส์” https://positioningmag.com/1090597 Fri, 29 Apr 2016 06:00:24 +0000 http://positioningmag.com/?p=1090597 เป็นตำนานของแบรนด์กล้องระดับโลกอีกแบรนด์หนึ่งสำหรับ “Leica (ไลก้า)” ที่มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี สาวกที่ชื่นชอบกล้องถ่ายรูป หรือนักสะสมคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีว่าไลก้าเป็นแบรนด์กล้องที่มีมีราคาที่ค่อนข้างสูง เพราะด้วยนวัตกรรม และกระบวนการผลิตเฉพาะตัว ทำให้การวางจุดยืนของไลก้าจึงอยู่ในระดับไฮเอนด์

ในประเทศไทยไลก้าได้เข้ามาทำตลาดได้ราว 5-6 ปีแล้ว แต่เป็นการจำหน่ายผ่านดีลเลอร์ ซึ่งได้เพิ่งหมดสัญญาไปไม่นาน ทางไลก้า คาเมร่าจากประเทศเยอรมันก็ได้มองหาพันธมิตรรายใหม่ แต่ไม่ใช่ผู้จำหน่ายสินค้าประเภท “กล้อง”เหมือนเคย แต่กลับเป็น บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรท จำกัด ที่เป็นผู้นำเข้า และจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่น

เอ-ลิสฯ แต่เดิมอยู่ในธุรกิจด้านรีเทลแฟชั่นมากว่า 10 ปีแล้ว มีแบรนด์ในมืออยู่ 7 แบรนด์ เป็นแบรนด์ในระดับไฮเอนด์ และลักชัวรี่ทั้งสิ้น  แบ่งเป็นแบรนด์ของตัวเอง 4 แบรนด์ อย่าง Boudoir by Disaya, Disaya , Something Boudoir , The Only Son และแบรนด์นำเข้าอีก 3 แบรนด์ ได้แก่ Chloe, Jimmy Choo และ Valentino เพราะฉะนั้นในการทำตลาดไลก้าครั้งนี้จึงเป็นการแตกไลน์มายังสินค้าเป็นครั้งแรก

1_liga 2_liga

เนื่องจาก การขยับเข้าสู่ตลาดครั้งนี้ ไลก้าต้องการ “ฉีก” จาก รูปแบบการทำตลาดจากการขายกล้องแบบเดิมให้เป็นการขายในรูปแบบของ “สินค้าลักชัวรี่” เน้นความหรูหรา  ต้องหาช่องทางใหม่ และมาลงตัวที่ เอ-ลิสฯ ที่ก็ต้องแตกไลน์ขายสินค้าไลฟ์สไตล์ด้วยเช่นกัน

ในการร่วมมือครั้งนี้ ทั้งคู่ได้มีการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาเป็น บริษัท ไลก้า ไทยแลนด์ จำกัด เป็นการลงทุนกันคนละครึ่งของทั้ง บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรท จำกัด และ ไลก้า คาเมร่า ซึ่งเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับสิทธิ์ในลักษณะนี้

สำหรับแบรนด์ไลก้า นอกจากจะเป็นความชอบส่วนตัวของ “ดนัย สรไกรไกรกิติกูล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ-ลิส คอร์ปอเรท จำกัด ที่ได้สะสมเลนส์ไลก้ามากว่า 10 ปีแล้ว ดนัยยังมองถึงโอกาสของแบรนด์นี้ว่ายังมีอีกมาก เนื่องจากลูกค้าไลก้าในประเทศไทยมีอยู่พอสมควร และเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ รวมถึงปัจจุบันคนรุ่นใหม่ชื่นชอบสินค้าที่มีประวัติ มีตำนาน ที่สามารถสะท้อนตัวตนของผู้ใช้ได้

4_liga

กลยุทธ์ในการทำตลาดไลก้าในประเทศไทย ดนัยบอกว่าเน้นการเข้าหากลุ่มผู้ใช้โดยตรงในการสร้างเอ็นเกจเมนต์ผ่านช่องทางไลก้า สโตร์ที่ศูนย์การค้าเกษรพลาซ่า ซึ่งอยู่ในโซนแฟชั่น และสร้างคอมมูนิตี้ของคนชื่นชอบแบรนด์ไลก้า มีการจัดเวิร์กชอป รวมถึงจัดนิทรรศการผลงานของช่างภาพที่ใช้กล้องไลก้า ใช้งบการตลาดในปีแรก 10 ล้านบาท

มีแผนในการขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 2-3 สาขาภายใน 2 ปี แต่ในปีนี้มีแฟล็กชิพสโตร์ที่เกษรพลาซ่าสาขาเดียว แต่จะมีโมเดลป็อปอัพ สโตร์ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี และสยามดิสคัฟเวอรี่

และมีการตั้งเป้ารายได้ให้เติบโต 2 เท่า ภายใน 2 ปี จากปีที่แล้วที่มีรายได้ 200 ล้านบาท ที่มีการจำหน่ายผ่านดีลเลอร์

3_liga

5_liga

]]>
1090597
หัวเว่ยจับมือไลก้า ส่ง P9 สมาร์ทโฟนขั้นเทพลงตลาด https://positioningmag.com/63095 Fri, 22 Apr 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=63095
กลยุทธ์ปูทางยกระดับแบรนด์จีนสู่แบรนด์ระดับโลก “หัวเว่ย” จับมือ “ไลก้า” สร้างสมาร์ทโฟนขั้นเทพด้วยการนำสุดยอดเลนส์ของไลก้ามาใส่ไว้ในสมาร์ทโฟน หัวเว่ย P9 และ P9 Plus ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่กรุงลอนดอน อังกฤษเมื่อต้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา นวัตกรรมการถ่ายภาพที่ไลก้าผนวกหัวเว่ยครั้งนี้ถือเป็นบริบทใหม่ของการแข่งขันในวงการสมาร์ทโฟน ที่เรียกได้ว่ากระตุกความแรงของซัมซุง กาแลกซี่ S7 และ ไอโฟน SE ที่เพิ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้
 
ดีลระหว่างหัวเว่ย กับไลก้าในครั้งนี้ ได้รับความสนใจจากทั่วโลกเป็นอย่างมาก เพราะเป็นที่รู้กันว่า ไลก้าเป็นผู้ผลิตกล้องพรีเมียมราคาสูงจากเยอรมนี ที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากการผลิตกล้องหลายรุ่นด้วยมือ ประกอบอย่างพิถีพิถัน รวมถึงการออกแบบกล้องที่ดูย้อนยุค แบบมีสไตล์ในระดับพรีเมียม พร้อมด้วยรูปแบบภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากเลนส์ Summarit รวมไปถึงเซ็นเซอร์รับภาพที่มักเลือกใช้ขนาดเท่าฟิล์ม 35 มิลลิเมตรในตัวกล้องขนาดเล็ก ไลก้าจึงมักถูกเลือกจากช่างภาพแนวสตรีท ไลฟ์ ทั่วโลกให้เป็นกล้องคู่ใจ
 
การที่หัวเว่ยร่วมพัฒนากล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนร่วมกับไลก้าจะทำให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงแบรนด์ และจิตวิญญาณของไลก้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นการเปิดประสบการณ์ และมุมมองใหม่ของการถ่ายภาพจากสมาร์ทโฟนหัวเว่ยได้เป็นอย่างดี ด้วยกล้องเลนส์คู่บนหัวเว่ย P9 และ P9 Plus ช่วยในการจับภาพทั้งภาพสี และภาพขาวดำ ทำให้ได้ภาพที่สวยคมชัด มีความละเอียดสูง
 
ริชาร์ด หยู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หัวเว่ย คอนซูเมอร์ บิสซิเนส กรุ๊ป กล่าวว่า การร่วมมือกับไลก้าครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพของสมาร์ทโฟนหัวเว่ย P9 อย่างแท้จริง นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายในการสร้างมาตรฐานอีกระดับในการถ่ายภาพของวงการ สมาร์ทโฟนแห่งยุค ปัจจุบัน มีการใช้สมาร์ทโฟนถ่ายภาพมากกว่า 1 พันล้านภาพต่อปี รวมทั้งมีความนิยมในการถ่ายภาพเพิ่มมากขึ้น การพัฒนผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่รักการถ่ายภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น
 
การผสมผสานระหว่างดีไซน์ และการออกแบบการใช้งานจากหัวเว่ย และไลก้า นำไปสู่ความเหนือระดับของอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นตัวเครื่อง เลนส์ เซ็นเซอร์ รวมไปถึงระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อการถ่ายภาพที่สมบูรณ์แบบ โดยกล้องตัวแรกนั้นจะให้ภาพสีที่เด่นชัด ในขณะที่กล้องตัวที่ 2 จะเก็บรายละเอียดของภาพขาวดำ การผสานพลังของกล้องทั้ง 2 ตัว ทำให้ได้ทั้งภาพที่มีรายละเอียด มีความลึก และสีของภาพสวยงาม แม้ในสภาวะแสงน้อย โดยผู้ใช้ P9 จะสามารถเลือกใช้งานได้ถึง 3 รูปแบบ คือ โหมด Standard, Vivid Colors และ Smooth Colors โดยสามารถใช้ P9 เป็นตัววัดแสง เพื่อให้แสง และสีออกมาเสมือนจริงมากที่สุดได้ โดยเฉพาะในโหมดภาพถ่ายแบบขาว-ดำ
 
“จุดเด่นในด้านของเทคโนโลยี เลเซอร์ การคำนวณความเข้มของสี และความคมชัด ด้วยรูรับแสงที่มีขนาดใหญ่ของ P9 ช่วยสร้างสรรค์ลูกเล่นในการถ่ายภาพอย่างความชัด และตื้น โดยรักษาระดับความชัดของจุดกึ่งกลางของภาพได้ในขณะเดียวกัน”
 
โอลิเวอร์ คาลท์เนอร์ ประธานกรรมการบริหาร Leica Camera Ag กล่าวว่า P9 ถือเป็นความสำเร็จของนวัตกรรมที่ล้ำสมัยของสมาร์ทโฟนที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพ ด้วยเลนส์ที่สมบูรณ์แบบตามสไตล์หัวเว่ย และไลก้า โดยไม่หยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน และจะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ลงสู่ตลาด
 
 
เหนือระดับในด้านการดีไซน์
 
P9 มาพร้อมกระจกหน้าจอคุณภาพสูง 2.5D แบบ Diamond Cut ตัวเครื่องผลิตจากอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับการสร้างยานอวกาศ โดย P9 สีทอง (Haze Gold) หน่วยความจำ 64 GB ดีไซน์เรียบหรูด้วยวัสดุอะลูมิเนียมอัลลอย ตัวเครื่องด้านหลังมีการออกแบบด้วยเทคนิคเซอร์คอนความเร็วสูง เพื่อเพิ่มแฮร์ไลน์ ทำให้ดีไซน์สวยงาม โค้งมนรับสัดส่วนมากยิ่งขึ้น ส่วน P9 สีขาวเซรามิก (Ceramic White) ตัวเครื่องเทียบเท่างานสีบนยานยนต์ เมื่อสะท้อนกับแสงจะยิ่งให้ความสวยงามของสีมากยิ่งขึ้น
 
พลภัทร์ สายบัวทอง Product Marketing Manager Thailand Rep Office Device Business Dept บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า จุดเด่นของ P9 อยู่ที่กล้องตัวหนึ่งเป็นกล้องสี ส่วนอีกตัวเป็นโมโนโครม หรือ ขาว/ดำ การที่ต้องมีกล้อง 2 ตัว เพราะหัวเว่ยมองว่า กล้องขาว/ดำ จะเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า ต่างจากถ่ายรูปมาเป็นสี และมาทำเป็นขาว/ดำทีหลัง ภาพจะไม่ละเอียด แต่ด้วยเซ็นเซอร์เป็นขาว/ดำ ของ P9 บนสมาร์ทโฟนรายแรก ทำให้การเก็บรายละเอียดภาพได้ดีกว่ารวมทั้งมีชิปเซตวัดระยะทำให้ถ่ายภาพเป็นหน้าชัด หลังเบลอได้ โดยเมื่อถ่ายโหมดหน้าชัดหลังเบลอกล้องทั้ง 2 ตัว จะทำงานร่วมกัน หรือทำให้เป็นภาพหน้าชัดหลังเบลอหลังจากถ่ายภาพมาแล้วดึงภาพจากไฟล์มาปรับก็ได้เช่นกัน โดยเวลาถ่ายต้องเลือกเป็นถ่ายกล้องคู่ โหมด wide aperture หรือโหมดหน้าชัดหลังเบลอ
 
“P9 เป็นกล้องที่ดีที่สุดของหัวเว่ยแล้วในตอนนี้ โดยคาดว่าด้วยกล้อง 2 ตัว ของ P9 จะได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี เพราะความไม่เหมือนใคร และไม่มีใครสามารถมาแทนได้ ยิ่งถ้าราคาดีบวกกับฟังก์ชันที่ดีด้วย”
 
พลภัทร์ กล่าวว่า จุดขายของหัวเว่ยอยู่ที่การให้ความสำคัญเรื่องเทคโนโลยี หัวเว่ยลงทุนแต่ละปีด้วยเม็ดเงินมหาศาลนับเป็นอันดับ 2 ของโลก ทั้งด้านเน็ตเวิร์ก และเครื่องลูกข่าย เป็นรองแค่กูเกิลเท่านั้น ด้วยความเชื่อว่าเทคโนโลยีเป็นรากฐานสำคัญของธุรกิจนี้ หากไม่พัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งหัวเว่ยก็จะเป็นเหมือนโนเกีย โมโตโรล่า หรือแบรนด์อื่นๆ ที่ตายไปแล้ว
 
เทคโนโลยีที่หัวเว่ยใส่ไว้ใน P9 และ P9 Plus ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง ด้วยการสแกนนิ้วมือแบบ Biometric ที่ป้องกันการเข้าสู่ระบบของตัวเครื่องอย่างแม่นยำ เพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน อย่าง ฟิงเกอร์สแกน 2.0 ด้วยการจดจำลายนิ้วมือที่ระบบทั่วไปจะมี 4 ระดับ แต่สมาร์ทโฟนบางค่ายใช้แค่ 2 ระดับเท่านั้น ต่างจาก P9 ที่มีถึง 4 ระดับ ทำให้ผู้ใช้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัย เพราะไม่สามารถใช้สก๊อตเทปมาลอกลายนิ้วมือเพื่อนำไปปลดล็อกเครื่องได้
 
เช่นเดียวกันแนวคิดการมีชิปเซตเป็นของตัวเอง ด้วยความเชื่อที่ว่า จะทำให้หัวเว่ยสามารถควบคุมการผลิตได้เองรวมทั้งก้าวสู่การเป็นผู้นำในตลาดได้ในเวลาอันรวดเร็ว อย่าง ชิปเซต KIRIN 955 ใน P9 ที่ถูกอัปเกรดจาก KIRIN 950 ที่หัวเว่ยใช้ในสมาร์ทโฟนตระกูล MATE ที่เคยเป็นชิปเซตที่เร็วที่สุดในโลก
 
ส่วนการเป็นแบรนด์จีน ที่ทำให้ผู้คนไม่มั่นใจในคุณภาพ และบริการนั้น ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะหัวเว่ยเลือกที่จะนำเสนอความเป็นแบรนด์จีนลงในตลาด ต่างจากแบรนด์จีนอื่นที่หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นแบรนด์ยุโรป หรือเกาหลี เพราะไม่ได้ใช้ชื่อจีน หัวเว่ยต้องการจะบอกให้รู้ว่าเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพ ด้วยการจับมือกับแบรนด์ที่มีมูลค่าระดับโลกอย่างไลก้า และเลือกที่จะใช้ดาราฮอลลีวูดมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และยกระดับหัวเว่ยให้เป็นแบรนด์ระดับโลก
 
สำหรับในไทยนั้น เห็นได้ชัดว่าตลาดไทยกลุ่มผู้ใช้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มที่เลือกใช้แแบรนด์ที่ทำให้คนมองภาพลักษณ์ของตัวเองโดยไม่ได้มองฟังกชันของตัวเครื่องเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง กับอีกกลุ่มที่มองเรื่องสเปก เรื่องความคุ้มค่า เป็นเรื่องสำคัญ
 
“จริงๆ แล้วความเชื่อมั่นในแบรนด์เป็นเรื่องใหญ่ที่มาร์เกตติ้งต้องทำ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ อีกโจทย์เป็นคุณภาพสินค้า เมื่อได้สินค้ามาต้องไม่มีปัญหา และสำคัญที่สุด คือ บริการหลังการขาย 3 เรื่องนี้หัวเว่ยให้ความสำคัญอย่างมาก”
 
เขาย้ำว่า หัวเว่ย ให้ความสำคัญต่อการบริการหลังการขาย โดยเฉพาะเรื่องการอัปเดตเทคโนโลยี หรือฟังก์ชันการใช้งานใหม่ๆ ซึ่งเป็นปัญหาของผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้นำในตลาด หรือ สมาร์ทโฟนในระบบแอนดรอยด์ตลอดมา และเพื่อต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ดีขึ้นว่าหัวเว่ยจริงจังต่อผู้ใช้ ไม่ได้มาเพื่อขายแล้วไปเลย หรือที่เรียกว่าลอยแพผู้ใช้เหมือนหลายๆ แบรนด์เป็นกัน หัวเว่ยเริ่มให้บริการที่เรียกว่า VIP เซอร์วิส กับหัวเว่ย P8 ซึ่งเป็นบริการสำหรับสินค้าที่เป็นแฟลกชิปโดยเฉพาะ อย่างเครื่องพัง ต้องได้รับการบริการภายใน 1 วันทำการ ถ้าซ่อมไม่ได้ภายใน 1 วันทำการก็เปลี่ยนเครื่องใหม่ให้เลย
 
“P9 ล็อตแรกจะลงตลาดวันที่ 16 เม.ย. ส่วน P9 Plus วันที่ 20 พ.ค.ในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนประเทศไทยคาดว่าประมาณเดือน มิ.ย.โดยอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะนำรุ่นไหนมาจำหน่าย ซึ่งคาดว่าราคาคงไม่ต่างกับประเทศอื่นมากนัก”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

]]>
63095
หลุดเน้นๆ “หัวเว่ย” จับเลนส์ไฮโซของ LEICA สองตัว ลงสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ P9 https://positioningmag.com/62961 Tue, 05 Apr 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62961
เอเอฟพี/MGR Online – เผยภาพ Huawei P9 สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นใหม่ของยักษ์ใหญ่จากจีน ยืนยันกล้องคู่ด้านหลังผลิตโดยไลก้า ผู้ผลิตกล้องระดับซูเปอร์พรีเมียมสัญชาติเยอรมัน เผยทางยาวโฟกัส 27mm ค่ารูรับแสงกว้างสุดที่ f2.2 ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการพรุ่งนี้ (6 เม.ย.)
 
หลังจากเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ผู้ผลิตกล้อง และเลนส์ชั้นนำระดับโลกจากเยอรมนี ออกมาประกาศว่า จะรังสรรค์การถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือใหม่อีกครั้ง ผ่านความร่วมมือกับหัวเว่ย ยักษ์ใหญ่ด้านอุปกรณ์การสื่อสารเคลื่อนที่จากประเทศจีน ก็มีภาพปรากฏออกมาเรื่อยๆ ว่า สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นต่อไป หรือ Huawei P9 ซึ่งน่าจะออกวางจำหน่ายเร็วๆ นี้ จะมีกล้องคู่อยู่ด้านหลังซึ่งผลิตโดยไลก้า
 
“เราจะเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่น P9 เร็วๆ นี้ และสินค้ารุ่นนี้เราทำงานกับผลิตภัณฑ์จากไลก้า” กัว ผิง รองประธานของหัวเว่ย เปิดเผยต่อสำนักข่าวเอเอฟพี และว่า “เราต้องทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสาขานี้ เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด”
 
ทั้งนี้ ภาพที่หลุดออกมาจากสื่อตะวันตกชี้ให้เห็นว่า ที่ด้านหลังของหัวเว่ย P9 ปรากฏกล้องคู่ ซึ่งไม่ใช่ของแปลก เพราะก่อนหน้านี้ แอลจีก็เพิ่งเปิดตัวสมาร์ทโฟนเรือธงรุ่น G5 ที่มีกล้องคู่อยู่ด้านหลังเช่นกัน ทว่า ความน่าสนใจของภาพหลุด P9 นั้นอยู่ที่อักษร LEICA ที่ประทับอยู่เคียงกัน พร้อมกับคำอธิบายว่า เป็นเลนส์ Leica Summarit ทางยาวโฟกัส 27mm และค่ารูรับแสงกว้างสุดที่ f2.2 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับขนาดของเซ็นเซอร์รับแสงแต่อย่างใด
 
กำหนดการเปิดตัวของหัวเว่ย P9 นั้น คือ วันที่ 6 เมษายน 2559 นี้ อนึ่ง เมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา หัวเว่ยประกาศผลกำไรในรอบปี 2558 ที่ผ่านมา โดยมีผลกำไรเพิ่มขึ้นแบบปีต่อปีถึงร้อยละ 33 โดยได้กำไรสูงถึง 5,700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากรายรับทั้งปี 395,000 ล้านหยวน
 
 
 
 

]]>
62961