LifeStar – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 20 Aug 2020 10:34:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 คุยกับ “เฮียฮ้อ” ทรานส์ฟอร์ม RS ยุคใหม่ : ทาสหมาตัวยง ลุยขายอาหารสัตว์ ปัดฝุ่นเพลง https://positioningmag.com/1293489 Thu, 20 Aug 2020 10:28:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1293489 RS เข้าสู่ยุคที่ 4 ของการดำเนินธุรกิจ ได้เปิดสำนักงานใหม่ย้ายจากลาดพร้าวสู่ย่านถนนประเสริฐมนูกิจ หรือเกษตร-นวมินทร์ ยุคที่ 4 นี้มีการปรับโมเดลใหม่หลายๆ อย่าง เตรียมลุยตลาดอาหารสัตว์เต็มตัว แถมยังเตีรยมปัดฝุ่นธุรกิจเพลงที่ห่างหายไปนานด้วย

RS สู่ยุคที่ 4

ถ้าฝั่งแกรมมี่มี “อากู๋” ฝั่ง RS ที่เป็นเหมือนคู่ปรับทางดนตรีมาตลอดก็ต้องมี “เฮียฮ้อ”

RS เป็นหนึ่งในตำนานเพลงยุค 90 ที่หลายๆ คนเติบโตมาพร้อมกับเพลง และศิลปินของ RS ถึงแม้ว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป โมเดลธุรกิจต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อรับกับความต้องการของตลาด แต่ชื่อของ RS ก็ยังคงอยู่

RS ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2519 โดย “สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์” หรือเฮียฮ้อ และพี่ชาย “เกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์”  เริ่มก่อตั้ง RS และ Rose Sound จากธุรกิจตู้เพลง และค่ายเพลง ด้วยเงินลงทุน 50,000 บาท โดยมีสำนักงานแห่งแรกเป็นตึกแถวจำนวน 2 คูหา บนถนนอุรุพงษ์ ตอนนั้นเฮียฮ้อมีอายุ 19 ปี

อาร์เอส กรุ๊ป

จากนั้นในปี 2525 ก้าวเข้าสู่ธุรกิจเพลงวัยรุ่น ภายใต้บริษัท อาร์.เอส.ซาวด์ จำกัด โดยมีศิลปินวงแรกในสังกัดคือ วงอินทนิล ตามด้วย คีรีบูน, ฟรุตตี้, ซิกเซนต์, บรั่นดี, และ เรนโบว์ เป็นต้น

ในปี 2535 ย้ายสำนักงานจากตึกแถว 2 คูหา ถนนอุรุพงษ์ มายังอาคารเชษฐโชติศักดิ์ ซอยลาดพร้าว 15 และเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัท อาร์.เอส. โปรโมชั่น 1992 จำกัด”

ถ้านับถึงตอนนี้ RS มีอายุ 39 ปีแล้ว ย่างเข้าปีที่ 40 ผ่านการทรานส์ฟอร์มครั้งใหญ่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าสู่ธุรกิจทีวีดิจิทัลเต็มตัวในปี 2557 ใช้ช่อง 8 เป็นหัวหอกหลัก ในปี 2559 เปิดบริษัท “ไลฟ์สตาร์ (LifeStar)” เข้าสู่ธุรกิจสุขภาพ และความงาม

จนถึงในปี 2562 มีการทรานส์ฟอร์มครั้งสำคัญที่ RS ได้ขอปรับย้ายหมวดธุรกิจ จากหมวดธุรกิจ “สื่อและสิ่งพิมพ์” มาเป็นหมวด “ธุรกิจพาณิชย์” หรือ MPC (Multi-platform Commerce) โดยกลุ่มนี้สร้างรายได้ได้ในสัดส่วนถึง 65% ของรายได้รวมของ RS และในปีเดียวกันนั้น “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” ก็ได้เข้าถือหุ้น RS จำนวน 68 ล้านหุ้น (หรือประมาณ 7%) เพื่อเชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้า

เฮียฮ้อเริ่มเล่าว่า 39 ปีของ RS ที่ผ่านมา ได้แบ่งเป็น 3 ช่วงใหญ่ๆ จนในปีนี้ถึงยุคที่ 4 เป็นการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ พร้อมกับย้ายสำนักงานใหญ่ด้วย

“ที่ผ่านมาแบ่ง RS เป็น 3 ช่วงด้วยกัน ช่วงแรกเป็นช่วงของปลาใหญ่กินปลาเล็ก ช่วงนั้นเราเป็นปลาเล็ก ช่วงวัยรุ่น คิดแค่ว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรไม่ถูกกินก่อนที่จะโต พอเข้าสู่ช่วงที่ 2 คือช่วงปี 2535 เริ่มย้ายมาที่ลาดพร้าว ธุรกิจเริ่มใหญ่ขึ้น เป็นปลาใหญ่แล้ว ช่วงนี้จะเป็นปลาใหญ่กินปลาช้า แต่ในช่วงที่ 3 คือช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เป็นยุคปลาฉลามที่กินทุกปลา ปลาใหญ่ หรือปลาเล็กไม่สำคัญ” 

โลโก้ใหม่สุดมินิมอล พร้อมสำนักงานใหม่

ในปีนี้มีการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ เฮียฮ้อบอกว่าไม่ใช่แค่เปลี่ยนโลโก้ใหม่ แต่ยังมีการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่ ใช้ระบบ Agile ที่เน้นความรวดเร็ว คล่องตัว กำหนดวัฒนธรรมองค์กรใหม่ เป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนด้วยคอนแทนต์ และสินค้านั่นเอง

โดยที่โลโก้ใหม่ที่ให้ภาพลักษณ์เรียบง่าย มินิมอล และแฝงไปด้วยความร่วมสมัยเป็นสากล ได้ทำงานร่วมกับ มารีน่า วิลเลอร์ กราฟฟิกดีไซเนอร์ผู้ออกแบบโลโก้ให้แก่ เทต โมเดิร์น พิพิธภัณฑ์ศิลปะชื่อดังในอังกฤษ โลโก้ใหม่ยังสื่อถึงความเป็นเป็นองค์กรที่ไร้ขีดจำกัด ไม่มีสี ไม่มีกรอบ เป็นตัวอักษรขาวหรือดำก็ได้

ส่วนสำนักงานใหญ่ที่ย้านมาอยู่ที่ย่านถนนเกษตร-นวมินทร์ มีพื้นที่รวมถึง 16 ไร่ เป็นพื้นที่ส่วนตัวของเฮียฮ้อ และให้ RS เป็นผู้เช่า ซึ่งบ้านของเฮียฮ้อก็อยู่ในระแวกเดียวกันด้วย

ย้ำจุดยืน Entertainmerce

RS ได้เข้าสู่วงการขายของได้ราว 4 ปี เริ่มต้นจากธุรกิจไลฟ์สตาร์ เฮียฮ้อเริ่มมองเห็นแล้วว่าธุรกิจสื่อเริ่มอยู่ในช่วงขาลง ยิ่งมีทีวีดิจิทัล ยิ่งแบ่งเค้กกันมากขึ้น ในขณะที่จำนวนคนดูเท่าเดิม จึงเริ่มเปลี่ยนวิธีจากให้เอยนซี่เป็นลูกค้าซื้อสปอตโฆษณา เป็นให้คนดูเป็นผู้ซื้อแทน ใช้สื่อในเครือทั้งหมดเป็นช่องทางการขาย

RS ได้ Disrupt ตัวเองด้วยการใช้โมเดลธุรกิจ Entertainmerce หรือ Entertainment + Commerce ธุรกิจมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดขอย้ายจากหมวดธุรกิจ Entertainment มาอยู่หมวด Commerce ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์

การทำ Entertainmerce ของ RS ก็คือ การใช้ศักยภาพ ทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศิลปิน ดารา นักแสดง คอนเทนต์ สื่อ ทีวี และวิทยุในมือทั้งหมด มาต่อยอดผสมผสานกับธุรกิจคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างธุรกิจให้แข็งแรง

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ เล่าว่า

“ในปี 2557 เป็นปีที่อุตสาหกรรมสื่อเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากทีวี 4 ช่อง เป็น 24 ช่อง แต่สายตาคนดูเท่าเดิม RS เลยใช้วิธีแตกต่าง เอาเวลาครึ่งนึงของโฆษณามาทำธุรกิจใหม่ จนวันนี้ 5 ปีผ่านไป RS Mall เป็นการผสมช้อปปิ้งเข้ากับความบันเทิง เล่าถึงแนวทางการแก้ปัญหา เสนอข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้” 

แม้ในแต่ละสื่อทุกช่องทางของ RS จะมีการขายของเก่งอย่างไร แต่โมเดล Entertainmerce ก็พิสูจน์ได้ว่ามันเข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ และสามารถทำให้บริษัทอยู่รอดได้ และ RS ยังโตสวนกระแสวงการทีวีดิจิทัลที่มีการขาดทุนกันอย่างนัก ร่วมกับวิกฤต COVID-19 โดยที่ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ สามารถสร้างรายได้ 586.2 ล้านบาท สร้างสถิติ New High สูงที่สุด และมียอดขายจากช่องทางออนไลน์โต 80%

ปัจจุบันมีฐานลูกค้า 1.4 ล้านราย แบ่งสัดส่วนเป็นคนกทม. 65% และคนต่างจังหวัด 35% ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุ 40 ปี ขึ้นไป มียอดใช้จ่ายเฉลี่ย 2,000 บาท

ทาสหมาตัวยง เตรียมขายอาหารสัตว์

ภายใต้ RS Mall ที่เป็นแพลตฟอร์มขายสินค้าของ RS มีสินค้าที่หลากหลาย ทั้งสินค้าแบรนด์ของ RS เอง และแบรนด์ที่รับมาขาย โดยสัดส่วนรายได้ 60% เป็นสินค้าในเครือ และอีก 40% เป็นสินค้าข้างนอก

ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์ บอกว่า ในปีนี้จะบุกโมเดล Star Commerce Modelนำศิลปินดารามาร่วมคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มแฟนคลับ เริ่มต้นที่ใบเตย อาร์สยาม กับแบรนด์ BT Cosmetics Color Collection มีสินค้าแป้ง Color Palette และ Lipstick

ดร.ชาคริต พิชญางกูร หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจไลฟ์สตาร์

อีกหนึ่งไฮไลท์ของไลฟ์สตาร์ คือ การบุกตลาด “อาหารสัตว์” นอกจากตัวเลขมูลค่าตลาดอันมหาศาลถึง 40,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 10% โดยตลอด ที่สำคัญคือ เฮียฮ้อเป็น “ทาสหมา” ตัวยง จึงรู้ว่าตลาดนี้มีโอกาสมากมายขนาดไหน

เฮียฮ้อเล่าว่า “เฮียเลี้ยงหมา 2 ตัว เริ่มจากตัวเองนี่แหละถึงรู้ว่าตลาดใหญ่มาก เอาจากอินไซต์ของตัวเองเลย ซื้อยาสระผมให้ตัวเองอย่างมากราคา 200 บาท แต่ซื้อให้หมา 700 บาท พวกทาสเนี่ยจ่ายให้หมาแมวเหมือนลูก บางอย่างซื้อดีกว่าลูกด้วยซ้ำ”

เฮียฮ้อเสริมอีกว่า เชื่อว่าอาหารสัตว์จะทำให้เรามีแต้มต่อได้ เพราะเป็นเรื่องของ Emotional ใช้ Storytelling ให้เหมาะสม ยิ่งตอนนี้เป็นเทรนด์ของสังคมอีกด้วย ซึ่งอาหารสัตว์ในตลาดมีหลายกลุ่ม แต่ของไลฟ์สตาร์จะอยู่ในกลุ่มไฮเอนด์ มีทีมคิดสูตรเป็นของตัวเอง คาดว่าจะวางจำหน่ายช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้

เบื้องหลังการปลุกชีพธุรกิจ “เพลง”

อีกหนึ่งไฮไลท์ของแผนธุรกิจในปีนี้ของ RS ก็คือ การที่กลับมาปัดฝุ่น “ธุรกิจเพลง” อีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนาน เพราะ RS โฟกัสกับธุรกิจสื่อ และคอมเมิร์ซ

RS Music ในปีนี้จะกลับมาเต็มรูปแบบด้วย 3 ค่ายเพลง RSIAM, Kamikaze และ RoseSound ทั้งหมดเป็นค่ายดั้งเดิมที่เคยมี แต่ศิลปินใหม่ทั้งหมด แต่มาพร้อมกับโมเดลธุรกิจใหม่ ไม่ใช่แค่งานเพลงอย่างเดียว ศิลปินจะต้องขายของได้ด้วย! จะเริ่มเปิดตัวในเดือนตุลาคม

สุกฤช สุขสกุลวัฒน์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจเพลง บอกว่า

“ความท้าทายครั้งสำคัญของธุรกิจเพลง คือ การปรับตัวเพื่อสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ที่แตกต่าง เพลงเป็นแค่เครื่องมือหนึ่ง แต่สิ่งที่จะสร้างและต่อยอดธุรกิจได้คือ สตาร์ ที่มีตัวตน มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจน และมีฐานแฟนคลับ ซึ่งทั้งหมดจะถูกเชื่อมโยงกับโมเดลธุรกิจใหม่ Music Star Commerce จากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ศิลปิน และสอดคล้องกับธุรกิจของอาร์เอส กรุ๊ป”

ถ้าถามว่าทำไมในปีนี้ถึงเป็นจังหวะที่ RS จะกลับมารุกธุรกิจเพลงอีกครั้ง เฮียฮ้อบอกแค่ว่า วันนี้มี Business Model รองรับนั่นเอง

“หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ RS รู้ว่าเมื่อไหร่ควรทำ ควรหยุด ควรช้า ควรเร็ว จังหวะในการทำธุรกิจคือสิ่งสำคัญ โตได้โต โตไม่ได้อย่าฝืน มาทำช่วงที่กลับมาได้  เราปรับตัวในธุรกิจเพลงตลอด สร้างโมเดลใหม่ๆ ทำให้ยังมีรายได้ ตอนนี้ทรานฟอร์มจนคอมเมิร์ซเป็นธุรกิจใหญ่ การกลับมารุกธุรกิจเพลงอีกครั้ง เอาค่าย RoseSound ค่ายเพลงแรกในชีวิตกลับมา เพราะวันที่มี Business Model พร้อมรองรับ ต้องต่อยอดกับโมเดลคอมเมิร์ซได้ เรามีต้นน้ำถึงปลายน้ำพร้อม”

เฮียฮ้อบอกว่าแต่เดิมโมเดลธุรกิจเพลงของ RS จะเป็นการวางตัวเป็นมาร์เก็ตติ้ง นั่นคือให้ศิลปินออกเงินเอง แต่ทางค่ายเป็นคนทำการตลาดให้ หรือมีหน้าที่ซัพพอร์ต แต่ตอนนี้มีธุรกิจคอมเมิร์ซ ไม่เลือกแค่ร้องดีมีคุณภาพ แต่ต้องต่อยอดคอมเมิร์ซได้ ขึ้นอยู่กับศักยภาพของศิลปิน เป็นพาร์ทเนอร์ เจ้าของแบรนด์ได้

ในปี 2562 RS มีรายได้รวม 3,200 ล้านบาท ในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ที่ 4,200 ล้านบาท มีการปรับลดแผนจากเดิมที่วางไว้ที่ 5,000 ล้านบาทเพราะวิกฤต COVID-19

แบ่งสัดส่วนรายได้ธุรกิจคอมเมิร์ซ 65% ทีวี 20% วิทยุ 10 และเพลง 5%

เฮียฮ้อตั้งเป้ารายได้ไปถึง 10,000 ล้านบาท แต่ยังไม่บอกว่าภายในกี่ปี แต่ที่แน่ๆ คอมเมิร์ซยังเป็นธุรกิจใหญ่ที่จะยังคงมีสัดส่วนถึง 80%

]]>
1293489
เมื่อธุรกิจความงามมาแรงแซงโค้ง “มีเดีย” ไปแล้ว ถึงยุค “เฮียฮ้อ” ปรับโหมด 35 ปี “อาร์เอส” สู่ธุรกิจไร้กรอบ https://positioningmag.com/1148342 Tue, 28 Nov 2017 03:29:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1148342 หลังจากใช้เวลาปลุกปั้นมา 3 ปีเต็ม จนเวลานี้ธุรกิจความงามและสุขภาพ ไลฟ์สตาร์” โตฉลุยทุกไตรมาส กลายเป็นธุรกิจหลักทำรายได้แซงหน้าธุรกิจสื่อไปแล้ว

ไมเพียงแต่ต้องเตรียมย้ายจากหมวด ธุรกิจ สื่อ มาอยู่ในหมวดพาณิชย์ ตามกติกาของตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่านั้น

แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอาร์เอส หลังจากทำธุรกิจมา 35 ปี ที่ เฮียฮ้อสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) RS ประกาศในงานแถลงกลยุทธ์ของอาร์เอส ปี 2018 ถึงเวลาต้องทรานฟอร์มไปสู่โมเดลธุรกิจใหม่แบบไร้กรอบ ไม่ยึดติดกับธุรกิจรูปแบบเดิมอีกต่อไป เพราะมั่นใจในทีมงาน อาร์เอสที่พิสูจน์แล้วว่าพร้อมจะทำอะไรงานที่ท้าทายได้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไรขอให้วิชั่นชัดเจน

โมเดลธุรกิจเวลาของอาร์เอสเวลานี้ ก็ต้องมานิยามกันใหม่เพื่อบอกกับนักลงทุน แต่จะบอกว่าเป็นเจ้าของสื่อ หรือเป็นเจ้าของเฮลท์แอนด์บิวตึ้ ก็คงไม่ได้ เพราะปีหน้าเรากำลังทำธุรกิจใหม่เพิ่มอีก 1-2 ธุรกิจ จะเห็นได้เลยว่า อาร์เอสไร้กรอบจริงๆ

เมื่อประเมินแล้ว่า การทรานฟอร์มที่ผ่านมาเห็นผลดี เฮียฮ้อ วางเป้ารายได้ไว้ถึง 5,300 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โตถึง 50% จากปีนี 2560 ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ 3,550 ล้านบาท 

โดยที่มาของรายได้อันดับ 1 จะมาธุรกิจเฮลท์แอนด์บิวตี้ 2,500 ล้านบาท สัดส่วน 47% ตามมาด้วยธุรกิจสื่อ 2,450 ล้านบาท สัดส่วน 46% ธุรกิจเพลง 250 ล้านบาท สัดส่วน 5%  และธุรกิจรับจ้างและผลิตกิจกรรม สัดส่วน 2%

ในปีหน้า ธุรกิจความงามและสุขภาพ ไลฟ์สตาร์ ถูกวางให้เป็นธุรกิจเรือธง ของอาร์เอส เนื่องจากเติบโตแบบก้าวกระโดด ปีนี้ทำรายได้ 1,400 ล้านบาท เติบโต 700% ปีหน้าจึงตั้งเป้าโตถึง 2,500 ล้านบาท 

ตั้งเป้าเพิ่มขนาดนี้ เฮียฮ้อมองว่า เป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่มากจนยากจะประเมินได้ คาดว่าเกินแสนล้าน และที่สำคัญ ไม่มีกรอบชัดเจน มีทั้งแนวลึกและแนวนอน แต่นั่นก็เป็นโอกาสของปีหน้า อาร์เอสจะต้องใส่เกียร์เดินหน้า ขยายผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพ และสินค้าในหมวดอื่นๆ มาเพิ่ม 

จากปัจจุบันมี 3 แบรนด์ “มาจีค” ทำตลาดกลุ่มสกินแคร์ เป็นกลุ่มทำรายได้หลัก , “รีไวฟ์” ทำตลาดกลุ่มแฮร์แคร์ และ “เอส.โอ.เอ็ม” กลุ่มอาหารเสริม ซึ่งทั้ง 3 กลุ่ม เน้นกลุ่มเป้าหมายวัย 35 ปีขึ้นไป โดยปีหน้าจะเพิ่มมีสินค้าใหม่ 30 รายการ จากที่มีอยู่แล้ว 37 รายการ เพิ่มพันธมิตรอีก 3 ราย จากเดิมมีอยู่ 3 ราย 

นอกจากนี้จะเพิ่มหมวดสินค้าครัวเรือนใช้ในบ้านและไลฟ์สไตล์มาทดลองการทำตลาดโดยเลือกสินค้ายอดนิยมที่ความต้องการสูงอย่างกระทะและมีด แม้จะแข่งขันสูงแต่เชื่อว่าจะสร้างให้แตกต่างได้ด้วยตัวสินค้าและเทคนิคการตลาด

ที่ไหนปลาเยอะก็มีคนมาจับเยอะ ที่ปลาไม่เยอะ ตลาดจะนิ่งๆ ผมมั่นใจทีมงาน ที่พิสูจน์แล้วว่า อาร์เอสทำอะไรก็ได้ ทุกธุรกิจผมใช้ทีมเดิม

สัดส่วนช่องทางขายหลักจะใช้พนักงานเทเลเซลส์ 90% จะรับเพิ่ม 100 คน จากที่มีอยู่ 350 คนและวางเป้าหมายขยายฐานสมาชิกให้เพิ่มเท่าตัว จาก 7 แสนราย เป็น 1.5 ล้านราย

ช่อง 8 วางบทบาท 2 มิติ

ธุรกิจสื่อ” ยังคงเติบโตได้ มีทีวีดิจิทัล ทีวีดาวเทียม 4 ช่อง และคลื่นวิทยุคูลเอ็ฟเอ็ม โดยทีวีดิจิทัลช่อง 8 จะเป็นหลักในการทำรายได้ ในปีหน้า 2,000 ล้านบาท จากเป้ารายได้สื่อทั้งหมด 2,450 ล้านบาท ใช้งบลงทุน 1,700 ล้านบาท เท่ากับปีนี้

เฮียฮ้อ วางบทบาทของช่อง 8” เป็น 2 คือ มิติของธุรกิจทีวีดิจิทัล และมิติของการเป็นสื่อ” เพื่อต่อยอดให้กับธุรกิจอื่นๆ

ในแง่ของธุรกิจ ทีวีดิจิทัลช่อง 8 จะต้องเป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม โดยมีโรดแมป” ในการเดินไปไว้เป็นสเตปชัดเจน เรตติ้งช่อง 8 ติดขึ้นต่อเนื่อง จนติดท็อป 5 ของทีวีดิจิทัลที่ทำเรตติ้งสูง

กลยุทธ์ของช่อง 8 ปีหน้า จะเน้นไพรม์ไทม์ ช่วงเช้า ตั้งแต่เวลา 6.00-9.00. น ซึ่งเวลานี้ ช่องข่าวของอาร์เอสมีเรตติ้ง 1.2 ล้านคน/นาที จัดเป็นอันดับ 2

ส่วนไพรม์ไทม์ ช่วงเย็น 6 โมงเย็นถึง 4 ทุ่ม เรตติ้งของช่อง 8 ติดอยู่ท็อป 5 ใกล้เคียงกันทั้ง 4 ช่อง โดยมาจาก ละคร และซีรีส์อินเดีย โดยเฉพาะซีรีส์หนุมาน ทำเรตติ้งเฉลี่ย 2.5 ล้านคน/นาที สร้างกระแสได้ดี จึงเป็นที่มาของรายได้ 2 พันล้าน เพราะเตรียมปรับค่าโฆษณาเพิ่ม 45% ในปีหน้า จากราคาเฉลี่ย 3 หมื่นบาท เพิ่มเป็น 4.5 หมื่นบาทต่อนาที 

ในมิติความเป็นสื่อ ช่อง 8 จะเป็นหัวหอกหลักในการต่อยอดให้กับธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งเห็นผลมาแล้วจากความงามและสุขภาพ” ซึ่งยุทธศาสตร์จะเข้มข้นขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น

รีแบรนด์อาร์สยามทำทุกแนวเพลง คัดศิลปินเหลือ 30 คน คืนสัญญากว่า 100 คน

ธุรกิจเพลง ยังคงเป็นธุรกิจสำคญของอาร์เอส เฮียฮ้อ ยืนยันว่า ไม่ยุติหรือยกเลิกการทำ แต่ต้องปรับเพื่อให้คล่องตัวและมีกำไร สม่ำเสมอ และยังคงเป็นธุรกิจต้นน้ำ” ต่อยอดสร้างธุรกิจใหม่ๆ ได้

กลยุทธ์ในปีหน้าจะปรับแนวทางใหม่ นำค่ายเพลง อาร์สยาม” มารีแบรนด์ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดนตรี ไร้กรอบ” เพื่อขยายขอบเขตใหม่ไม่จำกัดเฉพาะลูกทุ่ง” อีกต่อไป แต่ทำทุกแนวเพลงเพื่อตอบโจทย์คนฟังเพลงทุกแนว

งานนี้เฮียฮ้อต้องลงมาดูเอง เพราะจะต้องนำศิลปิน ในสังกัดที่มีอยู่กว่า 100 คน นำมาคัดเลือกใหม่ ให้เหลือไม่เกิน 30 คน โดยจะเลือกเฉพาะศิลปินที่ร้องได้หลายแนวเพลง เล่นละคร เล่นหนังได้ เพื่อสร้างรายได้ทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นจากงานโชว์ตัวตามคอนเสิร์ตและอีเวนต์ต่างๆ รวมไปถึงพรีเซ็นเตอร์สินค้า การแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ เป็นต้น สตรีมมิ่งและดาวน์โหลดเพลง ตลอดจนจัดเก็บลิขสิทธิ์เพลง คาดว่าจะออกซิงเกิ้ลไม่ต่ำกว่า 40 เพลงต่อปี ตั้งเป้ารายได้ 250 ล้านบาท

ส่วนศิลปินที่เหลือที่ไม่ตรงกับแนวทางจะคืนสัญญาเพื่อไม่ให้เกิดครหาโดยคาดว่าจะคืนสัญญาถึง 100 คน.

]]>
1148342
รู้จัก “ไลฟ์สตาร์” ธุรกิจความงามนอกตระกูลมีเดียของ “อาร์เอส” https://positioningmag.com/1094485 Tue, 14 Jun 2016 00:45:19 +0000 http://positioningmag.com/?p=1094485 แม้ในช่วงระยะหลังอาร์เอสมีทิศทางของธุรกิจที่ชัดเจนว่าจะโฟกัสธุรกิจสื่อทีวีมากขึ้น จากการทำช่องทีวีเคเบิลและทีวีดิจิตอล ที่ทางอาร์เอสเองก็พอจับทางในการปั้นคอนเทนต์ได้ พร้อมได้ฐานคนดูมหาศาล ทำให้เรตติ้งของช่องทีวีดิจิตอลช่อง 8 เป็นรองเพียงแค่ช่องเวิร์คพอยท์เท่านั้น

แต่ด้วยธุรกิจสื่ออาจจะต้องขึ้นอยู่กับสภาพเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญอยู่เหมือนกัน ก็ดูเหมือนมีความเสี่ยงอยู่บ้าง ทำให้อาร์เอสต้องบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านั้นด้วยการแตกไลน์ธุรกิจเพิ่ม ได้บุกตลาดเฮลท์ แอนด์ บิวตี้เปิดบริษัทไลฟ์สตาร์ด้วยทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มี 8 แบรนด์ในเครือที่เป็นทั้งสกินแคร์ และอาหารเสริม แต่ได้เน้น 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ มาจีค, กราวีธัส, รีไวว์ และโนเบิลไวท์

1_rs

โอกาสสำคัญที่ทำให้อาร์เอสลงมาเล่นธุรกิจก็มาจากการมีสื่อในมือนั่นเอง เริ่มต้นจากการที่ดูข้อมูลลูกค้าที่ซื้อสื่อโฆษณาพบว่ามีจำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกค้ารายย่อย ไม่ใช่แบรนด์ใหญ่ แต่มีการขายสินค้าผ่านช่องทางคอลเซ็นเตอร์ ส่วนใหญ่เป้นสินค้าสุขภาพ และความงาม ถือว่าเป็นการใช้ช่องของอาร์เอสเป็นช่องทางการขาย อาร์เอสเลยมองว่าเป็นโอกาสสำคัญเพราะมีสื่ออยู่ในมืออยู่แล้ว มีทีมการตลาด เหลือแต่สร้างแบรนด์ สร้างโปรดักต์ขึ้นมา

รวมถึงตลาดสุขภาพและความงามมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี เป็นธุรกิจดาวรุ่งที่ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจไม่ดีก็ยังเติบโต ในปี 2558 ที่ผ่านมาตลาดผลิตภัณฑ์สกินแคร์มีมูลค่า 65,000 ล้านบาท มีการเติบโต 6-8% ในทุกปี ในยุคนี้ทุกคนลงทุนกับความสวยความงามมากขึ้น

ที่จริงแล้วอาร์เอสได้เริ่มทดลองวางตลาดตั้งแต่ช่วงปลายปี 2557 เริ่มต้นจากการใช้พื้นที่ของช่องในการสร้างแบรนด์ และขายผ่านช่องทางคอลเซ็นเตอร์ สามารถสร้างรายได้ภายใน 1 ปี มูลค่า 200 ล้านบาท

2_rs

ในปีนี้อาร์เอสจึงได้ทำการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการขยายช่องทางการขายจากคอลเซ็นเตอร์ สู่โมเดิร์นเทรดและบิวตี้สโตร์ ลงมาเป็นสินค้า FMCG อย่างเต็มตัว พร้อมทั้งลงสื่อโฆษณานอกช่องของตัวเอง และมีพรีเซ็นเตอร์ให้กับสินค้า ได้แก่ มาช่า วัฒนพานิช, ต่าย เพ็ญพักตร์ และเจมส์ เรืองศักดิ๋

พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเราเริ่มจากการที่มีสื่อในมือ ในปัจจุบันนี้ทุกธุรกิจมีต้นทุนที่สูงที่สุดคือสื่อ และมองเห็นว่าตลาดความงามมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นทุกปี คนให้ให้ความใส่ใจกับสุขภาพและความงามมากขึ้น รวมถึงเป็นการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจสื่อด้วย หลังจากที่ได้ทดลองตลาดมาปีกว่าแล้ว ก็เลยตัดสินใจเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพื่อบุกตลาดอย่างเต็มที่

ในปีนี้ได้ใช้งบการตลาด 200 ล้านบาท แบ่งเป็นโฆษณา TVC 60% ออนไลน์ 25% และสื่อนอกบ้าน 15%

มีการตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ 600 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มสกินแคร์ 70% แฮร์แคร์ 20% และอาหารเสริม 10% ทำให้คิดเป็นสัดส่วน 15% ของรายได้รวมอาร์เอสในปีนี้ ส่วนอีก 85% เป็นรายได้จากธุรกิจสื่อ โดยที่ในปีหน้าตั้งเป้าสัดส่วนจากธุรกิจความงามอยู่ที่ 30% และในปีถัดไปจะอยู่ที่ 50%

3_rsnew

]]>
1094485