Men – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 30 May 2012 00:00:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 แคมเปญโดนๆ ของฟิลิปส์ ใช้ AR เปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้า https://positioningmag.com/14782 Wed, 30 May 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14782

Ogilvy Action ไต้หวัน ออกแคมเปญใหม่เพื่อแก้ปัญหาพฤติกรรมผู้ชายไต้หวันกว่า 73% ที่มีความคิดว่า  เครื่องโกนหนวดก็มีแค่ไว้โกนหนวดเพื่อทำให้ใบหน้าดูสะอาดใสเกลี้ยงเกลาเท่านั้น   ในขณะที่เครื่องโกนหนวดของ Philips ต้องการขายชุดอุปกรณ์ตกแต่งหนวดเคราไปด้วย  จึงทำให้การเพิ่มยอดขายในไต้หวันเป็นไปได้ยาก

แคมเปญนี้ ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมให้ผู้ชายไต้หวันใส่ใจกับการตกแต่งหนวด

โดย เลือกสถานที่จัดกิจกรรมเป็นร้านตัดผมสุภาพบุรุษ  และครีเอทไอเดีย  ผ่าน AR (AUGMENTED REALITY) โดยนำแก้วน้ำที่ไว้บริการลูกค้าไปติดสติ๊กเกอร์รูปทรงหนวดต่างๆ   โดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน หรือแท็บเลตใดๆ ก็สามารถเห็นภาพหน้าหนวดเสมือนจริงของตัวเองได้ ผ่านการดื่มน้ำแล้วส่องกระจกในร้านนั้นเอง  

นอกจากเหล่าสุภาพบุรุษจะเห็นลุคหน้าหนวดของตัวเองในหลากหลายสไตล์แล้ว  กิจกรรมนี้ยังมาพร้อมโปรโมชั่นลดราคาสินค้า 50% ณ ร้านตัดผมแห่งนั้นอีกด้วย  ผลที่ได้คือ  ผู้ชาย 95% หันมาสนใจตกแต่งหนวดเครามากขึ้น  25% ซื้อสินค้าไปลองเลย  และที่สำคัญต้นทุนการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่อคนยังลดจาก 64 ดอลลาร์สหรัฐฯ เหลือเพียง 2 ดอลลาร์สหรัฐฯอีกด้วย  จึงเห็นได้ว่าการเลือก Touch Point ของกลุ่มเป้าหมายผนวกกับไอเดียเจ๋งๆ  บางครั้งไม่ต้องพึ่งเทคโนโลยีทันสมัยสุดๆ แต่ก็สามารถขายของให้ดีได้เหมือนกัน

]]>
14782
บอกไปเลย “โรงแรมสำหรับเกย์” https://positioningmag.com/14499 Wed, 22 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14499

เมื่อมาใหม่ก็ต้องเจาะตลาดให้ได้ หากลุ่มเป้าหมายให้เจอ Positioning ต้องชัด เหมือนอย่างโรงแรมใหม่ล่าสุด “Out NYC”  ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ที่ไม่แอบ แต่ประกาศไปเลยว่าเป็น “โรงแรมสำหรับลูกค้ากลุ่มเกย์” จึงทำให้โรงแรมนี้ดังตั้งแต่ยังไม่เปิดให้บริการ

โรงแรม Out NYC โด่งดังมาตั้งแต่ปี 2554 ในช่วงก่อสร้าง และสุดกำหนดเเปิดวันที่ 1 มีนาคม 2555 นี้ พร้อมประกาศเปิดให้จองห้องพักกันตั้งแต่ต้นปี ด้วยราคาห้องเริ่มต้นที่ 229 เหรียญสหรัฐต่อคืน 

ยังมีห้องราคาถูกกว่านั้นที่ราคา 99 เหรียญสหรัฐ แต่เป็นห้องนอนรวมหรือห้องแชร์กับแขกอื่นอีก 3 คน โดยภายในห้องทุกคนจะมีพื้นที่ส่วนตัวคือเตียง ผ้าม่าน และตู้เก็บสัมภาระของตัวเอง นอกจากนี้ยังมีไนต์คลับบริการด้วย

สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้รายงานคำให้สัมภาษณ์ของ “เดวิด โลเปซ” ผู้จัดการทั่วไปของ Out NYC  ย้ำว่าโรงแรมนี้ก็ต้อนรับทุกคนนะ แต่ก็เน้นกลุ่มเป้าหมายเกย์ กลุ่มรักร่วมเพศมากกว่า โรงแรมจึงมีแพ็กเกจเฉพาะ เช่น สำหรับคู่เกย์ที่เพิ่งแต่งงานกัน เป็นต้น สำหรับงานบริการนั้น ด้วยกลุ่มนี้มีความเฉพาะเจาะจง โรงแรมจึงฝึกอบรมพนักงานเป็นพิเศษเพื่อให้บริการได้อย่างมีคุณภาพและเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

]]>
14499
เปิดกลยุทธ์ ดึงผู้ชายเข้าซาลอน https://positioningmag.com/13925 Sun, 10 Jul 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13925

การแข่งขันแผนการตลาด ลอรีอัล แบรนด์สตอร์ม 2554 (L’Oreal Brandstorm 2011) เป็นปีที่ 19 ในระดับโลก และปีที่ 8 ในประเทศไทย ที่ผ่านมามีนักศึกษาเข้าร่วมแข่งขันกว่า 43,000 คนทั่วโลก นับเป็นเวทีการแข่งขันระดับนานาชาติที่นักศึกษาด้านการตลาดจากสถาบันการศึกษาชั้นนำเฝ้ารอ

แต่ละปีก็จะมีโจทย์ที่แตกต่างกันเพื่อนำไปใช้ในการแข่งขันทั่วโลก โดยหวังสร้างความท้าทายและบีบเค้นพลังไอเดียการตลาดจากเด็กรุ่นใหม่ ในฐานะของ Brand Manager สำหรับปีนี้ความยากเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า กับโจทย์แผนการตลาด “ลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล สำหรับกลุ่มบุรุษ” (L’Ore’al Professional Homme) เพราะเป็นทั้งผลิตภัณฑ์ Men’s Grooming และยังอยู่ในเซ็กเมนต์ของโปรเฟสชั่นนอลด้วย การคิดวางแผนกลยุทธ์การตลาดจึงต้องรอบคอบและครอบคลุมทั้ง B2B และ B2C

สำหรับปีนี้ผู้ชนะและเป็นตัวแทนประเทศไทย คือ ทีม MUSE นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จากโครงการปริญญาตรีบริหารธุรกิจ หลักสูตรนานาชาติ (BBA International Program) คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประกอบด้วย ขวัญมนัส ลิ้มเจริญ กรันย์ ชมชาญ และ พิรดา อิงค์ธเนศ พวกเขาและเธอจะเป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปแข่งขันในเวทีระดับโลก ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ เพื่อชิงเงินรางวัลมูลค่า 10,000 ยูโร หรือราว 440,000 บาท กับตัวแทนอีก 43 ประเทศทั่วโลก

สมหทัย กิตตานันทวงษ์ ผู้จัดการทั่วไป แผนกผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) จำกัด ให้เหตุผลว่า ทีม MUSE ลงตัวในทุกองค์ประกอบมากกว่าทีมอื่นๆ ในแง่ของความสมบูรณ์แบบของพรีเซนเทชั่น รวมถึงการนำเสนอนวัตกรรมและบริการที่โดดเด่น แตกต่าง

“ในตลาดนี้ Product Concept Innovation เป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงประสบการณ์พิเศษในซาลอน และทีมนี้มี Value Added ให้กับซาลอน โดยเฉพาะในเรื่องบริการที่เน้นความเชี่ยวชาญและลูกค้าไม่สามารถทำเองที่บ้านได้”

ที่ผ่านมาตัวแทนจากประเทศไทยยังไม่เคยสัมผัสรางวัลชนะเลิศระดับโลกจากเวทีนี้เลย ขณะที่ประเทศกลุ่มอาเซียนที่เคยคว้ารางวัลนี้มาแล้วคือสิงคโปร์และมาเลเซีย ดังนั้นในปีนี้ทีม MUSE จึงเป็นความหวังของลอรีอัล ประเทศไทย ที่จะคว้าฝันดังกล่าวให้เป็นจริง

ถ้าจะแจ้งเกิด L’Ore’al Professional Homme ต้องทำอย่างไร

General Concept
มีกรอบความคิดว่าต้องนำเสนอบริการพิเศษในรูปแบบของ Modern Sophistication แบบเจาะจงเฉพาะบุคคล เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ ขณะที่การออกแบบซาลอนก็คำนึงถึงประสบการณ์ที่ผู้ชายชื่นชอบ
โดยยึดจุดแข็งของแบรนด์ในเรื่อง นวัตกรรม แรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสรรค์ ถ่ายทอดออกมาในมิติสัมผัสต่างๆ

Positioning
ได้วาง Positioning ของลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล สำหรับกลุ่มบุรุษ (L’Ore’al Professional Homme) ไว้ดังนี้ สำหรับกลุ่ม Hair Care และ Hair Styling จะเป็นผลิตภัณฑ์ไฮเอนด์และมีความเชี่ยวชาญ ใกล้เคียงกับ Kerastase Homme, Sebastian Professional และ Paul Mitchell เป็นต้น

Key Target
กลุ่มเป้าหมาย คือ หนุ่มโสด เมโทรเซ็กชวล อายุ 25-30 ปี มีรายได้ตั้งแต่ 25,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป มีการศึกษาที่ดี และกำลังก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ชอบสังคม เปิดรับสื่อใหม่ๆ ต้องการที่จะโดดเด่นออกมาจากกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนร่วมงาน

Consumer Insight
จากการสำรวจวิจัยของกลุ่มนี้พบว่าผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมีความกังวลว่า ผลิตภัณฑ์ที่ใช้จะทิ้งสารเคมีตกค้างไว้ที่เส้นผมและหนังศีรษะ นอกจากนี้ยังพบว่าเพื่อนเป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจใช้ผลิตภัณฑ์ด้วย ขณะที่ในส่วนของซาลอน ต้องการที่จะเพิ่มยอดขายของการซื้อผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม เพิ่มความถี่ในการเข้าซาลอน เป็นต้น

Communication Concept
แนวคิดในการสื่อสารคือ ทำให้พวกเขาเป็น Icon of Generation ด้วยสไตล์แบบ Modern Sophisticate กับบริการแบบ Tailored Made Product Innovation & Details

Iconic Infusion ใช้เทคโนโลยี Nano Generator ที่ดูแลหนังศีรษะ บำรุงเส้นผมด้วยส่วนผสมของเคราติน และช่วยให้ได้สีที่ดีเมื่อทำสีผม แบ่ง Hair Styling ออกเป็น4 SKU คือ แว็กซ์ เจล มูส และสเปรย์ ที่มีประสิทธิภาพในการจัดแต่งทรงผมที่ต้องการ ในบรรจุภัณฑ์ที่ยืนพื้นสีดำแบ่งแยกแต่ละ SKU ด้วยสีเขียว แดง เหลือง และฟ้า ส่วน Hair Care เน้นประสิทธิภาพของการขจัดรังแคและป้องกันผมหลุดร่วง

วางจำหน่ายในราคา 500-650 บาท สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อกลับไปใช้ที่บ้าน

Distribution & Salon Experience
ซาลอนเกรด B และ B+ ที่เป็นเครือข่ายของลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ซึ่งบางแห่งจะเป็นแฟลกชิป ซาลอน เพื่อฉายภาพของ Salon Experience ให้ชัดเจน โดยออกแบบซาลอนในรูปแบบ Performance Hall เป็นการหยิบยกเอา Consumer Insight ที่ต้องการโดดเด่นจากคนหมู่มากมาใช้

ภายในมีดิสเพลย์ผลิตภัณฑ์อย่างกลมกลืน

Service Offerings
ออกแบบบริการ 4 ขั้นตอน ให้จดจำง่ายด้วยสัญลักษณ์ Intro, Insprie, Infuse และ In-motion โดยแต่ละขั้นตอนจะถูกแบ่งออกเป็น 4 โซน
Intro แนะนำให้ลูกค้าได้ทราบถึงคุณสมบัติของผมสุขภาพดี
Insprie บริการให้คำปรึกษาการออกแบบทรงผมที่สอดรับกับเทรนด์และเหมาะกับบุคลิกโดยนักออกแบบทรงผมที่เชี่ยวชาญ
Infuseบริการนวดศีรษะด้วยอโรมา มาสสาจ 4 สูตร ที่เหมาะกับสภาพหนังศีรษะแต่ละแบบ เป็นระยะเวลา 4 นาที เพื่อผ่อนคลาย และเป็นโซนที่ให้คำปรึกษาและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับปัญหาเส้นผมและหนังศีรษะของลูกค้าแต่ละคน
In-motionเป็นโซนตัดแต่งทรงผม ที่สนุกสนาน

โดยพนักงานจะได้รับการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นเพื่อให้มีความเชี่ยวชาญ อันเป็นหัวใจสำคัญที่จะดึงดูดให้ผู้ชายเข้ามาใช้บริการที่ซาลอนได้บ่อยครั้งขึ้น

Strategy
ใช้ บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ นักร้องนำวงกรูฟไรเดอร์ เป็น Brand Ambassador เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์และเชื่อมโยงสไตล์อันเป็นที่นิยมของเขากับบุคลิกของแบรนด์

โดยในช่วงแรกของการเปิดตัว บุรินทร์จะมาสร้างไวรัลกับก๊อบปี้ที่ว่า “ผมจะดีให้ดู” ผ่าน QR Code และเว็บไซต์ จากนั้นจะมีงานเปิดตัว มินิคอนเสิร์ต และเปิดให้ใช้ผลิตภัณฑ์ฟรีในวันแรกของการเปิดตัว

นอกจากนี้ยังใช้สื่อออนไลน์โปรโมตโปรโมชั่น กับการสรรหา Iconic Quest ผู้ชาย 4 คนที่จะเป็นไอค่อนของผู้ชายยุคใหม่ ด้วยการให้ผู้บริโภคอัพโหลดรูปของเองผ่านทางเว็บไซต์ของผลิตภัณฑ์และโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ค และผู้ชนะจะได้ร่วมประสบการณ์พิเศษที่ปารีส

ส่วนสื่อสนับสนุนอื่นๆ ได้แก่ นิตยสารออนไลน์ นิตยสารของลอรีอัล โปรเฟสชั่นแนล ที่จัดพิมพ์สำหรับซาลอน และนิตยสารไลฟ์สไตล์สำหรับผู้ชาย

มี CRM สำหรับสมาชิกทั้งลูกค้าที่มาใช้บริการ จะได้สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลพิเศษ ตลอดจนถึงระบบจัดเก็บข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับวัน เวลา ที่มาใช้บริการ รูปแบบทรงผม และปัญหาอื่นๆ จากเว็บไซต์ของผลิตภัณฑ์

]]>
13925
ผู้ชายหน้าใส ลูกค้าใหม่ P&G https://positioningmag.com/13602 Wed, 16 Mar 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13602

ใครว่าผู้ชายไม่ใส่ใจเรื่องความงามของตัวเอง ผู้ชาย Metro จึงมีสินค้าความงามออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด พีแอนด์จี จัดแพคสินค้าบำรุงผิวหน้าของผู้ชายออกมา รองรับการขยายตัวของตลาด

กรรมการผู้จัดการ พีแอนด์จี ประเทศไทย ราอูล ฟัลคอน บอกว่า โอเลย์ เมน โซลูชั่นส์และยิลเลตต์ ซีรี่ย์จะช่วยให้บริษัทสามารถเจาะตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าผู้ชายได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมมากขึ้น โดยโอเลย์ เมน โซลูชั่นส์จะจับกลุ่มผู้ชายที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และใส่ใจการดูแลผิวและต้องการผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าประสิทธิภาพสูงที่เหมาะกับผิวตัวเอง ขณะที่ ยิลเลตต์ สกินแคร์จะจับกลุ่มผู้ชายที่มีไลฟ์สไตล์กระฉับกระเฉง ที่มองหาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าขั้นพื้นฐาน เช่น โฟมล้างหน้าและครีมบำรุงผิว

“การขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ถือเป็นส่วนหนึ่งกลยุทธ์ของพีแอนด์จีที่มุ่งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทในฐานะที่เป็นผู้นำในธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและภาพลักษณ์ (Beauty & Grooming) ของไทย

ปัจจุบันโอเลย์เป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ขายดีเป็นอันดับหนึ่งในไทยโดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 25.8% โดยตัวเลข ณ ไตรมาสที่ 4 ของปี 2553 ที่ผ่านมา โอเลย์มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในเซ็กเม้นต์กลุ่มผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย 13.0% และผลิตภัณฑ์เพื่อผิวดูขาวกระจ่างใสโดยอยู่ที่ 13.3% ขณะที่ยิลเล็ตต์มีส่วนแบ่งตลาดเกือบ 70% ในตลาดใบมีดและอุปกรณ์โกนหนวดของไทย ส่วนตลาดรวมผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าผู้ชายเติบโต 36%

ในปี 2553 ที่ผ่านมา ตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าของไทยมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 8,129 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าผู้ชายมีสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดโดยรวม หรือคิดเป็นประมาณ 766 ล้านบาท

นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและภาพลักษณ์ (Beauty & Grooming) ของบริษัทเติบโตในอัตราที่น่าพอใจ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมของพีแอนด์จีเติบโตในอัตราที่สูงกว่าตลาดโดยรวมถึงเกือบสองเท่า โดยธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของพีแอนด์จีโตในอัตรา 4% ในขณะที่ตลาดรวมโตเพียง 2% ส่วนธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมก็โตขึ้น 7% เมื่อเทียบกับตลาดรวมที่โตในอัตรา 4%

ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อความงามในประเทศไทย

ประเภทสินค้า

แบรนด์พีแอนด์จี

ส่วนแบ่งการตลาด

ปี 2553 (ล้านบาท)

ปี 2554 (ล้านบาท)

อัตราเติบโตของตลาด

อัตราเติบโตของพีแอนด์จี

แชมพูและครีมนวดผม

เมื่อรวมทุกแบรนด์

31.7%
12,725
13,214
4%
7%
 

แพนทีน

15.1%

       
 

รีจอยซ์

8%

       
 

เฮดแอนด์โชเดอร์

6.7%

       
 

เฮอร์บัล เอสเซ้นส์

1.9%

       

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า (รวม)

   

8,058

8,192

2%

4%

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า (ผู้หญิง)

เมื่อรวมทุกแบรนด์

25.8%

       

กลุ่มลดเลือนริ้วรอย

โอเลย์ โททัล เอฟเฟ็คส์

8.9%

       
 

โอเลย์ รีเจนเนอรีส

3.3%

       

กลุ่มเพื่อผิวกระจ่างใส

โอเลย์ เนเชอรัล ไวท์

3.7%

       
 

โอเลย์ ไวท์ เรเดียนซ์

5.7%

       

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า (ผู้ชาย)

 

563

766

36%

 

แหล่งข้อมูล: Nielsen Thailand(รอบเดือนมกราคม – ธันวาคม 2553)

]]>
13602
Me's beauty โตได้อีก https://positioningmag.com/13351 Tue, 14 Dec 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13351

สกินแคร์สำหรับผู้ชาย จัดเป็นอีกหนึ่งในสินค้าสุดฮอตของปี 2554 หลังจากปรากฏการณ์ Brand Transformation จากแบรนด์ผู้หญิงสู่แบรนด์ผู้ชายสำเร็จมาแล้ว ทั้งจากนีเวีย วาสลีน เคลียร์เมน ล่าสุดยูเซอรีน แตกไลน์ออกยูเซอรีน เมน เป็นครั้งแรกของเวชสำอางสำหรับผู้ชายในไทย นิวโทรจีนาที่ก่อนหน้ามีภาพลักษณ์แบบ Unisex ก็ยังออก “นิวโทรจีนา เมน” รองรับลูกค้าหนุ่มๆ หลังจากการ์นิเย่คลอด “การ์นิเย่ เมน เทอร์โบไลท์”

ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ต เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ เปิดพื้นที่ Men Skincare Wall รองรับกับตลาดสกินแคร์ผู้ชายนับสิบแบรนด์ โดยมีแบรนด์หลักอย่างนีเวีย ฟอร์เมน วาสลีน เมน และลอรีอัล เมน เอ็กซ์เพิร์ทจับจองพื้นที่ ประมาณการกันว่าห้างสรรพสินค้าจะมีพื้นที่สำหรับสกินแคร์ผู้ชายเพิ่มขึ้น

ที่น่าจับตาคือ การเตรียมรุกเข้ามาในตลาดสกินแคร์ผู้ชายอย่างจริงจังของพีแอนด์จี หลังจาก เมธี จารุมณีโรจน์ ได้รับโปรโมตให้ดูแลตลาด Men’s Grooming ในเอเชีย มองว่า ตลาดยังเปิดกว้างอีกมาก เนื่องจากฐานเล็ก และไม่เป็นการสายเกินไปที่แบรนด์ใดจะก้าวเข้ามาในตลาดนี้ แต่ต้องมีวิธีการสื่อสารที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

พีแอนด์จี มีแบรนด์สกินแคร์ผู้ชายอยู่ในมือถึง 5 แบรนด์ ที่ทยอยทำตลาดในไทย โดยยิลเลตต์เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ครอบคลุมสกินแคร์สำหรับผู้ชายทุกประเภทไม่เฉพาะผลิตภัณฑ์สำหรับโกนหนวด และแบรนด์ใหม่อย่าง โอลด์ สไปซ์ ที่เด่นในเรื่องผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย หรือแม้กระทั่งโอเลย์ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องดูแลผิวพรรณก็อาจแตกไลน์มาเป็น Me’s Grooming ได้ไม่ยาก เพราะมี Expert Level ในระดับสูง (โอเลย์ เมน โซลูชั่นวางจำหน่ายในตลาดจีนเป็นประเทศแรกในโลกตั้งแต่ปี 2552 )

ขณะที่คลินิกเสริมความงามได้รับผลพวงจากสกินแคร์ทั้งแมสและเคาน์เตอร์แบรนด์ เปิดตลาดหนุ่มสำอางด้วยการจัดโปรแกรมดูแลผิวสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะของรมย์รวิน เป็นต้น

มิติของสกินแคร์ผู้ชายจะสลับซับซ้อนและมีการออกเซ็กเมนต์ถี่ยิบ เรียกได้ว่าผู้หญิงใช้อะไรผู้ชายก็มีไม่ต่างกัน โดยปัจจุบันมีสกินแคร์ผู้ชายมากกว่า 40 แบรนด์ และมีสินค้ามากกว่า 300 ชนิด ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลว่า ผู้ชายกว่า 43% ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและในจำนวนนี้มีถึง 81% ที่ใช้สกินแคร์ดูแลผิวเป็นประจำทุกวัน

แม้ตลาดเครื่องสำอางผู้ชายจะไม่มีข้อมูลครบในทุก Category แต่มูลค่าตลาดสกินแคร์สำหรับผิวหน้ามีมูลค่า 1,400 ล้านบาทในปี 2553 และคาดว่าจะเติบโต 10% เป็น 1,540 ล้านบาทในปี 2554 โอกาสจึงมีให้เห็นอยู่ตรงหน้าและท้าทายยิ่งนัก

]]>
13351
ปฏิบัติการเปลี่ยนแบรนด์สาวให้เป็นแมน https://positioningmag.com/13301 Tue, 09 Nov 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13301

แบรนด์เครื่องสำอางของสาวๆ ต้องถูกแปลงโฉมไปสู่แบรนด์ผู้ชาย นับเป็นโจทย์ยากสุดท้าทายของแบรนด์ดัง ไม่ใช่แค่ใส่คำว่า ฟอร์เมนแล้วผู้ชายจะซื้อ แต่ต้องอาศัยเครื่องมือการตลาด แบรนด์ไหนแป็ก แบรนด์ไหนโดน…เรามีคำตอบ

POSITIONING ฉบับมีนาคม 2553 นำเสนอแล้วว่า Metrosexual เป็น First Adopter ผู้จุดประกายให้กับสินค้าเครื่องสำอางและสกินแคร์สำหรับผู้ชายไม่ใช่ตลาดที่น่าพิสมัยเท่า Real Men และเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นในวันนี้เมื่อสกินแคร์แบรนด์ดังพาเรดปรับตัวทั้ง Message และกลยุทธ์การใช้พรีเซ็นเตอร์ที่ต้องดูมีความเป็น Masculine และสะท้อนความเป็นผู้ชายที่แอคทีฟอย่างเต็มพิกัด เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเพศชายแท้ๆ อย่างจริงจังมากกว่าเดิม

การออกเครื่องสำอางและสกินแคร์สำหรับผู้ชายที่ยังคงอยู่ภายใต้แบรนด์เดิมที่เป็นแบรนด์ที่รู้จักในฐานะสินค้าของผู้หญิงมายาวนาน เป็นทั้งอุปสรรค์และโอกาสได้ในคราวเดียวกัน ซึ่งทำให้มีทั้งแบรนด์ที่ประสบความล้มเหลวและสำเร็จให้เห็นทุกรูปแบบ

แต่การเลือกที่จะแตกแบรนด์ของเครื่องสำอางและสกินแคร์โดยใส่เพียงคำว่า เมน (Men) หรือ ฟอร์เมน (For men) ต่อท้ายแบรนด์เข้าไปนั้น อย่างน้อยก็ได้เบเนฟิตในเรื่องของ Brand Awareness ที่จดจำได้ง่ายกว่าที่จะไปสร้างแบรนด์ใหม่หากแบรนด์นั้นมีความแข็งแกร่งและมี Positioning ที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันก็อาจเป็นอุปสรรคใหญ่หากไม่สามารถสร้างตัวตนที่แตกต่างจากการเป็นแบรนด์สินค้าสำหรับผู้หญิงได้ชัดเจน

ต่อไปนี้คือกรณีศึกษาของผู้เล่นรายใหญ่ที่น่าสนใจ เมื่อต้องแตกไลน์สู่สินค้าผู้ชาย กลายเป็น Brand Transformation ภายใต้โจทย์ ปัจจัยและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน

ยูนิลีเวอร์เจอโจทย์ใหญ่ มาช้าแต่ต้องเปรี้ยง

วาสลีน เมน ถือกำเนิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์ยูนิลีเวอร์ในแง่ของการพัฒนาสินค้าเพื่อผู้ชายอย่างจริงจัง เพื่อทำให้ธุรกิจของยูนิลีเวอร์โดยรวมแข็งแกร่งและเติบโต โดยเฉพาะในเซ็กเมนต์ที่ยังถือว่าใหม่สดอย่างสินค้าผู้ชาย แต่ปัญหาใหญ่ของวาสลีน เมน คือ เข้าสู่ตลาดสกินแคร์ผู้ชายในเซ็กเมนต์แมสเป็นรายที่4-5 เข้าไปแล้ว และมาทีหลังนีเวีย ฟอร์เมน อยู่นานโข อีกทั้งยังช้ากว่าลอรีอัล เมนเอ็กซ์เพิร์ท อีกต่างหาก

การจะเข้าทำตลาดด้วยกลยุทธ์แบบเดิมดูจะไม่เป็นผล ยูนิลีเวอร์กรีฑาทัพ Personal Care และ Skin Care สำหรับผู้ชายลงสนามถึง 2 แบรนด์ คือ วาสลีน เมน และเคลียร์ เมน และเมื่อผนึกกับแอ๊กซ์ซึ่งยืนพื้นมานาน ยูนิลีเวอร์ก็ได้ภาพความเชี่ยวชาญใน Men Grooming

ที่ผ่านมายูนิลีเวอร์ใช้ World Event เป็นตัวช่วยหลัก ด้วยการเป็นสปอนเซอร์ฟุตบอลโลก 2010 กับอาร์เอส เพื่อขับเคลื่อนสินค้าผู้ชายได้ทั้ง Portfolio ทั้งในแง่ยอดขายผ่านโปรโมชั่นและกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้บริโภค

ขณะที่แนวทางในการทำตลาดของทั้ง 2 แบรนด์ก็มีรายละเอียดและความสลับซับซ้อนแตกต่างกันไป

“วาสลีน เมน” Brand Ambassador อย่างเดียวไม่พอ

“วาสลีน เมน” เป็นแบรนด์ที่มี Consumer Perception ว่าเป็นแบรนด์ของผู้หญิงมานาน เพราะมีแต่บรรจุภัณฑ์โทนสีหวานผ่านโฆษณาตามสื่อต่างๆ จนเห็นกันชินตา แต่ก็เป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการทรานสฟอร์มสู่การเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายได้ประสบความสำเร็จทั้งในต่างประเทศและในไทย

วาสลีนเป็นแบรนด์ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ปี 1859 และเข้ามาอยู่ในพอร์ตของยูนิลีเวอร์เมื่อปี 1987 จนถึงปัจจุบัน โชคดีในการเปลี่ยนเพศแบรนด์ตรงที่ความเป็นแบรนด์ผู้หญิงไม่แข็งแกร่งจนเข้าขั้นเป็นอุปสรรค โดยเฉพาะในไทยซึ่งมีเพียงผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวเท่านั้น

อันที่จริง วาสลีน เมน เอง ก็คงกังวลว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยเรโซนา เมน (ดูเรื่อง ความล้มเหลวของเรโซนา เมน) ไม่น้อย แต่เพราะเป้าหมายตลาดที่ใหญ่สำหรับตลาดสกินแคร์สำหรับผู้ชายตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำให้วาสลีน เมน เดินเกมอย่างรอบคอบและมีสเต็ปที่ชัดเจนกับคอนเซ็ปต์ “Healthy Skin”

3 ปี ที่ผ่านมา วาสลีน เมน ปูทางเข้าสู่ตลาดโดยเริ่มจาก ครีมบำรุงผิว กับ Key Message “ไม่เหนียวเหนอะหนะ” เพื่อตอบสนองต่อ Consumer Insight ที่ว่าผู้ชายส่วนใหญ่มักกังขาและลังเลใจที่จะไม่ใช่ครีมต่างๆ กับผิวกายเพราะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ โดยสื่อว่าผิวของผู้ชายมีสภาพที่แตกต่างและวาสลีน เมนมีครีมบำรุงผิวที่ซึมซาบได้เร็ว ซึ่งเป็นจุดที่ยูนิลีเวอร์รู้ดีว่าหากข้ามพ้นอุปสรรคนี้ได้ก็มีโอกาสแจ้งเกิดและต่อไปหากจะเอื้อนเอ่ยถึงคุณสมบัติอื่นใดเพิ่มเติมก็ดูจะไม่เป็นปัญหาแล้ว

เมื่อเปิดฉากด้วยครีมบำรุงผิวได้ระยะหนึ่ง วาสลีน เมน ก็ลงสู่ตลาดสกินแคร์สำหรับบำรุงผิวหน้าพร้อมกันทีเดียว 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยมี เคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ พระเอกแถวหน้าของช่อง 3 เป็น Brand Ambassador เพื่อเปิดประตูสร้าง Brand Awareness ในช่วงต้นมากกว่าจะเน้นยอด โดยมี Key Message ที่เล่นกับอินเนอร์ของผู้ชายที่ชอบความท้าทายกับการท้าให้ลองวาสลีน เมน และคอนเซ็ปต์ท้าทายว่า “เห็นผลลัพธ์ทันทีที่ใช้ ผิวสุขภาพดีขึ้นใน 2 สัปดาห์”

“ผู้ชายรับรู้ว่าวาสลีนคือสินค้าของผู้ชายด้วย ตั้งแต่ได้เคน-ธีรเดชมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ สินค้าสำหรับผู้ชายต้องหาอะไรก็ได้มาเรียกร้องให้เขาสนใจ แล้วหลังจากนั้นเขาจะหาข้อมูลเอง เพราะการรับสื่อของผู้ชายจะนิยมหาข้อมูลด้วยตัวเองในสิ่งที่เขาสนใจ ที่สำคัญผู้ชายส่วนใหญ่ก็อยากดูดีในแบบที่ผู้หญิงชอบเหมือนกัน” เอียน ไวท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท เจดับบลิวที จำกัด ให้ข้อมูลไว้จากการทำวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าของหนุ่มๆ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา

การทำตลาดสินค้าผู้ชายคล้ายสกินแคร์อย่างโลชั่นหลังโกนหนวดส่วนใหญ่เน้นสื่อสารเรื่องของ Sex Appeal กันมานาน อารมณ์โฆษณาที่มีประกายระยิบระยับของเสน่ห์นี้ถูกนำไปใช้กับกับวาสลีน เมน และเหมือนกับสกินแคร์แทบทุกแบรนด์ เผื่อที่จะจูงใจให้หนุ่มๆ หันมาฟิตผิวหน้าให้ดึงดูดใจสาวพอๆ กับการฟิตหุ่น ที่สำคัญการสื่อออกมาให้เห็นจะต้องไม่ใช่มาถือขวดผลิตภัณฑ์โชว์แบบสินค้าผู้ชายในอดีต แต่ต้องมีเรื่องราวที่หนุ่มยุคใหม่รู้สึกเกี่ยวข้องกับชีวิต ไม่ต่างกับการเสนอผ่านชีวิตการทำงานของเคน และตากล้อง ในโฆษณาวาสลีน เมน ในประเทศไทย เพราะคนทำงานทุกคนล้วนมีประสบการณ์ใบหน้าหมองคล้ำจากการทำงานกันทั้งนั้น การสื่อสารกับผู้บริโภคจึงต้องได้ทั้งอารมณ์การเล่าเรื่องที่ใกล้เคียงประสบการณ์ผู้บริโภค และการสร้างคอมมูนิตี้ในกลุ่มผู้ชาย ซึ่งพัฒนาการสื่อสารตลาดของสินค้าผู้ชายก็ไม่ต่างอะไรจากผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงเท่าไร

เมื่อผู้บริโภครู้จัก ต้องจัดกิจกรรมตามสำทับ จนัญญา เมฆวัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกาย บำรุง และทำความสะอาดผิว บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ให้ข้อมูลว่า กลุ่มเป้าหมายของวาสลีนเป็นผู้ชายวัย 16-35 ปี ที่ต้องการมีผิวสุขภาพดี

“เราใช้เคนทำหน้าที่สร้าง Brand Awareness ขณะที่กิจกรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นเพื่อจูงใจให้เกิดการทดลองใช้”

วาสลีน เมน ออนแอร์ TVC กระหน่ำในช่วง Prime Time ตั้งแต่เมษายน 2553 และสร้างสีสันการตลาดจัดจ้านไม่แพ้สกินแคร์แบรนด์ผู้หญิง เช่น การทำกิจกรรมกับกลุ่มเป้าหมายใน Men Area อาทิ สนามกีฬา และฟิตเนส เซ็นเตอร์ อย่างแคลิฟอร์เนีย ว้าว เพื่อให้ผู้ชายรักสุขภาพได้ใช้ผลิตภัณฑ์นี้อยู่ระยะหนึ่ง และกลายเป็นต้นแบบให้สินค้าผู้ชายต่างๆ เข้าไปใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อทำ Product Trial

นอกจากนี้ยังต้องเน้น Ambience Media เป็นพิเศษหลังสร้าง Brand Awareness ได้สักระยะหนึ่ง จัด “อ่างล้างหน้าเคลื่อนที่” ออกไปโรดโชว์ในสถานที่ต่างๆ กลางกรุง เช่น สยามสแควร์ เพื่อท้าพิสูจน์ให้ผู้ชายได้ทดลองผลิตภัณฑ์กันแบบจะจะ กับวาสลีน เมน แบบครบไลน์ ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ตรงและมีโอกาสสร้างความประทับใจให้กับผู้บริโภคผู้ชายมากกว่า (โดยมีพริตตี้สาวๆ คอยให้คำแนะนำ) เนื่องจาก Consumer Insight ของผู้ชายนั้นไม่ยินดียินร้ายกับ Sampling ดังนั้นการแจกสินค้าตัวอย่างสำหรับผู้ชายแล้ว จูงใจให้ทดลองใช้น้อยมาก อย่างเก่งก็วางระเกะระกะอยู่หน้าเคาน์เตอร์ในห้องน้ำเท่านั้นเอง

ด้าน Message ที่ใช้ก็ออกไปแนวท้าทายซึ่งเป็น Consumer Insight ของผู้ชายอยู่แล้วที่หากโดนท้าก็กล้าที่จะทดลอง ผลปรากฏว่ายอดขาย 2 เดือนแรกหลังจากเปิดตัว ขายไปได้กว่า 800,000 ชิ้น

ครึ่งปีหลังวาสลีน เมน เดินหน้าอีกขั้นด้วยใช้ Celebrity หนุ่ม 4 คน กับแคมเปญ “มืออาชีพ คอนเฟิร์ม วาสลีน เมน เวิร์คจริง” เพื่อเป็นการตอกย้ำและยืนยันกับกลุ่มเป้าหมายให้มั่นใจว่าวาสลีน เมน ใช้ได้ผลจริง เป็นภาคต่อของแคมเปญหลังจากเคนออกมาท้าให้ลองแล้ว ก็ถึงทีของผู้บริโภคผู้ชายที่วาสลีน เมน อ้างว่าเป็น “ผู้ใช้จริง” ที่ทำงานหลากหลายอาชีพออกมายืนยันอีกรอบ โดย วาสลีน เมน เลือกจัดทำเป็น TVC อีกชุดหนึ่งเพราะให้ผลในวงกว้างที่สุด และวาสลีน เมน เชื่อว่า ยังสามารถฉีกหนีไปจากคู่แข่งทุกแบรนด์ต่างก็เลือกนำเอา ดารา นักร้องชื่อดัง มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์

โค้งสุดท้ายของปีนี้ วาสลีน เมน ก้าวไปอีกขั้น คราวนี้เป็นคิวของนักเตะดาวรุ่ง ที่กำลังมาแรง 11 คน จากทีมฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก และทีมชาติไทย เช่น ปีเตอร์ แลง นักเตะลูกครึ่งไทยสวิส จัดเป็นอีเว้นท์ใหญ่ นำนักเตะทั้ง 11 คนมาเดินแบบกลางสยามสแควร์ เพื่อสร้าง Talk of the town

ฟุตบอลถือเป็นกีฬายอดนิยมของผู้ชายไทยอยู่แล้ว และไทยพรีเมียร์ลีกก็พิสูจน์แล้วว่ามาแรงจริง โดยเฉพาะกับพลังแฟนคลับของนักเตะทั้ง 11 ทีม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรง วาสลีนยังสามารถต่อยอดไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ได้หลากหลา เช่น แจกสินค้าตัวอย่าง การจัดชิงรางวัล

ที่สำคัญ กิจกรรมครั้งนี้ยังสะท้อนถึงความเป็น Real Men ซึ่งเป็นทิศทางของตลาดได้อย่างชัดเจน และคาดว่าจะมีผลต่อการขับเคลื่อนยอดขายและสร้าง Brand Loyalty ต่อไปในอนาคตได้

แม้วาสลีน เมนจะไม่เปิดเผยตัวเลขส่วนแบ่งการตลาด แต่คู่แข่งอย่างนีเวีย ฟอร์ เมน ซึ่งเป็นเจ้าตลาดที่เปิดเผยตัวเลขเพียงยอดเติบโต 17% ก็ทำให้เห็นว่าวาสลีน เมนจะต้องทำแต้มอีกไม่น้อย หากหวังที่จะโค่นแชมป์อย่างนีเวีย ฟอร์ เมน ให้ได้

Timeline
เส้นทางปักธง วาสลีน เมน
สิงหาคม 2552 เปิดตัว วาสลีน เมน โลชั่น
มีนาคม 2553 เปิดตัว วาสลีน เมน ไลน์อื่นๆ
เมษายน 2553 ออกอากาศ TVC ชุด Challenge ท้าให้ผู้ชายไทยลองวาสลีน เมน โดยใช้เคน ธีรเดช เป็นพรีเซ็นเตอร์
มิถุนายน 2553 ออกแคมเปญ 4 หนุ่มมืออาชีพ ช่วยยืนยันผลผ่าน TVC, Product Placement และ สื่อนิตยสาร ตะลุยโรดโชว์ให้ผู้ชายได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์ทันที
กันยายน 2553 ร่วมกับนักฟุตบอลในไทยพรีเมียร์ลีก
]]>
13301
ผู้ชายก็ช้อปเป็นนะครับ https://positioningmag.com/12810 Wed, 21 Jul 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12810

ใครจะคิดว่าผู้ชายซึ่งจัดอยู่ในระดับหัวหน้าครอบครัวอย่างชายไทยอายุระหว่าง 20-45 ปี จะถูกขนานนามว่าเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ถูกลืม

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นมานานตั้งแต่ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กันเลยทีเดียว เมื่อ เอียน ไวท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ บริษัท เจดับบลิวที จำกัด ยืนยันว่า ตั้งแต่ยุคปี 1950-1960 บริษัทคอนซูเมอร์ยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นยูนิลีเวอร์ พีแอนด์จี และอีกหลายบริษัทต่างมุ่งทำตลาดไปที่กลุ่มผู้หญิง เพราะคิดว่าเจ้าหล่อนต่างหากคือผู้กำอำนาจการซื้อสินค้าแทบทั้งหมดในบ้าน

“แต่ยุคนี้ไม่ใช่แล้ว ถ้าเดินในซูเปอร์มาร์เก็ตคุณก็จะเห็นผู้ชายเดินอยู่ไม่น้อย นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาช้อป พวกเขาทำอาหาร” เอียน ไวท์ ยืนยัน

60% คือตัวเลขที่งานวิจัยบอกว่าผู้ชายเดินช้อปด้วยตัวเองในซูเปอร์มาร์เก็ต

เพราะฉะนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่นักการตลาดจะต้องคิดเพื่อลูกค้าผู้ชายมากกว่าจะมุ่งไปที่ผู้หญิงแต่เพียงอย่างเดียว
บริษัท เจดับบลิวที จำกัด ร่วมกับ มายด์แชร์ และบริษัท มิลวาร์ดบราวน์ ไฟร์ฟลาย จำกัด สามเอเยนซี่ด้านการสื่อสารตลาด มีเดีย และงานวิจัย บริษัทในเครือ ดับบลิวพีพีกรุ๊ป จึงได้ร่วมกันทำงานวิจัยร่วมกันภายใต้หัวข้อ

“พฤติกรรมผู้ชายไทยที่คาดไม่ถึง” เพื่อเป็นแนวทางให้กับนักการตลาดที่อาจจะละเลยลูกค้ากลุ่มผู้ชายนี้ไปให้หันกลับมารู้จักพวกเขาอย่างจริงจังมากขึ้น

งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการวิจัยแบบเจาะลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพ กับกลุ่มชายไทยอายุระหว่าง 20-45 ปี ที่มีรายได้ระดับปานกลางหรือเดือนละ 20,000 บาทขึ้น โดยสุ่มตัวอย่างจำนวน 300 ราย เพื่อเป็นตัวแทนผู้ชายไทยในกลุ่มนี้อีกกว่า 7,9 ล้านคนทั่วประเทศไทย (ผู้ชายในช่วงอายุนี้ทั้งหมดของไทยมีทั้งประมาณ 40 ล้านคน) ซึ่งเอียน ไวท์บอกว่า เป็นกลุ่มที่มีปริมาณเท่าๆ กับกลุ่มผู้บริโภคหญิงในช่วงอายุเดียวกันเลยทีเดียว

งานวิจัยชิ้นนี้จัดทำและวิเคราะห์โดยใช้ 5 วิธี ได้แก่ การสนทนากับกลุ่มเป้าหมาย การจดบันทึกประจำวัน สำรวจชีวิตประจำวัน การสัมภาษณ์กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผู้ชาย และการจัดเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ซึ่งได้ผลสรุปที่จะทำให้นักการตลาดได้มีโอกาสเข้าในผู้ชายไทยถึง 3 ด้านด้วยกัน นั่นคือ โลกของผู้ชาย แบรนด์ของผู้ชาย และโลกแห่งการสื่อสารของผู้ชาย เพื่อจะให้รู้แน่ว่าผู้ชายไทยเป็นอย่างไร จะขายสินค้าผู้ชายก็คงต้องเข้าใจผู้ชาย มารู้จักผู้ชายไทยกันเลย

Fun เรื่องใหญ่ของผู้ชายไทย

คำว่าสนุกสำหรับผู้ชายไทยเป็นเรื่องใหญ่และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต โดยมี 5 สิ่งที่ผู้ชายไทยชอบที่จะเป็น ได้แก่

ความเป็นอิสระ ทำอะไรก็ได้สบายๆ ไม่ต้องกังวล
ความสะดวกสบายส่วนตัว ถึงขนาดชอบที่จะใส่กางเกงในตัวเดียวเดินในบ้าน
ความปลอดภัย เกิดเป็นผู้ชายปลอดภัยกว่าหญิง
สนุก แม้กระทั่งเรื่องผู้หญิง มีเยอะถือว่าเท่
ความเป็นผู้นำ สามารถที่จะทำอะไรได้เองโดยไม่ต้องปรึกษาใคร

พฤติกรรมที่พบบ่อยในผู้ชายไทย

กุ๊กกิ๊กกับสาวอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาถือเป็นเรื่องปกติ ความสัมพันธ์แบบนี้เป็นเรื่องสำคัญของผู้ชาย
พฤติกรรมกุ๊กกิ๊กของผู้ชายไทยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่หญิงยุคใหม่เปิดกว้างมากขึ้นเรื่องความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม โดยเฉพาะถ้าได้มีเซ็กซ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยาถือเป็นรสชาติของชีวิต

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและเครือข่ายสังคมออนไลน์ ล้วนเป็นสิ่งที่สนับสนุนให้มีการเริ่มต้นสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ชายกับหญิงอื่นได้ง่ายขึ้น ทั้ง Hi5 และ Facebook

พฤติกรรมผู้ชายผูกติดกับประสบการณ์ในอดีต เล่นปืนตอนเด็ก โตมาจึงมีผลต่อความชอบในกีฬาหรือของเล่นแนวเดียวกัน บีบีกันและเพ้นต์บอลล์จึงได้รับความนิยมในหมู่ผู้ชาย จากรถยนต์ของเล่นที่ทำเสียงประกอบด้วยตัวเองก็พัฒนาไปสู่การเล่นรถยนต์ มีการแต่งรถ

ส่วนกีฬาที่ขาดไม่ได้ของผู้ชายไทยก็คือฟุตบอล เพราะเล่นได้ตั้งแต่วัยเรียน หลังเลิกงาน วันหยุด และเล่นได้ต่อเนื่อง 95% ชอบฟุตบอล ขณะที่กีฬาอย่างมวยมีสัดส่วนแค่ 25%

“ใจบุญและอยากรวย” รูปแบบในฝันของชายไทย
34% นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
25% หนุ่มใจบุญ
16% นักกีฬาที่มีชื่อเสียง
12% หนุ่มเจ้าสำราญ (Casanova)
8% เซเลบริตี้
4% นักการเมือง

“ภาพที่เห็นไม่ใช่ว่าชายไทยอยากเป็นใครสักคนในอาชีพนั้น แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการเป็นคือต้องการประโยชน์ที่คนกลุ่มนั้นได้รับ เพราะไม่เช่นนั้นแค่อยากมีเงินอย่างเดียวก็สามารถเป็นได้ทุกอย่าง” เอียน ไวท์ อธิบายเพิ่มเติม

ก็เพราะผู้หญิงนั่นแหละที่ทำให้ผู้ชายอยากดูดี

การพัฒนาตัวเองของผู้ชาย มีปัจจัยมาจากสาวๆ นี่เอง เพราะ

การที่ผู้ชายจะพัฒนาตัวเองให้ดูดี เขาจะเลือกดูแบบอย่างจากหนุ่มๆ ที่สาวๆ ชื่นชอบนั่นเอง ซึ่งผู้ชายเหล่านั่นก็มักจะปรากฏตัวในฐานะพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่าง เช่น โดม เคน-ธีรเดช อนันดา เป็นต้น หรือคนในวงการต่างๆ ที่มักจะปรากฏตัวผ่านสื่อ เช่น นักธุรกิจ นักการเมือง คนในวงการทีวี ฯลฯ

ถ้าผู้ชายอายุน้อยอยากหล่อจะปรึกษาสาวๆ ว่าแบบไหนถึงจะดูดี

แต่ถ้าผู้ชายอายุมาก พวกเขาจะเลือกปรึกษาหนุ่มรุ่นน้อง

ชายหล่อสาวสวยของคู่กัน เมื่อผู้ชายพัฒนาตัวเองให้ดูดีสิ่งที่เขาคาดหวังก็คือการที่จะได้สาว หรือสาวๆ มาครอง

ผู้ชายไทยกับครอบครัว

ถึงผู้ชายไทยจะมีความสุขแค่สองวัน คือ วันแต่งเมีย กับวันที่เมียตาย แต่ในส่วนลึกผู้ชายไทยส่วนมากนึกถึงครอบครัวมาเป็นอันดับต้นๆ เพราะถึงที่สุดผู้ชายทุกคนก็อยากจะแต่งงานสร้างครอบครัวและมีความสุขเมื่อเห็นหน้าลูก แต่ถ้าเลือกได้พวกเขาขอกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เพราะเป็นชีวิตที่อิสระไม่ต้องรับผิดชอบซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของชีวิต เพียงแต่มีข้อจำกัดตรงที่ขาดประสบการณ์และขาดเงินเท่านั้นเอง

รู้จักผู้ชายไทยใน1 วัน

77% อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ในจำนวนนี้ 66%ดูทีวี อีก 27%นอน
39% ฟังเพลง
30% อ่านหนังสือ แบ่งเป็นอ่านหนังสือ 19% อีก 11% อ่านหนังสือพิมพ์
30% เล่นกีฬา
28% อยู่กับคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตและเกม
18% ใช้เวลากับครอบครัว
16% ดื่มสุรา
11% งานอดิเรก
11% เซ็กซ์
5% ออกไปนอกบ้าน ในจำนวนนี้ 63% ออกไปกับเพื่อน 20%ออกไปกับครอบครัว ส่วนอีก 8% ไปกับผู้หญิง (อื่นมากกว่าแฟนหรือภรรยา)

เงินน้อยต้องใช้ เงินมากเน้นเก็บ

ตรรกะการใช้เงินของชายไทยสำหรับจำนวนเงินที่ต่างกันไม่เหมือนกัน

ถ้าได้เงินสองหมื่นบาท

45% ซื้อของสนองตัวเอง หลักๆ ที่คิดจะซื้อได้แก่ ของใช้ส่วนตัว เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ (กรณีนี้นักวิจัยตีความโดยส่วนลึกแล้วเป็นการซื้อเพื่อครอบครัวทางอ้อม)
20% ให้พ่อให้แม่
18% ซื้อเฟอร์นิเจอร์ แต่งบ้านใหม่
18% ซื้อของให้ลูก
16% ให้ภรรยาหรือแฟน

นอกเหนือจากนี้ก็มีทั้งใช้เที่ยว ทำบุญ ลงทุน กินดื่ม ใช้หนี้ หรือแม้กระทั่งเล่นพนัน และซื้อบริการทางเพศ ซึ่งยังมีติ่งอยู่ 2% เท่ากันสำหรับสองวัตถุประสงค์สุดท้าย โดยสรุปส่วนใหญ่ใช้เพื่อตัวเองแต่ก็ยังมีความตั้งใจที่จะแบ่งให้ครอบครัว

แต่ถ้าได้สักล้าน
81% เก็บออม
68% ให้กับสมาชิกในครอบครัว ให้พ่อแม่มาเป็นดับหนึ่ง รองมาให้ภรรยา ซื้อของให้ครอบครัว และให้ลูก
45% เอาไปลงทุน
22% ซื้อของให้ตัวเอง
20% ทำบุญ

นอกจากนี้ ก็จะนำเงินไปใช้หนี้ (18%) ท่องเที่ยว (18%) ให้แฟน (3%) ซื้ออสังหาริมทรัพย์ (4%) ซื้อรถ (1%)

]]>
12810