Matthew Zielinski รองประธานบริหารของ เลอโนโว (Lenovo) บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์พีซีสัญชาติจีน และเป็นเจ้าของแบรนด์ โมโตโรล่า (Motorola) กล่าวว่า บริษัทได้พยายามส่งเสริมแบรนด์และวางตําแหน่งเป็น ผู้เล่นสมาร์ทโฟนระดับ High-end เพื่อแข่งขันกับ ซัมซุง (Samsung) และ แอปเปิล (Apple) และตั้งเป้าจะเป็นผู้เล่น Top3 ของโลกภายใน 3 ปี

ปัจจุบัน Apple และ Samsung ถือเป็นสองผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลกโดยมีส่วนแบ่งรวมกันประมาณ 40% ขณะที่โมโตโรล่าและเลอโนโวรวมกันมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 4% (อ้างอิงตัวเลขไตรมาส 3/2023) และเป็นผู้เล่น อันดับ 8 ของโลก ตามข้อมูลของ Counterpoint Research อย่างไรก็ตาม โมโตโรล่าก็แข็งแรงในบางตลาด โดยถือเป็นผู้จําหน่ายสมาร์ทโฟนรายใหญ่อันดับ 3 ในอเมริกา และอันดับ 2 ในละตินอเมริกา

ย้อนไปในปี 2020 Lenovo ได้กลับมารีแบรนด์ Motorola Razr พร้อมออก สมาร์ทโฟนจอพับ ซึ่งเคยเป็นจุดเด่นของแบรนด์สมัยยุคฟีเจอร์โฟน ดังนั้น กลยุทธ์การสร้างการเติบโตของโมโตโรล่าก็คือ กลุ่มระดับพรีเมียมของตลาด ซึ่งปัจจุบันมีเพียง Apple และ Samsung ที่ครองตําแหน่ง

โดย Matthew Zielinski กล่าวว่า กําลังมองหาการเติบโตอย่างเสถียร ในตลาดที่มีอยู่จนกว่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดถึง 10% และโลโนโวพร้อมที่จะเพิ่มโรงงานผลิตสินค้าใน อินเดีย โดย Matthew Zielinski มองอินเดียว่า “เป็นหนึ่งในประเทศยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดของเลอโนโว” เพราะประเทศอินเดียนั้นมีการเติบโตที่ยอดเยี่ยมมาก และเลอโนโวพร้อมจะ วางเดิมพันให้มากเท่าที่เราจะทําได้

Source

มือถือฝาพับหายไปตามกาลเวลาเมื่อสมาร์ทโฟนที่เป็นหน้าจอสัมผัสได้เข้าสู่ตลาด แต่ความรู้สึกของการได้สะบัดข้อมือเปิดปิดหน้าจอมือถือกำลังจะกลับมาอีกครั้งกับ Motorola Razr โมเดลมือถือฝาพับยอดฮิตช่วงทศวรรษ 2000s ด้วยรูปลักษณ์ตัวเครื่องที่บางโฉบเฉี่ยวทำให้เป็นที่นิยมอย่างมาก

ครั้งนี้ Motorola นำนวัตกรรมหน้าจอที่บิดโค้งงอได้มาผสานเข้ากับโมเดลฝาพับรุ่นเก่า เมื่อพับฝาลงมาจะทำให้ดูเหมือนกับ Motorola Razr รุ่นดั้งเดิม โดยมีหน้าจอเล็กขนาด 2.7 นิ้วไว้อ่านข้อความแจ้งเตือน (notifications) และเป็นจอดูภาพเมื่อถ่ายรูปด้วยกล้องหน้า แต่เมื่อเปิดฝาขึ้นจะพบว่าภายในเป็นหน้าจอสัมผัสแบบสมาร์ทโฟนตามปกติ โดยยังมีฐานด้านล่างของจอตามลักษณะการออกแบบในสไตล์ Razr ความกว้างของหน้าจอภายในคือ 6.2 นิ้ว ขนาดเทียบเท่ากับ iPhone 11

การนำจอบิดโค้งได้มาใช้กับการออกแบบมือถือฝาพับนับเป็นไอเดียที่แตกต่างไม่น้อย หลังจากที่ Samsung ออกรุ่น Galaxy Fold และ Huawei ส่งรุ่น Mate X ลงตลาด และทั้งสองรุ่นต่างเดินตามการออกแบบเดียวกันคือทำให้แนวพับเหมือนพับหนังสือ เมื่อกางออกมาจะได้จอใหญ่เทียบเท่ากับแท็บเล็ต

Motorola Razr ยังเล่นกับกิมมิกนี้แบบสุดทาง โดยผู้ใช้สามารถสะบัดพับมือถือเพื่อ ‘วางสาย’ เหมือนในอดีตได้ด้วย (ทั้งนี้ มีรายงานจากนักข่าวที่ได้ทดลองจับเครื่องจริงแล้วว่าการใช้มือเดียวพับปิดหน้าจอนั้นไม่ง่ายเหมือนในอดีต) และมีโหมดให้แปลงครึ่งล่างของจอทัชสกรีนเป็นรูปแบบปุ่มกดแบบเดียวกับ Razr รุ่นดั้งเดิมที่เราจำกันได้ดี เรียกว่าหวนหาอดีตกันให้เต็มที่เลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องห่วงว่าระบบตัวเครื่องจะวินเทจตามรูปลักษณ์ เพราะ Razr รุ่นใหม่ใช้ชิพ Snapdragon 710 จาก Qualcomm / RAM 6 GB / ROM 128 GB ถ่ายรูปกล้องหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซล และรองรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รวมถึงมีระบบจดจำลายนิ้วมือ

Motorola Razr จะเปิดขายแห่งแรกผ่าน Verizon ในวันที่ 26 ธันวาคมนี้ สนนราคา 1,500 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 45,000 บาท) ก่อนจะเปิดขายทั่วโลกเดือนมกราคม 2020

ต้องมาลุ้นกันว่า มือถือราคาไฮเอนด์ที่ให้ความรู้สึกย้อนวัยเครื่องนี้จะช่วยฟื้นคืนชีพ Motorolaในตลาดมือถือได้หรือไม่

Source

ศิวกร ดำรงภัทร ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน บริษัท เลอโนโว ประเทศไทย จำกัด กล่าวในงานเปิดตัว motorola one สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายว่า ผลการดำเนินงานของแบรนด์ Motorola ช่วงปีที่ผ่านมานั้นถือว่าประสบความสำเร็จ โดยหลังจากเริ่มขายสินค้ากลุ่ม moto g ปี 2016 ในประเทศไทย จากนั้นก็ออก moto g5 Plus มากระตุ้นตลาด ทั้งหมดนี้ทำให้ยอดขายเติบโต 2 เท่าทุกปี 

“ถือว่าเราประสบความสำเร็จในกลุ่ม mid tier จากเดิมที่มียอดขายเป็น 0 เราสามารถทำยอดขายเติบโต 2 เท่าตัวทุกปี ตอนนี้ยอดขายไทยทะลุ 500,000 เครื่องแล้วเมื่อไม่นานมานี้”

สำเร็จเพราะฟัง pain point

ศิวกรบอกว่าความสำเร็จนี้มาจากการฟังเสียงผู้บริโภค และพบว่าตลาด mid tier ยังมีช่องว่างให้ Motorola ทำตลาดได้ เนื่องจากการสำรวจชี้ชัดถึง pain point ที่แบรนด์สามารถตอบโจทย์ได้

“คือหลายค่ายอัปเกรดแต่กลุ่ม top tier รุ่นราคา 15,000 ขึ้นไป ROM ก็น้อยไปไม่พอ ชาร์จก็ช้า ใช้งานได้ไม่นานเต็มวัน ราคาก็ยังไม่สมบูรณ์พอ ทั้งหมดนี้เป็น pain point ที่เราสำรวจมา” ศิวกรเล่า “ที่เราทำคือเป็นพันธมิตรกับ Google ก่อนหน้านี้ที่ Lenovo จะซื้อ Motorola แบรนด์ Motorola ก็เป็นของ Google มาก่อน เราจึงแน่ใจว่า Android One ของ Motorola นั้นเสถียรสุดในตลาด”

Android One ที่ศิวกรพูดถึงคือแพลตฟอร์มฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เครื่องที่กำหนดมาตรฐานและดีไซน์ที่ Google กำหนดให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟน (OEM) ไม่เพียงผู้ผลิตจะต้องใช้ดีไซน์จาก Google แล้ว จะต้องรับประกันด้วยว่าจะอัพเดตและดูแลสมาร์ทโฟนรุ่นนั้นต่อไปอีก 2 ปี ซึ่งแปลว่าผู้ซื้อมือถือ android one จะได้การันตีว่าซอฟต์แวร์ภายในจะใหม่ขึ้นตลอด 2 ปีที่ใช้งาน และจะได้รับอัพเดตระบบความปลอดภัยรายเดือนต่อเนื่อง 3 ปี

สมาร์ทโฟน Android One รุ่นล่าสุดของ Motorola ที่จะนำมาแข่งกับ Android One ของค่ายอื่น คือรุ่น “motorola one” นอกจากหน้าจอใหญ่คมชัดพร้อมกล้องคู่อัจฉริยะ ผู้ใช้ motorola one จะสามารถใช้ฟีเจอร์ Google Lense ส่องกล้องไปที่สิ่งที่อยากรู้ เพื่อให้ระบบบอกได้เลยว่าสิ่งของนั้นสามารถซื้อที่ไหน หรือมีประวัติความเป็นมาอย่างไร โดย motorola one จะได้รับอัพเดตระบบปฏิบัติการเป็น Android P ไม่เกินปีนี้ และจะเป็นเวอร์ชั่น Q ในปีหน้า

motorola one จำหน่ายที่ราคา 7,990 บาท หากซื้อกับทรูพร้อมเปิดเบอร์ใหม่ จะได้ลดราคาลง 4,000 บาท แลกกับการติดสัญญา 1 ปี ค่าบริการ 499 บาทขึ้นไปต่อเดือน

การร่วมมือกับทรูทำโปรโมชั่นเพื่อลดราคาเครื่องลงครึ่งหนึ่งเหลือ 3,990 บาทนี้เป็นไปตามเทรนด์การแข่งขันในตลาดสมาร์ทโฟนราคาต่ำหมื่น ซึ่งเชื่อว่าจะดุเดือดมากขึ้นชัดเจนในปีหน้า

3 เทรนด์แรงตลาดสมาร์ทโฟนต่ำหมื่นปีหน้า

ศิวกรประเมินว่าตลาดสมาร์ทโฟนต่ำหมื่นไทยปีนี้แข่งขันดุเดือดที่สุดในรอบ 15 ปี เนื่องจากไม่ใช่แค่มีผู้ผลิตหลากหลาย แต่ 1 ผู้ผลิตยังแตกออกมาเป็น 2 แบรนด์ จนทำให้วันนี้ตลาดไทยมีผู้เล่นมากกว่า 9-10 แบรนด์ ส่งให้การแข่งขันในตลาดไทยเปลี่ยนแปลงไป

“ปีหน้าผมเชื่อว่าจะยังแข่งดุเหมือนเดิม แต่อาจจะทรานสฟอร์ม คือบางแบรนด์จะหายไป เพราะการแข่งกันมากขึ้น”

ศิวกรเชื่อว่าตลาดสมาร์ทโฟนต่ำหมื่นจะมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนที่ตลาดพีซีเคยเป็น นั่นคือบางแบรนด์จะหายไปจนเหลือแต่ผู้เล่นรายหลัก ซึ่งยังไม่มั่นใจว่าภาวะนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใด

อีกเทรนด์ที่เกิดขึ้นในตลาดสมาร์ทโฟนต่ำหมื่น คือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้าถึงข่าวสารเข้าถึงมากขึ้น ทำให้ผู้บริโภคสินค้ากลุ่มนี้ไม่ดูหรือตัดสินใจซื้อสินค้าหน้างาน แต่จะศึกษาข้อมูลมาก่อน ทำให้แบรนด์ต้องแข่งกันทุกทาง โดยเฉพาะข้อเสนอที่จะโดดเด่นมากขึ้น

กรณีนี้นำไปสู่เทรนด์ที่ 3 คือไทยจะเป็นประเทศที่จำหน่ายสมาร์ทโฟนในราคาต่ำมาก เพราะการแข่งขันสูง โดยเฉพาะเรื่องการจำหน่ายสินค้าพร้อมแพ็กเกจ ประเด็นนี้ Motorola จับมือกับทรูแบบเอ็กคลูซีฟ แต่ก็จะร่วมมือกับพาร์ตเนอร์ตัวแทนจำหน่ายทั่วไปด้วย

ความท้าทายในตลาดนี้คือการแข่งขันอย่างเดียวเลย สูงมาก ตอนนี้มี 9 แบรนด์เข้าไปแล้ว คงต้องหายไปบ้าง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ซึ่งก็เป็นไซเคิลที่เกิดขึ้นในตลาดทั่วไปอยู่แล้ว

เพราะมีรายงานพบว่า โมโตโรล่า (Motorola) บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนชื่อดังในอดีตที่ปัจจุบันอยู่ภายใต้ร่มเงาของเลอโนโล (Lenovo) ได้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยีหน้าจอที่สามารถรักษาตัวเองได้ออกมาแล้ว โดยเทคนิคที่โมโตโรล่าใช้ก็คือการให้ความร้อนแก่จุดที่เสียหายนั่นเอง

จากในภาพที่ใช้ประกอบการขอสิทธิบัตร จะเห็นได้ว่า ผู้เป็นเจ้าของต้องทำการลากนิ้วเพื่อกำหนดขอบเขตของหน้าจอส่วนที่ต้องการซ่อมแซมก่อน จากนั้นก็จะมีการให้ความร้อนเข้าไปเฉพาะจุด เพื่อให้วัสดุที่แตกร้าวนั้นกลับมารวมตัวกันใหม่

นอกจากความพิเศษในการใช้แอปพลิเคชันควบคุมการซ่อมแซมตัวเองของหน้าจอแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่พิเศษไม่แพ้กันคือการพัฒนาวัสดุโพลิเมอร์แบบใหม่ที่โมโตโรล่าเรียกว่า Shape Memory Polymer ที่สามารถกลับมาหลอมรวมกันได้เมื่อเจอความร้อน

ส่วนความร้อนที่สร้างขึ้นเพื่อแก้ไขหน้าจอแตกนั้น สิทธิบัตรดังกล่าวระบุว่าจะมาจากความร้อนที่ตัวเครื่องสร้างขึ้น

แม้จะดูเป็นเทคโนโลยีที่มีประโยชน์ แต่ข้อหนึ่งที่ไม่ควรลืมก็คือ นี่ยังเป็นแค่สิทธิบัตร ซึ่งโมโตโรล่าอาจนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์หรือไม่ก็ได้ และเป็นไปได้ว่า เทคนิคดังกล่าวอาจใช้ได้กับความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น (เช่น หน้าจอเป็นรอยขีดข่วน หรือแตกแบบเล็ก ๆ) และที่สำคัญ การซ่อมหน้าจอได้ไม่ได้รับประกันว่า ชิปเซ็ตภายในที่อาจเสียหายเพราะตกจากที่สูงจะได้รับการรักษาไปพร้อมกันด้วย

แถมท้ายด้วยข้อกังวลจากหลายฝ่ายที่ว่า ความร้อนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาอาการแตกหักเสียหายนั้น จะเป็นอันตรายต่อชิ้นส่วนอื่น ๆ ของโทรศัพท์หรือไม่ก็ยังไม่มีใครทราบ 

ที่มา : manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000084430

เลอโนโวได้วางยุทธศาสตร์ให้ “โมโต” วางจุดยืนอยู่ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลาง-พรีเมียม มีราคาตั้งแต่ 8,000 บาทขึ้นไป เน้นในส่วนของมูลค่า ส่วน “เลอโนโว ไวบ์” สมาร์ทโฟนในสายเลือดของเลอโนโวเองได้วางจุดยืนอยู่ในระดับล่างหรือระดับ Entry ราคาต่ำกว่า 8,000 บาท ตลาดนี้ยังคงมีสัดส่วนใหญ่ที่สุดที่ 70%

เมื่อประเมินสถานการณ์ตลาดสมาร์ทโฟนในไทย พบว่าเซ็กเมนต์ในตลาดกลาง-พรีเมียมแม้สัดส่วนจะน้อย แต่เติบโตมากที่สุด โดยในปีที่ผ่านมามียอดขาย 2.5 ล้านเครื่องจากยอดขายทั้งตลาด 23 ล้านเครื่อง และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตเฉลี่ย 23% และในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้มีการคาดการณ์ว่าจะเติบโตเฉลี่ย 30%

โมโตจึงมองว่ายังมีโอกาสและช่องว่างในตลาดที่จะบุกตลาดตรงนี้ เพราะในตลาดมีผู้เล่นหลักแค่ 2 รายก็คือ แอปเปิล และซัมซุง และมองว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไม่มีอะไรแปลกใหม่ในตลาดมากนัก นอกจากเรื่องหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น และมีสเปกสูงขึ้น

ใช้อุปกรณ์เสริมเป็นไฮไลต์

โมโตได้เลือกเปิดตัวสมาร์ทโฟนตระกูล Z Series ที่ถือเป็นรุ่นแฟล็กชิพ Moto Z ราคา 23,900 บาท และ Moto Z Play ราคา 15,900 บาท แต่ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ Moto Mods อุปกรณ์เสริมที่สามารถเปลี่ยนเข้าด้านหลังตัวเครื่อง สามารถเปลี่ยนเป็นมืออาชีพด้านต่างๆ ทั้งถ่ายภาพ, โปรเจคเตอร์, ที่ชาร์จแบต และลำโพง

แต่ถ้าจะสู้กับคู่แข่ง 2 ราย ระดับบิ๊กแบรนด์ ก็ต้องหาจุดขายใหม่ๆ มาช่วยเพิ่มความสนใจ โมโตจึงต้องหาพันธมิตรที่เป็นแบรนด์ชั้นนำของโลก อย่าง Hasselblad True Zoom อุปกรณ์เสริมในการถ่ายภาพ, Moto Insta-Share Projector อุปกรณ์เสริมโปรเจคเตอร์, JBL SoundBoost Speaker ลำโพงจากแบรนด์ JBL และ Incipo offGRID Power Pack ตัวช่วยในการชาร์จแบตเตอรี่

ทวนทอง ศรีวิเชียร ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายผลิตภัณฑ์สมาร์ทโฟน เลอโนโว กล่าวว่า “ตลาดสมาร์ทโฟนในบ้านเราไม่มีนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ มาหลายปีแล้ว ส่วนใหญ่เห็นแค่เรื่องหน้าจอใหญ่ขึ้น จึงอยากสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เชื่อว่าตัว Moto Mods จะเป็นคีย์สำคัญที่จะช่วยกระตุ้นตลาด มีพาร์ตเนอร์ระดับโลกมาช่วยพัฒนาสินค้า ถือว่าเป็นการช่วยบิวท์แบรนด์ให้เราด้วย”

เลือกนักธุรกิจเป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกในไทย

การเปิดตัวรอบนี้ โมโต ยังได้เลือกใช้พรีเซ็นเตอร์คนแรกในประเทศไทย “ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” นักธุรกิจรุ่นใหม่ เพื่อต้องต้องการจับกลุ่มคน Gen Y อายุ 18-39 ปี และคนกลุ่มนี้จะติดตามคนที่ประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ และทิมก็เป็นเหมือนไอดอลของคนเจนวายในยุคนี้ที่ทำธุรกิจ และมีแพชชั่นกับแบรนด์โมโตมาก่อนด้วย

เป้าหมายของโมโตหลังจากเปิดตัวรุ่นใหม่ก็คือ จะขึ้นเป็นท็อป 3 ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลาง-พรีเมียมให้ได้ในปีหน้า หรือมีส่วนแบ่งตลาด 10% ยอดขายราว 250,000 เครื่อง

ส่วนสัดส่วนรายได้ของบริษัท ตั้งเป้าให้โมโตสร้างรายได้ 50% และเลอโนโว 50% แต่โมโตจะเน้นในเรื่องของมูลค่า ส่วนเลอโนโวจะเน้นเรื่องของจำนวน เพราะวางจุดยืนในตลาดล่าง เน้นขายให้ได้เยอะ