Nespresso – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 03 Sep 2025 06:55:10 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เนสเพรสโซ” ส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านแคมเปญ My Cup of Purpose ให้ทุกแก้วเป็นมากกว่าการดื่มกาแฟ แต่มีเป้าหมายยิ่งใหญ่สู่ความยั่งยืน https://positioningmag.com/1536461 Wed, 03 Sep 2025 05:11:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1536461

เป็นที่ทราบกันดีว่าการดื่มกาแฟกลายเป็นไลฟ์สไตล์หลักของคนทั่วโลกไปแล้ว หลายคนดื่มกาแฟเพื่อความสดชื่นในแต่ละวัน หลายคนดื่มเพื่อเสพบรรยากาศได้พูดคุยกับคนคอมมูนิตี้ แต่รู้หรือไม่ว่าในการดื่มกาแฟสักแก้วนั้น นอกจากเราจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศ รสชาติอันละมุนของกาแฟแล้ว ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการดูแลโลกได้อีกด้วย

ในปัจจุบันกาแฟได้มีหลายนวัตกรรมออกมาเพื่อความสะดวกสบายของผู้บริโภค หนึ่งในนวัตกรรมยอดนิยมก็คือ “กาแฟแคปซูล” โดย Nespresso (เนสเพรสโซ) เป็นผู้นำด้านกาแฟแคปซูล และเครื่องชงกาแฟชนิดแคปซูลระดับพรีเมี่ยมจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์

เนสเพรสโซได้เริ่มผลิตกาแฟแคปซูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1986 หรือเมื่อ 39 ปีก่อน โดยเป็นเจ้าแรกที่บุกเบิกตลาดนี้ เนรมิตนวัตกรรมที่นำกาแฟสดเข้าไปอยู่ในแคปซูล สามารถเก็บได้นาน สะดวกสบาย ทานแล้วยังอร่อยเหมือนได้รสชาติกาแฟเต็มๆ เรียกได้ว่าเนสเพรสโซเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยยกระดับการดื่มกาแฟในบ้านให้มีประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เรื่องความยั่งยืนได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดเป็นประเด็นหลัก ไม่ใช่แค่กระแสอีกต่อไป หลายแบรนด์เริ่มมีแคมเปญ หรือโครงการที่ต่อยอดความยั่งยืน ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เนสเพรสโซเองก็มีส่วนในการช่วยสิ่งแวดล้อมมาตลอดด้วยการรีไซเคิลแคปซูลกาแฟ ซึ่งเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991 แต่ในปีนี้เนสเพรสโซประเทศไทยได้เริ่มแคมเปญใหญ่ My Cup of Purpose เดินหน้าส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนไปพร้อมกับผู้บริโภค ด้วยการตั้งเป้าหมายเพิ่มอัตราการส่งคืนแคปซูลกาแฟใช้แล้วในประเทศไทย จาก 25% ในปัจจุบัน ให้เพิ่มขึ้นเป็น 27% ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวเล็ก ๆ ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกที่ยั่งยืนในระยะยาว


My Cup of Purpose

สำหรับปี 2568 เนสเพรสโซ ประเทศไทย เดินหน้าสานต่อพันธกิจด้านความยั่งยืนภายใต้แคมเปญ My Cup of Purpose ที่เชิญชวนให้ผู้บริโภคดื่มด่ำช่วงเวลา “Me Moments” ควบคู่กับการสร้างคุณค่าเพื่อโลก โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มอัตราการส่งคืนแคปซูลกาแฟใช้แล้วจาก 25% ในปัจจุบัน เป็น 27% ภายในสิ้นปี 2568 ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อน Circularity และวัฒนธรรมการรีไซเคิลให้เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน

อมรทิพย์ วัชรีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด เนสเพรสโซ ประเทศไทย เน้นย้ำวิสัยทัศน์ของแบรนด์ด้านความใส่ใจต่อการหมุนเวียน โดยกล่าวว่า “เพราะเรามองว่าความยั่งยืนควรเป็นเรื่องง่ายและกลมกลืนไปกับกิจวัตรในทุกๆ วัน เนสเพรสโซจึงเป็นแบรนด์กาแฟเพียงหนึ่งเดียวที่ตั้งใจออกแบบเส้นทางการรีไซเคิลให้ราบรื่นและครอบคลุมที่สุดสำหรับผู้บริโภค ผ่านช่องทางส่งคืนแคปซูลใช้แล้วที่สะดวกและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางมาที่เนสเพรสโซบูติกทั้ง 8 สาขาในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ฝากที่จุดขายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ส่งคืนทางไปรษณีย์ หรือแม้แต่บริการรับถึงหน้าบ้านเมื่อสั่งสินค้าออนไลน์ และเสริมความแข็งแกร่งด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ทั้งหมดนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อการรีไซเคิลให้เป็นเรื่องใกล้ตัว และสามารถผสานเข้ากับชีวิตประจำวันของทุกคนได้อย่างง่ายดายที่สุด”

นอกจากนี้เนสเพรสโซยังมุ่งมั่นเชื่อมโยงผู้บริโภคเข้ากับผลลัพธ์เชิงบวกในทุกมิติของ 3Cs Roadmap ได้แก่ Circularity, Climate และ Community ผ่านกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น และโครงการระดับโลกอย่าง AAA Sustainable Quality™ เพื่อให้ทุกแก้วกาแฟกลายเป็นทั้งช่วงเวลาแห่งความสุข และจุดเริ่มต้นของอนาคตที่ยั่งยืนไปด้วยกัน

เนสเพรสโซมุ่งมั่นสร้างความยั่งยืนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ผ่านโครงการ AAA Sustainable Quality™ ที่ทำงานร่วมกับ Rainforest Alliance ในการสนับสนุนเกษตรกรกว่า 168,500 ราย ใน 18 ประเทศ โดยมุ่งเน้นในเรื่อง

– Quality: ช่วยให้เกษตรกรปรับปรุงแนวทางการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อให้สามารถผลิตเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูงตามมาตรฐานของเนสเพรสโซได้อย่างสม่ำเสมอ

– Sustainability: กำหนดมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมที่เข้มงวด ซึ่งรวมถึงการอนุรักษ์น้ำและดิน ความปลอดภัยในการทำงาน และการปฏิบัติต่อแรงงานอย่างเป็นธรรม

Productivity: ให้ความรู้ การช่วยเหลือทางเทคนิค และราคากาแฟที่เป็นธรรม โครงการนี้จะช่วยให้เกษตรกรเพิ่มผลผลิตและรายได้สุทธิ ทำให้ฟาร์มของพวกเขาสามารถอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนในเชิงเศรษฐกิจ


ชุบชีวิตที่ 2 ให้แคปซูล

เนสเพรสโซมีโครงการ Second Life ที่รังสรรค์ชิ้นงานศิลปะจากแคปซูลอะลูมิเนียมที่ใช้แล้ว โดยผลงานของประเทศไทยมีจัดแสดงผลงานชิ้นพิเศษในบูติกสยามพารากอนภายใต้คอนเซ็ปต์ “COFFEE AS AN ART” ซึ่งตกแต่งร้านด้วยผลงานของศิลปินไทยจาก Pin Metal Art ผลงานศิลปะเหล่านี้ไม่เพียงสวยงาม แต่ยังสะท้อนแนวคิด circular economy ที่เนสเพรสโซยึดมั่น สำหรับแนวทางในอนาคต

เนสเพรสโซมุ่งมั่นพัฒนาโครงการรีไซเคิลอย่างต่อเนื่องทั้งโปรเจกต์ Second Life ในระดับโลก และระดับท้องถิ่น โดยจะสร้างสรรค์รูปแบบการนำแคปซูลใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์ในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการนำไปใช้ในงานดีไซน์หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ การร่วมมือกับพันธมิตร และการจัดกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจด้านความยั่งยืนสำหรับผู้บริโภค เพื่อให้ทุกแก้วกาแฟไม่เพียงมอบความสุข แต่ยังสร้างคุณค่าและผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

เช่นเดียวกับตลาดทั่วโลก เนสเพรสโซ ประเทศไทย ได้เปิดประตูให้ผู้รักการดื่มกาแฟได้เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายด้านความยั่งยืน ผ่านแนวทางของ ‘การหมุนเวียน (Circularity)’ โดยให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายของผู้บริโภคในการส่งคืนแคปซูลกาแฟใช้แล้ว ควบคู่กับการต่อยอดความร่วมมือไปยังพันธมิตรท้องถิ่นอย่าง บริษัท วงษ์พาณิชย์ ในจังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้มั่นใจว่าแคปซูลทุกชิ้นที่ลูกค้าได้ดื่มจะถูกรวบรวม และนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลด้วยความใส่ใจโลกอย่างแท้จริง นอกจากนี้ กากกาแฟที่ใช้แล้วยังถูกแปรรูปเป็นปุ๋ย เพื่อนำส่งต่อให้เกษตรกรที่ทำไร่ในจังหวัดพิษณุโลก สะท้อนการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและใส่ใจสิ่งแวดล้อม

สำหรับปี 2568 แคมเปญ ‘My Cup of Purpose’ จะเริ่มต้นด้วยแนวคิดเกี่ยวกับ ‘การหมุนเวียน (Circularity)’ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่เนสเพรสโซต้องการทำให้เป็นเรื่องเข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน เพื่อให้เหล่าผู้ที่หลงใหลในศิลปะของการดื่มกาแฟผสมผสานความยั่งยืนเข้ากับวิถีชีวิตได้อย่างเรียบง่าย พร้อมขับเคลื่อนไปสู่จุดมุ่งหมายที่มีคุณค่าร่วมกัน


จากภายใน สู่ภายนอก

สำหรับโปรเจ็คต์ด้านสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เนสเพรสโซได้เริ่มตั้งแต่เป้าหมายภายในองค์กร ร่วมมือกับกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อม เพื่อสนับสนุนโครงการปลูกต้นไม้ล้านต้น โดยเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เนสเพรสโซจัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ที่สวนป่าเอกมัย เขตวัฒนา เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงพื้นที่สีเขียวให้กรุงเทพมหานคร โดยเจ้าหน้าที่กทม.ได้ให้ความช่วยเหลือพนักงานเนสเพรสโซในการปลูกต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ จำนวน 20 ต้น ต้นสะเดา 15 ต้น และผักสวนครัวรวม 100 ต้นเพื่อให้ร่มเงาและเป็นผลผลิตให้กับชุมชน โดยใช้ดินที่ผสมกากกาแฟของเนสเพรสโซที่ใช้แล้ว ทำเป็นปุ๋ยบำรุงต้นไม้เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน

จะเห็นได้ว่าแคมเปญ My Cup of Purpose เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนความยั่งยืนในสังคมไทยได้อย่างรูปธรรมมากที่สุดแคมเปญหนึ่ง ซึ่งเป็นการผสมผสานแนวคิดความยั่งยืนผ่านไลฟ์สไตล์ที่จับต้องง่าย ทำให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วม ที่สำคัญยังเป็นการทำให้การดื่มกาแฟในแต่ละครั้งมีความหมายที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น ไม่ใช่แค่การดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟเพียงอย่างเดียว เป็นแคมเปญที่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว

]]>
1536461
สมรภูมิกาแฟร้อนฉ่า ! Nestle ทุ่ม 7.2 พันล้านดอลล์ จับมือ Starbucks เติมพอร์ตพรีเมียมลุยตลาดรีเทลครบสูตร https://positioningmag.com/1168912 Mon, 07 May 2018 10:30:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1168912 ถือเป็นอีก 1 ในดีลประวัติศาสตร์ สำหรับการผนึกกำลังครั้งสำคัญลุยตลาดกาแฟทั่วโลก (global coffee alliance) ของ 2 ค่ายกาแฟยักษ์ใหญ่  เมื่อ “Nestle” ยักษ์อาหารและเครื่องดื่มสัญชาติสวิสฯ และผู้ผลิตเนสกาแฟ (Nescafe) ร่อน Release แถลงการณ์ปิดดีลจ่ายเงินสด 7,150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมูลค่ากว่า 227,645 ล้านบาท ให้กับ “Starbucks” เพื่อให้ได้สิทธิในการขายผลิตภัณฑ์กาแฟแบรนด์สตาร์บัคส์ (Starbucks) ทั่วโลก ผ่านช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ต และธุรกิจบริการอาหาร (Food Service) ทั้งร้านอาหารและธุรกิจบริการจัดเลี้ยง (Catering) ทุกประเภท 

บิ๊กดีลครั้งนี้ ทำให้เนสท์เล่ยังได้รับสิทธิในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์อื่นในเครือสตาร์บัคส์ด้วย เช่น Seattle’s Best Coffee, Starbucks VIA และ Torrefazione Italia รวมถึงแบรนด์ชา Teavana ด้วย แต่จะไม่นับรวมกาแฟบรรจุขวดพร้อมดื่ม (Ready to Drink) และน้ำผลไม้ของสตาร์บัคส์  

นอกจากสินค้าที่เนสท์เล่จะได้ไป ดีลครั้งนี้ยังส่งผลให้พนักงาน ของสตาร์บัคส์ประมาณ 500 คน ต้องเข้าร่วมทำงานในบริษัทเนสท์เล่อีกด้วย โดยทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการตั้งสำนักงานร่วมกันในเมืองซีแอตเทิล 

เควิน จอห์นสัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สตาร์บัคส์ บอกว่า ข้อตกลงการเป็นพันธมิตรระดับโลกครั้งนี้ จะส่งต่อประสบการณ์ดื่มกาแฟสตาร์บัคส์ไปสู่ผู้บริโภคนับล้านครัวเรือนทั่วโลก 

อย่างไรก็ตาม ดีลระหว่างเนสท์เล่กับสตาร์บัคส์ครั้งนี้จะเสร็จสมบูรณ์ภายในสิ้นปี 2561 

รายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า เนสท์เล่จะใช้กาแฟแบรนด์สตาร์บัคส์ไปกับกลุ่มเครื่องทำกาแฟแคปซูลอย่างเนสเปรสโซ่ (Nespresso) และ “Dolce Gusto” ในปีหน้าด้วย นับเป็นการรุกตลาดกาแฟอีนที่มุ่งตอบโจทย์และเพิ่มอรรถรสให้กับคอกาแฟที่ต้องการดื่มกาแฟสดพรีเมียมมากขึ้น 

ด้านความเห็นของ “Jean-Philippe Bertschy” นักวิเคราะห์จากบริษัท Bank Vontobel AG ว่าการเป็นพันธมิตรครั้งนี้ตอกย้ำว่าเนสท์เล่ พยายามดึงดูดคอกาแฟพรีเมียมให้ได้มากขึ้นในตลาดสหรัฐฯ หลังจากที่ผ่านมาเนสท์เล่สามารถส่งเนสเปรสโซ่และเนสกาแฟไปบุกตลาดโลกได้ดี แต่กลับไม่รุ่งในตลาดสหรัฐฯ เท่าที่ควร โดยในสหรัฐฯ นั้น ทั้งเนสเปรสโซ่ และเนสกาแฟ ต่างเป็นรอง สตาร์บัคส์อยู่หลายช่วงตัว

ส่วนประเด็นดีลครั้งนี้ถูกมองว่าราคาแพงด้วยมูลค่า 7,150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 227,645 ล้านบาท แต่เม็ดเงินนี้อาจสามารถทยอยจ่ายภายใน 3-4 ปี ซึ่งถือว่าคุ้ม เพราะดีลนี้อาจช่วยให้ Nestle สามารถขยายธุรกิจในสหรัฐฯได้ ซึ่งเป็นตลาดที่อ่อนแอของบริษัทมาตลอด ความจริงนี้ทำให้หุ้นเนสท์เล่ในตลาดหุ้นซูริกเพิ่มขึ้น 0.8% หลังจากที่ลดลงประมาณ 9% ตลอดปีนี้ 

*** พลิกคู่แข่ง” เป็นพันธมิตรคู่ใจ”   

นอกจากมูลค่าดีลจะมหาศาล และทั้งคู่เปิดเกมรบกาแฟไปอีกสเต็ปแล้ว วงการกาแฟยังได้เห็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของเนสท์เล่ ที่พลิกบทบาทในการจับมือคู่แข่งรายหลักในวงการกาแฟระดับพรีเมียม ชื่อชั้นระดับโลกเหมือนกัน ให้กลายมาเป็นพันธมิตร เสริมจุดแข็งให้กับอาณาจักรของธุรกิจกาแฟทั้งคู่ 

สำหรับบทบาทของสตาร์บัคส์ จากนี้ไปจะรับหน้าที่ผลิตสินค้ากาแฟป้อนตลาดในภูมิภาคอเมริกาเหนือ ขณะที่เนสท์เล่จะรับผิดชอบการผลิตในตลาดอื่นทั่วโลก ส่วนตัวเลขยอดขายที่ได้จะถูกโอนเป็นของเนสท์เล่ ซึ่งจะจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับสตาร์บัคส์เป็นงวดไป

กลยุทธ์ดังกล่าว เนสท์เล่ ยังคาดการณ์ว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อรายได้ (รายได้ต่อหุ้น) และเป้าหมายการเติบโตยอดขายจากการดำเนินงานปกติ (organic growth target)

ในปีหน้า 2019 ซึ่งปัจจุบันเนสท์เล่ทำยอดขายได้ราว 2 พันล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น หรือประมาณ 9% ของรายได้ทั้งหมดของสตาร์บัคส์ 

Mark Schneider ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Nestle กล่าวด้วยความมั่นใจว่า ดีลนี้จะทำให้แบรนด์ดัง 3 แห่งในโลกของกาแฟทั้งสตาร์บัคส์, เนสกาแฟ  และ เนสเปรสโซ่ มารวมกันได้ จุดนี้สื่อยกให้ดีลนี้คือดีลใหญ่ที่สุดในช่วงที่เนสท์เล่ได้ซีอีโอใหม่เมื่อปีที่แล้ว

***เนสท์เล่สตาร์บัคส์ มีแต่ชนะ!  

สำหรับดีลนี้นับว่าตอบโจทย์เนสท์เล่อย่างมาก เพราะที่ผ่านมาได้มองเห็นโอกาสทางการตลาดของกาแฟพรีเมียมที่เติบโตมากขึ้น มีการเพิ่มแบรนด์ใหม่ Chameleon Cold-Brew เข้าทำตลาดเมื่อปีที่แล้วเพื่อขยายสินค้ากลุ่มเนสเปรสโซ่ในสหรัฐฯ แถมยังพยายามบุกหนักเรื่องการจำหน่ายเครื่องชงกาแฟที่เหมาะกับรสนิยมคนอเมริกัน ซึ่งชื่นชอบกาแฟถ้วยใหญ่พิเศษ เรียกว่าพฤติกรรมผู้บริโภคดื่มกาแฟยุคนี้มีความซับซ้อนมากขึ้น

ส่วนดีลนี้เอื้อ ให้สตาร์บัคส์แกร่ง” กว่าเดิม โดยเฉพาะความคล่องตัวและการทำเงินให้มากขึ้น ซึ่งนี่เป็นความพยายามที่สตาร์บัคส์ได้ปรับโครงสร้างธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะปีที่แล้วสตาร์บัคส์ตัดสินใจขายธุรกิจบางส่วนทิ้งไป

โดยเดือนพฤศจิกายน บริษัทตกลงขายแบรนด์ชา Tazo ให้ยูนิลีเวอร์ (Unilever) มูลค่า 384 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นก้าวใหม่และใหญ่ของสตาร์บัคส์ สะท้อนการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ของบริษัท 

แม้สตาร์บัคส์จะปรับตัวแล้ว แต่ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า สตาร์บัคส์ คือแชมป์ในตลาดกาแฟอเมริกันที่มีมูลค่ามากกว่า 13,800 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 440,000 ล้านบาท แต่สตาร์บัคส์รู้ดีว่าความสำเร็จนี้ไม่เพียงพอ เพราะในสังเวียนกาแฟระดับโลก เนสกาแฟและเนสเปรสโซ่รั้งอันดับ1″ อย่างเหนียวแน่น.

]]>
1168912