ปรากฏว่าโปรเจกต์ Converse x Nissin Cup Noodles สามารถโยงได้กับการเปิดตัวรองเท้าผ้าใบรุ่นลิมิเต็ดที่ Reebok จับมือเปิดตัวพร้อมกับ Baby Star Ramen แบรนด์ขนมขบเคี้ยวในรูปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเมื่อช่วงไตรมาส 3 ปี 2022 ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังจากร้านราเมงยอดนิยมในเกียวโต Tenkaippin และ Le Coq Sportif ร่วมมือกันทำรองเท้าผ้าใบที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูเส้นสุดกลมกล่อม เมื่อปลายปี 2021

กรณีของ Converse และ Nissin Cup Noodles ยิ่งตอกย้ำความร้อนแรงของตลาดรองเท้าผ้าใบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเมนูฮิต ที่ผ่านมา รองเท้าผ้าใบลักษณะนี้มักวางขายเป็นรุ่นพิเศษที่มีให้เลือกแบบเดียว แต่ความร่วมมือครั้งใหม่ของ Nissin Foods และ Converse จะวางจำหน่ายรองเท้าผ้าใบ All Star แบบเลือกได้ 3 แบบ 3 สี ซึ่งทำได้เพราะ “ความคลาสสิก” ที่เหมือนกันของทั้ง 2 แบรนด์

ไปกันได้ ถ้าคลาสสิกเหมือนกัน

หากจะวิเคราะห์ถึงความคลาสสิกของแบรนด์ Cup Noodle อาจจะต้องย้อนไปถึงความจริงที่ว่าผู้ที่คิดค้นบะหมี่ถ้วยกึ่งสำเร็จรูปคือ Momofuku Ando ผู้ก่อตั้ง หรือ Nissin และแบรนด์ของเขา “Cup Noodles” นั้นเป็นบะหมี่ถ้วยที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายสูงสุดด้วย

ต้นสังกัดอย่าง Nissin Foods ถือเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และแน่นอนว่าหนึ่งในผลิตภัณฑ์เด่นของบริษัทคือบะหมี่ถ้วยราเมง หรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่เป็นเหมือนเมนูตัวช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมากในราคาไม่แพง รวดเร็ว และเตรียมง่าย บะหมี่ถ้วย Cup Noodles จึงเป็นสินค้าคลาสสิกที่ขายได้ตลอดปีที่เหมาะสำหรับทุกคนที่ไม่มีเวลาทำอาหารหรือเหนื่อยเกินไป

สำหรับ Converse แบรนด์รองเท้าชื่อดังของอเมริกานั้นเป็นที่รู้จักมาหลายยุคสมัย ด้วยรองเท้าผ้าใบที่มีดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ ทำให้รุ่นที่ร่วมมือกับ Cup Noodles ถูกสร้างมาให้เลือกได้ 2 แบบ ได้แก่ รุ่นหุ้มข้อเท้า (High-cut) และรุ่นหุ้มส้นเท้า (Low-cut) รายงานระบุว่าโมเดล High-cut มีชื่อเรียกว่า “All Star Cup Noodle HI” เป็นรุ่น All Star ที่มีพื้นรองเท้าด้านในที่ใส่สบาย นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดการออกแบบที่คล้ายกับบรรจุภัณฑ์ของ Cup Noodle เช่น โลโก้ บาร์โค้ด ตารางส่วนผสม และสัญลักษณ์แถบสีทองด้านข้างถ้วย

โลโก้ Converse จะถูกแสดงพร้อมโลโก้ Cup Noodle และ NISSIN ซึ่งนอกจาก Cup Noodle รุ่นมาตรฐานสีแดงแล้ว ยังมีรองเท้า Cup Noodle สีฟ้าแบบรสซีฟู๊ดอีกด้วย ขณะที่อีกรุ่นคือ All-Star Cup Noodle Slip OX ซึ่งเป็นอีกดีไซน์ของกลุ่ม มาในโทนสีขาวดำหรือโมโนโทนพร้อมกราฟิกรูปแพ็กเกจแลดูคลาสสิกเข้าไปอีก

รองเท้าทุกรุ่นมีราคาเท่ากันคือ 13,200 เยน มีกำหนดวางจำหน่ายทางออนไลน์และในร้านค้า Converse บางแห่ง ตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2023

แพงกว่า Reebok ถูกกว่า Le Coq Sportif

รองเท้าผ้าใบ Converse x Nissin Cup Noodles ถือว่าสูงกว่า Reebok ที่เปิดตัวรองเท้ากับ Baby Star Ramen แบรนด์ขนมขบเคี้ยวในรูปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเมื่อช่วงไตรมาส 3 ปี 2022 ด้วยราคา 12,000 เยน แต่ยังราคาไม่สูงเท่า Le Coq Sportif ที่ร่วมมือกับร้านราเมงยอดนิยมในเกียวโต Tenkaippin จัดทำรองเท้าผ้าใบฉลองโอกาสร้าน Tenkaippin อายุครบ 50 ปี ในเวลานั้นรองเท้าถูกตั้งไว้ที่ 14,300 เยนในช่วงปลายปี 2021

แม้จะราคาต่างกัน แต่สิ่งที่สรุปได้เหมือนกันคือเทรนด์ที่เกิดขึ้นในตลาดสนีกเกอร์ญี่ปุ่น แบรนด์รองเท้าจำนวนไม่น้อยพร้อมใจตบเท้าร่วมคอลแลบกับแบรนด์ที่เกี่ยวข้องกับเมนูฮิต ขณะที่แบรนด์อาหารแดนปลาดิบก็ขานรับความร่วมมือที่ทำให้แบรนด์มีช่องทางขยายความมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค ไม่แน่ อาจจะมีความเป็นไปได้มากว่า เราจะได้เห็นแบรนด์สนีกเกอร์นอกญี่ปุ่น พากันจับมือกับแบรนด์เมนูฮิตสุดคลาสสิกในท้องถิ่นเพิ่มขึ้นก็ได้!

ที่มา : Timeout, Hypebeast, Japantoday 1 , Japantoday 2

การเปิดไลน์สินค้าผักสดพร้อมกินนี้จะดำเนินการในนาม Nissin Foods Co. บริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกงของเจ้าพ่อบะหมี่ถ้วยญี่ปุ่น ซึ่งมีผู้ก่อตั้งเป็นผู้ประดิษฐ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วงที่ได้เห็นผู้คนหิวโหยอยู่ด้านนอกแผงขายอาหารหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 

สำหรับธุรกิจบะหมี่ถ้วยดั้งเดิม Nissin Foods Co. เพิ่มสีสันใหม่ด้วยการเปิดตัวบะหมี่รสแกงปู crab curry ยังมีมันฝรั่งทอดรสซอส XO ทั้งหมดนี้ Nissin จัดให้หลังจากบริษัทรับทราบปริมาณความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาด ผลจากมาตรการเว้นระยะทางสังคมที่สร้างนิสัยใหม่เรื่องการรับประทานอาหารที่บ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นนิสัยที่จะอยู่กับผู้บริโภคไปอีกนานแม้การระบาดของโรคจะอยู่ในระดับควบคุมได้

“อาหารแปรรูป” ยอดขายกระฉูด

Kiyotaka Ando ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nissin ยอมรับว่าความต้องการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากการระบาดของโคโรนาไวรัส ไลฟ์สไตล์ทุกคนกำลังเปลี่ยนไปเนื่องจากผู้คนต้องอยู่บ้าน ทำให้หลายคนเลือกซื้อและรับประทานอาหารแปรรูปมากขึ้นที่บ้าน และเดินเข้าร้านอาหารนอกบ้านน้อยลง

ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปส่งผลให้ยอดขายของ Nissin เพิ่มขึ้น 2 หลักในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดช่วงที่เหลือของปี แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่ร้อนขึ้นก็ตาม 

ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปทำให้หลายบริษัทต้องปรับตัว การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีผู้ป่วย 6.27 ล้านคนและเสียชีวิตไปกว่า 375,600 คนทั่วโลก ทำให้แบรนด์อย่าง Yum China Holdings Inc. ต้นสังกัด KFC ในจีนต้องเริ่มวางจำหน่ายเนื้อสเต็กดิบพร้อมอธิบายสูตรการทำอาหารแบบโฮมเมด ในขณะที่แบรนด์ร้านอาหารหม้อไฟอย่าง Haidilao ก็หันมาจัดชุดกุ้งไก่ตุ๋นพร้อมผักและซอสปรุงสุก ให้ลูกค้าทำอาหารได้ที่บ้านในเวลา 5 นาที

สำหรับ Nissin เอง ในเวลา 5 เดือนแรกของปีนี้ Nissin เปิดตัวผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสใหม่จำนวนกว่า 12 รายการ ถือว่ามากกว่าที่เคยเปิดตัว 8 รสใหม่ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 ซึ่งในจำนวนนี้มีทั้งที่เป็นสินค้ากลุ่มพรีเมียมที่มีสารอาหารสูงและแคลอรีต่ำ เพื่อเจาะตลาดผู้บริโภคกลุ่มรักสุขภาพ

สถานการณ์โควิดถือเป็นพระเอกที่ช่วยกู้สถานการณ์ธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตกต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเป็นห่วงสุขภาพจนลดการรับประทานอาหารโซเดียวสูงไป ที่เห็นชัดคือจีนซึ่งตลาดบะหมี่กึ่งฯมูลค่า 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4 แสนล้านบาทนั้นประสบปัญหายอดขายเติบโตลดลง หรือเติบโตเป็นเลขหลักมานานกว่า 5 ปี

“ผักพร้อมกิน” อนาคตสดใส

นอกจากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เจ้าพ่อญี่ปุ่นอย่าง Nissin ประกาศแผนเริ่มผลิต “ผักสดพร้อมกิน” ที่โรงงานในฮ่องกง โดยจะลงทุนครั้งแรก 7 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง หรือ 28 ล้านบาท เพื่อตั้งสายการผลิตแห่งแรกในรูปแบบ ready-to-eat fresh-cut vegetables

สายการผลิตผักพร้อมกินจะถูกสร้างขึ้นภายในโรงงานผลิตอาหารแช่เย็นและแช่แข็งของ Nissin ที่นิคมอุตสาหกรรม Tai Po คาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในเดือนธันวาคม 2563 และจะได้รับการตอบรับดีเยี่ยมเพราะผู้บริโภคมีความห่วงใยสุขภาพมากขึ้น ส่งให้ Nissin ตั้งใจที่จะลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องให้มากขึ้น

Nissin ย้ำว่าจะใช้ความเชี่ยวชาญด้านการผลิตและการจัดการที่ทันสมัยของญี่ปุ่น ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างผักสดพร้อมรับประทาน หากทำได้ Nissin จะสามารถต่อยอดธุรกิจอาหารสำเร็จรูปได้อีกมากหลังจากเริ่มขาย Chicken Ramen บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสแรกของโลกในปี พ. ศ. 2501 ซึ่งต่อมาได้ขยายธุรกิจไปยัง 80 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ Cup Noodles.

ที่มา : 

• https://au.finance.yahoo.com/news/nissin-foods-develop-ready-eat-044500346.html
  
• https://www.hortidaily.com/article/9212016/japan-s-nissin-foods-to-start-fresh-cut-vegetable-production-at-hong-kong-facility/
• https://www.japantimes.co.jp/news/2020/06/03/business/corporate-business/cup-ramen-noodle-nissin-coronavirus-new-products/#.XthBbi-ca9Z

ลืมส้อมพลาสติกที่แถมมาในถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบเดิมๆ ไปได้เลย เพราะตอนนี้ได้มีส้อมพลาสติกอันใหม่ ที่เข้ามาสร้างนวัตกรรมให้กับวงการบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ Nissin ได้เปิดตัวบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนไปแล้ว ซึ่งก็สามารถสร้างเสียงฮือฮาได้อยู่ไม่น้อย แต่ล่าสุด Nissin ได้เรียกเสียงว้าวมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่การเปิดตัวรสชาติใหม่ แต่เป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการทานบะหมี่

นั่นคือการเปิดตัวอุปกรณ์สำคัญในการทานก็คือ THE FORK จะเรียกว่าเป็นส้อมมหัศจรรย์ก็ได้ เพราะส้อมนี้จะเป็นส้อมที่ดีไซน์ขึ้นมาสำหรับการทานกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยโดยเฉพาะ แถมยังออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ของมนุษย์ทุกประการ ทำให้ใช้ทานบะหมี่ได้อร่อยขึ้น สะดวกขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า!

THE FORK เป็นไอเดียของเอเยนซี่ Nendo เป็นเอเยนซี่ด้านการออกแบบสัญชาติญี่ปุ่นคอนเซ็ปต์หลักคือการเพิ่มประสบการณ์ในการทานบะหมี่ให้ดีขึ้น

อย่างที่กล่าวไปว่า THE FORK ไม่ใช่แค่ส้อมธรรมดา แต่มีการออกแบบเพื่อรับกับสรีรศาสตร์ของมนุษย์ ท่าทางการจับส้อม ซึ่งรายละเอียดของการดีไซน์มีตั้งแต่การกำหนดองศาของส้อมมีความโค้ง 128 องศา เป็นมุมที่เหมาะสมในการตักบะหมี่ขึ้นมาทาน ในส่วนของขอบส้อมไม่ว่าจะด้านซ้าย หรือด้านขวาก็มีขอบโค้งมนที่เข้ากับขอบของถ้วยได้พอดี ทำให้ตักบะหมี่ขึ้นมาง่าย

ในส่วนฟันของส้อมจะมีฟันเล็กๆ ยื่นออกมาเพื่อล็อกไม่ให้เส้นบะหมี่ลื่นลงไปได้ ที่สำคัญเจ้าส้อมมหัศจรรย์นี้ได้ออกแบบมา 2 เวอร์ชั่นสำหรับคนที่ถนัดซ้าย และถนัดขวา มาในทั้งสีขาว และสีแดง

แต่ใจความสำคัญของส้อม THE FORK อีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นส้อมแบบรียูส สามารถใช้ซ้ำได้หลายครั้ง เป็นการช่วยลดขยะพลาสติกลงไปได้อีก ทานบะหมี่ยังช่วยรักษ์โลกได้ด้วย

ส้อม THE FORK จะเริ่มวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ LAWSON ในประเทศญี่ปุ่น เป็นการจำหน่ายช่องทางออนไลน์เว็บไซต์ store.nissin.com ในวันที่ 30 ตุลาคม 2562 นี้

และจะมีจำหน่ายในจำนวนจำกัดที่ 3,000 ชิ้นเท่านั้น ราคา 6 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 180 บาท

Source