Partnership – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 06 May 2012 00:00:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 No limit in the sky https://positioningmag.com/14664 Sun, 06 May 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14664

แชมเปญขวดล่าสุดที่ “ปณต สิริวัฒนภักดี” รินเพื่อฉลองอีกก้าวหนึ่งของ “ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี” กำลังเติมเต็มให้พอร์ตของกลุ่มทีซีซี สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ชื่อ “ทีซีซี” หลายคนอาจไม่คุ้นชื่อ แต่ถ้าบอกว่านี่คือเครือข่ายธุรกิจของเสี่ย “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ที่มี “เบียร์ช้าง” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่ใช่แอลกอฮอล์อีกหลายแบรนด์ อย่างโออิชิ มีเครือข่ายเทรดดิ้ง และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ คงไม่มีใครบอกว่าไม่รู้จัก 

สำหรับธุรกิจเทคโนโลยีนี้ ค่ายทีซีซีปลุกปั้นมาเกือบ 10 ปี โดยมี “ปณต” บุตรชายคนเล็กของครอบครัวดูแล ให้บริการ “ดาต้าเซ็นเตอร์” ที่เติบโตมีรายได้ปีที่ผ่านมาประมาณ 600-700 ล้านบาท โดย 40% มาจากอาคารสำนักงานของเครือทีซีซี ส่วนที่เหลือคือบริษัทต่างๆ  ที่ต้องการพื้นที่ไอทีเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ และสื่อสารเชื่อมต่อไปยังต่างประเทศ

ล่าสุดได้ลงทุนวางเครือข่ายเไฟเบอร์ออพติกประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงกับเครือข่ายสื่อสารความเร็วสูงผ่านเวียดนาม กัมพูชา ไต้หวัน ฮ่องกง และลงทุนอีกประมาณ 60 ล้านบาท ขยายพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ พร้อมจับมือกับยูไอเอช เครือเบญจจินดา ของครอบครัว “เบญจรงคกุล” เชื่อมโยงเครือข่ายไฟเบอร์ออพติกในไทย 

เป็นการต่อภาพบริการไอทีของทีซีซีให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าทำให้หลายคนจับจ้องว่าจะข้ามเข้าสู่ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือหรือไม่ โดยเฉพาะบริการ 3G ที่มีหลากหลายรูปแบบธุรกิจให้เลือกทั้งการลงทุนเองหรือรับทำตลาด (MVNO) ให้ผู้ชนะประมูลอีกทอดหนึ่ง

แน่นอนว่า “ปณต” ไม่ปฏิเสธ เพียงแต่ว่าแม้จะทุนหนาเพียงใด แต่ก็ไม่ผลีผลาม และไม่เข้าไปเอง 100%  แต่การมีพันธมิตรที่มีประสบการณ์ในวงการก็เป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ 

อย่างที่เขาเชื่อว่า “There is no limit in the sky ตามที่คุณวิชัย (วิชัย เบญจรงคกุล ประธานคณะกรรมการบริหาร ยูไอเอช) บอก”

 

People

“ปณต สิริวัฒนภักดี” มีชื่อเล่นว่า “ยอด” เป็นบุตรคนที่ 5 หรือทายาทคนสุดท้องของเจ้าสัวเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี จบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมการผลิต จากมหาวิทยาลัยบอสตัน ปริญญาโทระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ มหาวิทยาลัยลอนดอน

เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลทีซีซีกรุ๊ปหลายธุรกิจ ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวโครงการไลฟ์สไตล์มอลล์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “เอเชียทีค” มูลค่าลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท

 

Profile ทีซีซีกรุ๊ป

ทีซีซีกรุ๊ป ชื่อเต็มว่า “ไทยเจริญ คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป” ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2503 ปัจจุบันมี 5  ธุรกิจหลัก คือ เครื่องดื่ม นำโดยไทยเบฟเวอเรจ, ธุรกิจซื้อขายสินค้าด้านอุตสาหกรรม เช่นเบอร์ลี่ยุคเกอร์, ธุรกิจประกันภัยและการเช่าซื้อ โดยที.ซี.ซี.แคปปิตอล, ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดย ที.ซี.ซี.แลนด์ และสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร โดย ที.ซี.ซี. อุตสาหกรรมการเกษตร

จากการจัดอันดับมหาเศรษฐีของโลกล่าสุดเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2555 เจ้าสัว “เจริญ” เลื่อนอันดับจากที่ 247 มาที่ 184 ด้วยสินทรัพย์ประมาณ 165,000 ล้านบาท เป็นอันดับสองในไทย รองจากเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ติดอันดับโลกที่อยู่ที่ 133 สินทรัพย์ประมาณ 210,000 ล้านบาท

]]>
14664
แมคโดนัลด์กิ๊กกับโฟร์โมสต์ ชวนลูกค้ากินนม https://positioningmag.com/14591 Thu, 05 Apr 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14591

ใครว่ากินแมคโดนัลด์แล้ว ต้องคู่กับน้ำอัดลมเสมอไป เพราะเวลานี้ แมคโดนัลด์จับคู่กับโฟร์โมสต์วางขายนมในร้าน

การเพิ่มเมนูเครื่องดื่มครั้งนี้ มาจากการที่แมคโดนัลด์ต้องเจอโจทย์ใหญ่ ทั้งเรื่องต้นทุนค่าแรงเพิ่มขึ้นอีก 10% ของค่าใช้จ่ายปัจจุบัน หรือคิดเป็น 80-90 ล้านบาท และการแข่งขันธุรกิจร้านอาหารประเภท QSR (Quick Service Restaurant) ร้อนแรง ชนิดไม่มีใครยอมใคร 

แมคโดนัลด์หวังว่า การเพิ่มเมนูเครื่องดื่ม จะช่วยเพิ่ม Transaction ลูกค้าเข้าร้านแมคโดนัลด์ถี่ขึ้น ซึ่งปัจจุบันลูกค้าใช้บริการในร้านเฉลี่ย 1.3 ครั้งต่อสัปดาห์ต่อคน 

ตามแผนงานในปีนี้ แมคโดนัลด์จะเพิ่มสาขาอีกไม่ต่ำกว่า 20 สาขาด้วยงบประมาณ 650 ล้านบาท การออก Value Campaign ชุดเมนูสุดคุ้ม และเพิ่มรูปแบบร้านและเมนูเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคแต่ละพื้นที่มากขึ้น เช่น Mc Café, Drive Tru 

เฮสเตอร์ ชิว ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บ.แมคไทย จำกัดแมคโดนัลด์ หวังว่า การจับมือกับโฟร์โมสต์ เพื่อวางจำหน่ายนมยูเอชทีโฟร์โมสต์ในร้านแมคโดนัลด์ทั้ง 160 สาขา นอกจากเพิ่มทางเลือกอื่นนอกจากน้ำอัดลม น้ำผลไม้ และกาแฟ จะช่วยภาพลักษณ์ด้านเมนูสุขภาพ และยังแตกขยายไปยังกลุ่มเป้าหมายเด็ก ทั้งการขายในชุดแฮปปี้ มีล และขายแบบ a la carte   

ส่วนโฟร์โมสต์เองก็เผชิญหน้ากับความท้าทายในฐานะเจ้าตลาดนมในประเทศไทย โดยปีนี้โฟร์โมสต์ต้องการเติบโตจาก 10% ในปีที่แล้วมาเป็น 15% โดยหันมุ่งทำตลาดในช่วงครึ่งปีแรกที่ยังไม่มีปัญหาน้ำท่วม จากเดิมที่การขายหลักจะอยู่ช่วงไตรมาส 2 และ 4 

การช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทดลองมาก่อนเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญจากเดิมที่โฟร์โมสต์มีร้านค้าทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ขายนมโฟร์โมสต์แล้ว 100,000 รายทั่วประเทศ และการวางขายในร้านอาหารที่บางสาขาเปิดขาย 24 ชั่วโมง ก็สอดคล้องกับการสื่อสารตลาดในปีที่แล้วและต่อเนื่องถึงปีนี้ของโฟร์โมสต์ที่ต้องการจะบอกว่า ดื่มนมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ประกอบกับการทำวิจัยที่ถามว่า “นม” ควรดื่มคู่กับอาหารประเภทใด ก็พบคำตอบว่า “เบอร์เกอร์” ติดอยู่ในอันดับ 1 ถึง 5 

“เป้าหมายแรกของโฟร์โมสต์ก็คือความเข้าใจของผู้บริโภคว่านมป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมื้อเช้า และสามารถอยู่คู่กับอาหารอย่างอื่นได้นอกจากซีเรียล เป้าหมายที่ 2 ก็คือยอดขาย ซึ่งในช่วงทดลองตลาดนี้ก็พบว่ายอดขายเกินเป้าหมาย” ชนินทร์ อรรจนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟรีสแลนด์ คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายถึงเป้าหมายที่โฟร์โมสต์ต้องการจากดีลในครั้งนี้ 

ในช่วงแรกจะทดลองจำหน่ายสินค้าด้วยนมกล่องยูเอชทีก่อนเพราะว่ามีค่าใช้จ่ายในการขนส่งต่ำกว่านมแบบพาสเจอร์ไรซ์ หากว่ามีผลตอบรับที่ดีจะขยายไปสู่สินค้าอื่นๆ ทั้งนี้ต้องสอดคล้องกับการบริหารจัดการร้านของแมคโดนัลด์ เพราะยิ่งแมคโดนัลด์มีสินค้าหลากหลายมากขึ้นเท่าไหร่ ก็เท่ากับมีการบ้านเรื่องการบริหารสต๊อกและศักยภาพของพนักงานมากขึ้นตามไปด้วย

ยอดขายโฟร์โมสต์ในแมคโดนัลด์

– แมคโดนัลด์มีลูกค้าทั้งสิ้น 1 ล้านคน/เดือน 

– ยอดขายชุดแฮปปี้ มีล 1 แสนชุด/เดือน

– ยอดขายโฟร์โมสต์แบบ a la carte สูงกว่ายอดขายในชุดแฮปปี้ มีล 3 เท่า 

]]>
14591
บัตรแพลตตินั่มหรูพอแล้ว ให้ตลาดแมสบ้าง https://positioningmag.com/14498 Tue, 28 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14498

เมื่อการออกบัตรเครดิต เป็นอีกหนึ่งในกลยุทธการตลาดที่ห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตดึงดูดลูกค้ามาเป็นขาประจำและซื้อสินค้าได้ถี่ขึ้น ล่าสุดบิ๊กซีใช้จังหวะเงินเดือนคนจบปริญญาตรีเริ่มต้น15,000 บาท จับมือซิตี้แบงก์ ออกบัตรเครดิตระดับแพลตตินั่ม เงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 ก็รูดปรื้ดได้แล้ว 

รีจิส พรีจอง รองประธานฝ่ายการตลาดและการสื่อสาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า การร่วมมือกับบัตรซิตี้แบงก์นอกจากทำให้ลูกค้าได้ซื้อสินค้าที่มีราคาถูกลงกว่าเดิมแล้ว ยังช่วยให้ลูกค้ามาซื้อของที่บิ๊กซีมากขึ้น เพราะใช้บัตรแล้วได้ส่วนลด ที่สำคัญคือยังได้รอยัลตี้จากลูกค้า เพราะส่วนลดที่ได้รับนั้นไม่มีวันหมดอายุ รวมทั้งยังสามารถใช้ร่วมกับบัตรบิ๊กการ์ดได้ ทำให้ได้ส่วนลดเพิ่มขึ้นไปอีก จึงเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้ประหยัดมากขึ้น 

ไฮไลต์ที่ทำให้บัตรเครดิตซิตี้แบงก์-บิ๊กซี วีซ่า แพลตตินั่ม ต่างจากบัตรเครดิตเทสโก้ วีซ่า แพลตตินั่ม ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงคือเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไปสามารถสมัครใช้บริการได้ ขณะที่บัตรเครดิตของเทสโก้ โลตัส จะต้องมีรายได้ตั้งแต่ 4 หมื่นบาทขึ้นไปถึงจะสามารถเป็นเจ้าของบัตรแพลตตินั่มได้ 

นอกจากใช้ฐานเงินเดือนต่ำกว่ากวาดต้อนลูกค้าระดับแมสมาอยู่ในมือให้ได้มากที่สุดแล้ว บิ๊กซี ยังจูงใจด้วยการให้ผลตอบแทนถึง 5% ขณะที่บัตรเครดิตเทสโก้ วีซ่า แพลตตินั่ม ให้เพียง 3.5% สามารถรับเงินคืนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ ใช้เป็นส่วนลดในร้านอาหารและศูนย์อาหารภายในห้าง รวมถึงสิทธิพิเศษอื่นๆ จากร้านค้าที่ร่วมรายการกับซิตี้แบงก์ได้ทั่วประเทศ ซึ่งมีความอิสระในการใช้งานมากกว่าของคู่แข่งที่จำกัดเพียงแค่การใช้จ่ายภายในห้างเท่านั้น

แนวทางของบิ๊กซีเลยไปตรงใจบัตรเครดิต “ซิตี้แบงก์ แพลตตินั่ม” ที่แต่เดิมมักชูจุดเด่นด้วยสิทธิพิเศษและส่วนลดจากร้านค้าต่างๆ มากมายทั้งในและต่างประเทศ โดยจับกลุ่มลูกค้าระดับ B ขึ้นไป แต่วันนี้มีการแข่งขันเข้าขั้นดุเดือด เพราะคู่แข่งหลายรายต่างไม่ยอมแพ้และใช้กลยุทธ์เดียวกันมาสู้ ทำให้ซิตี้แบงก์ต้องออกแรงมากขึ้น ดังนั้นการจับมือกับพันธมิตรคือห้างค้าปลีกขนาดใหญ่อย่างบิ๊กซีซึ่งมีจำนวนกว่า 170 สาขาทั่วประเทศ และมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับแมสจึงช่วยตอบโจทย์ได้มากขึ้น 

“เราตั้งเป้าจำนวนผู้ใช้บัตรเครดิตซิตี้แบงก์-บิ๊กซี วีซ่า แพลตตินั่มไว้ 5 แสนใบภายใน 5 ปี นี่เป็นครั้งแรกที่ร่วมมือกับห้างค้าปลีกรายใหญ่ ที่มีกว่าร้อยสาขา มีลูกค้าใช้บริการหลายล้านคนต่อวัน ซึ่งจะช่วยเราขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มแมสได้”วรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายธุรกิจบัตรเครดิต ธนาคารซิตี้แบงก์กล่าว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซิตี้แบงก์ขยายฐานลูกค้าของตัวเองโดยการเป็นพันธมิตรกับห้างสรรพสินค้า เพราะก่อนหน้านี้เคยเป็นพันธมิตรร่วมกันกับห้างสรรพสินค้ารายใหญ่อย่างกลุ่มเดอะมอลล์ในชื่อ Citi M Visa แพลตตินั่ม รีวอร์ด และห้างค้าส่งขนาดใหญ่อย่างแม็คโครในชื่อซิตี้แบงก์ แม็คโคร แพลตตินั่มรีวอร์ดมาก่อนแล้ว 

แม้ว่ากลุ่มลูกค้าของแม็คโครกับบิ๊กซีอาจจะดูจะใกล้เคียงกัน แต่วรลักษณ์มองว่าพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าแม็คโครนั้นส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าในปริมาณมากๆ และมักใช้ในรูปแบบบัตรเงินสดมากกว่าบัตรเครดิต ขณะที่พฤติกรรมของลูกค้าบิ๊กซีคือชอบซื้อสินค้าราคาถูกเพราะมีการการันตีราคาสินค้าว่าถูกห้างอื่นแน่นอน โดยผู้ใช้บัตรนี้จะได้รับส่วนลด 5% เมื่อมีการใช้จ่ายผ่านบัตรรวม 6,000 บาทเมื่อซื้อของที่บิ๊กซี วันเสาร์อาทิตย์ได้รับส่วนลด 5% เมื่อใช้บริการร้านอาหารภายในห้าง และเมื่อซื้อคูปองที่ฟู้ดเซ็นเตอร์ทุก 100 บาทจะได้รับเพิ่มอีก 5% นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษอื่นๆ เช่น เติมน้ำมันที่ปั๊มเชลล์ รับส่วนลด 2% สามารถผ่อนชำระค่าสินค้า 0% นาน 10 เดือน ส่วนลดจากร้านอาหารต่างๆ ทั่วประเทศ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้การเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการล่วงหน้า 3 อาทิตย์ก่อนที่จะแถลงข่าวจึงทำให้มีผู้สมัครบัตรนี้ถึงหลักหมื่นราย ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่าภายในปีแรกจะมีจำนวนผู้ใช้บัตรถึง 1 แสนใบตามที่ตั้งเป้าไว้ได้ไม่ยาก 

 

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”font-weight: bold;”>ผู้ท้าชิง

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>ชื่อบัตร

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>รายได้ขั้นต่ำ

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>กลุ่มลูกค้า
บัตรเครดิตซิตี้แบงก์-บิ๊กซี
วีซ่า แพลตตินั่ม 15,000 บาท ตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไป
ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีพฤติกรรมชอบสินค้าราคาถูก

บัตรเครดิตเทสโก้
วีซ่า แพลตตินั่ม 40,000 บาท ตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไป
ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มีพฤติกรรมชอบสินค้าราคาถูก บัตรเครดิต
ซิตี้แบงก์ แม็คโคร แพลตตินั่ม รีวอร์ด 15,000 บาท ตั้งแต่ระดับ C ขึ้นไป
ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มักจะซื้อสินค้าในปริมาณมากๆ บัตรเครดิต
Citi M Visa แพลตตินั่ม รีวอร์ด 30,000 บาท ตั้งแต่ระดับ B+ ขึ้นไป
ไม่เน้นเรื่องราคาแต่สนใจเรื่องคุณภาพและบริการเป็นอันดับแรก

]]>
14498
เวลคอมได้ทุนอินเดีย ยังต้องลุ้นได้บุกหรือแค่รอด https://positioningmag.com/14084 Tue, 13 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14084

“ถ้าไม่หาผู้ร่วมทุนใหม่ เราก็แข่งขันไม่ได้” นี่คือประโยคบอกสภาพล่าสุดของ “เวลคอม” จาก “พุฒิเกียรติ แจ่มจำรัส” หนึ่งในผู้ถือหุ้นและผู้ก่อตั้งธุรกิจมือถือเฮาส์แบรนด์รายนี้ หลังจากนี้ “เวลคอม” จะมีทั้งเงินทุนและเทคโนโลยีมาแข่งขันในตลาดโทรศัพท์มือถือที่กำลังร้อนแรง

กลุ่ม Spice หรือ Si2i เป็นบริษัทที่ก่อตั้งในอินเดีย และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ นอกจากธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือแล้ว ยังให้บริการสื่อสารอย่าง VOIP

Spice ตกลงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทนิวเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของแบรนด์เวลคอม (Wellcom) แทนกลุ่มเดิม ด้วยดีลการจ่ายเงินซื้อหุ้นส่วนหนึ่งและการสวอปหุ้นส่วนหนึ่งให้ผู้ถือหุ้นเดิมของนิวเทลซึ่งเป็นชาวจีนที่ทำธุรกิจในไทย คือ “ลี ยอง กัง” และกลุ่มของ “พุฒิเกียรติ” โดยล่าสุด Spice ได้ส่ง “นาวิน คาอูล” ผู้บริหารจากอินเดียมาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ นิวเทล ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2554

เดือนกรกฎาคม-สิงหาคมจึงเป็นช่วงเวลาที่เริ่มเห็นแบรนด์เวลคอมใช้งบสื่อสารทางทีวีซีเฉลี่ยเดือนละประมาณ 10 ล้านบาท และล่าสุดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการสร้างแบรนด์ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ทันสมัยมากขึ้น นอกจากเปลี่ยนโลโก้โดยเติมตัวอักษร S หน้า “Wellcom” ได้ทุ่มจ้างพรีเซ็นเตอร์ 2 คน พร้อมกับนำเสนอโปรดักต์ในกลุ่มฟีเจอร์โฟน 2 กลุ่ม คือกลุ่มลูกค้าที่ชอบมิวสิกโฟน และกลุ่มมือถือสำหรับผู้หญิง คือ โดม ปกรณ์ ลัม และ ศรีริต้า เจนเซ่น ซึ่งนับจากนี้ 12-18 เดือน “นาวิน” บอกว่าเตรียมงบสำหรับการทำตลาดและการสื่อสารสร้างแบรนด์รวม 10 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 300 ล้านบาท

แน่นอนว่าพรีเซ็นเตอร์ระดับเบอร์ใหญ่ทั้งสองคนก่อนตอบรับเป็นพรีเซ็นเตอร์ นอกจากเรื่องผลตอบแทนแล้ว ยังได้คำยืนยันจากผู้บริหารของเวลคอมว่ากำลังขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของกลุ่มธุรกิจมือถือเฮาส์แบรนด์ในไทยให้ได้ ซึ่งการวาง Positioning สำหรับเวลคอมชัดเจนว่าขอสู้ในตลาดกลางๆ ถึงล่างเป็นหลัก ส่วนตลาดสมาร์ทโฟน หรือตลาดระดับบนคงต้องใช้เวลา

นอกจาก “นาวิน” แล้ว นิวเทลยังมีผู้บริหารใหม่อย่าง “รุต จารุจันทร์” เป็นผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด อดีตนักโฆษณาที่เคยอยู่สปา แอดเวอร์ไทซิ่งมาก่อนร่วมงาน ที่มีภารกิจหลักในการสร้างแบรนด์ให้ดูดีขึ้นท่ามกลางการรับรู้แบรนด์ของผู้บริโภคที่เห็นเวลคอมเป็นแบรนด์ราคาถูกเป็นจุดเด่น

ดูเหมือนโจทย์สำหรับ “เวลคอม” ยังมีอยู่อีกมาก การได้ทุนใหม่ครั้งนี้จึงยังต้องลุ้นอีกว่า ทุนนี้แค่ต่ออายุหรือจะทำให้ “เวลคอม” แข็งแรงกว่าเดิม

Profile

Profile บริษัทนิวเทล คอร์ปอเรชั่น ก่อตั้งเมื่อปี 2547 เริ่มต้นขายมือถือแบรนด์จีน TCL ในช่วงปีแรก จากนั้นสร้างแบรนด์ “เวลคอม” (Well Communication) ทำตลาดโดยเน้นเครื่องราคาถูก และมีพรีเซ็นเตอร์มาอย่างต่อเนื่อง เช่น “วีรภาพ สุภาพไพบูลย์” พระเอกช่อง 7 และ “หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์” พิธีกรรายการไอที ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 4-5% คาดหวังเพิ่มเป็น 6% ในสิ้นปีนี้

Spice (Si2i) เป็นกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคมจากอินเดีย ที่มีบริษัทจดทะเบียนในสิงคโปร์ด้วย นอกจากธุรกิจบริการสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์แล้ว ยังผลิตเครื่องโทรศัพท์มือถือจำหน่าย เช่น ในอินเดีย แบรนด์ Spice อินโดนีเซีย แบรนด์ Nexion และในมาเลเซีย CSL

]]>
14084
ทรูฯ กรี๊ดเกาหลี ขอร่วมทุน…รวยไม่รู้จบ https://positioningmag.com/14083 Tue, 13 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14083

สายฝนที่กระหน่ำลานพารากอนพาร์ค กลับยิ่งทำให้เสียงกรี๊ดของแฟนคลับ 5 หนุ่ม SHINEE ศิลปินค่าย “เอสเอ็มทาวน์” เกาหลีดังกว่าเดิม และพลังนี้นี่เองคือเสียงคอนเฟิร์มว่าการร่วมทุนของค่ายเอสเอ็มทาวน์และกลุ่มทรูวิชั่นส์ คือพันธมิตรธุรกิจที่ถูกคู่ ถูกเวลาของธุรกิจบันเทิง

เป็นบิ๊กดีลที่ทั้งสองค่ายให้ความสำคัญแม้เงินลงทุนไม่สูง เพราะจดทะเบียนบริษัทเพียง 20 ล้านบาท แต่เม็ดเงินที่กำลังจะเกิดขึ้นนับไม่ถ้วน บิ๊กบอสของทั้งสองจึงมาเองโดยเอสเอ็ม เอนเตอร์เทนเม้นท์ มี “คิม ยง มิน” ประธานคณะผู้บริหาร บินตรงจากเกาหลีด้วยตัวเอง ส่วนค่ายทรูวิชั่นส์ “ศุภกิต เจียรวนนท์” ประธานคณะกรรมการลูกชายคนโตของเจ้าสัวธนินท์ ที่ปกติจะไม่ค่อยปรากฏตัวเป็นข่าวก็มาเอง

ค่ายธุรกิจบันเทิง “เอสเอ็มทาวน์” เบอร์ 1 ของเกาหลีกำลังรุกตลาดโลกจากเอเชีย อเมริกา และยุโรป ด้วยเป้าหมายต้องการเป็นค่ายเพลงอันดับต้นๆ ของโลก ส่วนกลุ่มทรูวิชั่นส์กำลังมองหาคอนเทนต์ใหม่เพื่อขยายฐานรายได้ การเจรจาร่วมทุนตั้งบริษัทในไทย “เอสเอ็ม ทรู” จึงใช้เวลาแค่ 6 เดือนก็ลงตัว

ต่อไปนี้ เอสเอ็มทรู จะบริหารลิขสิทธิ์ของศิลปินเพลงทุกเบอร์ของเอสเอ็มทาวน์ ตั้งแต่จัดคอนเสิร์ต การดึงศิลปินเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์ในไทย จนถึงสินค้าที่ระลึก ที่คาดว่าจะทำให้รายได้ของเอสเอ็มทาวน์จากไทยเพิ่มขึ้นไม่ต่ำากว่า 20% จากเดิมที่เอสเอ็มทาวน์ใช้วิธีเข้าตลาดไทยโดยเจรจาผ่านนายหน้าหลายคน และจัดอีเวนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตเล็กหรือใหญ่

ทรูวิชั่นส์ตัดสินใจลงเล่นกับค่ายเอสเอ็มทาวน์เพราะได้เจอกับตัวเองว่าธุรกิจนี้เบ่งบานและมีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน หลังจากที่ทรูมิวสิคเคยจัดคอนเสิร์ต “Super Junior” เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าเอลฟ์ (E.L.F ชื่อเรียกคนที่ชื่นชอบวงซูเปอร์จูเนียร์) มากันเพียบ ตั๋วขายหมดภายในไม่กี่ชั่วโมงและบางคนยังบินไกลมาจากฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียจำนวนมาก

ขณะที่ “คิม ยง มิน” บอกว่าเขาไม่ได้มองหาพันธมิตรธุรกิจที่เป็นค่ายเพลงเพื่อร่วมทุน แต่ต้องการเครือข่ายและช่องทางอย่างกลุ่มทรูฯ ที่ไม่ใช่แค่มีเครือข่ายทีวีเท่านั้น แต่ยังมีช่องทางอื่นอย่างการเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ให้บริการอินเทอร์เน็ต ที่จะทำให้คอนเทนต์ของเอสเอ็มทาวน์เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย เป็นการใช้กลยุทธ์ “การเข้าถึงง่าย” ในการทำตลาด เและส่วนหนึ่งเพื่อต่อสู้กับการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ดีที่สุด เมืองไทยจึงเป็นประเทศเดียวที่ในโลกที่เอสเอ็มทาวน์ตัดสินใจจัดตั้งบริษัทร่วมทุน โดยไม่เพียงบุกไทย แต่จะบุกประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคตด้วย

1,000 ล้านบาท คือมูลค่าธุรกิจคอนเสิร์ตในไทยต่อปี
40% เป็นสัดส่วนของศิลปินจากเกาหลี
100% คือต้นทุนในการจัดคอนเสิร์ตของศิลปินเกาหลีที่มากกว่าคอนเสิร์ตไทย เพราะต้องการผลการแสดงที่ดีทั้งแสงสีเสียงที่ส่วนใหญ่นำอุปกรณ์มาจากสิงคโปร์
10% คืออัตราเฉลี่ยกำไรของผู้จัดคอนเสิร์ตเกาหลีในแต่ละครั้ง
ที่มา : ทรูวิชั่นส์

]]>
14083
“ฟีโน่” สตาร์ทให้ “แฮปปี้” กว่าเดิม https://positioningmag.com/13557 Wed, 30 Mar 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13557

“ดีแทค” กำลังเฉา ส่วน ”ฟีโน่” ก็ใกล้ถึงจุดอิ่มตัว แม้จะเป็นเบอร์ 1 ของตลาดรถจักรยานยนต์แนวแฟชั่น แต่ก็ประมาทคู่แข่งไม่ได้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่อะไรช่วยกันได้ก็ต้องเต็มที่ ความร่วมมือนี้จึงกลายเป็น ”ซิม แฮปปี้ F-Club” ที่ทั้งสองแบรนด์ร่วมมือกันจัดเต็มให้ลูกค้า

จากบรรยายกาศการแข่งขันของธุรกิจโทรศัพท์มือถือ นอกจากคึกคักสุดขีดในกลุ่มดาต้า ”สมาร์ทโฟน” แล้ว ในกลุ่มมือถือทั่วไปเน้นแพ็กเกจโทรก็ยังต้องแข่งต่อ แม้ตลาดจะอิ่มตัวแต่ก็หยุดไม่ได้ อย่างเอไอเอสก็ต้องเสริมด้วยอาวุธ ”แชต” บอก Positioning ของโปรดักต์ว่าใครชอบ Function แชตมาทางนี้ ส่วน ”แฮปปี้” ก็เน้นซิมเฉพาะกลุ่ม และขายด้วย Emotional ตามถนัดและเติมด้วยการหาพันธมิตรหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ

ความลงตัวของดีแทคมาอยู่ที่กลุ่มลูกค้ายามาฮ่า ที่กำลังแข่งเดือดด้วยคู่แข่งทั้งฮอนด้า สกูปปี้ ไอ และซูซูกิจ เจลาโต้ และอย่างที่ ”ประพันธ์ พลธนะวสิทธิ์” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยามาฮ่ามอเตอร์ เคยบอกว่า Product life Cycle ของฟีโน่ ที่เป็นรถออโตเมติกกลุ่มแฟชั่นเริ่มถึงปลายอายุของสินค้า หลังทำตลาดมาเกือบ 5 ปี ยามาฮ่าก็ต้องมีสีสันและออกแรงมากขึ้น อย่างล่าสุดจึงได้ปล่อยตัวฟีโอเร่มารีเฟรชตลาด ขยายฐานไปกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิง ก่อนเร่งทำตลาดกลุ่ม New Value ในปีนี้

เมื่อมีโอกาสเพิ่มเติมให้ลูกค้า แม้จะไม่ถึงขั้นทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อฟีโน่ หรือฟีโอเร่ได้ แต่อย่างน้อยได้ความรู้สึกพิเศษ และยังตอกย้ำความเป็นแบรนด์สำหรับวัยรุ่นเหมือนกัน จึงคุ้มที่จะจับมือกับดีแทค

“เกษชญง สกาวรัตนานนท์” ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด ดีแทค บอกว่า อีกสักพักดีแทคก็ต้องมีแพ็กเกจ ”แชต” ให้บริการ แต่เวลานี้ขอเพิ่มฐานลูกค้าแฮปปี้ด้วยการเจาะไมโครเซ็กเมนต์สำหรับโทรไปก่อน และความแรงของฟีโน่คือคำตอบที่ดีที่สุดเวลานี้ เป็นพันธมิตรที่ลงตัว ด้วยเหตุผลที่มีวัยรุ่นรักฟีโน่มีจำนวนมาก

“ฐานลูกค้าฟีโน่กับแฮปปี้ใกล้เคียงกัน คือวัยรุ่น ซึ่งแฮปปี้มีลูกค้า 20% ของลูกค้าในระบบพรีเพดทั้งหมดประมาณ 19 ล้านราย และจากการสำรวจพฤติกรรมของวัยรุ่น ว่าอยากได้อะไร คำตอบคือมอเตอร์ไซค์เป็นอันดับสองรองจากมือถือ ดังนั้นลูกค้ากลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มใหญ่ของดีแทค”

ปัจจุบัน แม้ฟีโน่ของยามาฮ่ามีอยู่ในตลาดแล้วประมาณ 1 ล้านคัน และคาดว่าจะมียอดจำหน่ายอีกประมาณเดือนละประมาณ 20,000 คัน รวม ”ฟีโอเร่” ที่ยามาฮ่าหวังยอดขายไว้ 10,000 คัน แต่ดีแทคก็ตั้งเป้าไว้แค่จะแจกฟรี 60,000 ซิมเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับฐานของฟีโน่ แต่ ”เกษชญง” ก็บอกว่าซิมนี้มุ่งดึงลูกค้าจากคู่แข่ง หรือลูกค้าที่ยังไม่ได้ใช้ดีแทคพร้อมจูงใจด้วยบัตรเติมเงินจำหน่ายให้สะสม มีส่วนลดสินค้าที่ระลึกของยามาฮ่า ชิงโชค และเบอร์คนสนิท และส่วนลดค่าโทรในกลุ่ม F-club

การขยับล่าสุดนี้ ดีแทคจึงไม่ใช่แค่ Emotional และ Micro Segmentation เพื่อรักษาฐานลูกค้าเท่านั้น แต่ยังหวังเต็มที่ว่าPartnership จะช่วยดึงลูกค้าใหม่จากคู่แข่งมาให้ได้

อัตราการเพิ่มของรถจักรยานยนต์รวมทุกประเภท
ปี จำนวน (ล้านคัน)
2552 1.54
2553 1.84
2554 1.92 (คาดส่วนแบ่งตลาดฮอนด้าเกือบ 70% และยามาฮ่าประมาณ 27%)
จำนวนลูกค้าดีแทค ณ สิ้นปี 2553
ประเภท จำนวน เฉลี่ยรายได้ต่อเลขหมายต่อเดือน
ลูกค้าทั้งหมด 21.62 ล้านเลขหมาย 215 บาท
พรีเพด(แฮบบี้) 19.29 ล้านเลขหมาย 175 บาท
โพสต์เพด(รายเดือน) 2.32 ล้านเลขหมาย 557 บาท
ที่มา : ดีแทค
]]>
13557
กรี๊ด…บัตรเดบิตกรุงศรีฯ https://positioningmag.com/12611 Wed, 26 May 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12611

ล้มลุกคลุกคลานในการปั้นศิลปินมานานตั้งแต่ซีซั่น 2 ที่ผุด ทรู แฟนเทเซีย บริษัทบริหารศิลปิน AF ขึ้นมา
จนกระทั่งเข้าที่เข้าทาง และเริ่มมีผลงานออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนและเริ่มโดนใจกลุ่มแมสเมื่อราวปีเศษที่ผ่านมา
การจับมือกับพันธมิตรหลากหลายซึ่งเห็นถึงพลังความเข้มแข็งของแฟนคลับ AFจึงเป็นทางเลือกที่จะส่งเสริม
ให้ AF ดังนอกเหนือจากเครือข่ายทรูวิชั่นส์ โดยเฉพาะกับความร่วมมือที่ถูกพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นกับแบงก์กรุงศรีฯ

แม้ในปี 2553 นี้ ข่าวคราวของ AF7 จะยังไม่มีให้เห็นก็ตาม เนื่องจากต้องเผชิญกับ Big Event หลายอย่างโดยเฉพาะฟุตบอลโลก 2010

“เราพยายามทำให้ศิลปินของAF แมสขึ้น คือ เปิดทีวีไปช่องไหนก็เจอศิลปินของเรา เราจึงต้องการเป็นพันธมิตรกับทุกคนแต่ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้กลยุทธ์ Convergence ของกลุ่มทรูแข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน”
อาจกิจ สุนทรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ทรู แฟนเทเซีย และทรู มิวสิค บอกกับ POSITIONING

เขาบอกว่าการบริหารศิลปิน AF ให้แมสขึ้น จึงเป็นโจทย์หลักที่ได้รับเมื่อครั้งเข้ามารับตำแหน่งแทน กิติกร เพ็ญโรจน์ ที่ลาออกไปเปิดบริษัทของตนเองเมื่อราวปีเศษที่ผ่านมา

ใช่เพียงการโปรโมตผ่านสื่อแขนงต่างๆ ให้มากที่สุดเท่านั้น หากแต่เขาตระหนักดีว่า การจะปั้นศิลปิน AF ให้โดนใจกลุ่มแมสได้นั้นย่อมต้องกลับมาดูที่องค์ประกอบต่างๆ ภายใน ไม่ว่าจะเป็นคาแร็กเตอร์ของศิลปินที่ต้องชัดเจน และที่สำคัญคือเพลง ที่จะต้องได้รับการขัดเกลาให้เปรี้ยงมากยิ่งขึ้น โดยมีทีมงานกว่า 20 ชีวิตร่วมดูแลอย่างใกล้ชิด

“ตอนนี้เพลงของเราแมสขึ้น และฮิตขึ้น สังเกตจากอันดับในคลื่นวิทยุต่างๆ ในปี 2552 ที่ผ่านมา มีเพลงของศิลปิน AF ติด Top 10 ราวของคลื่นวิทยุต่างๆ 6-7 เพลง ขณะที่ก่อนหน้ามากสุดแค่ 1-2 เพลง”

ขณะที่ฐานของแฟนคลับที่แข็งแรง ซึ่งเขาประเมินว่ามีราว 40,000-50,000 คน และเป็นตัวเลขที่ทางรอยย์ กุนารา ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าบุคคลธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ประเมินไว้ใกล้เคียงกันว่าจะมีผู้สมัครใช้บัตรเดบิตนี้ราว 40,000 คน ภายในสิงหาคม 2553 นี้

ที่สำคัญ แบงก์กรุงศรีฯ หวังจะใช้ศิลปิน AFจะโดนใจผู้ถือบัตร ซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่น และจะสามารถผลักดันให้ตัวเลขบัตรเดบิตของแบงก์กรุงศรีฯ เพิ่มขึ้นเป็น 1.8-2 ล้านใบภายในสิ้นปีนี้ จากจำนวนตลาดบัตรเดบิตทั้งหมด 25 ล้านบาท (ล้านบาท หรือล้านใบ?) เช่นเดียวกับที่เคยประสบความสำเร็จในการออกบัตรเดบิต แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมาแล้วเมื่อปลายปี 2552 ที่ผ่านมา

สำหรับครั้งนี้เป็นการออกบัตรเดบิต KRUNGSRI AF The Winner และจัดคอนเสิร์ต รวมถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นสิทธิประโยชน์ของผู้ถือบัตรเดบิตนี้ และยังมีอัลบั้มเพลงเฉพาะกิจอีกด้วย ด้วยการโปรโมตแบบ 360 องศา

หากจะว่าไปแล้ว นับตั้งแต่ AF4 เป็นต้นมาที่แบงก์กรุงศรีฯใช้ นัท และต้อลเป็นพรีเซ็นเตอร์สำหรับบัตรเดรบิตกรุงศรีฯ ก็ทำให้สามารถเจาะแฟนๆ AF ได้ไม่น้อย

สำหรับคอนเสิร์ตจึงจัดขึ้นเพื่อสนองแฟนคลับ AF วัยรุ่นอื่นๆ และผู้ถือบัตรเดบิตนี้โดยเฉพาะ สำหรับธีม The Winners Project ที่นำเฉพาะผู้ชนะของทั้ง 6 ซีซั่น จำนวน 6 คน มาขึ้นเวทีเดียวกัน โดยแต่ละคนจะมีโชว์เป็นของตัวเองกับคอนเสิร์ตระยะเวลาทั้งหมดกว่า 4.5 ชั่วโมง ณ เมืองทองธานี ในวันที่ 22 พฤษภาคม นี้

อย่างไรก็ตาม เพียงแค่งานเปิดตัวแฟนคลับทุกรุ่นทุกวัย ก็แห่แหนกันจับจองบัตรคอนเสิร์ตและทำบัตรเดบิตที่เป็นรูปหน้าศิลปินคนโปรดกันยกใหญ่ นับเป็นอีกครั้งที่ลานสยามดิสคัฟเวอรี่เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านและเสียงกรี๊ดอย่างอื้ออึง

กระนั้น เส้นทางสู่ความสำเร็จสำหรับการบริหารศิลปิน AF 6 รุ่น จำนวน72 คน ของทรู แฟนเทเซีย ยังคงจะต้องดำเนินต่อไป เพราะการเป็นขวัญใจมหาชนนั้นไม่ง่ายและต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกนาน เพียงแต่ว่าตอนนี้เริ่มเดินมาถูกทางแล้ว

]]>
12611
เฉพาะผู้หญิงเท่านั้น https://positioningmag.com/12610 Wed, 26 May 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12610

ที่จอดรถพิเศษสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตต่างๆ ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะบรรดาค้าปลีกต่างๆ ก็จัดสรรพื้นที่นี้ไว้อยู่แล้ว แต่สำหรับ Lady Parking ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล โดยเซ็นทรัลพัฒนานั้น คือบริการรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกสำหรับวงการค้าปลีกไทย

งานนี้ไม่ต้องมีบัตรเครดิต Platinum, Beyond Platinum หรือบัตรอภิสิทธิ์ใดก็สามารถได้พื้นที่จอดรถ ด้วยข้อแม้ประการเดียวคือต้องเป็น “ผู้หญิง”

โดยเจ้าของความคิดโครงการนี้ คือ สาธิต วิกรานต์ธนากุล ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา บางนา และหลังจากดำเนินการมาตั้งแต่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 บริเวณชั้น 2 ครึ่ง ของเซ็นทรัลพลาซา บางนา พบว่าได้รับการตอบรับดีจากแบบสอบถามวัดความพึงพอใจในการใช้บริการ และพบว่ามีทราฟฟิกเพิ่มขึ้น โดยปัจจุบัน วันธรรมดา 500 คัน/วัน วันหยุด 800-1000คัน/วัน และกลุ่มลูกค้ากลุ่มเดิมๆ ที่มาใช้บริการเป็นประจำ

ดังนั้นทางเซ็นทรัลพัฒนาจึงขยายผลต่อไปยังชั้น 1 เซ็นทรัล พลาซา แจ้งวัฒนะ ชั้น 3 ครึ่ง เซ็นทรัล พลาซา รัตนาธิเบศร์ และจะทยอยให้บริการในศูนย์การค้าสาขาอื่นๆ ของเซ็นทรัลพัฒนาจนครบทุกศูนย์ต่อไป

โดยสีชมพูถูกนำมาใช้ในการตกแต่งเสาและพื้นที่ให้บริการรวมทั้งลวดลายกราฟฟิกอ่อนช้อยเพื่อสื่อถึงพื้นที่จอดรถเฉพาะสำหรับผู้หญิง และยังเป็นจุดเด่นที่สังเกตและจดจำได้ง่ายด้วยอีกด้วย

ด้าน ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) บอกถึงวัตถุประสงค์ถึงการจัดบริการ Lady Parking ว่า “เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่เป็นสุภาพสตรี ในเรื่องที่จอดรถ การจอดรถ มีบริการช่วยถือของ มีบริการช่วยเหลือต่างๆ พร้อมเคาน์เตอร์ขอความช่วยเหลือ ขณะเดียวกันก็เพื่อสร้างความไว้ใจและความมั่นใจในการใช้บริการของลูกค้า ให้รู้สึกปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ด้วยจำนวน รปภ.ที่มากขึ้น ซึ่ง รปภ.ที่ชั้นนี้จะมีจำนวนมากกว่าชั้นอื่น และจะมี รปภ.ผู้หญิงช่วยดูแล รวมทั้งเพิ่มแสงสว่างและกล้องวงจรปิด”

เขาเชื่อว่า Lady Parking จะช่วยตอกย้ำให้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็น Shopping Destination ที่สมบูรณ์โดยแท้จริง

ทั้งนี้ Lady Parking มีข้อกำหนดในการใช้บริการ Lady Parking คือ ลูกค้าที่มาใช้บริการต้องเป็นสุภาพสตรีเท่านั้น ส่วนผู้โดยสารร่วมเป็นสุภาพบุรุษและครอบครัวใช้บริการได้ และกำหนดการใช้พื้นที่ลานจอดเริ่มตั้งแต่เวลา 10.00น-23.00น.ทุกวัน

ปัจจุบันทราฟฟิกโดยเฉลี่ยของลูกค้าผู้หญิงในศูนย์การค้าเซ็นทรัลทุกศูนย์อยู่ที่ 60% ขณะที่ลูกค้าผู้ชายมีเพียง 40% ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงระยะเวลาในการจับจ่าย และเม็ดเงินในการซื้อสินค้าและบริการภายในศูนย์ฯ ที่ส่วนใหญ่จะเกิดจากลูกค้าผู้หญิงเป็นหลัก การเอาใจผู้หญิงที่เป็นนักช้อปตัวยงในเรื่องของพื้นที่จอดรถซึ่งเป็นด่านแรกในการสร้างความพึงพอใจและกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกอยากมาใช้บริการจึงเป็นการเอาใจที่คุ้มค่ายิ่งนัก

เมื่อปี 2552 มายด์แชร์ศึกษาพฤติกรรมความรู้สึกนึกคิดของผู้หญิงไทยวัย 18-35 ปี จำนวน 40 คน ในเชิงลึก พบว่า แม้ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำผู้หญิงยังนิยมช้อปปิ้งเพื่อเติมเต็มความสุขอยู่ แต่จะระมัดระวังตัวมากขึ้นโดยเฉพาะกับสินค้าแบรนด์เนมหรู และเลือกที่จะหาทางออกด้วยการจับจ่ายสินค้าเพื่อความงามเพราะมองว่าเป็น Everyday Luxury ซึ่งไม่กระทบกับสุขภาพทางการเงินมากนัก

]]>
12610
ช๊อปซิมที่เทสโก้ โลตัส https://positioningmag.com/12628 Mon, 10 May 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12628

เมื่อการทำตลาดกับกลุ่มเป้าหมายหลักสำหรับ “วัน-ทู-คอล” เริ่มถึงจุดอิ่มตัว การขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในปีนี้ ด้วยความสัมพันธ์ที่มีอย่างต่อเนื่องกับดิสเคาท์สโตร์รายใหญ่อย่างเทสโก้ โลตัส จึงเกิดไอเดียแบ่ง Segment SIM เพื่อลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ

แม้ว่ากลุ่มเป้าหมายหลักของเทสโก้ โลตัสจะเป็น “แม่บ้าน” ซึ่งตรงข้ามกับวัน-ทู-คอลที่เป็นวัยรุ่น แต่ด้วยปริมาณลูกค้าที่ใช้บริการเทสโก้ โลตัสมากกว่า 33 ล้านคนต่อเดือน มีจำนวนสาขาทั่วประเทศกว่า 600 สาขา พร้อมมีบริการรองรับผู้ใช้มือถืออย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น ซื้อเครื่อง ชำระบิลค่าโทรศัพท์ที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 1 ล้านรายต่อเดือน รวมทั้งมีผู้ใช้บริการเติมเงินออนไลน์ผ่านอี-ท็อปอัพถึง 5 แสนรายต่อเดือนโดยกว่า 50% เป็นผู้ใช้วัน-ทู-คอล จึงเป็นโจทย์สำคัญที่วัน-ทู-คอลเลือกทำตลาดกับ Segment นี้

“เราต้องการเป็น One stop shopping ที่ลูกค้าสามารถซื้อของ จ่ายเงินค่าโทรศัพท์มือถือ และเติมเงินได้ครบทั้งไลฟ์สไตล์” ปิยะพงษ์ เวชชเศรษฐนนท์ ผู้บริหารฝ่ายบริการเสริมธุรกิจค้าปลีก เทสโก้ โลตัส เอ่ยถึงที่มาของการร่วมมือภายใต้ชื่อ “My Tesco Lotus SIM by 1-2-Call!” ซึ่งวางจำหน่ายในจุดซื้อขายมือถือและเคาน์เตอร์จ่ายเงินภายในห้างเทสโก้ โลตัสทุกสาขาในราคา 50 บาท

แต่วัน-ทู-คอล ต้องออกแบบซิมเทสโก้ โลตัสให้เหมาะกับลูกค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ตั้งแต่การเติมเงินผ่านอี-ท็อปอัพ ผู้ใช้ซิมนี้จะได้รับค่าโทรเพิ่มขึ้นจากเดิม 20% อัตราค่าโทรนาทีละ 1.10 บาท โทรได้ทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง เมื่อเติมเงิน 100 บาทได้วันสะสมเพิ่ม 30วัน และในส่วนของสมาชิกคลับการ์ดของเทสโก้ โลตัสที่มีจำนวนกว่า 4 ล้านคนจะได้รับคะแนนเพิ่มขึ้น 2 เท่าเมื่อเติมเงินออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีแผนส่ง SMS เพื่อแจ้งโปรโมชั่นที่น่าสนใจของโลตัสให้กับผู้ถือบัตร ดังนั้นแคมเปญนี้จึงช่วยให้การทำ CRM (Customer Relationship Management) ของทั้งคู่มีมูลค่ามากขึ้นด้วย

สำหรับการทำตลาดแคมเปญนี้ เอไอเอสใช้งบถึง 40 ล้านบาท โดยใช้เทสโก้ โลตัสเป็นช่องทางหลัก ตามด้วยสื่อ Above the line เช่น เคเบิลทีวี ฟรีทีวี

“ตอนนี้เรามี Segment SIM จำนวนมากแล้ว แต่โลตัสเป็น Segment ขนาดใหญ่เป็นวิธีการทตลาดแบบใหม่ที่ไม่ใช่ระดับแมสแต่เข้าถึงลูกค้าโลตัสโดยเฉพาะ” สมชัย เลิศสุทธิวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานการตลาด เอไอเอส บอกโดยที่ผ่านมาเอไอเอสมีการจำหน่ายซิมการ์ดผ่านดิสเคาท์สโตร์อยู่แล้วแต่การทำซิมเฉพาะกิจของห้างเพิ่งมีเทสโก้ โลตัสเป็นรายแรก

ที่ต้องทุ่มทุนขนาดนี้ เพราะวันทูคอลหวังจะขยายฐานลูกค้าในลักษณะของ Segmentation มากขึ้น ส่วนเทสโก้โลตัสเอง ก็หวังว่าให้ลูกค้าที่ใช้คลับการ์ดได้เห็นถึงสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากคลับการ์ดมากขึ้น

Segment SIM
ปี ชื่อแคมเปญ ผู้ให้บริการ พันธมิตร กลุ่มเป้าหมาย
2549 SF Happy Movie SIM ดีแทค เอสเอฟ ซีเนม่า ผู้ที่รักการดูหนัง
2549 วัน-ทู-คอล! เน็ต ซิม เอไอเอส – ผู้ที่ใช้ GRRS จำนวนมาก
2551 เกมเมอร์ซิม เอไอเอส เอเชียซอฟท์ นักเล่นเกมออนไลน์
2553 ซิมกันแดด ดีแทค – ผู้หญิงอายุ 25-35 ปี
2553 My Tesco Lotus SIM เอไอเอส เทสโก้ โลตัส แม่บ้านและสมาชิกคลับการ์ดของเทสโก้โลตัส

Launched 30 มีนาคม 2553 ที่โรงแรมคอนราด สื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ สายไอทีและการตลาดร่วม 30 คน
Market Analysis การอิ่มตัวของกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของวัน-ทู-คอลทำให้ต้องมองหากลุ่มใหม่ที่มีศักยภาพสูง เช่น กลุ่มแม่บ้านที่นิยมซื้อของในเทสโก้ โลตัส
Positioning ลูกค้าที่ใช้บริการเทสโก้ โลตัส และสมาชิกบัตรคลับการ์ดประมาณ 4 ล้านราย
Promotion งบการตลาด 40 ล้านบาท เน้นการทำตลาด ณ จุดขายผ่านเทสโก้ โลตัสกว่า 600 สาขาทั่วประเทศ และสื่อ Above the line

Profile
เทสโก้ โมบาย เป็นธุรกิจให้บริการโทรศัพท์มือถือ ที่เทสโก้ โลตัสที่อังกฤษเปิดตัวขึ้นในปี 2003 มีลูกค้าเริ่มแรก 5 แสนคน หลังจากเปิดให้บริการ 14 เดือน ในปี 2009 เทสโก้ โมบายมีส่วนแบ่งตลาดมือถือระบบพรีเพด 13% หรือ 2 ล้านราย

]]>
12628
ดื่มมาตรฐาน https://positioningmag.com/12436 Fri, 05 Mar 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12436

การดื่มอย่างรับผิดชอบ หรือ Drink Responsibly ไม่ใช่เรื่องใหม่ในการรณรงค์ของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา การรณรงค์ส่วนใหญ่กลับเป็นเพียงสื่อโฆษณา ที่มีหน้าที่เพียงป่าวประกาศให้นักดื่มทั้งหลายรับรู้ แต่ไม่มีผู้ประกอบการายได้เคยให้ความรู้ว่า การดื่มอย่างรับผิดชอบนั้นเป็นอย่างไร หรือควรดื่มอย่างไรถึงจะเรียกว่ามีความรับผิดชอบ

“ดื่มมาตรฐาน” หรือ Standard Drink จึงเป็นภารกิจแรกที่ผู้ประกอบการจะเริ่มต้น Take Action ในเรื่อง Drink Responsibly อย่างจริงจัง ภายใต้การร่วมมือในรูปแบบสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย หรือ TABBA

แดเนียล ชวาล์บ ประธานสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย อธิบายว่า ดื่มมาตรฐาน เป็นแนวทางในการชี้วัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่ม เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคดื่มในปริมาณที่เหมาะสม หรือรู้ขีดจำกัดการดื่มของตนเอง ซึ่งรัฐบาลในหลายประเทศได้มีการกำหนดข้อแนะนำการดื่ม เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริโภคเกิดพฤติกรรมการดื่มอย่างมีความรับผิดชอบ

โดยทั้ง 6 บริษัท ที่เข้าร่วมอยู่ใน TABBA ซึ่งประกอบด้วย บริษัท บาคาร์ดี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บราวน์-ฟอร์แมน แอล.แอล.ซี. (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ดิอาจิโอ โมเอ็ท เฮนเนสซี่ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท สยามไวเนอรี่ เทรดดิ้ง พลัส จำกัด และบริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด จะแสดงเครื่องหมาย

“ดื่มมาตรฐาน” บนบรรจุภัณฑ์ พร้อมระบุถึงปริมาณแอลกอฮอล์สำหรับหนึ่งดื่มมาตรฐานของแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมดำเนินการได้ประมาณเดือนมิถุนายน

“เราเชื่อว่าผู้ที่สามารถดื่มอย่างรับผิดชอบได้ คือ ผู้ที่รู้ตัวว่าดื่มไปแล้วมากน้อยแค่ไหน”

แดเนียลไม่ได้ตอบว่าการรณรงค์เรื่องนี้อย่างหนักของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะกระทบต่ออัตราการบริโภคหรือไม่ แต่บอกว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับสังคมเป็นสิ่งที่แยกจากกันไม่ได้ ฉะนั้น เราจึงต้องคำนึงถึงการอยู่ร่วมในสังคมในระยะยาว ซึ่งในบางครั้งกำไรก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเสมอ

แม้การเริ่มต้น Take Action ในครั้งนี้ได้ช่วยแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของผู้ประกอบการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้ง 6 บริษัทในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

ทว่า สองบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายใหญ่ของไทย อย่างสิงห์ คอร์เปอเรชั่น และไทยเบฟเวอเรจ กลับไม่ได้เข้าร่วมอยู่ในสมาคมนี้ด้วยแต่อย่างใด

วิโรจน์ จันทรโมลี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด บอกว่า ในส่วนกลุ่มสุราของไทยเบฟฯ เห็นด้วยในหลักการของทาง TABBA แต่ทางบริษัทฯยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาทางบริษัทฯ มีกิจกรรมที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมออกมาอย่างต่อเนื่อง และได้ทำมานานแล้ว
นิยาม “ดื่มมาตรฐาน”

หนึ่งดื่มมาตรฐาน คือ เครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 10 กรัม หรือประมาณ 12.5 มิลลิลิตร ซึ่งโดยทั่วไป ตับจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ “หนึ่งชั่วโมง” ในการขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายปริมาณหนึ่งดื่มมาตรฐาน ตัวอย่างเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นับเป็นหนึ่งดื่มมาตรฐาน ได้แก่
-สก็อตช์ วิสกี้ 1 แก้ว ขนาด 30 มิลลิลิตร ดีกรีของแอลกอฮอล์ 40%
-ไวน์ 1 แก้ว ขนาด 100 มิลลิลิตร ดีกรีของแอลกอฮอล์ 12%
-เบียร์ 1 แก้ว ขนาด 285 มิลลิลิตร ดีกรีของแอลกอฮอล์ 5%

Alcohol Consumption in Thailand
ประเภท อันดับ (ของโลก)
วิสกี้ 6
เบียร์ 80
ไวน์ 175

]]>
12436