People – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 30 May 2016 03:37:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ดีแทค ตั้ง ภารไดย ธีระธาดา นั่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร https://positioningmag.com/1093102 Mon, 30 May 2016 03:36:56 +0000 http://positioningmag.com/?p=1093102 ดีแทคประกาศแต่งตั้งนายภารไดย ธีระธาดา ขึ้นเป็นรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เป็นต้นไป

นายภารไดย ธีระธาดา เดิมดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารสื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มกิจการองค์กร กับดีแทค โดยมีประสบการณ์และความสำเร็จในวางรากฐานในการขับเคลื่อนองค์กรทีเอ็มบีครั้งใหญ่ โดยมุ่งปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ธนาคารใหม่กับแนวคิดสร้างแบรนด์ “Make THE Difference” และยังขับเคลื่อนบุคลากรภายในองค์กรมากกว่า 10,000 คน ด้วย “TMB Way” ทำให้ที่ผ่านมาธนาคารทหารไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง

นอกจากนั้น ที่ผ่านมาเขายังมีประสบการณ์ด้านรับผิดชอบงานกลุ่มกิจการองค์กร รัฐกิจสัมพันธ์ และเป็นผู้นำในการบริหารจัดการในสถานการณ์ต่างๆ การนำองค์กรสู่การเปลี่ยนแปลง และทำงานทั้งในภาครัฐและเอกชนที่มีการแข่งขันสูงในหลากหลายอุตสาหกรรม

ลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ผมมีความมั่นใจในประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพของคุณภารไดย ที่จะเข้ามาช่วยผลักดันงานด้านกลยุทธ์ รับผิดชอบงานด้านกลุ่มกิจการองค์กรและรัฐกิจสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำงานกับหน่วยงานภาครัฐในเรื่องการจัดสรรคลื่นความถี่ คุณภารไดยจะร่วมทำงานกับคณะผู้บริหารของดีแทคในการผลักดันให้ดีแทคก้าวสู่เป้าหมายในการเป็นผู้ให้บริการดิจิทัลชั้นนำ และเป็นแบรนด์ที่ลูกค้านึกถึงในการดำเนินชีวิตยุคดิจิทัล พร้อมทั้งสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความยั่งยืนให้กับองค์กรดีแทค”

]]>
1093102
ดีแทค แต่งตั้งอดีตผู้บริหารซัมซุงนั่งเก้าอี้รองซีเอ็มโอ https://positioningmag.com/1091102 Mon, 09 May 2016 13:39:35 +0000 http://positioningmag.com/?p=1091102 ดีแทคประกาศแต่งตั้ง สิทธิโชค นพชินบุตร ดำรงตำแหน่งรองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด (Chief Marketing Officer, CMO) คนใหม่ มีผลในวันที่ 1 มิถุนายน 2559 แทน ซิกวาร์ท โวส เอริคเซน ซึ่งครบวาระในการปฏิบัติหน้าที่ในดีแทค และจะกลับไปทำงานตำแหน่งใหม่ในเทเลนอร์ กรุ๊ปต่อไป

ก่อนมาร่วมงานกับดีแทค สิทธิโชค เคยดำรงตำแหน่งรองประธานธุรกิจโทรคมนาคม และดิจิทัล บริษัท ไทยซัมซุง อิเลกโทรนิกส์ จำกัด รับผิดชอบ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และโมบายล์ คอมมูนิเคชั่นส์ ที่ดำเนินธุรกิจโทรศัพท์มือถือในไทย

นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้าทีมในส่วนของดิจิทัล การพัฒนาแอปพลิเคชั่น และโซเชียลเน็ตเวิร์ค ด้วยความสามารถในการทำงานอย่างทุ่มเท ทำให้การดำเนินธุรกิจซัมซุงในประเทศไทยเติบโต มีส่วนแบ่งการตลาดสูงเป็นอันดับ 1 ในปัจจุบัน ทำให้ผลการดำเนินงานของซัมซุงประเทศไทยพุ่งขึ้นติดตลาดในซัมซุงเอเชีย

สิทธิโชค เป็นนักวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เป็นผู้นำที่มีบทบาทสำคัญในการนำพาทีมให้ประสบความสำเร็จจากการเติบโตอันเป็นประวัติการณ์ของตลาดโทรศัพท์มือถือ และเป็นผู้บริหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับรางวัล “ Samsung Award of Honor” จากประธานกรรมการบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ในฐานะที่มีส่วนช่วยผลักดันให้โทรศัพท์มือถือซัมซุงในประเทศไทย เติบโตขึ้นทุกเซ็กเม้นท์อย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านั้น คุณสิทธิโชคเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์องค์กรให้กับบริษัทที่มีอัตราการเจริญเติบโตและการแข่งขันสูงมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น บริษัท เดอะไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เป็นต้น

ลาร์ส นอร์ลิ่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือ ดีแทค กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ ความสามารถ และผลงานอันโดดเด่น จนเป็นที่ยอมรับในแวดวงโทรคมนาคม ผมจึงมีความมั่นใจอย่างมากว่า สิทธิโชคจะนำพาให้ดีแทคได้บรรลุเป้าหมายทางการตลาด พร้อมเดินหน้า ตามกลยุทธ์การดำเนินงานไปสู่การเป็นบริษัทฯที่ดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมในประเทศไทยอย่างแข็งแกร่ง ด้วยเป้าหมายที่จะเป็นผู้ให้บริการด้านดิจิทัลที่ดีที่สุดในประเทศไทย

ส่วนซิกวาร์ท ที่ได้นำความสำเร็จด้านการตลาดมาสู่ดีแทค ด้วยความมุ่งมั่น และทุ่มเทเวลาในการเรียนรู้พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าคนไทยได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาของการเติบโตจากการใช้งานด้วยเสียงมาสู่การใช้โมบายล์ อินเทอร์เน็ตอย่างเต็มรูปแบบ กับการทำตลาดลูกค้าโพสต์เพดและพรีเพด รวมถึงความร่วมมือกับพันธมิตรในระดับประเทศและระดับโลก และเป็นผู้นำในการสร้างระบบการบริหารการตลาดที่ใช้เทคโนโลยีด้าน analytics ระดับโลก

]]>
1091102
เปิด “แพกเกจลดภาษีบุคคลธรรมดา” 2560 เงินเดือนต่ำกว่า 2.6 หมื่นบาทไม่ต้องเสีย https://positioningmag.com/63057 Tue, 19 Apr 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=63057
เปิดแพกเกจลดภาษีบุคคลธรรมดาใหม่ ผู้มีรายได้เดือนละ 2.6 หมื่นบาทไม่ต้องเสียภาษี จากเดิมไม่เกิน 2 หมื่นบาท พร้อมให้ลดหย่อนบุตรจากเดิมคนละ 1.5 หมื่นบาทเป็นคนละ 3 หมื่นบาท จำกัดจำนวนไม่เกิน 3 คน เริ่มใช้กับปีภาษี 2560 ที่ยื่นแบบและเสียภาษีตั้งแต่ 1 ม.ค. 61 – 31 มี.ค. 61 เผยคลังยอมเฉือนเนื้อ 3.2 หมื่นล้านบาท เชื่อปี 60 เศรษฐกิจโลก-ไทยจะดีขึ้น หวังเก็บแวตได้เพิ่ม
 
วันนี้ (19 เม.ย.) นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้
 
1. ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า ฯลฯ อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
 
2. ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากรจากเดิมให้หักได้เฉพาะค่าแห่งลิขสิทธิ์โดยให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของค่าแห่งลิขสิทธิ์แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ขยายเพิ่มให้ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าว แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้
 
3. ปรับปรุงการหักค่าลดหย่อน ดังนี้
 
(1) ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
 
(2) ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสของผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
 
(3) ค่าลดหย่อนบุตรจากเดิมคนละ 15,000 บาท และจำกัดจำนวนไม่เกิน 3 คน เป็นคนละ 30,000 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร และยกเลิกค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร (จากเดิมที่ให้หักลดหย่อน 2,000 บาท/คน)
 
(4) ในกรณีที่คู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท
 
(5) กองมรดกเดิมให้หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท
 
(6) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เดิมให้หักลดหย่อนแก่หุ้นส่วนคนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่
 
เกิน 60,000 บาท เป็นคนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท
 
4. ปรับปรุงขั้นเงินได้ และบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้
 
บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน บัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีการปรับปรุง
เงินได้สุทธิ อัตราภาษี (ร้อยละ) เงินได้สุทธิ อัตราภาษี (ร้อยละ)
1-300,000* 5 1-300,000* 5
300,001-500,000 10 300,001-500,000 10
500,001-750,000 15 500,001-750,000 15
750,001-1,000,000 20 750,001-1,000,000 20
1,000,001-2,000,000 25 1,000,001-2,000,000 25
2,000,001-4,000,000 30 2,000,001-5,000,000 30
4,000,001 ขึ้นไป 35 5,000,001 ขึ้นไป 35

* ทั้งนี้ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรกยังคงสามารถใช้ต่อไปตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551

 

5. ปรับปรุงเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี ดังนี้

 
(1) กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว
 
– หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 50,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 100,000 บาท
 
– หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน200,000 บาท
 
(2) กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน
 
– หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
 
– หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาทเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 120,000 บาท
 
(3) กรณีกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาทเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
 
(4) กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท
 
6. การปรับปรุงดังกล่าวข้างต้น ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2560 เป็นต้นไป การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีความเหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้มีเงินได้โดยผู้เสียภาษีที่มีเฉพาะเงินได้ประเภทเงินเดือนและหักลดหย่อนส่วนตัวโดยไม่ใช้สิทธิลดหย่อนรายการอื่น จะเริ่มเสียภาษีเมื่อมีเงินได้ 26,000 บาทต่อเดือน
 
ทั้งนี้ การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้ฯกระทบรายได้รัฐลดลงปีละ 32,000 ล้านบาท แต่หวังเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน ภาษีบุคคลธรรมดาคิดเป็น 17% ภาษีนิติบุคคล 32% ภาษีมูลค่าเพิ่ม 41% ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3% ภาษีธุรกิจปิโตรเลียม 5% ฯลฯ
 
ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบ ลดภาษีบุคคลธรรมดารายได้เดือนละ 2.6 หมื่นบาท ไม่ต้องเสีย เริ่มใช้กับรายได้ปี 2560 ที่ยื่นแบบและเสียภาษีปี 2560 รายละเอียดการลดภาษีบุคคลธรรมดา ประกอบด้วย
 
1. ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินเดือน ค่าจ้าง ค่านายหน้า ฯลฯ อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (1) และ (2) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เป็นร้อยละ 50 ของเงินได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาท 
 
2. ปรับปรุงการหักค่าใช้จ่ายของเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (3) แห่งประมวลรัษฎากร จากเดิมให้หักได้เฉพาะค่าแห่งลิขสิทธิ์โดยให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 40 ของค่าแห่งลิขสิทธิ์แต่ไม่เกิน 60,000 บาท ขยายเพิ่มให้ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์ หรือสิทธิอย่างอื่น สามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ 50 ของเงินได้ดังกล่าวแต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควรได้
 
3. ปรับปรุงการหักค่าลดหย่อน ดังนี้ 
(1) ค่าลดหย่อนสำหรับผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท 
(2) ค่าลดหย่อนสำหรับคู่สมรสของผู้มีเงินได้ จากเดิม 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท 
(3) ค่าลดหย่อนบุตรจากเดิมคนละ 15,000 บาท และจำกัดจำนวนไม่เกิน 3 คน เป็นคนละ 30,000 บาท โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร และยกเลิกค่าลดหย่อนการศึกษาบุตร (จากเดิมที่ให้หักลดหย่อน 2,000 บาท/คน) 
(4) ในกรณีที่คู่สมรสต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ ให้หักลดหย่อนรวมกันได้ไม่เกิน 120,000 บาท
(5) กองมรดกเดิมให้หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท เป็น 60,000 บาท 
(6) ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล เดิมให้หักลดหย่อนแก่หุ้นส่วน คนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท เป็นคนละ 30,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 60,000 บาท เป็นคนละ 60,000 บาท แต่รวมกันต้องไม่เกิน 120,000 บาท 
 
4. ปรับปรุงขั้นเงินได้ และบัญชีอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 
ทั้งนี้ การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรกยังคงสามารถใช้ต่อไปตามพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 470) พ.ศ. 2551 
 
5. ปรับปรุงเกณฑ์เงินได้พึงประเมินขั้นต่ำที่ผู้มีเงินได้ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษี ดังนี้ 
 
(1) กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว 
– หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 50,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 100,000 บาท 
– หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 100,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 200,000 บาท 
 
(2) กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน 
– หากผู้มีเงินได้เป็นโสด จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท 
– หากผู้มีเงินได้มีคู่สมรส จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้รวมกันเกิน 60,000 บาทเป็นต้องมีเงินได้รวมกันเกิน 120,000 บาท 
 
(3) กรณีกองมรดกของผู้ตายที่ยังมิได้แบ่ง จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาทเป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท 
 
(4) กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล จากเดิมต้องยื่นแบบฯ เมื่อมีเงินได้เกิน 30,000 บาท เป็นต้องมีเงินได้เกิน 60,000 บาท 
 
6. การปรับปรุงดังกล่าวข้างต้น ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินในปีภาษี 2560 เป็นต้นไป การปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจะทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีความเหมาะสมเป็นธรรม สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบัน อีกทั้งเป็นการช่วยบรรเทาภาระภาษีแก่ผู้มีเงินได้โดยผู้เสียภาษีที่มีเฉพาะเงินได้ประเภทเงินเดือนและหักลดหย่อนส่วนตัวโดยไม่ใช้สิทธิลดหย่อนรายการอื่น จะเริ่มเสียภาษีเมื่อมีเงินได้ 26,000 บาทต่อเดือน
 

]]>
63057
เปิดใจ “IP-Man” หมัดคุณธรรมแห่งกรมทรัพย์สินทางปัญญา เจ้าของวาทะสะท้านภพ "#ไม่น่ารักเลย"!! https://positioningmag.com/62960 Tue, 05 Apr 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62960
หวาดผวาไปตามๆ เมื่อเขามาถึง! “ไอพี-แมน” แอดมินเพจกรมทรัพย์ฯ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นดั่ง “บอส” ผู้น่าเกรงขามทั้งสำหรับ “คน” และ “ผี” จอมละเมิดทั้งหลาย ณ นาทีนี้ใครมีปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ สะกิด “บอส” ได้เลยนะครับ!
 
..เป็นที่กล่าวขวัญถึงมาสักระยะแล้ว สำหรับแอดมินเพจ “กรมทรัพย์สินทางปัญญา” กับลีลาการโพสต์ การคอมเมนท์ ไปจนถึงการตอบคำถามที่โดนใจทั้งวัยสะรุ่นและไม่วัยสะรุ่นแห่งโลกโซเชียล ก่อให้เกิดกระแสการตื่นตัวในด้านปัญหาละเมิดลิขสิทธิ์ชนิดที่พูดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์ ในการทำหน้าที่ของแอดมินผู้ที่ต่อมา ได้รับการเรียกขานว่า “บอส”
 
 
จากเด็กสายนิเทศศาสตร์ เคยเป็นทั้งนักข่าวและทำงานด้านประชาสัมพันธ์มาก่อน รวมทั้งครุ่นคิดไตร่ตรอง และศึกษากระแสสังคมมาพอสมควร เป็นจุดเริ่มต้นให้ข้าราชการหน้าใหม่วัย 33 ปี กระทำการอันลือลั่นสะท้านภพออนไลน์ ผ่านสไตล์การใช้สื่อแบบ “ชาวบ้านพูดกับชาวบ้าน” มีทั้งความเป็นกันเอง เข้าใจง่าย (กวนโอ๊ยหน่อยๆ พอหอมปากหอมคอ) และนวดนาบกำราบ “ผี” ด้วยไม้นวม เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน ด้วยหวังดี อีกทั้งเป็นกำลังหลักที่ทำให้เพจซึ่งแต่เดิมมีลูกเพจผู้ติดตามไม่กี่พัน ขยับขึ้นเป็นหลายหมื่น พร้อมกับการติดแฮชแท็กของคนที่ติดตามกระแสนี้ ที่นำมายั่วล้อกันบันเทิงเริงใจ แบบ “#ไม่น่ารักเลยคนับ”
 
เปิดใจได้ แต่ไม่เปิดตัว…ไม่ถือว่า “มารยาทไม่ดี” หรือ “ไม่น่ารักเลย” เพราะบางที คนที่ทำการใหญ่แบบนี้ ก็ต้องมีการปิดบังตัวตนกันบ้าง จริงไหม?
 
“IP-Man” ไม่ใช่ยิปมันอาจารย์บรูซลี ผู้มีเพลงมวยหย่งชุนผดุงคุณธรรม
 
แต่เขาคือ “ไอพี-แมน” แห่งกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่พร้อมจะปกป้องคุ้มครองสิทธิ์ของทุกท่าน ด้วยสื่อโซเชียล!
 
 
– ถามถึงงานส่วนหลักก่อนครับ โดยรวมแล้ว กรมทรัพย์สินทางปัญญา ดำเนินงานเกี่ยวกับเรื่องอะไรบ้าง
 
ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า ทรัพย์สินทางปัญญาไม่ใช่ว่าด้วยเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์เพียงอย่างเดียวแบบที่หลายคนคิดและเข้าใจ เรื่องลิขสิทธิ์เป็นแค่ส่วนหนึ่งของทรัพย์สินทางปัญญา ทรัพย์สินทางปัญญาคือผลงานอันเกิดจากการประดิษฐ์ คิดค้น หรือสร้างสรรค์ของมนุษย์ แบ่งได้เป็นสามอย่าง คือ หนึ่ง “เครื่องหมายการค้า” คนทั่วไปก็จะเรียกว่า “โลโก้” หรือ “แบรนด์” สอง “สิทธิบัตร” คือพวกการออกแบบ การประดิษฐ์ ที่มีกระบวนการเอาไปผลิตทำได้ และสามคือ “ลิขสิทธิ์” ซึ่งลิขสิทธิ์ก็มีแยกย่อยออกไปอีก 9 อย่าง เช่น หนัง เพลง จิตกรรม งานปั่น ภาพถ่าย เป็นต้น คือทั้งหมดเป็นทรัพย์สินทางปัญญา
 
ทีนี้ เป้าหมายของกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็คือมีส่วนในการตรวจสอบ แจ้งข้อมูล ให้ความรู้และรับจดทะเบียนสิทธิบัตร เพราะที่มีการละเมิดอย่างมากในยุคปัจจุบัน เรามีสื่อต่างๆ โซเชียลเน็ตเวิร์ค มันก็ยิ่งทำให้ละเมิดกันได้ง่ายขึ้น ง่ายจนเราละเลยว่านี่มันเป็นเรื่องของกฎหมาย เรื่องมารยาท
 
– ฟังดูเหมือนงานจะมีความเป็นทางการสูงมาก ตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับสไตล์การโพสต์ในเพจ ตรงนี้มีความเป็นมาอย่างไร
 
คือแต่เดิม เพจของกรมฯ ยังเป็นรูปแบบธรรมเนียมเดิม ไม่แตกต่างจากการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานราชการ ทีนี้ ด้วยความที่เราเป็นนักนิเทศศาสตร์ เคยทำงานด้านสื่อ เป็นนักข่าว ทำงานประชาสัมพันธ์ พอเรามาทำงานข้าราชการตรงนี้ เราก็แทนตัวเราเองว่าเราเป็นประชาชน และเราก็ถือเป็นประชาชนคนหนึ่ง ผมเพิ่งจะทำงานข้าราชการได้ 1 ปี จะถามอะไรดี พูดภาษาระดับไหนดี จะหยาบก็ไม่ได้ ต้องมาแปลงให้มันสวยงาม มีเรื่องร้องเรียนมาต้องทำหนังสือร่ายยาวไปอีกทอด เป็นขั้นตอนกว่าจะไปถึง แล้วไปถึงหรือไม่ก็ไม่กล้าซักถาม (ยิ้ม) แจ้งได้อย่างเดียวหรือเปล่า เราก็เอาความเป็นประชาชนคนหนึ่งมาเริ่มต้นวางแผนที่จะทำ โดยเริ่มจากโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมก่อน เพื่อให้มันตอบโจทย์กับประชาชนมากที่สุด อยากให้เขามองเราเป็นเพื่อน คือไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ผมตอบให้หมดทุกเรื่องเลย ตอนนี้เรื่องไม่เกี่ยวกับกรมก็ถามกันเข้ามา อย่าทำยาสอดทำแท้งก็ยังถาม
 
– ทำไมกลายเป็นอย่างนั้นไปได้
 
อาจจะเป็นอารมณ์ต่อเนื่องมาจากการที่คนรู้สึกมีความประทับใจในสิ่งที่เราทำ เขารู้สึกว่าเขาบอกเราได้ทุกเรื่อง ก็ตรงกับวัตถุประสงค์ที่เราคิดไว้คนเดียวแต่แรกว่ามีความรู้สึกอยากจะให้ความเป็นข้าราชการมันไม่ต้องมีเครื่องแบบ มียศ มีบ่า ไม่ต้องมีภาษาที่มันทางการ ถ้าสังเกตดู เพจเราจะไม่มีอะไรแบบนี้เลยจนหลายคนสงสัยว่าเพจจริงหรือเปล่า (หัวเราะ)
 
แต่ทุกอย่างมันก็จะมีแผน การที่จะทำเพจขึ้นมาสักเพจหนึ่ง ความยากของมันก็คือว่าเราต้องกำหนดคาแร็กเตอร์ อย่างหลายๆ เพจที่เราเห็นได้ปัจจุบันก็มีทั้งผู้ชายตอบค่ะ/ครับ หรือว่าการตอบแบบกวนตีนสุดโต่งก็มี หรือจะตอบกลับสู้ประชาชนได้อย่างเคเอฟซี ตอนนี้ เพจเราก็จะถูกเปรียบเทียบกับเคเอฟซี เพราะว่าเราไม่ได้กวน แต่เราจะตอบในลักษณะที่ว่าเราเอาคืนได้ แถมเรียบร้อยสุภาพ
 
ตอนแรกก็ใช้ระยะเวลาพอสมควร คือเรามานั่งดูสังเกตลักษณะนิสัยคนไทยมีไลฟ์สไตล์ 3 ส่วน หนึ่งคือ “เผือก” สองคือ “ตลก” สามคือ “ไม่ดวงก็เสี่ยงโชค” เราจับสองอันแรกมาปรับใช้ อย่างการเผือก เราก็ออกไปที่ต่างๆ ใครมีปัญหากับใคร ตอนนั้นมีเพจชื่อดัง ไอ้จ่ากับอีเจี๊ยบ เราก็เข้าไปคอมเมนท์ คนก็เริ่มสงสัย ด้วยความตลกจากคอมเมนท์ที่เราไม่ใช่ตลกคาเฟ่ แต่เป็นตลกสถานการณ์ รวมไปถึงคำต่างๆ ที่เราใช้ เราก็ศึกษามาเยอะเหมือนกัน เช่น เด็กติดเกมใช้ศัพท์อะไร เด็กฟุตบอล เด็กแฟชั่น เขาใช้ศัพท์อะไร เราก็ต้องไปเรียนรู้ ตามสถานการณ์ให้ทัน
 
 
– ฟังแล้วดูเหมือนการปรับเปลี่ยนรูปแบบนำเสนอของเพจกรมทรัพย์สินทางปัญญา เรากระทำโดยไม่ได้ตามนโยบาย
 
(หัวเราะ) ไม่ครับ เพราะด้วยความที่หน้าที่การงานค่อนข้างเยอะส่วนหนึ่งแล้ว กับการที่เป็นเรื่องใหม่ ผมก็เลยเริ่มทำเอง ทดลองมาเรื่อยๆ เราก็ค่อยๆ แซมก่อน แล้วรอดูผลฟีดแบคว่าเป็นอย่างไร อย่างเมื่อก่อนที่ลงรูปลงข้อมูลงานประชุมสัมมนาความรู้หรือเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่เป็นเรื่องกฎหมาย โดยภาษากฎหมาย ก็ปรับเป็นทำอินโฟกราฟฟิคหรือทำอะไรที่น่าดึงดูด เข้าใจง่ายๆ เพราะเราก็ไม่ใช่เด็กกฎหมาย ก็เริ่มไปเป็นเรื่องๆ จากเรื่องที่คนถามเยอะก่อน ทำให้มันดูง่าย แล้วก็เพิ่มวิธีการเล่า ใส่ความมันความเก๋าข้างนอก เราก็ไปทำดึงคน พอเราไปทำดึงเข้ามาได้มันก็ทำให้เวลาเราทำเรื่องอะไรพวกนี้ จากที่เมื่อก่อน ทำอินโฟกราฟฟิคขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง ได้ยอดไลค์ไม่ถึง 20 ไลค์ คนก็เริ่มสนใจมากขึ้น คนก็เริ่ม เฮ้ยๆๆ ได้ความรู้ แล้วก็…มันสิทธิ์ของตูนี่หว่า เริ่มเจออะไรที่เป็นอย่างนี้ ตื่นตัวว่ามันไม่ถูก เริ่มมองรอบๆ ตัวเอง
       
– เรื่องที่ทำขึ้นตอนแรกนั้นเกี่ยวกับอะไร คนถึงได้หันมองสนใจ
 
เรื่องแรกเป็นเรื่องที่คิดว่าคนไม่จำเป็นต้องรู้ แต่เราอยากจะทำ คือเรื่อง ‘สิทธิบัตร’ ที่ได้รับการจดทะเบียนในประเทศไทย นั่นก็คือ “ไม้จิ้มฟัน” (หัวเราะ) ที่เอาเรื่องนี้ เรารู้สึกว่าอย่างน้อยคนจะได้รู้ว่าอันนี้คือสิทธิบัตร แล้วสิทธิบัตรคืออะไร มันก็จะต่อไปเรื่อยๆ ไม้จิ้มฟันจะเอาไปจดเป็นสิทธิบัตรได้อย่างไร มันต่างหรือเหมือนกับของที่เราใช้ตอนนี้ไหม และสิทธิบัตรมันต่างจากลิขสิทธิ์หรือเปล่า การพิมพ์ข้อความในทวีตเตอร์เพียงหนึ่งประโยคถือว่าเป็นลิขสิทธ์ไหม ก็โยนบอมไว้ สุดท้ายก็มีเข้ามาถาม
 
ตอนนั้นส่วนมากก็จะเป็นงานบอม โยนลงไปบอม เดี๋ยวเขาก็จะมีคำถามกลับมาหาเราเอง ทั้งในคอมเมนท์และอินบ็อกซ์ นี่คือโจทย์ที่เราคิดไว้ โดยจะแบ่งวิธีการขั้นตอนทำงานเป็นสามส่วนหลักๆ คือ หนึ่ง ให้ข้อมูล สองคือแจ้งเรื่องละเมิด อันนี้ถือว่าสถิติพีคมาก จากเมื่อก่อน เดือนละ 200 ข้อความที่มีคนแจ้ง ตอนนี้วันหนึ่งมี 200 ข้อความ ซึ่งการแจ้งก็มี 3 อย่าง พอไปเจอการละเมิดลิขสิทธิ์ คือการเอาภาพเขา เซฟมา เอาหนังมาเผยแพร่ อย่างเมื่อไม่กี่วันมานี้ ไปเจอเพจหนังใหม่เรื่อง “แบทแมนปะทะซูเปอร์แมน” เพิ่งเข้าโรงวันเดียว วันศุกร์หนังซูมมีให้ดูแล้ว คนเห็นเขาก็แจ้งมา ก็เยอะแบบนี้ สองของปลอม ขายพวกเสื้อบอลปลอม ร้องเท้าปลอม อะไรที่ปลอม ทุกอย่าง ส่วนขั้นตอนที่สามคือเรื่องที่มีข้อพิพาทระหว่างกัน ประเภทนี้บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องหยุมหยิม เช่น เพื่อนคนนี้ไปเอารูปเพื่อนคนนี้มา เพจนี้ไปเอารูปเพจนี้มาแล้วไปตัดทิ้ง แต่เราไม่ได้มองว่าเรื่องพวกนี้มันหยุมหยิม เรามองว่าการเข้าไปให้ข้อมูล เข้าไปบอกพวกเขา ทำให้เรามีพื้นที่ แล้วคนอยู่ในนั้นเยอะ พอเห็นเรามาปุ๊บ อย่างน้อยเขาก็อาจจะได้อะไรจะแง่มุมที่เราชี้แจง
 
เราอยากให้เขาแก้ไข เหมือนเพื่อนคุยกับเพื่อน เราเป็นเพื่อนกัน ทุกเรื่องที่ได้รับการแจ้งมาร้อยเปอร์เซ็นต์ส่งต่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เขาก็จะมีหน้าที่ป้องปรามและติดต่อไปที่เจ้าของ เพราะเราไม่มีอำนาจจับกุม เราก็จะมีลิสต์เลยว่าสินค้านี้ใครเป็นผู้ดูแล หนังเรื่องนี้ใคร เพลงใคร ซึ่งก็จะมีผลในการดำเนินงาน รูปแบบเหล่านี้ต้นเดือนนี้ก็จะรวดเร็วขึ้น แค่แคปเจอร์และไลน์หา แต่เราอยากจะเตือนก่อน แบบเพจเกมที่เขาเอาเกมมาปล่อยให้ฟรีเป็น 10 กว่าปีแล้ว แต่เขาก็ยอมลบและขึ้นแบนเนอร์ขอโทษในเพจเขา แล้วในเว็ปเขาอีก ก็อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะการละเมิดลิขสิทธิ์ สามารถยอมความกันได้ ก็คุยกันเป็นรายๆ ไป เพจหนังหลายเพจก็ปิดลง ปิดของเขาเอง โดยที่เราไม่ได้ด้วยท่าทีนักเลง ประมาณว่า เฮ้ย ไม่ดีว่ะ พอ เลิกเถอะ แต่มันก็มีพวกลองของกวนๆ เหมือนกัน แต่เราก็…เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวรู้เรื่อง (หัวเราะ)
 
– ตอนนี้คือยังไม่มีการดำเนินจับกุม
 
เรื่องคดี เดี๋ยวมันเป็นไปตามขั้นตอน เพราะคนที่จะแจ้งความได้ก็คือเจ้าของหรือว่าผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแล อย่างภาพยนตร์ต่างประเทศก็จะมีอีกหน่วยงานหนึ่ง เพลงก็อีกหน่วยงานหนึ่ง ทุกอันเราแจ้งให้ทราบหมดว่ามีการละเมิด เพราะลิขสิทธิ์มันยอมความกันได้ ตัวอย่างผมไปเอารูปใครสักคนมา คนนั้นบอกว่าไม่แฟร์ ขอให้ลบ แค่ลบก็จบได้ หรือไม่ต้องลบก็ได้ แต่ใส่เครดิต หรือขอบคุณจากต้นทางก็ได้ หรือจะไม่เอาเพราะเอาไปหลายรูปขนาดนั้น ขอคิดรูปละ 200 บาท จ่ายเงินไป จบ เพราะฉะนั้นมันมีวิธีการจบได้หลายอย่าง จะขอก็ได้ เขียนไปแล้วถ้าเขาบอกว่ายินดี ลงได้ก็ได้ แต่มันเหมือนเป็นเรื่องมารยาทส่วนหนึ่ง
 
แต่คนชอบคิดว่าไปเจอรูปมา หาต้นตอไม่เจอ มันก็อปกันมาจนไม่รู้จะไปขอใคร คุณเดินไปเจอกระเป๋าเงินตกอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นของใคร เราหยิบมา อันแรกจุดประสงค์คือหยิบมาใช้ ผิดไหม ผิด ต่อให้เจ้าของเขาไม่รู้ บางคนบอกว่าไม่ได้ทำเพื่อการค้า มันไม่มีเหตุผล โจรไปปล้นมา บอกจะช่วยคนจน ยังไงคุณก็เป็นโจร คุณไปหยิบของเขามา คุณไม่เอามาใช้ ยังไงก็ถือว่าขโมย หยิบไปให้คนอื่น หยิบไปให้ทำบุญอะไรก็ผิด เอาไปทำการกุศล ทำบุญ ไม่ได้ไปค้าขาย มันไม่ใช่เหตุผล เรารู้ตัวอยู่แล้วว่าเราไปเอาของเขามา 
 
 
ปุ่มแชร์ ปุ่มเดียวง่ายมาก แต่การก็อปต้องไปคลิกขวา 1 ทีเพื่อเซฟเข้ามา คลิกวาง คลิกเข้าไปคร็อปอีก มันก็มีเจตนา ต่อให้มีเหตุผลข้ออ้างอย่างไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่ เราไม่อยากให้มองว่าเป็นศัตรูกัน คนผิดไม่รู้ก็มี อาศัยว่าผมอยากเอามัน อยากแชร์ ชอบ เซฟเขามา ชอบจริงๆ ก็มี แต่ที่หวังไม่ดีก็มี หวังว่าเดี๋ยวมันจะมาไลค์เพจตัวเองเยอะๆ ซึ่งเด็กบางคนสมัยนี้ มีหนังซูมมา รู้เท่าไม่ถึงการณ์ อยากให้คนมากดติดตามหรือแชร์ตัวเองเยอะๆ เพราะเหมือนรู้สึกว่าเป็นฮีโร่ ทั้งๆ ที่มันไม่มีผล ไม่มีรายได้อะไร แต่พอลงแล้วคนมาคอมเมนท์บอกขอบคุณ สุดยอดฮีโร่… ประหนึ่งพ่อพระ การกระทำอันนี้จริงๆ แล้วเราก็ต้องยอมรับว่าเราต้องทำให้เด็กๆ หรือประชาชนตระหนัก
 
ดังนั้น บางทีสไตล์การตอบมันจึงเป็นการตบหัวแล้วลูบหลัง จะมีลักษณะอย่างนี้ ถามมา เราก็ต้องให้ความจริงก่อน แล้วก็อธิบายว่าเป็นเพราะอะไร ซึ่งเกือบทั้งหมดก็เข้าใจ แม้มันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ในเร็ววันนี้ แต่ผมเชื่อว่าหลายคน พอจะไปเรื่องของละเมิดปุ๊บ กดเข้าไปดูไปเจอ อย่างน้อยแค่ก่อนคลิกให้เขาฉุกคิดว่ามันไม่เวิร์คหรือต้องไปหาต้นตอให้เจอก่อน หรือเมื่อไม่ได้จริงๆ ก็ให้ลองมาถามเราดูก็ได้ว่าเราจะมีช่องทางไหนต่อ ประมาณนั้น มันก็มีวิธีในการทำให้มันถูกต้องได้ ตามมารยาทก็ได้ ในเชิงกฎหมาย อาจจะไม่เน้นเท่าไหร่ แต่ทางมารยาทยังพอทำได้
 
– ตอนพอเริ่มทำ มีใครค้านบ้างไหมเกี่ยวกับวิธีการแบบนี้
 
ไม่ค้านครับ แต่จะมีอยู่สองอย่างที่ต้องรอบคอบ คือหนึ่ง สไตล์ในการตอบ และสอง ข้อมูล เรื่องสไตล์ โชคดีมากที่ผู้ใหญ่เห็นว่าทำแล้วมันโอเค อย่างที่บอกว่าเราวางแผนมาตั้งแต่ตอนแรกว่าเราจะตีกรอบอบย่างไร ตอบได้เท่านี้ ถ้าเจอคนกวนตีนเราจะไม่ตอบ เงียบ เราเงียบได้ แต่ส่วนที่ผู้ใหญ่จะให้ระวังมากที่สุดคือข้อมูล ต้องถูกต้อง ไม่มีการที่เราคิดเอง ตอบไม่ได้ก็บอกแมนๆ ตอบไม่ได้ ขอไปถามคนที่มีความรู้มากกว่า หรือคนที่เกี่ยวข้อง เพราะบางทีเป็นเรื่องของกฎหมาย เป็นเรื่องของอะไรที่มันซับซ้อน ก็จะเก็บไปหาคำตอบมา
 
เหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมดคือเรื่องที่ร้องเรียนมา ต้องแก้ปัญหาแล้วส่งต่อ ส่วนปัญหาอะไรที่เข้าติดต่อมา ต้องตอบให้ทั้งหมด ตกหล่นไม่ได้ หรือร้องเรียนอะไรมาก็แล้วแต่ ต้องแก้ปัญหาให้เขาทุกเรื่อง ตอนนี้จากจุดเริ่มที่เราคนเดียว “IP-Man” จากบอสเพียงคนเดียว (ยิ้ม) เราก็มีกราฟฟิคมาช่วย แล้วตอนนี้ก็มีอีก 1 คนที่เข้ามาช่วย เป็นบอสคนที่สอง เป็นคนรวบรวมข้อมูล รายงานสถิติและส่งให้เราจนสามารถแก้ปัญหาได้ อันนี้ในกรณีที่ต้องการคำตอบในเชิงทางการหรือว่าเอกสาร เขาจะมีสาระมากกว่า ส่วนผมไม่มีสาระ (ยิ้ม)
 
– เริ่มจากไม้ขีดก้านแรกที่บอมลงไป จำนวนผู้ให้สนใจก็เพิ่มขึ้น อย่างนี้เรารับมือในการตอบไขประเด็นสงสัยหรือให้ความรู้ได้ทันอย่างไร
 
ก็จะค่อยๆ ทยอย เพราะเราก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบหลักในงานอื่นๆ ด้วย อันนี้มันเป็นแค่ 1 ใน 10 ของงานที่เราทำ แม้ว่าจะกลายเป็นหน้าที่หลักแล้วเหมือนกัน แต่ก็ยังมีงานอื่นๆ ที่เรารับผิดชอบอยู่เยอะมาก แต่คือส่วนหนึ่ง ที่เราทำตรงนี้กัน ก็เพราะเราเล่นโซเชียลมีเดียกันอยู่แล้ว และเราก็พยายามบริหารให้มันได้เรื่อยๆ โอเคตอนนี้คนอาจจะเข้ามาคำถามเยอะ แต่การบริหารจัดการ เราไม่ได้ทำแค่ 2 คน ทุกคนในกรมเป็นแบ็คอัพให้เรา เจอคำถามยากๆ ขึ้นมา หงายท้อง จากเมื่อก่อน ถามประมาณ 1บวก 2 ได้เท่าไหร่ เดียวนี้มาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างที่เจอ เช่น เอาหนังเขามาแล้วเราแปลซับเอง แต่เราโดนละเมิดเอาไปอีกที คนที่เขามาเอาที่เราแปลไปใช้ผิดไหม เป็นต้น มันซับซ้อนมากขึ้น เราก็ต้องส่งต่อให้คนที่เชี่ยวชาญตีความ ก็จะมีกลุ่มคนที่เป็นแบ็คอัพตลอด
 
วิธีการก็ง่ายๆ คือแค่แคปเจอร์หน้าจอ ส่งไปให้เขาตอบ เขาตอบกลับมา อาจะเป็นภาษาที่เป็นทางการหน่อย เราก็มีหน้าที่แปลภาษาพวกนี้ให้เข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนี้ มันต้องมีอะไรที่ดึงดูดเขาต่ออีก ถ้าสังเกตในเพจ ทุกการแชร์หรือว่าทุกการตอบคำถาม เราจะพยายามเข้าไปตอบ เพราะเรานึกถึงความรู้สึกเขาว่าเขาใส่ใจ เราก็ทำงานให้เขารู้สึกดีว่าเราตอบคำถาม แม้คำถามมันจะเดิมๆ เจอถามอย่างนี้ทุกวัน ไม่เคยเบื่อ ไม่มีวันไหนที่มานั่งเบื่อ การให้คำตอบเขาไปแล้วเขาเข้าใจ นั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกประสบความสำเร็จ
 
– ความมุ่งหวังในการเปลี่ยนแปลงนอกจากให้ประชาชนตื่นรู้และหันมาสนใจ ยังมีจุดประสงค์อื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่
 
ปกติหลายคนชอบตั้งคำถามว่าจะทำไปเพื่ออะไร มันมีจุดประสงค์เดียวเลยคือทำให้คนทุกคน เราอยากให้คนรู้สึกว่าเรื่องทรัพย์สินทางปัญญามันก็เป็นเรื่องของเราเอง เราต้องปกป้องตัวเราเอง เราถ่ายรูปของเรา ใครมาเอาไป เมื่อก่อนช่างมัน เอาไปเหอะ ไม่เป็นไร ถือว่าช่วยโปรโมท แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่ เพราะหนึ่ง เราต้องปกป้องสิทธิ์ตัวเอง สอง เราต้องเคารพสิทธิ์ของคนอื่นด้วย ยังไม่ต้องไปถึงปราบปรามหรืออะไร ขอแค่ตรงนี้ก่อน คนมักจะคิดว่าไม่เป็นไร ทำเพลงขึ้นมา อยากให้คนเอาไปปล่อยต่อซะด้วยซ้ำ จะได้ดัง ไม่ใช่ครับ ทุกอย่างมันสามารถเอาเรื่องพวกนี้ทำมาเป็นรายได้ได้
 
เดี๋ยวนี้มันมีเยอะแยะ ขนาดทำเพลงร้องเพลงลงยูทูปก็มีรายได้แล้ว แล้วพวกที่ไปขโมยเขามา เอารายได้ทั้งนั้นของเขาไป เพราะบางคน มีคนดูเยอะ ก็มีโฆษณาเข้ามาในเพจเฟซบุ๊กหรือในเฟซบุ๊กส่วนตัว เข้ามาในยูทูป บางคนบอกไม่ได้ทำเพื่อการค้าแต่ได้เงินนะ อย่ามา อย่ามา (ยิ้ม) ดังนั้น ถ้าเราทำเองเราได้เอง จะไม่ดีกว่าเหรอ
 
ทั้งหมดที่เราทำ นักการตลาดบอกว่านี่คือการสร้างอะแวร์เนส (Awareness) ให้คนจดจำแล้ว แต่จริงๆ เป้าหมายเราไม่ได้คิดถึงการตลาด เราทำแค่เราอยากทำ เราทำให้ประชาชน แต่ด้วยคำพูดจาเรามันไปสะกิดติ่งคนพอดี หลายๆ คำ จังหวะจะโคนมันโดนพอดี เช่น “โอ้ ไม่น่ารักเลย” นี่จริงๆ ก็ขึ้นกับจังหวะเหมือนกัน คำว่าไม่น่ารักเลย ที่มาคือตอนนั้นมีเพจหนึ่งไปลงหนัง Deadpool วันนั้นหงุดหงิดมากเลย เพราะจะไปดูแล้วมันไม่มีรอบ แล้วก็กลับมาบ้าน มาเล่นเน็ต มาสไลด์ๆ ดู มาแล้ว!! ลงเต็มเรื่องเลย ตอนแรกก็จะพิมพ์แบบอารมณ์ล้วนๆ แต่ก่อนจะโพสต์ ก็พิมพ์ไว้ก่อนหลายๆ แบบ มีทั้งแบบแรงไป มีทั้งวิชาการเกินไป ลบอยู่หลายรอบ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
 
ก็ต้องกรองเยอะ สุดท้ายก็มา “ไม่น่ารักเลย” สั้นๆ ไม่ได้พิมพ์ยาวด้วยนะ “การเอาหนังคนอื่นมาเผยแพร่ ไม่น่ารักเลย” แต่คำสั้นๆ คำเดียวมันเปลี่ยนชีวิต เปลี่ยนชีวิตผมด้วย มาจากคำนี้ คำว่า “ไม่น่ารักเลย” คำพูดคำเดียวจริงๆ บางทีมันไม่ได้มีทฤษฏีอะไรเลย และคนดันไปเห็นแล้วแคปเจอร์ไว้ และไม่นานต่อมา วิดีโอนั้นก็โดนลบทิ้งไปเลย ที่สำคัญ คนก็ยังแคปเจอร์ไปพูดเป็นกระแส ซึ่งเราก็ไม่ได้ลบ เขาลบเอง เขายอมลบเอง ก็ถือว่าเขาคงเข้าใจ
 
 
– คำเพียงคำเดียวมันทรงอิทธิพลขนาดนั้น
 
จริงๆ อย่าว่าแค่ “ไม่น่ารักเลย” เมื่อก่อนเราไม่รู้จะพิมพ์อะไร แค่ส่งหน้าสติ๊กเกอร์ยิ้มกลมๆ คนก็จะบอกว่าทำไมช่างดูทรงพลังขนาดนี้ (หัวเราะ) เหมือนคนรู้ตัวว่าทำผิดอยู่แล้ว แล้วเราเข้าไป แต่ก็มีที่เขาเข้ามาต่อกรเรา เราก็จะบอกว่า “มาวิ่งเล่นอะไรแถวนี้” เพราะว่าเพจที่ละเมิดชอบมากวน หรือ “เฮ้ย…ไม่มีที่ให้เล่นเหรอ มาวิ่งเล่นอะไรแถวนี้” เท่านั้น ลบเหี้ยนเลย “กลับบ้านจะร้อง” บางทีก็ถ้าเขาอยู่ในที่ของเขา ก็ว่าไปอย่าง
 
แต่ถ้าเอาจริงๆ การจะปิดเพจพวกนี้หรือว่าไปหาคนโพสต์ หน่วยงานข้าราชการก็รู้ว่าไม่ยากหรอก แป๊บเดียว จะเล่นใครล่ะก็ไม่ยาก ค้นหา IP Address ดูรู้แม้กระทั่งพิกัด เสิร์ชเจอยันบ้าน แต่เราไม่ได้อะไรขนาดนั้น เราตักเตือน เราไม่ได้แบบว่าผิดแล้วต้องโหดเลย เป็นเพื่อนกันมากกว่า ด้วยจุดประสงค์เรา อยากจะบอกเขาอย่างนั้นว่าการกระทำอย่างนี้มันมีผลเยอะ แต่ด้วยความที่เป็นข้าราชการ ก็มีลบคอมเมนท์เราทิ้งก็มี หรือบางทีเข้ามาด่าทอ เราก็ถือว่าทุกการถูกด่า เราก็เอามาวางแผนต่อไปว่าทัศนคติของคนบ้านเราเป็นอย่างนี้นะ แล้วเราจะวางกฎวางการแก้ไขปรับเขาเหล่านั้นอย่างไร
 
– ใช้เวลานานไหมจากจุดเริ่มต้นมาจนถึงนี้
 
ตั้งแต่เดือนเมษายนที่แล้วจนถึงปลายปี ก็ประมาณ 9 เดือนที่พยายามทำอย่างไรก็ได้ให้ดึงคน ตอนนั้นที่เข้ามาเพจ เราก็มีอยู่ประมาณ 4 พัน เจออะไรที่มันเป็นคำถามเรื่องลิขสิทธิ์หรือเรื่องที่เกี่ยวข้อง เราก็พยายามเข้าไปตอบ ก็ดึงคนมาได้บ้าง จาก 4 พันขึ้นมาเป็นหนึ่งหมื่นช่วงปลายปี จนมาต้น พอมีกระแสคำว่า “ไม่น่ารักเลย” มันพีคมาเลย ตอนนี้อยู่ที่ 82,000 ยอดติดตาม ช่วงเวลาแค่ประมาณสักเดือน ขึ้นมา 5-6 หมื่นกว่าคน
 
แต่ว่ามันไม่ได้มีแผนอะไร เราไม่ใช่นักการตลาด เรารู้อย่างเดียวว่าเราเป็นข้าราชการ และเราเป็นประชาชนคนหนึ่ง เราก็เลยตอบแบบประชาชนเพื่อให้ประชาชนเข้าใจ ตอนนี้ ผมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการดูเรื่องคอลล์เซ็นเตอร์ แม้ไม่เหมือนในเพจ แต่ก็จะพูดด้วยภาษาที่ประชาชนเข้าใจง่าย เพราะการให้ข้อมูลประชาชน สิ่งสำคัญคือทำอย่างไรให้เขาเข้าใจได้ง่าย เมื่อก่อนต้องเตรียมโน่นนี่นั่น ภาษาราชการ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ ข้อดีก็คือว่าเราเข้าถึงประชาชนได้เยอะขึ้น เราไม่ได้คำชม แต่เราอยากทำให้เขารู้สึกว่าเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เขาอยากจะถามอยากจะคุย ก็กลับไปตอนแรกที่มีอะไรก็ไม่รู้แจ้งมา บัตรใบขับขี่ปลอมก็แจ้งมา พอเราบอกว่าให้ไปแจ้งที่โน่น ก็งอนเราอีก (หัวเราะ)
 
– อาจจะเพราะเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์มีเยอะ
 
ส่วนหนึ่งด้วยครับ แต่ตรงนั้นแบบทางการเราก็ทำอยู่ เรามีทีม มีสายตรวจ มีสายสืบ แต่ที่เราทำตรงนี้บนโซเชียลมีเดีย เพราะเห็นว่ามันแพร่ไปได้ง่ายและเร็ว ปิดเพจหนึ่งไปเปิดแตกอีก 5-10 เพจ เขาก็ทำได้ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่การไปปิดเพจ ปัญหามันอยู่ที่จิตสำนึกของคน ก็มีคนที่บอกอย่างนี้ เราก็ตอบอย่างนี้ไปตลอด ปิดสักกี่ล้านเพจ ถ้าคนมันไม่สำนึก ก็ยังมีอยู่ แต่เรามองอีกแง่หนึ่ง อย่างน้อยประชากรบ้านเรา 60-70 ล้านคน เชื่อว่า 8 หมื่นกว่าคนที่กดติดตามตอนนี้ อาจจะมีผิดใจกันบ้าง ถูกใจกันบ้าง แต่มันก็น่าจะไปด้วยกันได้ในมุมมอง
 
ถ้าแนวทางในการดำเนินการหรือการเข้าไปชาร์ตอะไรอย่างนี้ ตอนนี้มันได้รับผลที่ดี อย่างคนละเมิดเอง เขารู้ เขาก็ยอมลบให้ หรือบางทีบางคนติดต่อมาเพื่อให้เข้าไปเตือนเข้าไปบอก มันดูมีความน่าเชื่อถือมากกว่าเขาไปทะเลาะกันเอง ฉะนั้น ถ้ามันเป็นแนวทางที่ดีก็ยังจะยินดีที่จะทำให้อยู่ อย่างรายการหนึ่ง เขาไปเอาภาพฟุตเทจของประชาชนทั่วไปมา ก็ให้ความรู้เข้าไป ก็ไปตาม เขาก็ยอมตกลงกันได้ เคลียร์กันได้ คือเราไม่มีสี ไม่มีอะไร เราทำทุกอย่างเป็นเส้นเดียวกัน
 
– ไม่ใช่แค่เขียนเสือให้วัวกลัวใช่ไหม
 
บอกแล้วครับ เสือจริงๆ อาจจะมองเป็นเสือกระดาษ คือเราไม่ได้มีอำนาจไปจับ แต่เราประสานให้ คือถ้ามองเป็นกระดาษ ก็อาจจะโดนกระดาษบาดได้ ไม่ได้วาดให้ดุ น่ากลัว คนถึงยอม ในตอนนี้ลดลงเยอะ
 
– ถึงขนานนามเราว่าบอสใช่ไหม
 
(หัวเราะ) บอสคำนี้ไม่ได้หมายความว่าเป็นเจ้านาย แต่มันมาจากคำในเกม “บอสมาแล้ว” มันดูแข็งแกร่ง ดุ ดูน่าเกรงขาม แต่ภาพเราก็ไม่ได้ทำให้ดุขนาดนั้น อย่าไรก็ตาม เราก็รู้สึกเป็นเกียรติ ดีใจมากๆ ที่คนรู้จักเราเยอะขึ้น มีฉายาให้เรามากขึ้น ใน Twitter ก็มีฉายาอื่นอีก เช่น เรียกเราว่า “กรมสิ่งประดิษฐ์มาร์คเกอร์” น่ารักมุ้งมิ้งมาก หรืออย่างที่เขาบอกว่า บอสมา ใครหักไม้ผี เวลาเราไป คนเขาก็มองว่ากรมไปช่วยเขาได้ เป็นตัวแท็งก์ในเกม ตีเราเถอะ อย่าไปตีกันเอง ลักษณะอย่างนี้มากกว่า แล้วมันก็เป็นเรื่องที่แปลกสำหรับตัวผมเองในภาพการเป็นข้าราชการเจ้าหน้าที่ เรามีแฟนอาร์ตเยอะมาก มีคนทำมาสคอตให้เรา เพจ “จ็อดแปดริ้ว” ก็วาดให้ และอีกเยอะ รวมแล้วก็น่าจะทำเป็นนิทรรศการได้ เพราะมีถึง 30-40 รูป
 
– ถ้าการดึงกรมลงมา ดึงข้าราชการให้เป็นเพื่อนกับประชาชน อีกส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วย ส่วนตัวรู้สึกอย่างไรบ้าง
 
คือบางคนอาจจะคิดว่าทำไมทำอะไรให้ไม่มีความน่าชื่อถือเลย ก็ยังมีกลุ่มบางคนคิดว่าข้าราชการต้องดูจริงจังหน่อย ก็มีคอมเมนท์ที่เราเจอ แต่กระแสของคนที่เขาชอบ ก็ทำให้ได้รับรู้ว่ายังมีอีกด้านที่เขาชอบ เขาก็จะไปตอบแทนเราว่าเป็นอย่างนี้มันดีกว่าอย่างไร โดยส่วนตัวเชื่อว่าการที่เราเข้าถึงคนดีกว่า จากที่ไม่ขอบก็อาจจะเข้าใจกันมากขึ้น จากที่ชอบอยู่แล้วก็อาจจะเกลียดมากขึ้น (หัวเราะ) แต่มันก็ทำให้มันลดรูปการเป็นข้าราชการ เราทำทุกอย่าง ทำเพื่อประชาชน สุดท้ายคำตอบก็คือว่า ผลมันเป็นอย่างไร เราเปลี่ยนทั้งระบบไม่ได้ แต่หลายหน่วยงานจะเข้ามาปรึกษาอยากใช้แนวทางนี้ในการทำให้ประชาชนเข้าถึงเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น ตอนนี้ก็มีเข้ามาแล้วในส่วนของภาคกระทรวงเดียวกันเอง แต่อาจจะไม่ต้องมาสไตล์นี้หรอก ลองนึกภาพกระทรวงกลาโหมจะมาอย่างนี้ก็ไม่ได้ หรือกระทรวงสาธารณะสุขก็ไมได้ ของเขาก็ต้องจริงจัง แต่แค่ทำอย่างไรให้คนเข้าถึงได้ง่าย เข้าใจข้อมูลได้ง่าย
 
ส่วนกรมนี้ข้อดีคือชื่อกับภารกิจ เพราะฉะนั้น การที่จะทำอะไรกับคนที่ทำงานครีเอทีฟกับคนที่ทำงานสร้างสรรค์สไลต์อย่างนี้ แบบนี้ มันตอบโจทย์ชัดกว่า ข้อที่ควรใส่ใจคือทำให้เขาเข้าใจข้อมูลมากกว่า เป็นข้อที่เราใส่ใจมากที่สุด จากนิสัยตัวตนของเราส่วนหนึ่งที่เราก็เป็นคนชอบเทคแคร์คนอื่น เราใส่ใจคนอื่น เชื่อมาตลอดว่าถ้าวันหนึ่งเราได้มาเป็นข้าราชการ เราอยากจะเป็นข้าราชการที่ดี อยากจะให้กรมหรือหน่วยงานรัฐบ้านเมืองเราดีขึ้น ก็ภูมิใจที่ตอนนี้เรามีส่วนในการช่วยพัฒนา ตอนนี้ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ไม่ใช่แค่พัฒนาให้เข้าถึงประชาชนแค่โซเชียลมีเดีย สาระความเป็นกรมเราก็ปรับเปลี่ยนให้เข้าใจประชาชน อย่างค่าธรรมเนียตอนนี้เราก็ยกเลิกโน่นนี่นั่นไปหลายอย่าง แล้วก็ลดเรื่องเอกสาร ทำระบบให้มันง่ายขึ้น มันไปทั้งหมดทั้งวง ไปเรื่อยๆ
 
เราอาจจะเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย ไม่มีเครื่องราช แต่ผู้ใหญ่เขาเห็น ตอนนี้หลายกรมก็ทำหนังสือเข้ามา อยากให้ไปช่วยบรรยาย ให้ช่วยเรื่องตรงนี้ ต่อยอดไปเรื่องอื่นๆ คือการให้บริการสำคัญที่สุด เพราะการเป็นราชการ ราชการ คือ “ข้า” เราก็ต้องบริการประชาชนอยู่แล้ว แล้วทำอย่างนี้ ประชาชนรู้สึกดี เราก็รู้สึกดี เราก็ยิ่งมีแรงในการที่จะทำ ไฟท์ทุกอย่างให้ประชาชนได้รับประโยชน์มากที่สุดเท่านั้นเอง ตอบโจทย์แค่นี้เองครับ เพื่อประชาชน
 
 
 

]]>
62960
Zaha Hadid สถาปนิกหญิงชื่อดัง เสียชีวิตแล้วด้วยอาการหัวใจวายในวัย 65 ปี https://positioningmag.com/62922 Fri, 01 Apr 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62922
Dame Zaha Hadid สถาปนิกหญิงระดับโลกชาวอังกฤษ ผู้สร้างผลงานสุดมหัศจรรย์อย่าง London Aquatic Center สถานที่แข่งขันกีฬาว่ายน้ำสำหรับกีฬาโอลิมปิกปี 2008 เสียชีวิตแล้วด้วยอาการหัวใจวายในวัย 65 ปี หลังจากเข้ารักษาตัวด้วยโรคหลอดลมอักเสบ ณ โรงพยาบาล Miami Hospital สหรัฐฯ
 
Zaha Hedid สถาปนิกชาวอังกฤษเชื้อสายอิรักผู้นี้ ถือเป็นสถาปนิกหญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจากสถาบัน Royal Institute of British Architects หรือ Riba เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ด้วยผลงานการออกแบบอาคารที่โดดเด่นของเธอ โดยเธอได้แสดงความภาคภูมิใจอย่างมากที่เป็นผู้หญิงคนแรกได้รับรางวัลนี้
 
“เราได้เห็นสถาปนิกหญิงมืออาชีพมากมายในปัจจุบัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องง่าย บางครั้งอุปสรรคก็ช่างมากมาย แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และเราจะพัฒนาความเปลี่ยนแปลงนี้ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก” เธอกล่าว
 
Zaha Hedid เกิดที่กรุงแบกแดด ประเทศอิรัก จบการศึกษาด้านคณิตศาสตร์ จาก American University of Beirut ก่อนที่จะเริ่มต้นการทำงานด้านสถาปัตยกรรมที่ Architectural Association ในลอนดอน ต่อมาในปี 1979 เธอจึงได้ก่อตั้งบริษัทออกแบบสถาปัตย์ของตนเองขึ้น ชื่อว่า Zaha Hadid Architects 
 
ผลงานใหญ่ชิ้นแรกของเธอคือสถานีดับเพลิง Vitra ในเมือง Weil am Rhein ประเทศเยอรมนี
 
 
แต่ผลงานที่สร้างชื่อที่สุดหนีไม่พ้นสนามแข่งขันกีฬาว่ายน้ำในงานโอลิมปิก 2008 London Aquatic Center ซึ่งโดดเด่นด้วยการดีไซน์ด้วยเส้นโค้งในลักษณะคลื่นบนผิวน้ำ จนเธอได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งเส้นโค้ง ซึ่งอาคารดังกล่าวหลังการใช้งานในงานโอลิมปิกและพาราลิมปิกแล้ว ก็ได้เปิดให้บริการกับบุคคลทั่วไปในปี 2014 ที่ผ่านมา
 
 
 
 
ผลงานของ Zaha Hedid นั้นมีอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งในอังกฤษ ฮ่องกง เยอรมนี อาร์เซอร์ไบจัน นอกจากผลงานในโอลิมปิกเกมส์แล้ว ผลงานอื่นๆ ที่โดดเด่นของเธอ ได้แก่ Serpentine Sackler Gallery ในกรุงลอนดอน Riverside Museum ณ Glasgow’s Museum of Transport และ Guangzhou Opera House ในจีน
 
 
นอกจากนั้น Zaha Hedid ยังเป็นผู้ออกแบบสนามกีฬาหลักที่จะใช้เป็นสถานที่แข่งขันฟุตบอลเวิร์ดคัพที่การ์ตาปี 2022 ที่จะถึงนี้ด้วย
 
 
Jane Duncan ประธานสถาบันออกแบบ Riba กล่าวถึงความสูญเสียในครั้งนี้ว่า “นี่คือข่าวร้ายที่สุด Dame Zaha Hadid คือผู้หญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจ เธอคือสถาปนิกแบบที่ใครๆ ต่างก็ฝันที่จะเป็น วิสัยทัศน์และประสบการณ์มากมายที่สั่งสมมาตั้งแต่อายุยังน้อยของเธอ คือ ตำนานของวงการออกแบบ สิ่งที่เธอได้ทิ้งไว้คือผลงานอันทรงค่า ทั้งในรูปแบบของอาคาร เฟอร์นิเจอร์ รองเท้า ไปจนถึงรถยนต์ ที่สร้างความชื่นชมและตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนทั่วโลก วงการสถาปัตยกรรมได้สูญเสียดวงดาวอันทรงค่าไปแล้วในวันนี้” 
 

]]>
62922
Google แชมป์บริษัทซีอีโอค่าเหนื่อยสูงสุดในสหรัฐฯ https://positioningmag.com/62451 Tue, 09 Feb 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62451
กูเกิล (Google) คือ บริษัทที่ให้ค่าตอบแทนเมื่อแต่งตั้งเป็นซีอีโอสูงที่สุดในสหรัฐฯ ข้อมูลเบื้องต้นชี้ว่า ซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ซีอีโอหนุ่มได้รับหุ้นเพิ่มขึ้นจนมีมูลค่ารวมมากกว่า 650 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
 
ตามข้อมูลที่กูเกิลยื่นต่อคณะกรรมการดูแลตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือ SEC พบว่า ในบรรดาทุกบริษัทในแดนลุงแซม กูเกิล คือ บริษัทที่มอบหุ้น หรือเงินให้แก่ซีอีโอคนใหม่ในมูลค่าสูงที่สุด โดยเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซีอีโอซันดาร์ พิชัยได้รับหุ้นมูลค่า 199 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2 พันล้านบาท ส่งให้มูลค่าหุ้นรวมที่ซีอีโอพิชัยถือในบริษัทแม่อย่างอัลฟาเบ็ต (Alphabet) นั้นมีมูลค่ารวมกว่า 199 ล้านเหรียญสหรัฐ
 
มูลค่าหุ้นที่ซีอีโอกูเกิลได้รับถูกนำไปเปรียบเทียบกับแอปเปิล (Apple) เจ้าพ่อไอทีสัญชาติอเมริกันที่มอบค่าตำแหน่งให้ซีอีโอทิม คุก (Tim Cook) “เพียง” 376.2 ล้านเหรียญเท่านั้น หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท จุดนี้ไม่มีข้อมูลว่าค่าตอบแทนที่คุกได้รับเมื่อครั้งรับตำแหน่งเป็นซีอีโอนั้นเป็นเงินสด หรือหุ้นบริษัท
 

ซีอีโอทิม คุก (Tim Cook) ยังได้รับค่าตำแหน่งน้อยกว่าซีอีโอกูเกิล
 
อย่างไรก็ตาม ซีอีโอพิชัย ไม่ใช่บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในบริษัทอัลฟาเบ็ต ตามรายงานจากสำนักข่าว เดอะการ์เดียน (Guardian) ผู้ก่อตั้งกูเกิลอย่างแลร์รี่ เพจ (Larry Page) และเซอร์เกย์ บริน (Sergey Brin) ต่างมีทรัพย์สินมูลค่าราว 3.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่อดีตซีอีโออย่าง อิริก ชมิดต์ (Eric Schmidt) มีหุ้นมูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐอยู่ในมือ
 

]]>
62451
“พิมฐา” เน็ตไอดอลเจ้าแม่พรีเซ็นเตอร์ https://positioningmag.com/62393 Thu, 04 Feb 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62393
ในยุคที่เน็ตไอดอลสามารถแจ้งเกิดได้ง่ายพอๆ กับการหาเซเว่นฯ ตามริมถนน ทำให้มีเน็ตไอดอลตั้งแต่วัยมัธยมไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่จะเกิดเพราะหน้าตาดี และมีไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น พอมีแฟนคลับติดตามจำนวนมากก็เลยยกตำแหน่งเน็ตไอดอลให้ไปโดยปริยาย
 
เน็ตไอดอลที่มาแรงสำหรับชั่วโมงนี้ ก็ต้อง “พิมฐา” หรือ ฐานิดา มานะเลิศเรืองกุล  ขวัญใจฮิปสเตอร์ที่มีไลฟ์สไตล์โดดเด่นเรื่องการถ่ายภาพ ภาพในอินสตาแกรมของเธอจะมีมู้ดแอนด์โทนในทิศทางเดียวกัน ทำให้เธอเป็นที่รู้จัก และเป็นขวัญใจของสาวๆ ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ และพิมฐายังมีลุคที่ดูญี่ปุ่นด้วย เพราะได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Ritsumeikan Asia Pacific University ที่ประเทศญี่ปุ่น
 
 
เส้นทางในโลกออนไลน์ พิมฐา ไม่แตกต่างไปจาก “เน็ตไอดอล” คนอื่นๆ ที่โด่งดังมาจากโซเชียลมีเดีย ช่องทางเด่นของเธอ คืออินสตาแกรม ที่ปัจจุบันมีคนติดตาม 2.1 ล้านยูสเซอร์ เป็นที่ชื่นชอบของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ที่สำคัญก็คือไม่มีภาพลักษณ์ที่เสียหาย เพราะในปัจจุบันมีเน็ตไอดอลเกิดขึ้นบนโลกออนไลน์เยอะมากก็จริง แต่บางคนก็เกิดจากพฤติกรรมที่ไม่ค่อนดีนัก อย่างเช่น การโชว์สัดส่วนของตนเอง เป็นต้น
 
เมื่อทั้งโปรไฟล์และยอดติดตามพุ่งสูง แบรนด์ต่างๆ วิ่งเข้าหาเพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสารกับผู้บริโภค พิมฐาเลยกลายเป็นเน็ตไอดอลที่เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้ามากที่สุดคนหนึ่งเช่นกัน โดยมีตั้งแต่การโพสต์สินค้า ลงอินสตาแกรมทั่วไป ไปจนถึงขั้นการขึ้นแท่นพรีเซ็นเตอร์ ถือว่าเป็นเน็ตไอดอลที่เป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้ามากที่สุดคนหนึ่งเช่นกัน แบรนด์ที่พิมฐาได้เป็นพรีเซ็นเตอร์มาแล้ว ได้แก่ เซ็ปเป้ บิวติดริ้งค์, เดอะพิซซ่าคอมปะนี, ไอศกรีมกูลิโกะ, เย็นเย็น และขาไก่ โลตัส
 
 
พงษ์ศักดิ์ เจริญกุล ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท จับของร้อน จำกัด มองว่า เน็ตไอดอลเบอร์หนึ่งที่รู้จักกันมากที่สุดก็ต้องยอมรับว่าคือ พิมฐา มีคนติดตามเยอะ และเป็นที่ชื่นชอบของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ไม่มีภาพลักษณ์ที่เสียหาย มีฐานแฟนคลับค่อนข้างมาก ทำให้มีงานพรีเซ็นเตอร์ค่อนข้างมาก แต่ที่เป็นกระแสในตอนนี้ก็ไอศกรีมกูลิโกะ เข้ากับกระแสของไอศกรีมก็เลยยิ่งเสริมกัน เพราะแบรนด์ก็ต้องการสร้างกระแส และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น
 
ทางด้านเซ็ปเป้ ที่เป็นผู้บุกเบิกในการใช้พิมฐานั้น ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นถึงการเลือกพิมฐา มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ มาจากพฤติกรรมการบริโภคสื่อของผู้บริโภคเปลี่ยนไป  หันไปที่สื่ออนไลน์มากขึ้น และมองว่าไหนๆ จะรีเฟรชแบรนด์แล้ว จึงต้องการให้เกิดความแปลกใหม่ไปเลย และยังจับกลุ่มเป้าหมายที่เด็กลง
 
“ก่อนหน้านี้ เซ็ปเป้เคยใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นเซเลบริตี้ แต่ตอนหลังหลายแบรนด์ก็ใช้กัน เราเลยมองว่าไหนๆ จะรีเฟรชแบรนด์แล้ว ก็ทำให้แปลกใหม่ไปเลย โดยเลือกใช้เน็ตไอดอลที่เป็น Upcoming หรือเป็น New star ดวงใหม่ อย่าง พิมฐา เพื่อต้องการที่จะจับกลุ่มเป้าหมายที่เด็กลงด้วย”
 
ไอศกรีมกูลลิโกะ เลือกพิมฐาเพราะเป็นเน็ตไอดอลที่คนติดตามเยอะ และต้องการสร้างกระแสในการทำตลาดตอนแรกด้วย จึงอาศัยความแรงของพิมฐามาช่วยโปรโมต รวมถึงต้องการคุยกับกลุ่มเป้าหมายกลุ่มวัยรุ่นด้วย อีกทั้งพิมฐายังได้ลุคของความเป็นญี่ปุ่นอยู่ เพราะเคยเรียนที่ญี่ปุ่นมา คาแรกเตอร์เข้ากับแบรนด์
 

]]>
62393
สุดทึ่ง!! แค่ข้ามคืน “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” รวยสุดอันดับ 4 โลก หลังหุ้นเฟซบุ๊กดันแซงหน้าเจ้าพ่อ "อเมซอน" https://positioningmag.com/62409 Thu, 04 Feb 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62409
เอเจนซีส์ – แค่ชั่วข้ามคืนวันอังคาร(2 กพ.)ที่ผ่านมา มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งและเจ้าของบริษัทเฟซบุ๊ก อิงก์ วัยแค่ 31ปีกลายเป็นบุคคลที่รวยมากที่สุดของโลกในอันดับ 4 แซงหน้าเจฟ เบโซส์ (Jeff Bezos) เจ้าของเว็บไซต์ร้านหนังสือ “อเมซอน” ไป จากตารางดัชนีวัดความร่ำรวยของบลูมเบิร์ก พบว่าทรัพย์สินทั้งหมดของซัคเคอร์เบิร์กล่าสุดแตะหลัก 50 พันล้านดอลลาร์ไปแล้ว แถมบริษัทเฟซบุ๊ก อิงก์ถูกจัดให้เป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในโลกในอันดับ 4 ตามหลังกูเกิล แอปเปิล และไมโครซอฟต์
 
เดลีเมล สื่ออังกฤษรายงานในวันนี้(4 กพ.)ว่า หลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลงในวันอังคาร(2) มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก วัย 31 ปีที่ในขณะอยู่ระหว่างการลาพักช่วงภรรยาคลอดบุตรได้เห็นทรัพย์สินของตนเองแตะ 50 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก หลังจากที่พบว่าหุ้นบริษัทเฟซบุ๊ก อิงก์ที่เขาเป็นผู้ก่อตั้ง และเป็นเจ้าขึ้นขึ้นสูงเป็นประวัติการ
 
และทำให้ซัคเคอร์เบิร์กกลายเป็นเศรษฐีพันล้านที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลกเป็นอันดับ 4 แซงหน้าเจฟ เบโซส์ (Jeff Bezos) เจ้าของเว็บไซต์ร้านหนังสือ “อเมซอน” และคาร์ลอส สลิม (Carlos Slim) เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทเลคอมมูนิเคชันในแถบลาตินอเมริกา อเมริกา โมวิล แซบ (America Movil SAB) ไป บลูมเบิร์ก สื่อธุรกิจชี้
 
สื่อธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดทุนทั่วโลกจะซบเซาในช่วงที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ส่งผลกับหุ้นของเฟซบุ๊กที่พบว่า ถึงแม้จะตกลงในระหว่างวันไป 0.4% ในช่วงเดือนที่ผ่านมาหุ้นเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นถึง 9.5%
 
โดยบริษัท เดอะ เมนโล ปาร์ก (The Menlo Park) ที่มีฐานในรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้รายงานในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า นักวิเคราะห์เบนต์ (beat analyst)ชี้ว่า บริษัทเฟสบุ๊ก อิงก์ของซัคเกอร์เบิร์กมีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเป็นอันดับ 4 ตามหลังบริษัทอัลฟาเบต อิงก์( Alphabet Inc) บริษัทแม่ของกูเกิล บริษัทแอปเปิล อิงก์ และบริษัทไมโครซอฟต์ คอร์ป ตามลำดับ
 
ซึ่งทำให้ซัคเคอร์เบิร์กเลื่อนขึ้นมาจากลำดับ 6 สู่เศรษฐีพันล้านที่รวยเป็นอันดับ 4 ของโลกภายในเพียงแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น
 
เดลิเมลรายงานเพิ่มเติมว่า ในขณะที่เบโซส์เจ้าของบริษัทอเมซอน เริ่มต้นปี 2016 ด้วยอันดับ 4 ของผู้มีทรัพยสินมากที่สุดในโลก จากมูลค่าทรัพย์สินที่เขามีราว 59.7 พันล้านดอลลาร์ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่หลังจากวันอังคาร(2)ล่าสุด เบโซส์กลับมีทรัพย์สินลดลงเหลือ 49.1 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เจ้าพ่ออเมซอนต้องกลายเป็นอันดับสุดท้ายของท็อปไฟว์เศรษฐีพันล้านของโลกไปอย่างช่วยไม่ได้ อ้างอิงจากตารางดัชนีวัดความร่ำรวยของบลูมเบิร์กในช่วงระหว่างวันที่ 4 มกราคม ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ล่าสุด
 
โดยพบว่าเพียงแค่ในวันพุธ(3)วันเดียวเท่านั้น เจ้าพ่ออเมซอนสูญเงินไปถึง 6 พันล้านดอลลาร์ และนับตั้งแต่วันแรกของการเปิดตลาดหุ้นในต้นปี 2016 บริษัทอเมซอนของเขาประสบปัญหากับมูลค่าหุ้นที่ตกไปถึง 18% หรือราว 10.6 พันล้านดอลลาร์
 
แต่อย่างไรก็ตาม เบโซส์สามารถไต่อันดับจาตารางในปีที่ผ่านมา ที่เขาถูกจัดความร่ำรวยอยู่ในอันดับที่ 16 เท่านั้น
 
ซึ่งพบว่าในตลอดทั้งปี 2015 ธุรกิจอเมซอนประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทำให้ความมั่งคั่งของเจฟ เบซอสเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า โดยพบว่าภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2015 มูลค่าทรัพย์สินรวมของเจ้าพ่ออเมซอนมีถึง 30.7 พันล้านดอลลาร์ทีเดียว
 
ในขณะที่คู่แข่งอีกคนของซัคเคอร์เบิร์ก เศรษฐีพันล้านชาวเม็กซิกัน คาร์ลอส สลิม (Carlos Slim) ที่มีอันดับความร่ำรวยแซงหน้าซัคเกอร์เบิร์ก 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ต้องประสบปัญหาเช่นเดียวกับเบโซส์ที่มียอดทรัพย์สินลดลง แต่ของเจ้าพ่ออเมริกา โมวิล แซบเกิดจากปัญหาตกต่ำทางเศรษฐกิจในแถบลาตินอเมริกาเป็นหลัก โดยเฉพาะในบราซิลที่เป็น 17% ของแหล่งรายได้ในยอดขายของไตรมาสที่ 3 ทำให้เฉพาะแค่ในปี 2016 มูลค่าทรัพย์สินของสลิมลดไปถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์ บลูมเบิร์กรายงาน
 
อย่างไรก็ตาม สื่ออังกฤษชี้ว่า บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ คอร์ป ยังคงถูกจัดเป็นบุคคลที่มีความร่ำรวยมากที่สุดในโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินรวมสูงถึง 78.7 พันล้านดอลลาร์ ในขณะที่อันดับ 2 ตกเป็นของ เอมานซิโอ ออร์ติโก (Amancio Ortega) เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำ “ซารา” ที่โด่งดังทั่วโลก และเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในไทย ส่วนอันดับ 3 ตกเป็นของเจ้าพ่อวอลสตรท วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warren Buffett)ที่มีมูลค่าทรัพย์สินรวมราว 59.6 พันล้านดอลลาร์
 
อย่างก็ตาม บลูมเบิร์กชี้ว่า มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กเป็นเศรษฐีพันล้านคนเดียวในท็อปไฟว์จากตารางที่มีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นในปีนี้ และยังพบว่าครึ่งหนึ่งของ 10 อันดับแรกของเศรษฐีพันล้านทั่วโลกได้ความร่ำรวยมาจากธุรกิจทางด้านเทคโนโลยี
 
 

(ซ้าย)เจฟ เบโซส์ (Jeff Bezos) เจ้าของเว็บไซต์ร้านหนังสือ “อเมซอน” และ(ขวา)คาร์ลอส สลิม (Carlos Slim) เจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทเลคอมมูนิเคชันในแถบลาตินอเมริกา อเมริกา โมวิล แซบ (America Movil SAB)
 

ตารางดัชนีวัดความร่ำรวยของบลูมเบิร์กในช่วงระหว่างวันที่ 4 มกราคม ถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ล่าสุด
 
 
 
 

]]>
62409
Mark Zuckerberg นั่งแท่นเศรษฐีรวยสุดอันดับ 6 ของโลก https://positioningmag.com/62352 Sat, 30 Jan 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62352
ผลจากมูลค่าหุ้นที่พุ่งกระฉูด มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กกลายเป็นบุคคลที่ได้ชื่อว่าร่ำรวยที่สุดอันดับ 6 ของโลกเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา โดยหนุ่มมาร์ก ในวัย 31 ปี มีมูลค่าทรัพย์สินทะลุ 4.75 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐไปแล้วเรียบร้อย
 
ภาวะหุ้นเฟซบุ๊กที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังการประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ทำให้ซีอีโอเฟซบุ๊กมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น 6 พันล้านเหรียญสหรัฐในวันเดียว (ราว 2.1 แสนล้านบาท) โดยมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก มีมูลค่าทรัพย์สินรวมมากกว่า 4.75 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท แซงหน้าพี่น้องชาร์ลส์ และเดวิด โคช (Charles and David Koch) ซีอีโอแห่งอาณาจักร Koch Industries ผู้นำด้านเคมีภัณฑ์ และอุตสาหกรรมน้ำมันที่มีมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 4.59 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามข้อมูลของดัชนี Bloomberg Billionaires Index
 
ภาวะหุ้นพุ่งของเฟซบุ๊กนี้ เกิดขึ้นหลังจากการประกาศยอดรายรับเพิ่มขึ้น 52% แตะระดับ 5.84 พันล้านเหรียญสหรัฐ บนกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว นอกจากนี้ ยังมีสถิติที่ระบุว่า ผู้ใช้มากกว่า 1.59 พันล้านคนเข้าสู่บริการเฟซบุ๊กทุกเดือน ทั้งหมดเอื้ออำนวยให้ มาร์ก มีทรัพย์สินเหนือกว่าพี่น้องตระกูลโคช ที่มีมูลค่าทรัพย์สินลดลงตามภาวะราคาน้ำมันตกต่ำ
 
สำหรับ 5 มหาเศรษฐีที่ร่ำรวยกว่า มาร์ก ส่วนใหญ่ยังอยู่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น บิล เกตส์ (Bill Gates) ที่นั่งแชมป์บุคคลผู้ร่ำรวยอันดับ 1 ของโลกหลายสมัย อมันซิโอ ออร์เตกา (Amancio Ortega) เจ้าของแบรนด์ ZARA วอร์เรน บัฟเฟ็ตต์ (Warren Buffett) นักลงทุนมืออาชีพ เจฟ เบโซส (Jeff Bezos) เจ้าของ Amazon และคาร์ลอส สลิม (Carlos Slim) วิศวกรชาวแม็กซิกัน
 
อีกสถิติที่น่าสนใจ คือ ซีอีโอเฟซบุ๊กเป็น 1 ใน 7 ของมหาเศรษฐีในกลุ่มท็อป 100 ที่มีทรัพย์สินงอกเงยในปีนี้ โดยส่วนใหญ่พบพิษเศรษฐกิจจนทำให้มูลค่าหุ้นกิจการที่ถือในมือมีมูลค่าลดน้อยลงไป
 
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดของเฟซบุ๊ก ล่าสุด ซีอีโอมาร์ก ยืนยันว่า เฟซบุ๊กจะเปิดทางเลือกให้ผู้ใช้สามารถกดแสดงความรู้สึกได้นอกเหนือจากปุ่ม Like เช่น ชอบ รัก ตกใจ โกรธ หรือเสียใจ โดยจะขยายบริการรีแอ็กชันส์ (Reactions) ซึ่งเฟซบุ๊กเปิดทดสอบมานานกว่า 2-3 เดือน ให้ผู้ใช้ในอเมริกาทุกคนสามารถร่วมแสดงความรู้สึกได้ในอีกไมกี่อาทิตย์ที่จะถึงนี้ ก่อนจะขยายพื้นที่ให้ผู้ใช้ทั่วโลกได้คลิกบ้าง
 
 

]]>
62352
มหาเศรษฐีนีทั่วโลกพุ่งแซงหน้าผู้ชาย เอเชียรวยกว่าสหรัฐฯ และยุโรปแล้ว https://positioningmag.com/62343 Thu, 28 Jan 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62343
PwC เผยจำนวนมหาเศรษฐีนีทั่วโลกเพิ่มขึ้นรวดเร็วแซงหน้าผู้ชายภายในช่วงเวลาเพียง 20 ปี เหตุผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในการบริหารธุรกิจครอบครัว บริษัทมหาชน และเป็นเจ้าของกิจการมากขึ้น ชี้สาวเอเชียสร้างฐานะ ดันตัวเองเป็นมหาเศรษฐีนีตั้งแต่อายุยังน้อย แถมสัดส่วนแซงหน้าสหรัฐฯ และยุโรป แย้มเคล็ดลับรักษาความมั่งคั่งให้ยั่งยืน ต้องติดตามเศรษฐกิจ ยืดหยุ่นต่อกฎระเบียบและภาษี วางแผนสืบทอดมรดก และสร้างธรรมาภิบาลในครอบครัว
 
ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท PwC ประเทศไทย ที่ปรึกษาธุรกิจระดับโลก เปิดเผยว่า ปัจจุบันมหาเศรษฐีที่รวยระดับหลายพันล้านส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากผู้หญิงหันมาเป็นเจ้าของกิจการและเข้ามามีบทบาทในระดับบริหารเทียบเท่ากับผู้ชายมากขึ้น
 
โดยพบว่า สัดส่วนผู้บริหารหญิงในบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ของโลกนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงกิจการครอบครัว (Family Business) ส่วนใหญ่ยังถูกบริหารงานโดยผู้หญิงด้วยเช่นกัน ขณะที่เศรษฐีนีเกิดใหม่จากการได้รับมรดกจากบรรพบุรุษก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
 
 
เศรษฐีนีรุ่นใหม่เอเชียรวยแซงหน้าอเมริกา-ยุโรป
 
สอดคล้องกับผลสำรวจ Billionaires Report: The changing faces of billionaires ซึ่งจัดทำโดย UBS Group AG และ PwC ฉบับล่าสุด ที่ระบุว่า อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีหญิงในโลกมีสัดส่วนที่สูงกว่าผู้ชาย โดยพบว่า จำนวนเศรษฐีผู้หญิงที่ทำการสำรวจเพิ่มขึ้น 6.6 เท่า ภายในระยะเวลา 20 ปีจาก 22 คนในปี 2538 เป็น 145 คนในปี 2557 ขณะที่จำนวนเศรษฐีผู้ชายเพิ่มขึ้นเพียง 5.2 เท่า
 
โดยจำนวนเศรษฐีนีรุ่นใหม่ชาวเอเชียเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่าภูมิภาคอื่น จากข้อมูลพบว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาอัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของมหาเศรษฐีหญิงเอเชียเพิ่มขึ้น 8.3 เท่า หรือจาก 3 คนในปี 2548 เป็น 25 คนในปี 2557 ขณะที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเพียง 1.7 เท่าและยุโรปเพิ่มขึ้นเพียง 2.7 เท่า
 
“ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันผู้หญิงเอเชียมีหัวก้าวหน้ากว่าในอดีต และต้องการที่จะมีกิจการเป็นของตนเอง ส่วนใหญ่คุณผู้หญิงเหล่านี้จะเป็นผู้ที่ไปศึกษาในต่างประเทศ และได้แนวคิดการทำธุรกิจและการบริหารเงินทุนมาปรับใช้ในการก่อร่างสร้างธุรกิจของตัวเอง บางคนก็นำมาต่อยอดธุรกิจครอบครัว จึงไม่น่าแปลกใจที่เรายังพบว่า เศรษฐีนีเอเชียกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้ประกอบการรุ่นแรกหรือ First-generation entrepreneurs ด้วยกันทั้งสิ้น”
 
 
เศรษฐีนีเอเชียรวยด้วยตัวเองเพิ่มสูงขึ้น
 
สัดส่วนของมหาเศรษฐีนีที่สร้างฐานะด้วยตนเอง (Self-made billionaires) ในเอเชียมีจำนวนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
 
หญิงสาวที่สร้างความมั่งคั่งด้วยตัวเองในภูมิภาคนี้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของเศรษฐีพันล้านทั่วโลก ถือเป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐฯ ที่ 19% และยุโรป 7%
 
โดยผู้หญิงเอเชียส่วนใหญ่ร่ำรวยจากการเข้ามาบริหารธุรกิจครอบครัว (Family Business) และอายุเฉลี่ยของมหาเศรษฐีนีเอเชียอยู่ที่ประมาณ 53 ปี น้อยกว่ามหาเศรษฐีนีเอเชียอเมริกาหรือยุโรปเกือบ 10 ปี (มหาเศรษฐีนีเอเชียอเมริกาอายุเฉลี่ย 59 ปี และยุโรปอายุเฉลี่ย 65 ปี)
 
 
เปิด 3 ธุรกิจสร้างความมั่งคั่ง
 
ผลสำรวจยังระบุว่า 3 กลุ่มธุรกิจที่สร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้หญิงเอเชีย ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) กลุ่มอุตสาหกรรม (Industrials) และสุขภาพ (Health)
 
ขณะที่มหาเศรษฐีนีที่รับสืบทอดกิจการมาจากรุ่นพ่อแม่นั้น 72% ยังดำเนินธุรกิจเดิมของครอบครัว แต่ 24% เริ่มขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ได้รับประโยชน์จากอัตราการเศรษฐกิจของเอเชียที่เติบโตเพิ่มขึ้น
 
 
มหาเศรษฐีรุ่นเก่าลดลง –หน้าใหม่มาแรง
 
อย่างไรก็ตาม PWC มองว่าหากพิจารณาภาพรวมของมหาเศรษฐีทั่วโลกจะพบว่า การรักษาความมั่งคั่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
 
จากข้อมูลพบว่า จำนวนมหาเศรษฐีรุ่นเก่าลดลงไปเกือบครึ่ง โดยปัจจุบันมีมหาเศรษฐีโลกรุ่นเก่าในยุคปี 2538 หลงเหลืออยู่เพียง 126 คน จาก 289 คน ที่ทำการสำรวจ
 
ส่วนหนึ่งเพราะเสียชีวิต และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากครอบครัวล้มละลายหรือธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ ในระยะเวลาเดียวกัน ก็พบว่ามีมหาเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่มขึ้น 1,221 คน ส่งผลให้ ณ ปี 2557 มีมหาเศรษฐีทั่วโลกรวมกันทั้งสิ้น 1,347 คน
 
 
มหาเศรษฐีรุ่นเก่า มั่งคั่งกว่า จีดีพีโลก
 
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมามหาเศรษฐีรุ่นเก่าสะสมความมั่งคั่งรวมราว 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 36 ล้านล้านบาท คิดเป็น 21% ของมูลค่าความมั่งคั่งของมหาเศรษฐกิจทั้งโลก
 
โดยความมั่งคั่งเฉลี่ยต่อคนเพิ่มขึ้นจาก 2,900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.04 แสนล้านบาทเมื่อปี 2538 เป็น 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.95 แสนล้านบาทในปี 2557 คิดเป็นอัตราการเติบโตประมาณ 3.8 เท่า ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตของจีดีพีโลกและดัชนี MSCI World Index ที่มีอัตราการเติบโตเพียง 2.5 เท่าเท่านั้น สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการทำธุรกิจของเหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลกที่ฝ่าฝันวิกฤตการเงินในตลาดทุนตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้
 
“มหาเศรษฐีจะรักษาความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นไว้ได้นั้น นอกจากดูแลทรัพย์ที่มีอยู่เดิมแล้ว ยังต้องหาวิธีสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินทรัพย์ด้วย อีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การวางแผนมรดกหรือถ่ายโอนความมั่งคั่งไปยังรุ่นต่อไป ซึ่งเราพบว่ามหาเศรษฐีทั่วโลกส่วนใหญ่จะมีลูกหลานมากกว่าสองคนขึ้นไป ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ความมั่งคั่งลดลงเมื่อลูกหลานโตขึ้น จึงต้องมีการนำกลยุทธ์ในการรักษาระดับความมั่งคั่งที่ชัดเจนมาใช้”
 
 
มหาเศรษฐีหน้าใหม่ไทยรวยเพิ่ม
 
สำหรับประเทศไทยนั้น นายศิระกล่าวว่าในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา มีจำนวนมหาเศรษฐีหน้าใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน เนื่องจากคนรุ่นใหม่หันมาประกอบธุรกิจส่วนตัว และลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนมหาเศรษฐีนีของไทยก็เติบโตมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทายาทหญิงที่ได้รับมรดกจากรุ่นพ่อแม่ ขณะที่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเข้ามามีบทบาทในการเป็นผู้บริหารและเจ้าของธุรกิจมากขึ้นแต่ยังไม่สูงเท่าในต่างประเทศ
 
ทั้งนี้ ศิระ ให้ความเห็นว่า การรักษาความมั่งคั่งให้ยั่งยืนนั้น ไม่ว่ามหาเศรษฐีหรือผู้ประกอบการน้อยใหญ่จะต้องรู้จักปกป้องความมั่งคั่งของพวกเขาจากสถานการณ์ต่างๆ ทั้งความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของกฎระเบียบและภาษี รวมถึงการส่งต่อความมั่งคั่งให้รุ่นต่อไป โดยหมั่นติดตามความเคลื่อนไหวของภาวะเศรษฐกิจ มีความยืดหยุ่นในการตอบสนองกฎระเบียบข้อบังคับ มีการวางแผนภาษีที่ถูกต้อง และเตรียมความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ภายในครอบครัว นอกจากนี้ ยังต้องประกอบธุรกิจอย่างยั่งยืน ตอบแทนสังคม และสร้างธรรมาภิบาลให้เกิดแก่คนในครอบครัวและผู้เกี่ยวข้องอีกด้วย

]]>
62343