Pixar – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 11 Dec 2020 17:01:48 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘ดิสนีย์’ ประกาศอัดงบ 9 พันล้าน ปั้นคอนเทนต์ใหม่กว่า 100 เรื่อง โดย 80% จ่อลง ‘Disney+’ https://positioningmag.com/1310046 Fri, 11 Dec 2020 07:52:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1310046 เมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา ‘ดิสนีย์ (Disney)’ ได้ประกาศถึงทิศทางบริษัทว่าจะเน้นไปที่บริการ ‘สตรีมมิ่ง’ หลังจากที่แทบจะเป็นกลุ่มเดียวที่เติบโตท่ามกลางผลกระทบจาก COVID-19 และล่าสุดภายในงานนำเสนอ Investor Day ดิสนีย์ได้เปิดตัวไลน์อัพคอนเทนต์ใหม่ ๆ กว่า 100 เรื่อง ทั้งภาพยนตร์ ซีรีส์และรายการต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับ แฟรนไชส์ เช่น Star Wars, Marvel, FX และ National Geographic

ในปี 2019 ดิสนีย์มีรายได้จากโรงภาพยนตร์ทั่วโลกราว 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยดิสนีย์มีภาพยนตร์ 7 เรื่องที่ทำรายได้ทะลุ 1 พันล้านเหรียญในปีนั้น แต่จากการระบาดของ COVID-19 ทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่องของดิสนีย์ต้องเลื่อนฉายไปปีหน้า หรืออย่าง ‘มู่หลาน’ ก็ฉายพร้อมกับลงสตรีมมิ่ง ‘Disney+’ โดย Bob Chapek CEO ดิสนีย์ กล่าวย้ำว่า บริษัทจะเน้นที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง โดยประกาศเพิ่มการลงทุนในการผลิตคอนเทนต์และย้ำว่าจะทำกำไรได้ในปี 2024

สำหรับคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่จะสร้างส่วนใหญ่จะเป็นการสานต่อจักรวาลแฟรนไชส์สุดแกร่งอย่าง ‘Star Wars’ และ ‘Marvel’ โดยจะมีภาพยนตร์และซีรีส์รวมกันแฟรนไชส์ละประมาณ 10 เรื่อง/ปี นอกจากนี้จะมีภาพยนตร์ไลฟ์แอคชั่นของดิสนีย์อีก 15 เรื่อง แอนิเมชันดิสนีย์และซีรีส์ Pixar 15 เรื่อง

ปัจจุบัน Disney+ มีผู้ติดตาม 86.8 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 73 ล้านคนจากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา โดยในโลกของ Star Wars Disney + จะเพิ่มซีรีส์ใหม่สองเรื่องนอกจาก ‘The Mandalorian ซีซั่น 3’  ได้แก่ ‘The Rangers of the New Republic’ และ ‘Ahsoka’ นอกจากนี้ยังมีซีรีส์ชื่อ ‘Lando’

“กลยุทธ์ด้านเนื้อหาของ Disney นั้นเกี่ยวกับความสมดุลและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค จากโครงการประมาณ 100 โครงการที่ Disney วางแผนสร้างไว้ประมาณ 80% จะลงที่ Disney + โดยตรง”

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแผนการสร้างคอนเทนต์จำนวนมหาศาลนี้ บริษัทมีแผนจะใช้จ่ายระหว่าง 8-9 พันล้านดอลลาร์ในปี 2567 และดิสนีย์จำเป็นต้องเพิ่มผู้ใช้ให้ได้ 230-260 ล้านคนภายในปี 2024 นอกจากนี้ดิสนีย์มีแผนจะเพิ่มค่าบริการเป็น 7.99 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 1 ดอลลาร์

ในส่วนของบริการสตรีมมิ่งอื่น ๆ อย่าง ‘Hulu’ ปัจจุบันมีสมาชิก 38.8 ล้านคน ส่วน Hulu + Live TV มีสมาชิกที่จ่ายเงิน 4 ล้านคน ซึ่งบริษัทได้ขึ้นราคาของแพลตฟอร์มเป็น 65 ดอลลาร์ จาก 55 ดอลลาร์ โดยดิสนีย์คาดว่า Hulu จะมีสมาชิกระหว่าง 50-60 ล้านคนภายในปี 2024 โดยคาดการณ์ว่า Hulu จะทำกำไรได้ในปีงบประมาณ 2023 ส่วน ‘ESPN +’ ที่เป็นแพลตฟอร์มดูกีฬามีสมาชิก 11.5 ล้านคน โดยดิสนีย์กำลังจะก้าวเขาเข้าสู่การพนันกีฬาเพื่อพยายามเข้าถึงผู้ชมที่อายุน้อยกว่า

สำหรับภาพยนตร์ที่เลื่อนฉายจากปี 2020 ไปปี 2021 อย่าง ‘Black Widow’ และ ‘Jungle Cruise’ ยังคงวางแผนที่จะฉายให้ได้ตามกำหนด ส่วนแอนิเมชัน ‘Raya and the Last Dragon’ จะฉายโรงและลงสตรีมมิ่งพร้อมกัน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ภาพยนตร์ทุกเรื่องจะฉายโรงและลงสตรีมมิ่งพร้อมกันหมด

Source

]]>
1310046
มองอนาคตต่อไปของ ‘ดิสนีย์’ หลัง ‘ทรัพย์สิน’ กลายเป็น ‘หนี้สิน’ เพราะ ‘COVID-19’ https://positioningmag.com/1277233 Thu, 07 May 2020 08:34:41 +0000 https://positioningmag.com/?p=1277233 ดูเหมือนว่าไม่มีบริษัทสื่อใดที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการ social distancing มากไปกว่า ดิสนีย์ (Disney) อีกแล้ว เพราะสวนสนุกที่คับคั่งไปด้วยผู้คน โรงภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยแฟน ๆ Marvel, Star Wars และบรรดาเจ้าหญิงดิสนีย์ที่โด่งดัง โรงแรมที่คึกคัก เรือสำราญและร้านค้าปลีก แหล่งทำเงินทั้งหมดของดิสนีย์ที่กล่าวมาทั้งหมดต้องปิดลงเพราะผลกระทบจาก COVID-19

(photo: Disney World)

ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ดิสนีย์ได้สร้างอาณาจักรที่แผ่ขยายออกไปและกลายเป็นศูนย์กลางที่มีผู้คนจำนวนมากในพื้นที่ ขณะที่ปี 2019 ถือเป็นหนึ่งปีที่ดีที่สุดของดิสนีย์ ทั้งการประสบความสำเร็จของภาพยนตร์ ‘Avengers: Endgame’ การเปิดตัวโซน ‘Star Wars’ ใหม่ในสวนสนุก แต่จากการระบาดใหญ่ในปี 2020 ทำให้ดิสนีย์ต้องสะดุด ผู้บริหารระดับสูงอย่าง Bob Iger ประธานกรรมการ และ Bob Chapek CEO คนใหม่ กำลังเผชิญกับความท้าทายในการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจและสุขภาพ แต่ในขณะที่พวกเขาจัดการกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทันทีคำถามระยะยาวสะท้อนให้เห็นว่าสินทรัพย์ของดิสนีย์ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นหนี้สินอย่างกะทันหันเนื่องจากไวรัสไปเสียแล้ว

อ่าน >>> สู้ไม่ไหว! Disney World เตรียม “พักงาน” พนักงาน 43,000 คน หลังต้องปิดยาวไม่มีกำหนด

เพราะโรคระบาดได้ส่งผลกับดิสนีย์อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวนสนุกและรีสอร์ตที่ปิดตัวไปทั่วโลก, ภาพยนตร์ที่สำคัญอย่าง ‘มู่หลาน’ และ ‘Black Widow’ ก็เลื่อนฉาย ขณะที่ช่องกีฬาอย่าง ‘ESPN’ หนึ่งในเครือข่ายสื่อที่ใหญ่ที่ดิสนีย์ถือหุ้นถึง 80% ก็กำลังดิ้นรนเพื่อเติมเต็มเวลาออกอากาศเนื่องจากกีฬาไม่สามารถแข่งขันได้ ขณะที่ดิสนีย์เองมีพนักงานหลายพันคน ส่งผลให้ Standard & Poors ไปปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท ซึ่งทำให้หุ้นลดลง 27%

โดยผลประกอบการในไตรมาสสองของปี ดิสนีย์ทำรายได้ 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 21% แต่กำไรเลดลง -91% เนื่องจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นถึง 44% เมื่อแยกเป็นรายธุรกิจ จะเห็นว่ากำไรลดลงในหลายส่วน ได้แก่

  • ธุรกิจสวนสนุกและการขายสินค้ามีรายได้ลดลง -10% กำไรลดลง -58%
  • ธุรกิจเครือข่ายมีเดีย เช่น Disney Chanel, ESPN รายได้เติบโต 28% กำไรเติบโต 7%
  • ธุรกิจสตูดิโอภาพยนตร์เติบโต 18% กำไรลดลง -8%
  • ส่วนธุรกิจสตรีมมิ่งและเครือข่ายโทรทัศน์ในต่างประเทศ เช่น Disney +, ESPN+ เติบโต +260% แต่ขาดทุนจากต้นทุนการทำงาน 111%

“สิ่งที่ทุกคนกังวลคือเราไม่รู้ว่าเมื่อไรจะกลับมาเป็นปกติ เรายังไม่รู้ด้วยว่าพฤติกรรมจะเปลี่ยนไปในอนาคตหรือไม่ คนจะลังเลที่จะไปสวนสาธารณะหรือไม่ ผู้คนจะต้องการนั่งในโรงภาพยนตร์ถัดจากคนแปลกหน้าเพราะกลัวว่าจะติดไวรัสหรือไม่? นั่นคือสิ่งที่ตลาดโต้เถียง และด้วยธุรกิจที่ไม่สามารถดำเนินงานได้ ดิสนีย์กำลังจะพังทลายลงในปี 2563 จากกระแสเงินสดและผลกำไรที่หายไป” Michael Nathanson นักวิเคราะห์สื่อและหุ้นส่วนผู้ก่อตั้งที่ MoffettNathanson กล่าว

(Photo by Carl Court/Getty Images)

ในขณะที่ปี 2020 ดูเหมือนว่าจะเป็นหายนะสำหรับดิสนีย์ แต่ยังพอมี แสงสว่าง เพราะอย่างไรก็ตาม ดิสนีย์ยังคงเป็นดิสนีย์ ยังเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รักและมีแฟรนไชส์มากมายที่คู่แข่งหลายรายในอุตสาหกรรมยังต้องอิจฉา Matthew Ball อดีตผู้บริหารสตูดิโอ Amazon (AMZN) กล่าวว่า “บริษัทส่วนใหญ่ไม่มีทรัพย์สินทางปัญญา แต่ไม่ใช่ดิสนีย์ อีกทั้งดิสนีย์มักค้นหาวิธีสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในรูปแบบใหม่และผ่านผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทำให้ไม่มีใครเบื่อดิสนีย์ และก่อนหน้า COVID-19 ดิสนีย์ก็เป็นที่รักของผู้คน”

Suzanne Scott ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของ Moody College of Communication แห่ง University of Texas ได้กล่าวว่า “แฟนของ Disney มีความภักดีต่อแบรนด์อย่างไม่น่าเชื่อ และวิกฤตินี้ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรไป ผู้คนจะอยากสัมผัสกับกิจกรรมและประสบการณ์เมื่อปลอดภัยที่จะรวมตัวกันอีกครั้ง”

คอนเทนต์อันหลากหลายของ Disney

ด้าน Robert Niles บรรณาธิการของ ThemeParkInsider.com เชื่อว่าสวนสนุกและรีสอร์ตของดิสนีย์จะต้องเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแง่ของการเปิดใหม่ เพราะจากนี้ดิสนีย์ต้องวาง Position ตัวเองใหม่ ไม่ใช่แค่บริษัทบันเทิงหรือจุดหมายปลายทางสำหรับวันหยุด แต่ต้องเป็น แบรนด์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีและงบหลายพันล้านเพื่อไปให้ถึงจุดนั้น

“แฟน ๆ ของดิสนีย์หลายล้านคนกำลังนั่งอยู่ที่บ้านในขณะนี้ดู Disney + สวมใส่เสื้อผ้าแบรนด์ดิสนีย์ อ่านหนังสือของดิสนีย์ และฟังเพลงของดิสนีย์ แม้ว่าผู้คนจะต้องอยู่ห่างจากโรงละครและสวนสนุก แต่พวกเขาก็ไม่เคยห่างจากดิสนีย์ “

นอกจากนี้ ช่องทางวิดีโอสตรีมมิ่งอย่าง Disney+ ยังคงเติบโต โดยในเวลาเพียง 5 เดือนบริการ กลับมีสมาชิกที่ชำระเงินแล้วถึง 50 ล้านรายทั่วโลก จากที่เคยคาดว่าต้องใช้เวลาถึง 4 ปี แม้แต่ Reed Hastings ซีอีโอของ Netflix ก็กล่าวชื่นชมการเปิดตัว Disney +

Trip Miller นักลงทุนและหุ้นส่วนผู้จัดการของ Disney ที่ Hedge Fund พันธมิตร Gullane Capital เชื่อว่า Disney + มีความสำคัญต่อบริษัทในตอนนี้ และนั่นไม่ใช่เพียงเพราะเป็นอนาคตใหม่ของดิสนีย์ แต่เชื่อว่าแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งช่วยให้บริษัทอยู่ในความคิดและห้องนั่งเล่นของผู้บริโภค

“COVID-19 กระทบเกือบทุกองค์ประกอบของดิสนีย์ ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือบริการสตรีมมิ่งของ Hulu และ Disney + แต่ทั้ง 2 ส่วนยังไม่สามารถทำกำไรได้”

ด้วยคุณสมบัติด้านสินทรัพย์ทางปัญญาและความภักดีของผู้บริโภค น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดิสนีย์สามารถฟื้นตัวได้ แต่ไม่มีใครรู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการกู้คืนความเสียหายทางการเงิน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา ตอนนี้ดิสนีย์กำลังมุ่งหน้าไปสู่อนาคตที่ไม่รู้จัก ซึ่งเวทย์มนต์ของดิสนีย์ที่มีคงยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ในขณะนี้

Source

]]>
1277233
Disney-Pixar ปั้นตัวละคร LGBTQ ตัวแรกใน “Onward” แต่ทำไมคนถึงไม่ปลื้มกัน? https://positioningmag.com/1265991 Wed, 26 Feb 2020 15:44:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265991 อ่านเกมล่าสุดของ Disney เพื่อเปิดตลาดเพศทางเลือก หรือ LGBTQ โดยในภาพยนตร์เรื่องใหม่ “Onward” ที่มีคิวเข้าฉายในโรงภาพยนตร์วันที่ 6 มีนาคม 63 จะมีตัวละครเลสเบี้ยนที่เล่าถึงแฟนสาวปรากฏในบางฉาก กลายเป็นตัวละคร LGBTQ ในการ์ตูนแอนิเมชันรายแรกในจักรวาล Disney-Pixar

ประเด็นคือชาวโซเชียลไม่ปลื้มกับก้าวใหม่นี้ของ Disney บางรายบอกว่า Disney จัดบทเลสเบี้ยนให้ตัวประกอบที่มีบทเพียงฉากเดียว ยังมีกระแสมองว่า Disney พร้อมจะตัดฉากนี้ออกเพื่อให้ฉายได้ราบรื่นในบางประเทศ ขณะที่บางรายมองการออกแบบให้ตัวละครมองคล้ายกับยูนิคอร์นตาเดียวหรือ cyclop-unicorn ว่าหมายถึงภาพการเป็นตัวประหลาดที่คนทั่วไปมองมาที่เลสเบี้ยน

ด้าน Disney นั้นยังไม่ออกมาให้ความเห็นเพิ่มเติมกับกระแสลบที่เกิดขึ้น โดยยืนยันเพียงว่าการแจ้งเกิดตัวละคร LGBTQ ตัวแรกนั้นเป็นไปเพื่อสะท้อนสังคมยุคใหม่แบบตรงไปตรงมา และการเพิ่มตัวละคร LGBTQ เป็นการเปิดโลกที่กว้างขึ้นเล็กน้อย เรียกว่าไม่ได้หวังจะเปิดตลาดใหม่หรือเอาใจใครเป็นพิเศษ

หน้าแปลกแถมบทน้อย

กระแสลบที่ Disney กำลังเผชิญมาจากการเปิดเผยตัวละครแอนิเมชันแรกที่เป็นคนรักเพศเดียวกัน หรือ LGBTQ ซึ่งจะปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง Onward ภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าถึง 2 พี่น้องเอลฟ์ซึ่ง Chris Pratt และ Tom Holland เป็นผู้ให้เสียง ขณะเดียวกันก็มีตัวละครที่ดูแปลกกว่าใครในกลุ่มชื่อเจ้าหน้าที่สเปกเตอร์ หรือ Officer Specter ตำรวจยูนิคอร์นตาเดียวที่นักแสดงคนเก่ง Lena Waithe เป็นผู้ให้เสียงพากย์

Dan Scanlon ผู้กำกับภาพยนตร์ Onward ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Yahoo Entertainment ว่าการแนะนำตัวละคร LGBTQ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวแทนของโลกสมัยใหม่ อย่างไรก็ตาม ตัวละครนี้ถูกวิจารณ์ว่าไม่มีความสำคัญกับภาพยนตร์ เห็นได้ชัดจากที่ Officer Specter แทบจะไม่ได้ถูกโชว์ตัวในตัวอย่างภาพยนตร์แบบเป็นทางการ หรือ official trailer เลย

แถมบทสำหรับแสดงความเป็น LGBTQ ของ Officer Specter มีเพียงคำพูดลอยลมว่าเธอมีแฟนสาว โดยที่แฟนสาวของเจ้าหน้าที่ Specter ไม่มีโอกาสได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์

ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนหนึ่งรู้สึกว่าบทของ Specter นั้นเล็กเกินไป โดยเฉพาะประเด็นรูปลักษณ์ abnormal ของตัวละคร Specter ซึ่งหลายคนเชื่อว่าความเป็นยูนิคอร์นตาเดียวนั้นได้รับแรงบันดาลใจจากภาพการเป็นเลสเบี้ยนที่สังคมยังไม่ยอมรับ

 

ลุ้นว่าถูกตัดทิ้งไหม?

ดราม่ารอบนี้ของ Disney สะท้อนความเห็นในตลาดความบันเทิง LGBTQ เห็นได้ชัดจากการที่ผู้ใช้ Twitter บางรายตั้งข้อสงสัยว่า Officer Specter จะมีบทบาทหลักหรือว่าเป็นแค่ตัวละครที่สามารถตัดทิ้งได้แบบง่ายดาย ผู้ใช้รายนี้ยืนยันว่าโลกเราต้องการตัวละคร LGBTQ มากขึ้นเพื่อสะท้อนความหลากหลาย และควรเป็นตัวละครที่จะไม่ถูกตัดทิ้งเมื่อถูกนำไปฉายในต่างประเทศ

Disney ยังถูกเหน็บแนมว่า Disney ไม่คิดแตะต้องตัวละครทำเงินอย่างเจ้าหญิงน้ำแข็งผมบลอนด์แต่โยนบท LGBTQ ให้กับตัวประกอบในภาพยนตร์ใหม่ซึ่งไม่มีอะไรต้องเสี่ยง อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นความเคลื่อนไหวกลุ่มแรกที่ Disney เริ่มถ่ายทอดความสัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันในแอนิเมชัน เพราะก่อนหน้านี้ Disney เริ่มแล้วในรายการโชว์สำหรับเด็กปี 2014 ชื่อ “Good Luck Charlie”

สิ่งที่น่าจับตานับจากนี้คือเทรนด์ LGBTQ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งนอกจาก Disney ยังมี Sony ที่มีรายงานว่าเริ่มวางแผนสร้าง Spider-Man เวอร์ชัน LGBTQ ในอนาคต และอีกหลายตัวละครในจักรวาล Marvel ที่จะเป็นตัวแทนของผู้คนหลากหลายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ไม่แน่ ทั้งหมดนี้เป็นผลจากความเคลื่อนไหวขององค์กรสิทธิเกย์ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยองค์กรสนับสนุนเกย์และเลสเบี้ยนเพื่อต่อต้านการหมิ่นประมาท Gay and Lesbian Alliance Against Defamation ได้เริ่มผลักดันให้ 20% ของตัวละครในรายการโทรทัศน์ทั้งหมด กลายเป็น LGBT ในปี 2025.

]]>
1265991