Politician – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 10 May 2011 00:00:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 "โอบามา" คิกออฟออนไลน์หาเงินเลือกตั้ง https://positioningmag.com/13740 Tue, 10 May 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13740

ขณะที่บ้านเราพรรคการเมืองกำลังระดมดาวเด่น เซเลบริตี้ ดารา นักกีฬา มาลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ที่ใกล้เข้ามาทุกที ส่วนพรรคก็เร่งแต่งตัวสร้างสีสันให้สะดุดตามากที่สุด แข่งกันออกสื่อ เพราะแข่งเที่ยวนี้รุนแรงด้วยเขตเดียวเบอร์เดียว ในฟากสหรัฐอเมริกา แม้การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปี 2012 แต่การแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว ด้วยปฏิบัติการฟังเสียงชาวบ้าน เพื่อเสนอนโยบายและสร้างการมีส่วนร่วมรวมไปถึงการช่วยระดมทุน

1 พันล้านเหรียญสหรัฐ คือตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดว่าทีมงานหาเสียงของ “บารัค โอบามา” ประธานธิบดีสหรัฐฯ จะได้ในการรณรงค์หาเงินบริจาคผ่านแคมเปญที่ชื่อว่า It begins with us เพื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2012 ซึ่งเป็นเงินที่มากกว่าในปี 2009 ได้รับบริจาคมา 750 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่ “โอบามา” ชนะด้วยแคมเปญ Change

ตามถนัดของทีมงาน “โอบามา” ในการใช้สื่อออนไลน์ เผยแพร่แคมเปญผ่านคลิป 2.10 นาทีผ่านเว็บไซต์ และ YouTube ซึ่ง “โอบามา” บอกอย่างชัดเจนว่าการเมืองไม่จำเป็นต้องเริ่มด้วยสื่อแพงๆ อย่างโฆษณาในทีวี หรือสื่อที่แพงมากๆ แต่สามารถทำได้โดยการคุยกับเพื่อนบ้าน กับเพื่อนร่วมงานกับเพื่อนๆ บ้านถึงบ้าน ตรอกซอกซอย

]]>
13740
ปัจจัยลบ-เหตุเร้าถาโถม ใกล้อวสาน รบ.ประชาธิปัตย์ ถึงเวลา “มาร์ค” ยุบสภา? https://positioningmag.com/13480 Tue, 01 Mar 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13480

ความตั้งใจเดิมที่จะลากยาวรัฐบาลไปให้ได้มากที่สุด แต่วันนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็อาจต้องร่นเวลาในการอยู่ในอำนาจ โดยยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนก่อนครบเทอมสภาฯ ปลายปี

เพราะได้เอ่ยปาก กำหนดดีเดย์เดือนเมษายนนี้จะเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง โดยอ้างเหตุผล 3 ข้อที่เคยพูดเอาไว้หลายครั้ง ทั้งเรื่องกฎกติกาการเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญ สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ รวมทั้งความแตกแยกขัดแย้งในบ้านเมืองจนสู่ภาวะปกติ

3 เงื่อนไขข้างต้น “อภิสิทธิ์” อาจอ้างได้ว่า “หมดห่วง” ปัญหาต่างๆ ได้รับการแก้ไขไปได้พอสมควร

กระนั้นก็ดี อีกทางหนึ่งการส่งสัญญาณเปลี่ยนแปลงทางการเมืองข้างต้น ก็มีการมองกันว่า “อภิสิทธิ์” น่าจะรีบฉากตัวจากการเดินเข้า “มุมอับ”

เมื่อ “กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” กรรโชกและผันผวน!

เพราะเมื่อประเมินสถานการณ์แล้ว ถึงแม้จะสามารถกระชับอำนาจเข้ามาอยู่ในมือได้ระดับหนึ่ง หลังผ่านสารพัดวิกฤตมาได้ แต่ขณะเดียวกัน หลังผ่านพ้นปีใหม่ได้ไม่นาน

ปัญหาต่างๆ ตามเงื่อนไข 3 ข้อได้กระแทกเข้าใส่รัฐบาลในเวลาใกล้เคียงและเกือบพร้อมเพรียง สุ่มเสี่ยงที่นายกฯ จะ “รับมือ” และอาจทำให้รัฐบาล “พัง” จนยากที่กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง

จนแผนเบิ้ลเก้าอี้นายกฯ รอบสองอาจสะดุด!

เริ่มจากเงื่อนไขในสภาฯ เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถึงแม้การแก้ไขรูปแบบการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปได้ โดยกลับมาใช้เขตเลือกตั้งเล็กตามข้อเรียกร้องของพรรคร่วมรัฐบาล

และปรับรื้อเรื่องรูปแบบเลือกตั้ง เป็นไปตาม “สูตรปชป.” โดยจะเลือกตั้ง ส.ส.ระบบเขต 375 ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 เพิ่มความได้เปรียบในการเลือกตั้งให้พรรคประชาธิปัตย์

แต่กว่าจะลงตัวมาในสูตรที่ต้องการ ก็ขยายรอยร้าว ปชป.-พรรคร่วมรัฐบาลให้กว้างขึ้น

เพราะทั้งใช้การขู่ยุบสภา “คว่ำจานข้าว” หรือทำท่าจะโหวต “ล้มโต๊ะ” การแก้รัฐธรรมนูญ กลับมายืนสูตรเดิม ส.ส.เขตใหญ่ 400 ส.ส.ระบบสัดส่วน 80 ที่พรรคเล็กพรรคน้อยเสียเปรียบ

“หักดิบเพื่อน”

เอฟเฟกต์ที่ตามมาคือเสถียรภาพรัฐบาลผสมที่จะง่อนแง่นเต็มที การเล่นเกม วางหมาก เจาะยาง ขัดแข้งขัดขาเพื่อสางแค้น “เอาคืน” จะยิ่งมากขึ้น และไม่เป็นผลดีทั้งเวลาและการเอาใจใส่ในการบริหารประเทศ

รวมทั้งอาจต้อง “ไร้พวกเพื่อน” ในการช่วงชิงจัดตั้งรัฐบาล

เห็นได้จาก หลังงัดข้อกับพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้เริ่มแสดงท่าทีเดินเกมสอดรับกับพรรคฝ่ายค้าน-เพื่อไทย ด้วยเพราะบรรดาคีย์แมนพรรคต่างๆ เข็ดเขี้ยว “เด็กดื้อ”

แม้จะต้องยืดอายุรัฐบาลไปตามเป้าหมายอย่างน้อยก็ภายหลัง 8 มีนาคม ที่จะมีการระดมทุนพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ต้องเสี่ยงกับการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ นายกฯ จะไม่มีอำนาจยุบสภา ผู้นำโดน “ยึดดาบ”

แต่หากผ่านพ้นจากศึกซักฟอก ภาพลักษณ์รัฐบาลคงบอบช้ำบ้างไม่มากก็น้อย ฉะนั้นเพื่อไม่ให้ช้ำไปกว่าที่เป็น และร้าวลึกกับเพื่อนมากไปกว่าที่เห็น ประมุข ปชป.คงเลือกตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า

มากกว่าจะเดินเป็น “ซากศพ” ในสนามเลือกตั้ง!

ขณะที่เงื่อนไขเรื่องเศรษฐกิจ ถึงแม้รัฐบาลจะยัง “เอาอยู่มือ” ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆกระเตื้องขึ้นนับตั้งแต่เข้ามาเป็นรัฐบาลในช่วงวิกฤต

แต่หลังจากเริ่มต้นปีเป็นต้นมา จะเห็นภาวการณ์ต่างๆ ผันผวนไปหมดทุกเรื่อง ทั้งราคาน้ำมันที่ส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ตลาดหุ้นแปรปรวน ปัจจัยลบเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น

ที่สำคัญ เรื่องผลกระทบต่อ “ปากท้อง” ชาวบ้าน ย่อมสั่นสะเทือนต่อคะแนนนิยมรัฐบาล

มิหนำซ้ำเรื่องทุจริคคอรัปชั่น ที่เป็นภาพลักษณ์ด้านลบของรัฐบาลก็ยังไม่ได้รับการสะสางแก้ไข และยิ่งช่วงท้ายเทอมรัฐบาล ย่อมเป็นเวลา “นาทีทอง” ของการ “กักตุนเสบียง”

ปมฉาวเรื่องโฉ่กรณีการ “โกง” ในโปรเจกต์โครงการต่างๆ ย่อมทยอยออกมา รัฐบาล “อภิสิทธิ์” จะยิ่งมอมแมม เปรอะเปื้อนไปยิ่งกว่านี้!

แต่ที่เป็นปัจจัยเร้าที่ทำให้ “อภิสิทธิ์” อาจต้องตัดสินใจสละเรือโดยเร็ว ว่าด้วยเรื่องเงื่อนไขของปัญหาความขัดแย้งแตกแยกของผู้คนในสังคม

แม้เรื่องการใช้ความรุนแรงจะดีขึ้น เสียงระเบิดลดน้อยลงไป รัฐมนตรี ส.ส.รัฐบาลพอจะก้าวเท้าเข้าสู่พื้นที่ฐานเสียงของคนเสื้อแดงได้ในระดับหนึ่ง อย่างที่นายกฯ ประเมินก็จริง

แต่กับเรื่อง ปม “สีเสื้อ” ที่ลดความรุนแรงในการห้ำหั่นกัน แต่อีกด้านหนึ่ง ทุกสีเสื้อหันเป้ามาที่ “อภิสิทธิ์” และรัฐบาลโดยพร้อมเพรียง!

ทั้งเจ้าประจำอย่าง “ม็อบเสื้อแดง” ที่ผูกขาดความอาฆาตนายกฯ แน่นอนอยู่แล้ว หลังจากลดดีกรีความร้อนแรงลงไปหลังการเผาบ้านเผาเมืองเมื่อเหตุการณ์พฤษภานรกฯปี 2553

“คนเสื้อแดงฟื้นแล้ว”

จากการนัดชุมนุมในระยะหลัง จำนวนคนได้เพิ่มปริมาณมากขึ้นจนถึงขั้นครึ่งแสน และคาดว่าจะพีกสุดอีกครั้ง “รีเทิร์นแดงเดือด” ช่วงระลึกเหตุการณ์เมษาฯ-พฤษภาฯ 53 ของกลุ่ม นปช.

ถ้าปล่อยถึงตอนนั้น ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีแผนการเคลื่อนไหว เกมการโค่นล้มอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ไม่มีอะไรการันตีได้ว่า “อภิสิทธิ์” จะโชคดี และผ่านพ้นไปได้เช่นปี 2553 ทั้งที่มีคนตายคนเจ็บเป็นเบือ

ไม่เท่านั้น สถานการณ์ จะยิ่งสุกงอมเข้าไปใหญ่ จากความเป็นไปในเวลานี้ ในส่วนของกลุ่มคนพันธมิตรฯ และเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ ร่วมวงก่อม็อบต่อต้านรัฐบาลในการดำเนินนโยบายกรณีพิพาทตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา

จำนวนคนตั้งต้นอาจจะไม่มาก แต่กระแสแนวร่วมเริ่มจุดติด ไม่เฉพาะการผลิตซ้ำเรื่องวาทะกรรม ขายชาติ-เสียแผ่นดิน ที่คนทั่วไปเริ่มรับรู้

โดยเฉพาะจากกรณีคนไทยถูกจับกุมขังคุกเขมร โดยรัฐบาลเหมือนจะไม่ “เต็มแรง” ในการช่วยเหลือ หนำซ้ำยังปวกเปียกอ่อนนิ่มกับเกมการเมืองระหว่างประเทศ ทั้งกองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรี แสดงความอ่อนแอให้เห็น

เป็นแรงดึงดูดให้ผู้คนเข้าร่วมม็อบเพิ่มขึ้น!

แถมเรื่อง “เหลือง” บวก “แดง” กวักมือเรียก “สีเขียว” กองทัพ ให้ออกมา “ปฏิวัติ” เปลี่ยนแปล
งอำนาจบริหารประเทศของรัฐบาล

ถึงจะเป็นได้ยาก ในเรื่องอุดมการณ์การเคลื่อนไหวของคนสีเสื้อ ที่เหมือนน้ำกับน้ำมันยากจะเข้ากัน แต่เมื่อมี “ศัตรูร่วม” ก็ใช่จะเกิดขึ้นไม่ได้

เช่นเดียวกับกระแสปฏิวัติรัฐประหาร ที่เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นเกมสลับซับซ้อน และอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจุดประสงค์ เพื่อสกัดกั้นการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นและสุ่มเสี่ยงขั้วอำนาจเดิมจะคัมแบ็ก

โดยต้องมีการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลที่อ่อนแอ ตั้งรัฐบาลชั่วคราวเพื่อ “จัดระเบียบประเทศ” อีกครั้ง อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

หรือแม้แต่การยั่วให้กระทำการยึดอำนาจโดย “อำนาจนอกระบบ” เพื่อให้บ้านเมืองปั่นป่วนวุ่นวาย

วัตถุประสงค์ต่าง แต่มีเป้าหมายร่วมคือ “โค่นรัฐบาลประชาธิปัตย์”

เกมนอกระบบ ที่ “อภิสิทธิ์” ต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม และดีที่สุดคือการดึงการเมืองให้กลับมาเดินอยู่ในระบบด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชน

ยุบสภาเลือกตั้งเร็ว!!

]]>
13480
อภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. บกพร่องโดยสุจริต หรือตั้งใจผิดพลาด https://positioningmag.com/13327 Tue, 14 Dec 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13327

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ “ยกคำร้อง” คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง29ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ นอกจากเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายที่ฝ่ายถูกกล่าวหา “ชนะฟาวล์” ทางเทคนิค

ด้วยความผิดพลาดใน “กระบวนการขั้นตอน” ที่มิชอบตามกฎหมาย และบกพร่องในการปฏิบัติตามเงื่อนเวลาที่กฎหมายกำหนด จน “คดีหมดอายุความ”

คำวินิจฉัยที่ออกมายังสร้างแรงสั่นสะเทือนตามมาเป็นต่อฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะที่เป็น“เอฟเฟกต์” ที่ส่งไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้งในฐานะผู้ร้องคดี

กกต.ที่ถือว่าเป็น “ต้นทาง” ที่ทำให้มีคำวินิจฉัยที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์รอดพ้นจากชนัก ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในรัฐบาล

โดยเฉพาะอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ไม่อาจลบเลี่ยงสะเก็ดระเบิดที่ถาโถมใส่เต็มๆเพราะจากเนื้อหาคำวินิจกลางของศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุเหตุผลที่ต้องยกคำร้องก็ด้วยเพราะประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการ กระทำผิดขั้นตอนและกระบวนการยื่นเรื่องตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง

ทั้งเรื่องการไม่มีความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองประกอบคำร้อง ที่นำไปสู่ความผิดพลาดในเรื่อง “อายุความ” ที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด15วัน จึงไม่แปลกที่แรงสั่นสะเทือนทั้งหมดจะถาโถมมาสู่ประธาน กกต. ทั้งโดยตรงจากคำวินิจฉัยของที่ชี้ความผิดพลาดของ กกต. หรือทั้งจากฝ่ายผู้ถูกร้อง

ฝ่ายถูกกล่าวหาอย่างประชาธิปัตย์เอ่ยอ้างได้ว่าพ้นผิด ก็เพราะ “กกต.พลาด” ไม่เท่านั้น พรรคการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง ที่หลังคำวินิจฉัยออกมา ก็เหมือนลูกเข้าเท้าพอดี เพราะชูธงเรื่อง “สองมาตรฐาน” ไว้ล่วงหน้าแล้ว

แม้แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ การวิเคราะห์จากนักวิชาการ นักกฎหมายบางส่วน เสียงสะท้อนที่กลายเป็นระเบิดลูกใหญ่ไปที่ประธาน กกต. นอกจากกังขาในเรื่องกระแสสังคมที่กังขาในเรื่องคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมองว่าเป็นการตัดตอน เลือกที่จะวินิจฉัยเรื่องขั้นตอนการปฏิบัติ แต่ไม่พิจารณาเรื่องเนื้อหาสาระในประเด็นการใช้จ่ายเงิน29ล้านบาท เป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่

นายอภิชาต และ กกต. ยังโดนถล่มจากคนเสื้อแดง แบบ “เฉลี่ยเป้าโจมตี” จากศาลรัฐธรรมนูญมาที่ กกต.ในครั้งนี้ ถึงขั้นที่มีการทวงถามความรับผิดชอบ

จี้ กกต.ให้ลาออก!

โดยเฉพาะนายอภิชาต ที่แม้แต่ กกต.ด้วยกันเองแม้บางส่วนจะยังมีท่าทีปกป้อง แต่หลังฉากก็มีการแสดงความไม่พอใจ ในความบกพร่องในการทำหน้าที่ ทำให้ต้องรับเรื่องร้อนไปด้วย รวมทั้งเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของตัวเอง
มีการส่งซิกเป็นรายงานข่าวในท่วงทำนอง “ตะเพิดประธาน กกต.”

โยนเผือกร้อนไม่ให้ถึงตัวกันเป็นแถว!

อย่างไรก็ดี ถ้าย้อนเส้นทางคดียุบพรรคการเมือง อีกคดีประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ก็ทำให้เห็นว่าเกิดความผิดพลาดบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของนายอภิชาตจริงๆ

โดยเฉพาะเมื่อคำร้องให้ยุบ ปชป.กรณีใช้เงิน29ล้านบาท ถูกยื่นจากดีเอสไอและส.ส.พรรคเพื่อไทย มาถึงนายทะเบียนพรรคการเมือง คือนายอภิชาตในหมวกอีกใบ

โดยหลังจากตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนขึ้นมาพิจารณาคำร้อง นายอภิชาตได้ทำความเห็นส่วนตัวในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ให้ “ยกคำร้อง” ทั้งในคดี 29ล้านบาท รวมถึงคดีรับเงินบริจาค258ล้านบาทและที่จริงคดียุบพรรค ปชป.ในกรณีเงิน29ล้านบาท ก็น่าจะเป็นที่ยุติ ตามอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองตามกฎหมาย ที่ได้มีความเห็นเมื่อ17ธันวาคม2552

ถ้านายอภิชาตไม่นำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม กกต.อีก และหลังจากนั้นที่ประชุม กกต. ก็มีมติโยนเรื่องให้นายอภิชาตไปทำความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอกลับมาเป็นทางการอีกครั้ง แต่ที่ยุ่งเข้าไปใหญ่ นายอภิชาตกลับออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อปฏิบัติตาม พ.ร.บ.พรรคการเมืองอีกครั้ง โดยไม่น่าจะมีความเป็น

จนได้ผลสรุปเสนอต่อที่ประชุม กกต.วันที่12เม.ย. 2553และวันดังกล่าวคือวันที่มีการลงมติของ กกต.ทั้ง5คน ในช่วงที่คนเสื้อแดงที่กำลังก่อม็อบในช่วงเวลานั้น และบุกไปปิดล้อมสำนักงาน กกต.เพื่อกดดันในเรื่องคดียุบพรรค
และแปลกที่ผลการลงมติของ กกต.ออกมาเป็นเอกฉันท์ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งที่นายอภิชาตเคยมีความเห็นยกคำร้อง

กระนั้นก็ดี ที่นายอภิชาต “กลับลำ” จากความเห็นที่มาเดิม ยกคำร้องคดียุบพรรค มาเป็นลงมติให้ “ยุบพรรค” ในการประชุมช่วงเดือน เม.ย. 2553 เป็นการลงมติในฐานะประธานกกต.แต่ไม่ได้ใช้ดุลพินิจในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ก่อนเสนอเรื่องต่อศาล จึงถือเป็นการผิดขั้นตอนกระบวนการเช่นเดียวกับการมีมติที่ประชุม กกต.ในวันที่ 17ธ.ค.2553ที่ศาลรัฐธรรมนูญถือว่า เป็นวันต้องเริ่มนับเวลา ก่อนส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญภายใน15วัน ทั้งมูลเหตุจากความผิดพลาดเรื่องกระบวนการขั้นตอน และการเลยเงื่อนเวลายื่นคำร้องที่กฎหมายกำหนดดังกล่าว จึงนำไปสู่คำวินิจฉัยยกคำร้องของศาลรัฐธรรมนูญ และไม่พิจารณาประเด็นคำร้องที่เหลือ

จากรายละเอียดทั้งหมด นายอภิชาตจึงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้กับความผิดพลาดและข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ ยกคำร้อง คดียุบพรรค ปชป. ที่เหลือเชื่อและมีการพูดถึงกันว่า นายอภิชาตที่เป็นถึงอดีตผู้พิพากษาระดับสูง มีความรู้ความเชี่ยวชาญเรื่องหลักนิติศาสตร์หลักกฎหมาย จะเกิดการวินิจฉัยที่ผิดพลาดเช่นที่เกิดขึ้น

จะ “บกพร่องโดยสุจริตใจ” หรือ “เผอเรอเพราะตั้งใจ” ก็ยากแก่การพิสูจน์

รวมทั้งที่บอกได้ยาก แต่ก็มองได้เช่นกันว่า การปฏิบัติหน้าที่นายทะเบียนพรรคการเมืองกับคดีสำคัญที่เกี่ยวโยงกับพรรคการเมืองที่เก่าแก่เป็นประวัติศาสตร์ ต้องทำหน้าที่ท่ามกลางกระแสกดดัน จากสถานการณ์การเมืองที่ร้อนแรง เกิดความแตกแยก ความวุ่นวายในบ้านเมืองและคดียุบพรรคคืออีกประเด็นที่ถูกจับตาจากสังคม เป็นอีกเงื่อนปมข้อเรียกร้องของการชุมนุมของมวลชนเสื้อแดง และเป็นอีกปมชี้เป็นชี้ตายสถานการณ์โดยรวม จะเป็นสาเหตุให้การทำหน้าที่ของนายอภิชาตไม่รอบคอบ ไร้หลักยึด จนเหมือนเร่งรีบร้อนรน เลิ่กลั่ก รวมทั้งออกอาการยึกยัก พลิกกลับไปกลับมา

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะกระแสกดดันจากม็อบเสื้อแดง!

สิ่งสำคัญคือ เมื่ออาสาเข้ามาทำหน้าที่ ปฏิบัติภารกิจสำคัญ ในองค์กรอิสระหน่วยงานสำคัญของบ้านเมือง หากไร้หลักยึด ไหลไปตามกระแส โอนเอนไปตามแรงกดดันภายนอก

หวั่นไหว หวาดกลัว จนไร้มาตรฐาน!

เมื่อมีความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่มีความผิดพลาดในกระบวนการและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย จนส่งผลกระทบต่อองค์กรโดยรวมเช่นนี้ แม้นายอภิชาตจะยกเหตุผลหาข้ออ้างอื่นใดมาอธิบายความก็คงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้!

]]>
13327
คดียุบพรรค-คลิปฉาวศาล รธน. วิกฤตการณ์กระบวนการยุติธรรม https://positioningmag.com/13264 Tue, 09 Nov 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13264

ทำไปทำมา คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ คดีประวัติศาสตร์ที่จะไม่ใช่เพียงสิ่งที่ทุกคนจับจ้องรอดูว่าจะเป็น “จุดเปลี่ยนการเมืองไทย” ภายหลังการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพียงเท่านั้น

จากกรณี “คลิปฉาว” ที่เกี่ยวโยงกับศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นผลกระทบเกี่ยวเนื่องมาจากคดียุบพรรค ได้สั่นคลอนความน่าเชื่อถือจนกลายเป็น “วิกฤตศาลรัฐธรรมนูญ”

และอาจเป็น “จุดพลิกผัน” ส่งผลต่อความเป็นไปของบ้านเมืองในภาพรวม!

จากคดีที่พรรคการเมืองอย่างประชาธิปัตย์ถูกข้อกล่าวหา ใช้เงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมือง29ล้านบาทไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ที่ กกต. เป็นผู้ร้อง

และพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกกล่าวหาได้ตั้งคณะทำงานกฎหมายเพื่อต่อสู้คดีในประเด็นต่างๆอย่าละเอียด มีข้อแก้ต่างรองรับไว้ในทุกประเด็น

แม้แต่ในทางร้ายที่สุด กรณีหากมีการยุบพรรคเกิดขึ้นจริง ก็ต้องหาทางต่อสู้ในเรื่องคดี เพื่อให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันรอดพ้น ไม่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม จนเวลาเดินมาถึงห้วงรอแถลงปิดคดี ลุ้นคำวินิจฉัยพิพากษา การประเมินผลล่วงหน้ายังออกมาในทางไม่ชัวร์

โดยเฉพาะเมื่อประเมินการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ที่มีแนวทางในการพิจารณาคดี ใช้ทั้ง “นิติศาสตร์” ควบคู่กับ “รัฐศาสตร์”

            ยุบ-ไม่ยุบ ยัง ห้าสิบ-ห้าสิบ!!

แต่ที่ทำให้มีเปอร์เซ็นต์ทางลบกับประชาธิปัตย์เพิ่มขึ้น ก็มาจากกรณีการเปิด “คลิปฉาวศาล รธน.”

แต่เมื่อประเมินแล้วจะมีผลกระทบกับคดีก็มีเพียง คลิป ส.ส.ประชาธิปัตย์ ในทีม

กฎหมายไปร่วมวงหารือกับ พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และทำให้เข้าใจว่ามีเรื่อง “วิ่งเต้น-ล็อบบี้” ในคดียุบพรรค

สร้างกระแสกดดันศาลรัฐธรรมนูญ ที่หากตัดสินในทางเป็นคุณกับ ปชป. ก็จะยิ่งเพิ่มน้ำหนักในการโหมโจมตีในประเด็น “สองมาตรฐาน”

นอกเหนือจากนั้น ก็ไม่ได้อะไรเป็นประเด็นน่าจะกระทบต่อศาล และ ปชป. ทั้งคลิปที่ติดกล้องแอบถ่ายการสนทนาของตุลาการในห้องประชุม

กระทั่งคลิป “ลักไก่” ที่ตั้งใจนำภาพถ่ายพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ร่วมหารือกับผู้พิพากษากลุ่มใหญ่ เพื่อให้คนดูเข้าใจว่ามีเรื่องของ “ใบสั่ง” ทั้งที่ภาพดังกล่าวเป็นคนละงานคนละเรื่อง

แต่ที่ชัดเจนคือ คลิปฉาวน่าจะมีการกระทำกันอย่างเป็นขบวนการ โดยเฉพาะตัวละครสำคัญ “พสิษฐ์” ที่วันนี้ชัดเจนในระดับหนึ่งแล้วว่าร่วมอยู่ด้วย

ทั้งการติดกล้องแอบถ่าย การวางแผน จัดฉาก ตลอดไปจนถึงพยายามซักไซ้-ถามนำ

เพื่อให้คู่สนทนา “ติดกับดัก” เข้าแผนที่วางไว้

โดยภายหลังมีการเปิดเผยถึงสายสัมพันธ์ของเลขาฯรายนี้ กับ ส.ส.เพื่อไทย และบุคคลในเครือข่ายอดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่แปรพักตร์ไปอยู่ฝั่งทักษิณ ชินวัตร

“พสิษฐ์” จึงถูกตั้งข้อสงสัย “รับงาน” มา “เผาศาล”

ทำให้หลังจากเปิดคลิปร้อนมาได้สักระยะ กระแสจึงเริ่มตีกลับเมื่อมีพูดถึงการเชื่อมโยงตรงนี้ และแผนการทำลายกระบวนการยุติธรรมของ “ทักษิณ” และพวก

            รวมทั้งเสียงเรียกร้องความรับผิดชอบจาก ชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่เป็นคนแต่งตั้งพสิษฐ์มาทำงาน จนกลายเป็น “ไส้ศึก” ในเกมปั่นป่วนทำลายล้างองค์กร

ไม่เท่านั้นยังมีข้อมูลสายสัมพันธ์ของ “ชัช” ที่เชื่อมโยงกับ “ทักษิณ” และเครือข่ายการเมือง

ฉะนั้นเพื่อไทยเล่นเกมนี้ก็เหมือน “ทำปืนลั่นใส่ตัวเอง” เช่นกัน

เพราะถึงแม้กรณีคลิปฉาวจะทำได้เข้าเป้า สร้างแรงกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการที่เป็นองค์คณะในคดียุบพรรค แต่ในทางกลับกัน ทำให้การพิจารณาคดียุบพรรค ปชป. ไม่ว่าจะตัดสินไปทางใดก็ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างแน่นอน

ตรงนี้อาจช่วยให้ตุลาการที่เป็นองค์คณะตัดสินใจได้ง่ายขึ้น!

อย่างไรก็ดี ระยะต่อมา ภายหลังจากกระแสคลิปชุดแรกซาลง และเริ่มเห็นทิศแนวทางการเดินหน้าต่อไปของศาลรัฐธรรมนูญ “คลิปร้อน” ชุดสองจึงถูกเปิดออกมา

เป็นคลิป3ตอน ที่แอบถ่ายทำและบันทึกเสียงการสนทนาของตุลาการบางราย กับผู้กำกับ เขียนบท และนักแสดงในคนๆเดียวอย่าง “พสิษฐ์” ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับการโจมตีของคนพรรคเพื่อไทย ที่จุดพลุนำร่องมาก่อน

ว่าด้วยปมร้อน ตุลาการบางรายอาศัยหน้าที่ตำแหน่ง ช่วยเหลือเด็กตัวเอง “โกงข้อสอบ”
เพื่อสอบเข้าเป็นพนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

ถึงแม้จะถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการ “จัดฉาก-วางแผน” แต่อีกทางหนึ่งก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า มีการยอมรับจากตุลาการบางท่านในเนื้อหาข้อคลิปเองว่ามีพฤติกรรมโดยมิชอบดังกล่าวจริง

            คลิปชุดนี้จึงเป็นคลื่นสึนามิที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อศาลรัฐธรรมนูญมหาศาล

เพราะเป็นที่รับรู้กันทั่วไปแล้วว่า ผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่ในการตัดสินคดีความ เพื่อดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในบ้านเมือง จะต้องไม่มีข้อคลางแคลงสงสัยใดๆในพฤติกรรม

ประจักษ์ชัดในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต!

คลิป “โกงข้อสอบ” ของตุลาการบางราย จึงกลายเป็นผลกระทบต่อศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังถูกจับจ้องจากสังคม ทั้งในเรื่องความเชื่อถือขององค์กร และการแสดงความรับผิดชอบจากตุลาการที่เกี่ยวข้อง

กระทั่งเริ่มมีการพูดถึงการปรับรื้อเปลี่ยนแปลงกันทั้งองค์กร ถึงขั้นที่มีผู้ออกมาเสนอให้ “ยุบศาล รธน.” ทิ้ง และเปลี่ยนไปเป็นแผนก อยู่ในศาลฎีกา หรือศาลปกครองแทน

แต่ที่ต้องติดตามต่อไปว่า กรณีคลิปร้อนที่เป็น “ไฟเผาศาล” ดังกล่าว จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อคดียุบพรรค ที่กำหนดวันแถลงปิดคดีไว้ 29พ.ย. นี้ และรอคำพิพากษาช่วงปลายปี

เพราะเมื่อองค์กรยุติธรรมกำลังเผชิญภาวะ “วิกฤตความน่าเชื่อถือ” ระดับรุนแรงเช่นนี้ หากตุลาการที่เกี่ยวข้องแสดงความรับผิดชอบ 3-4ราย

แม้ไม่ถึงขั้นลาออกจากการดำรงตำแหน่ง เพียงประกาศถอนตัวจากคดียุบพรรค ก็จะทำให้เหลือตุลาการไม่ครบ5ราย ที่จะเพียงพอในการเป็น “องค์คณะ”

จนมีบางฝ่ายเริ่มมองว่า ดีไม่ดีคดียุบพรรค ปชป.อาจเป็น “เกมยาว” ??

เหนืออื่นใด คลิปเผาศาลที่เกิดขึ้น นอกจากสะท้อนความอัปลักษณ์ในพฤติกรรมส่วนตัวของคนในองค์กรยุติธรรมบางราย ที่ต้องถือว่ามีส่วนสำคัญในการทำลายองค์กรของตัวเอง

ยังแสดงให้เห็นชัดด้วยว่า วันนี้มีผู้ที่ต้องการสร้างผลกระทบบางประการต่อศาล ที่ไม่ได้มีเพียงเป้าหมายเพื่อดิสเครดิตหรือสั่นคลอนความน่าเชื่อถือ

แต่มีเจตนาและความต้องการ “ทำลายล้าง” กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

มีความพยายามโจมตี “สถาบันตุลาการ” มาต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จพอสมควรกับการกระทำต่ออำนาจในฝ่าย “นิติบัญญัติ” และ “บริหาร”

ฉะนั้นวิกฤตศาลรัฐธรรมนูญอาจจะลุกลามบานปลาย จนทำให้เกิดการล้มคว่ำไปทั้ง “กระดานอำนาจประเทศไทย” หากไม่เร่งแก้ไข “ดับวิกฤต” ที่เกิดขึ้น !!

วันนี้มีผู้ที่ต้องการสร้างผลกระทบบางประการต่อศาล ที่ไม่ได้มีเพียงเป้าหมายเพื่อดิสเครดิตหรือสั่นคลอนความน่าเชื่อถือ

แต่มีเจตนาและความต้องการ“ทำลายล้าง”กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ

มีความพยายามโจมตี “สถาบันตุลาการ” มาต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จพอสมควรกับการกระทำต่ออำนาจในฝ่าย “นิติบัญญัติ” และ “บริหาร”

]]>
13264
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เกมดิ้นหนีตาย กับ “สัญญาณอันตราย” ของ “เนวิน” https://positioningmag.com/13192 Mon, 11 Oct 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13192

ไม่แน่ใจ คำว่า “ปรองดอง” ที่พูดกันเปรอะอยู่ในเวลานี้ โดยเฉพาะจากคนวงการเมือง จะหมายถึง “ความสามัคคีกลมเกลียวกัน ไม่แก่งแย่งกัน พร้อมเพรียงกัน ตกลงกัน” ตามพจนานุกรมหรือไม่?

เป็นการปรองดองที่จริงใจ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาความแตกแยกภายในบ้านเมืองครั้งรุนแรงเป็นประวัติศาสตร์ชาติไทยหรือเปล่า?

เพราะเท่าที่แต่ละฝ่ายที่เสนอเรื่องนี้ ต่างมีเป้าหมายแอบแฝง ซ่อนเงื่อนซ่อนปม
ปรองดองโดยมีวาระซ่อนเร้น!

“ปรองดอง” ในความหมายของฝ่ายทักษิณ ชินวัตร น่าจะหมายถึง การหาทางเจรจา รอมชอม เพื่อปลดชนักเคลียร์คดีให้ “พ้นผิด”
ส่วน“ปรองดอง ”ของฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา3 ที่มองอีกมุมก็ได้เช่นกันว่า เป็นการ “ซื้อเวลา” เพื่ออยู่ในอำนาจต่อไปให้ยาวนานที่สุด

แต่ “ปรองดอง” ที่น่าวิเคราะห์คือ พรรคภูมิใจไทย ที่นำโดยนายเนวิน ชิดชอบ ที่เอาจริงเอาจังในการประกาศเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยกโทษให้ทุกสีเสื้อ ไม่ว่าเหลือง แดง หรือสีกากีตำรวจ หรือเขียว–กองทัพ!

ข้อสงสัยในข้อเสนอของเนวินและภูมิใจไทย ได้ถูกเปิดแฉกันมาเป็นฉากๆ แล้วว่าการเอาจริงเอาจังเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมดังกล่าว มีวาระแฝง
ทั้งเพื่อเรียกคะแนนจากทุกสีเสื้อ โดยเฉพาะมวลชนรากหญ้า “เสื้อแดง” ในภาคเหนือและภาคอีสาน ฐานเสียงที่หนาแน่นของพรรคเพื่อไทย และ เนวิน-ภูมิใจไทย ยากที่จะเจาะได้

และเนื้อหาของกฎหมาย เป็นประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการและปราบปรามม็อบ ทั้งสีเขียว-กองทัพ สีกากี-ตำรวจ ระดับบิ๊กที่เกี่ยวข้อง
ทั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ์ อดีต ผบ.ตร. ที่ติดบ่วงคดีความผิดการสลายม็อบเสื้อเหลือง และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่มีส่วนรับผิดชอบสั่งการจัดการกับการชุมนุมของม็อบทุกสีเสื้อมาตลอด4ปี

เป็น2บิ๊กในสาย “บูรพาพยัคฆ์” ของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม แนวร่วมในเครือข่าย “แม่ทัพใหญ่สีน้ำเงิน” ที่ได้ประโยชน์ มีโอกาสพ้นผิด
เป็นข้อสงสัยที่ “เนวิน” และภูมิใจไทย ยังไม่มีคำแก้ต่างแก้ตัว!

แต่ยังมีปมที่ประเมินลึกไปกว่านั้น ที่ “เนวิน”เดินหมากตานี้ เพื่อยื้อแผนปรองดองของ2ค่ายใหญ่ ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย
สกัดพิมพ์เขียว “รัฐบาล2พรรค”

นอกจากนี้ วันนี้สิ่งที่ “เนวิน” และพรรคภูมิใจไทย เร่งรีบสุดแรงยังมาจาก “สัญญาณอันตราย” จากกรณีการแต่งตั้ง มงคล สุระสัจจะ เป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ต้องสะดุดลง
ไม่เพียงเพราะ “ว่าที่ปลัด” ยังค้าง “มลทิน” คดีทุจริตเช่าคอมพิวเตอร์ แต่ที่มากกว่านั้นคือแรงต้าน จากอดีตข้าราชการกระทรวงมหาดไทย
โดยเฉพาะเป็นแรงต้าน “ทรงพลัง” จาก พงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัด มท. ที่มีสายสัมพันธ์แน่นปึ้กกับ นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี
“เนวิน” รับรู้ดี ถึง “สัญญาณไม่ปกติ” ครั้งนี้ดี!

นอกจากเร่งรีบอย่างร้อนร้น สั่ง ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ล่ารายชื่อประชาชนให้ได้ 1-3แสนคน ภายในเวลา2เดือนครึ่ง เพื่อสนับสนุนการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
อีกทางหนึ่ง นายใหญ่ภูมิใจไทยก็เลือกที่จะประคองตัวให้อยู่ในเกมต่อไป โดยไม่เลือกทาง “แตกหัก” กับผู้นำอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีท่าทีแข็งกร้าวใส่เขาอย่างชัดเจน
แต่ “ยอมงอ” ทั้งปล่อยให้มีการตั้งคณะกรรมการเข้ามาตรวจสอบข้อกล่าวหานายมงคล โดยมีคนจากนอกกระทรวงมหาดไทยเข้าร่วม รวมทั้งยอมให้ตั้ง “รักษาการปลัด มท.” ที่ไม่ใช่นายมงคลตามที่ต้องการ แต่ชื่อ ขวัญชัย วงศ์นิติกร ก็คือคนมหาดไทยในเครือข่าย “ชิดชอบ”

การยอมอ่อนข้อก็เพื่อให้อยู่ในวงอำนาจ และตรึงกำลังพลพรรคภูมิใจไทย ที่หล่อเลี้ยงด้วยงบประมาณ และการอุ้มชูจากข้าราชการสายสีน้ำเงิน
ไม่ให้ไพร่พลแตกแถวแตกทัพก่อนเดินเข้าสนามรบในวันหน้า

อีกทางหนึ่ง ระหว่างเกมนิรโทษกรรมของนายเนวิน ประจวบเหมาะกับสถานการณ์การเมือง ที่เข้าสู่ช่วงไคลแม็กซ์ คดียุบพรรคประชาธิปัตย์งวดเข้ามา
ห้วงลุ้นระทึก ปชป.รอดหรือร่วง รัฐบาลอยู่หรือไป ก็มีประเด็น “นายกฯคนกลาง” ที่แต่ละฝ่ายตระเตรียมหากเกิดกรณีฉุกเฉิน หากเกิดกรณี “ยุบพรรค” ล้างกระดาน เลือกผู้นำกันใหม่
จุดนี้เอง ที่เนวินเร่งแสวงหา “แนวร่วม” เพื่อเพิ่มอำนาจการ “ต่อรอง”

นอกเหนือไปจากมีแนวร่วมชั้นดี “2ป.บูรพาพยัคฆ์” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ ที่แม้จะก้าวลงจากอำนาจ แต่ประกาศจะไม่ไปไหน
เป็น2ป.ที่มีชื่อลุ้นเก้าอี้ใหญ่ หากเกิด “จุดเปลี่ยนประเทศ” ในคดียุบ ปชป.

นักการเมืองผ่านศึกโชกโชนอย่างเนวิน ยังเดินเกมแตะมือสารพัดบิ๊กเนม เพื่อเป็นตัวเลือก ชูเป็นแคนดิเดต “นายกฯคนใหม่” ในสายตัวเอง
รวมทั้งการต่อสายไปยังคนในประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะที่มีชื่อ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นอีกหนึ่งแคนดิเดต “ผู้นำ” เสียงเชียร์จากค่ายภูมิใจไทยมีส่วนสำคัญ
แม้แต่ กรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ที่เริ่มมีสัมพันธ์ที่ดีกับเครือข่ายสีน้ำเงินในระยะหลัง

นอกจากนี้ การกลับไปผูกมิตรกับ บรรหาร ศิลปอาชา ที่ห่างไปหลังหลงจู๊ไปมีสัมพันธ์อันดีกับขั้ว3พี เพื่อแผ่นดิน นั่นก็เพราะ เนวินต้องการ แท็กทีมกับพรรคชาติไทยพัฒนา
นอกจากเกมการเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยังมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง
ในพรรคร่วมรัฐบาลวันนี้ และยามต้องช่วงชิงในกลเกมตั้งรัฐบาลในอนาคต!
ไม่ว่ากรณีขั้วเก่าประชาธิปัตย์ยังคงอยู่ หรือยามต้องฟอร์ม ครม.กันใหม่ รวมทั้งหากเกิดเหตุพลิกขั้วกลับข้างไปที่พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

เป็นการดิ้นสู้ของเนวิน ในยามสัญญาณอันตรายมาถึง ทั้งปม “แรงต้านทรงพลัง” ในการตั้งปลัดมหาดไทย และล่าสุดกับข่าวแกนนำประชาธิปัตย์ ต่อสายเตรียมดึงก๊วน “3พี เพื่อแผ่นดิน” พินิจ จารุสมบัติ-ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ กลับรัฐบาล
และเป็นจริง ก็ยากที่เนวินและภูมิใจไทย ที่เคยประกาศศึกเดือดกับ3พี จะอยู่เป็นสุข และโอกาสถูกดีดออกแทน มีอยู่ไม่ใช่น้อย

โดยเฉพาะข่าวไม่กรองที่กระตุกขวัญเนวินพอสมควร คือข่าวที่ว่า พรรคเพื่อแผ่นดินกลับร่วมรัฐบาลครั้งนี้ อาจพ่วง ส.ส.อีสานเพื่อไทยที่ “ผูกเสี่ยว” ไว้มาด้วย!
สัญญาณ “หายนะ” แรงจัด ที่ทำให้ “เนวิน” ภูมิใจไทย นิ่งไม่ได้ จากนี้ไปจึงต้องจับตา “นายใหญ่ภูมิใจไทย” จะคิดแผน วางเกม เดินหมากอีกสารพัด

ดิ้นสุดแรง เพื่อไม่ให้ค่ายสีน้ำเงินหลุดวงโคจร!!

]]>
13192
วินาศกรรม-เสียงพรรคร่วม-ยุบ ปชป. ปัญหา3ปมร้อน ชี้เป็นชี้ตาย “อภิสิทธิ์” https://positioningmag.com/13058 Tue, 17 Aug 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13058

ฝนฟ้าคะนอง คลื่นลมการเมืองแปรปรวน มรสุมสารพัดลูกทยอยถล่มใส่รัฐนาวาประชาธิปัตย์ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯที่เป็นกัปตัน ผู้นำการขับเคลื่อนรัฐนาวาลำนี้

ทั้งกรณีที่ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายเริ่มมีการเคลื่อนไหวอีกครั้ง ขณะที่มรสุมอีกลูกคือการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบฯ2554 วาระ2-3 กับกรณีเสียงสนับสนุนและเสถียรภาพรัฐบาล ส่วนมรสุมลูกมหึมาคือ คดียุบพรรค ปชป.

3 ปมร้อนที่อาจเป็นจุดพลิกผันในเกมอำนาจ และจุดเปลี่ยนประเทศไทย!

โฟกัสไปที่มรสุมลูกแรก ความเคลื่อนไหวของทักษิณ ที่แม้ว่ามวลชนจะยังตั้งหลักไม่ได้ เกมม็อบ หลังพ่ายแพ้ราบคาบในการก่อเหตุเผาเมือง “พฤษภาฯมหาวินาศ”

แต่ “นักโทษชาย” ประกาศแล้วว่า “ถึงพ่ายศึก แต่ไม่ยอมปราชัยในสงคราม”

ระเบิดกลางเมืองหลายจุด ตั้งแต่หน้าห้างบิ๊กซี ราชดำริ ดิวตี้ฟรี คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ คือสัญญาณที่บ่งชี้ ประเทศไทยในโหมดอันตราย

แม้ “ระเบิดการเมือง” ยากจะสาวไปถึงผู้บงการ แต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนก็มีผลสรุปเบื้องต้น เชื่อมโยงไปยังระเบิดหลายครั้งใน กทม.ช่วงม็อบเสื้อแดง

ตั้งข้อสงสัย เกี่ยวข้องกับเครือข่าย “ใต้ดิน” ในเกม “ทักษิณ”

เดินแผน “วินาศกรรมเมือง” ??

สอดคล้องกับท่าทีของเครือข่ายอดีตนายกฯ ที่เริ่มขยับขับเคลื่อนกิจกรรม พร้อมกับการประกาศว่าจะสู้ทุกทาง แม้แต่ “มุดใต้ดิน”จัดกองกำลังติดอาวุธ ตั้งหน่วยจรยุทธ์พร้อมๆ กับการส่งสัญญาณผ่าน จักรภพ เพ็ญแข เผยกับสื่อต่างประเทศยอมรับว่า “นายใหญ่” ของพวกเขารู้เห็นเหตุจลาจลเมื่อเดือน พ.ค. แต่กำลังประเมินเพื่อเลิกการสนับสนุน

นอกจากเป็นแผน “ออกตัว” อีกทางหนึ่งก็ฉายให้เห็นถึงเป้าหมายที่เปลี่ยนไปของนักโทษชายที่อัดฉีด “น้ำเลี้ยง” แล้วได้งาน “ไม่คุ้ม” อาจปรับแผนใหม่ เน้นยุทธศาสตร์“โลกล้อมประเทศ-เพื่อนบ้านล้อมไทย” เห็นได้ชัดกับท่าทีของประเทศกัมพูชา ที่ผู้นำมีสายสัมพันธ์อันดีกับอดีตผู้นำไทย กับความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ระอุเดือดอยู่วันนี้

“ฮุนเซน” สมประโยชน์อยู่กับ “ทักษิณ” สมรู้ร่วมคิด ป่วนเพื่อยึดไทย?

ฉะนั้น เรื่องความมั่นคง ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ เป็นประเด็นสำคัญที่ รัฐบาลอภิสิทธิ์จะเพิกเฉยไม่ได้ จะต้องตั้งรับและตอบโต้อย่างมีประสิทธิภาพ หากมัวแต่ท่องคาถา ปรองดองสมานฉันท์ หรือเดินหน้าขับเคลื่อนเรื่องอื่นเรื่องใด ไปเท่าใดก็จะเปล่าประโยชน์ ถ้าปล่อยให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟ ก็หายนะกันหมดแน่!

เช่นเดียวกัน กับการบาลานซ์อำนาจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ที่ผู้นำประเทศจะต้องถ่วงดุลให้ดี โดยเฉพาะสถานการณ์เฉพาะหน้า กับเสียงสนับสนุนในการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณด้วยตัวเลขกลมๆ 260-270 กว่าๆ หักเสียง ส.ส.ที่เป็นรัฐมนตรีอีก24 เสียงที่โหวตไม่ได้ วันนี้รัฐบาลจึงมีเสียงมากกว่าฝ่านค้านเพียง20-30เสียง“ปริ่มน้ำ” อย่างน่าหวาดเสียว!

ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้ว เชื่อว่ารัฐบาลจะโหวตผ่านกฎหมายสำคัญ ที่จะนำไปสู่งบฯใช้จ่ายในการบริหารแผ่นดินไปได้ ด้วยสูตร “ตัวเลขล่อใจ”จำนวนงบฯที่ถูกคณะอนุกรรมาธิการชุดต่างๆ ปรับลด โดยเฉพาะงบฯของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ถูกหั่นมากองรวมไว้ “หมื่นกว่าล้านบาท” เปิดช่องให้หน่วยงานต่างๆ เสนอโครงการเข้ามาขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลอีกครั้ง “เค้กก้อนโต” ที่พร้อมจัดสรรปันส่วน ที่เรียกว่า “งบฯส.ส.” ถือเป็น “ไม้ตาย” ที่ใช้ได้เสมอมา เพราะใครๆ ก็ไม่อยากอด!

เพียงแต่ว่า ที่ต้องจับตาต่อไป กับความเคลื่อนไหวของบรรดาคีย์แมนป้อมค่ายการเมืองต่างๆ ในพรรคร่วมรัฐบาล นอกจากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่กลุ่ม3P แม้ส่งสัญญาณบวกกับการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบฯ แต่สัญญาณยังเป็น “ลบ” กับรัฐบาล พร้อมพลิกไปอยู่กับขั้วเพื่อไทยเสมอ

ยังไม่รวมท่าทีของพรรคอื่นๆ ที่นอกจากภูมิใจไทย ในสายเนวิน ชิดชอบ ที่ประกาศเป็นศัตรูกับค่ายเพื่อไทยชัดเจนแล้ว นอกนั้นล้วนพร้อม “เลือกข้างใหม่”

ทั้งชาติไทยพัฒนา กลุ่มมัชฌิมาฯ ที่อย่างไรก็ไม่กลืนเป็นเนื้อเดียวกับภูมิใจไทย “สายเนวิน” และมีกระแสข่าวแพ็กกับกลุ่ม3Pเพื่อแผ่นดิน สุวิทย์ คุณกิตติ แห่งกิจสังคม สุวัจน์ ลิปตพัลลภ จากพรรครวมชาติพัฒนาต่อสาย “นายใหญ่” ในต่างแดนเป็นระยะๆ

เช่นเดียวกับพรรคมาตภูมิ ทั้ง “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน และสายปากน้ำ “มั่น พัธโนทัย” หรือเพื่อแผ่นดินสาย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ถึงเลือกอิ่มดีกว่าอด เข้าร่วมรัฐบาลแต่ถ้าบวกลบคูณหาร ปลื้ม “แม้ว” มากกว่า “มาร์ค”!!

เรื่องจำนวนเสียง และสูตรตั้งรัฐบาล จึงจะกลายเป็นปมร้อนประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป และเกี่ยวเนื่องกับมรสุมลูกใหญ่ของประชาธิปัตย์ ในคดียุบพรรค เรื่องร้อนที่แม้แต่นายชวน หลีกภัย ต้องลงจากหิ้ง สั่งระดมสู้คดีเต็มพิกัด

กรณีคดีเงินบริจาค 258ล้านจากทีพีไอ อาจจะหายใจหายคอคล่องขึ้น ภายหลังมี “ตัวช่วยพิเศษ” ดีเอสไอ สั่งไม่ฟ้องคดีไซฟ่อนเงินทีพีไอ รวมทั้ง ป.ป.ช.สั่งให้การยึดกิจการทีพีไอสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยมิชอบ อีกทั้งมีกระแสข่าวเรื่องการกลับคำให้การของพยานปากเอกหลายราย สถานการณ์ไหล “เข้าทาง” ประชาธิปัตย์

แต่ที่หนัก คือคดีการใช้เงินกองทุนสนับสนุนพรรคการเมือง กกต. 29ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์ ข้อต่อสู้ยังไม่สามารถแก้ต่างได้ชัดเจน แต่วงใน ปชป.กำลังควานหาหลักฐานเด็ด “เอกสารรับรองการใช้เงิน” จากบางฝ่าย!?หรือหากไม่พ้นจริง ทางรอดสุดท้ายก็คือพยายามต่อสู้ให้คดีเป็นความผิดเฉพาะบุคคลเลี่ยง “เชือดยกพวง”

3-4เดือนนับจากนี้ไป คือช่วงเวลาที่คนพรรคประชาธิปัตย์จะต้องดิ้นหนีตายสุดชีวิต เป็นระยะเวลาที่สั้นลงจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดพยานให้การไปกว่าครึ่งและเป็นเวลาที่คนการเมือง “จับตา” และประเมินหาสูตรอำนาจประเทศไทยกันใหม่

โดยเฉพาะสูตรพิเศษ “รัฐบาลแห่งชาติ” หลายบิ๊กเนม “คนนอก” ถูกโยนกลางฟลอร์เพื่อซาวเสียง “นายกฯเฉพาะกิจ”

นอกจากแผนรับมือของประชาธิปัตย์ เปิดหัวพรรคสำรอง ยังวางตัวอดีตนายกฯ ชวน ที่ไม่ต้องติดบ่วงคดียุบพรรค รอคิวทำแฮททริกเก้าอี้นายกฯ เป็น “ผู้นำขัดตาทัพ”รวมทั้งขั้วอำนาจ และพรรคการเมืองต่างๆ เช็กเสียงหนุนชื่อย่อที่ถูกพูดถึงกันหนาหู แม้กระทั่ง “หมอดู” ของกองทัพ ยังชี้คำทำนาย ผู้ที่อยู่ในข่ายมาเชิดเป็นผู้นำเฉพาะกิจ อักษรย่อ “ป.ปลา”แต่ทั้งหมดทั้งปวง ทั้งหมดจะชี้ขาดที่คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสำคัญ  เช่นเดียวกันกับมรสุมจาก “ม็อบเสื้อแดง-ทักษิณ” ที่ยังแค่จุดเชื้อ แต่รอจังหวะเติมฟืนให้ไฟให้โหมกระพือเผาผลาญบ้านเมืองอีกครั้ง   
        
ฤดูฝนนี้ ประเทศไทยอากาศแปรปรวนยิ่งนัก!!

]]>
13058
ตีเหล็กตอนไฟแรงหยุดวิกฤตชาติ รอปฏิรูปประเทศ- กว่าถั่วสุกงาก็ไหม้ https://positioningmag.com/12761 Mon, 19 Jul 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12761

ประเทศไทยวันนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้กดปุ่มเริ่มต้นสู่โหมด “ปฏิรูป” เพื่อไม่ให้วิกฤตบ้านเมืองที่เจ็บปวดที่เกิดขึ้นมาแล้วต้องเกิดซ้ำอีก

แต่ความคาดหวังเห็นการ “ยกเครื่องประเทศไทย” สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ เพื่อแก้วิกฤตอย่างถาวร จะเป็นจริงแค่ไหน?

เพราะต้องยอมรับว่า ที่เห็นและเป็นไปภายหลังวิกฤตการณ์ม็อบเสื้อแดงคลี่คลาย สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการหลายเรื่อง ยังเป็นเพียงแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งแตกแยกแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ที่เป็นปัญหาใหญ่และฝังตัวอยู่ในสังคมไทยมาหลายปีที่ผ่านมา ดูเหมือนสถานการณ์เรื่องนี้ยังไม่ดีขึ้น

รวมทั้งเรื่องที่น่าหวั่นเกรง กับการก่อเหตุรุนแรง ที่เหมือนจะซาลงไปในช่วง โดยเฉพาะเหตลอบวางบอบยิงระเบิด เริ่มมีสัญญาณอันตรายกลับมา

“ไฟเผาเมือง” ที่เพิ่งมอดดับ รอสุมเชื้อฟืนแล้วปะทุขึ้นอีก?

ขณะที่หันมาดูแนวทาง “ดับไฟถาวร” กับแนวทางสร้างความสมานฉันท์ “แผนปรองดองแห่งชาติ” ที่อภิสิทธิ์จุดพลุขึ้นมา มีอะไรเป็นรูปเป็นร่างบ้าง

เท่าที่เห็นก็มีแต่ คณะกรรมการ คณะกรรมการ และคณะกรรมการ

“สูตรสำเร็จ” ของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์

ไล่ตั้งแต่คณะกรรมการตรวจสอบข้อและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ที่มี คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน

คณะกรรมการชุดนี้จะต้องเร่ง “ทำความจริงให้ปรากฏ” เพราะหลังวิกฤตยังมีความแคลงแคลงสงสัยในการปฏิบัติการกระชับวงล้อม19พฤษภาฯที่ผ่านมา

คนตาย90คน บาดเจ็บอีกเกือบ2พันราย กลายเป็นประเด็นร้อนที่แกนนำเสื้อแดง พรรคฝ่ายค้าน และทักษิณ ชินวัตร หยิบยกมาโจมตีนายกฯ “มือเปื้อนเลือด”

ฉะนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่จะต้องเร่งทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อต่อสู้หักล้างกับข้อคลางแคลงสงสัย และบางเรื่องที่ถูก “บิดเบือน”

นอกจากนั้น คณะกรรมการอื่นๆ ทั้งคณะกรรมการประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ที่มี ศ.ดร.สมบัติ ธำรง ธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เป็นประธาน
คณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ที่มี พล.ต.อ.วสิฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจเป็นประธาน คณะกรรมการปฏิรูปสื่อที่นำโดย รศ.ดร.ยุบล เบ็ญจรงค์กิจ

รวมทั้งที่รัฐบาลตั้ง คัมภีร์ แก้วเจริญ อดีตอัยการสูงสุด มาสานต่อคณะกรรมการติดตามาตรวจสอบคดีฆ่าตัดตอน2,500ศพ สมัยทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ

และที่ต้องโฟกัสคือ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ที่นายกฯอภิสิทธิ์แต่งตั้งขึ้น และมีเป้าหมายในการทำงานให้สัมฤทธิ์ผลในเบื้องต้น อย่างน้อยในช่วงปลายปี

จะมีแนวทางยกเครื่องประเทศ เพื่อเป็น “ของขวัญปีใหม่” ให้คนไทย

ชื่อของประธานคณะกรรมการ อย่างนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯที่จะเข้ามาดูแลคณะกรรมการปฏิรูป และ นพ.ประเวศ วะสี ที่เป็นประธานสมัชชาปฏิรูป

2ผู้อาวุโส “ยาสามัญประจำประเทศ” เป็นที่พึ่งหวังได้

เพียงแต่ยังต้องตั้งข้อสงสัยในหลายเรื่อง ทั้งตัวกรรมการที่จะถูกแต่งตั้งเข้ามา มีความหลากหลายแค่ไหน หรือจำกัดวงเฉพาะกลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้อาวุโส บุคคลชั้นนำ

เช่นที่ “หมอประเวศ” ยกโมเดลของการจะพัฒนการเปลี่ยนแปลงเรื่องใหญ่ๆ ในบ้านเมือง ต้องใช้พลัง3ด้าน คือพลังปัญญา พลังสังคม และพลังอำนาจ เกื้อหนุน

เป็นโมเดล “3เหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ถึงจะทำให้งานปฏิรูปประเทศครั้งนี้สำเร็จ

หากไม่เปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มในสังคมร่วมขับเคลื่อน ไม่มีการสร้างความรู้ที่ตรงประเด็น อำนาจรัฐไม่เข้ามาบรรจบให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง

การก้าวเดินไปข้างหน้าของประเทศไทยก็ยากจะสำเร็จ!

ไม่เท่านั้น ที่วางเป้าหมายของคณะกรรมการในการแก้ปัญหาด้านต่างๆ ของประเทศไทย ทั้งเรื่องการจัดสรรทรัพยากร เรื่องอาชีพ รายได้ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การศึกษา กฎหมาย การเมือง การปกครอง ประชาธิปไตย และสื่อมวลชน

เป็นกรอบการทำงานที่ใหญ่ กว้าง และลึก เพราะเป็นปัญหาที่ฝังรากในบ้านเมืองมานาน จะต้องอาศัยความร่วมแรงร่วมใจของคนไทยทั้งชาติ

ชนิดที่ต้องยกเป็น “วาระประเทศ”

และก็เป็นเรื่องที่ดี ที่รัฐบาลวางกรอบให้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศทั้งสองชุดนี้ โดยให้อิสระในการทำงาน ออกระเบียบสำนักนายกฯรองรับ เพื่อให้การทำงานต่อเนื่องในกำหนดเวลา3ปี ถึงจะเปลี่ยนรัฐบาลไป

รวมทั้งงบประมาณสนับสนุนปีละ200ล้านบาท 3ปี รวม600ล้านบาท

ตรงนี้เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศโดยส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย และคาดหวังต้องการเห็นการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่โดยคณะกรรมการชุดนี้

เพียงแต่ปัญหาของประเทศที่เรียกว่าอยู่ในภาวะ “วิกฤตรุนแรง” ที่ไม่สามารถรีรอการแก้ไขปัญหาในระยะเวลายาวนานได้

จึงไม่แปลกที่คณะกรรมการชุดต่างๆ ร่วมทั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ จะถูกมองว่าตั้งขึ้นมาเพื่อ “ยื้ออำนาจ” และ “ซื้อเวลา” เพื่อรัฐบาลจะได้อยู่บนอำนาจต่อไป

เพราะวิกฤตที่ผ่านไป หากไม่ต้องการให้เกิดซ้ำขึ้นอีก จะต้องเร่งแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าอย่างรีบด่วน ควบคู่กันไปกับงานใหญ่ในระยะยาว

รัฐบาลที่มีอำนาจบริหารอยู่ในมือสามารถทำได้ทันที ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย จัดการกับผู้กระทำผิดอย่างเข้มแข็ง

โดยเฉพาะกับการจัดการ ผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์รุนแรง ถึงขั้น “ก่อการร้าย”

แม้ต้องแยกแยะ กลุ่มมวลชน กับผู้ก่อเหตุ กระนั้นก็ตามผู้กระทำความผิดจะต้องถูกส่งเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม “ชดใช้กรรม”ที่ก่อโดยรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน ต้องเร่งทำความเข้าใจ ให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้องกับประชาชน ใช้สื่อเพื่อลดความบาดหมาง สร้างสมานฉันท์ในสังคม

ที่สำคัญเลย นายกฯ และรัฐบาลจะต้องบริหารประเทศให้มีประสิทธิภาพ ดูแลแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ทั้งเรื่องปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่

และต้องควบคุมคณะรัฐมนตรี ให้ปราศจากการคอรัปชั่น ไม่มีเรื่องโกงกิน

หากทำงานเข้าตาประชาชน ต่อให้อดีตผู้นำ หรือแกนนำรายใดปลุกปั่น ก็ไม่สามารถดึงคนออกมาร่วมป่วนเมืองได้

ขณะที่งานด้านอื่นๆ ที่มีการตั้งคณะกรรมการขึ้น ทั้งปรับโครงสร้างตำรวจ ปฏิรูปสื่อ การตรวจสอบข้อเท็จจริงของการฆ่าตัดตอน ทุกเรื่องรัฐบาลมีอำนาจดำเนินการอยู่แล้ว

โดยเฉพาะในช่วงหลังวิกฤตบ้านเมืองที่ผ่านไป รัฐบาลมีกระแสประชาชนให้การสนับสนุนจนเรียกว่า “กระชับอำนาจ” มาอยู่ในมือเพิ่มขึ้น

ดังนั้นหากจะ “ตีเหล็ก” ต้องตีช่วงไฟยังร้อนยังแรง
ไม่ใช่บริหารบ้านเมืองกันแบบรีรอ ทำงานเสมือนอยู่ในภาวะปกติ รูทีน โดยเฉพาะการใช้สูตรสำเร็จซื้อเวลา รอผลสรุปของสารพัดคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น
ถึงที่สุดก็จะเจอ “บทเรียนซ้ำซาก” อย่างที่เคยได้รับจากเหตุการณ์เมษาฯ2552 จนมาเกิดเหตุพฤษภาฯ2553 ทั้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

ถ้าไม่บริหารประเทศแบบ “กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้”

]]>
12761
“ไก่อู” สนั่นออนไลน์ https://positioningmag.com/12649 Sat, 26 Jun 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12649

โซเชี่ยลมีเดียในช่วงวิกฤตพฤษภาเพลิง 2553 โดยเฉพาะเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ ที่ทรงพลังจนทำให้เห็นปรากฏการณ์หนึ่งที่ชัดเจนคือการแจ้งเกิดบุคคลได้เพียงชั่วข้ามคืน คือ “โฆษกไก่อู พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด” ที่เรตติ้งพุ่งกระฉูด สาวๆ กรี๊ดกันทั่วบ้านทั่วเมืองถึงขั้นชนะโหวตในห้องเฉลิมไทย พันทิพดอทคอม เฉือนพระเอกเคน ธีรเดชอย่างขาดลอย ทั้งๆ ที่ละครของพี่เคนก็ออนแอร์อยู่

โฆษกไก่อูก็คือโปรดักต์ที่มีคุณสมบัตินิ่ง สุขุมมาในเวลาที่เหมาะสม เมื่อได้สื่อสารบ่อยๆ ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. จึงเหมือนเป็น Reality Show ก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันโดยไม่รู้ตัว เกิดอาการรักระหว่างรบในใจแฟนๆ ด้วยจุดเริ่มที่มีกลุ่มในเฟซบุ๊กรวมพลังซื้อครีมกระชับรอบดวงตา จนมาถึง “ศูนย์ไก่อูฉกหัวใจ”

สำหรับจุดแข็งของโฆษกไก่อู คือ “คมวาทะ” ที่มาจากไหวพริบปฏิภาณจนผู้ใหญ่ในกองทัพให้เป็นโฆษกกองทัพบก และในช่วงรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เขาคือโฆษก คมช. เมื่อบวกกับ Story Telling ยิ่งทำให้โฆษกไก่อูยิ่งน่าติดตาม โดยเริ่มจาก“เสธ.เต่า” พล.ต.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ ผู้ช่วยเสนาธิการทหารบกฝ่ายกิจการพลเรือน “นาย” ที่เขาเคารพรัก เป็นผู้ชักนำเข้าสู่วงการโฆษก เพราะหน้าที่ในการปฏิบัติการจิตวิทยา หรือ ปจว.มากว่าครึ่งชีวิตการทำงาน จน “ชิป” ที่ฝังในหัวของเขาคือ กรอบคิดแบบ ปจว. ที่ไม่ใช่ขาวหรือดำ แต่คือเทา ที่มีเครื่องมือคือ ปล่อยข่าว – การสร้างข่าวลือ – ข่าวลวง – พูดความจริงบางส่วน – เลยไปถึงการ “โกหก” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายคือการทำลายศัตรู และการดำรงอยู่ขององค์กรที่ได้รับการยอมรับจากสังคม!!

“ทหารที่จบจาก จปร.หวังที่จะเจริญก้าวหน้า ในหน้าที่การงานทุกคน ผมเองก็หวังเช่นกัน จึงทำงานในหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด… คนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อผู้บังคับชาสั่งอะไรอยู่ในวิสัยที่ทำได้ ก็ควรทำ แต่ถ้าตอบปฏิเสธโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย จะถือว่าสีเขียวไม่ซึมเข้าเนื้อ…” พันเอกสรรเสริญให้สัมภาษณ์ถึงความคาดหวังในตำแหน่งหน้าที่อย่างชัดเจนในวารสารกิจการพลเรือนทหารบก ในวาระครบรอบ28ปี

ว่าที่นายพลไก่อูมีพื้นเพมาจาก จ. ประจวบคีรีขันธ์ พ่อเป็นตำรวจ แม่เป็นครูแต่แยกทางกัน เพราะฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี และ “เด็กชายไก่อู” ไปอยู่กับ “ย่า” และ “ป้า” จนติดเการพูดจาไพเราะ บางช่วงของชีวิตยังต้องหักเหเข้าไป “เดิน” ในเส้นทางที่คาบเกี่ยวกับ “สายมาเฟีย” ก็เคยมาแล้ว ไม่เช่นนั้น “เสธ.ไอซ์” พล.อ.ไตรรงค อินทรทัต “ตำแหน่งเจ้านอกศาล” คือ

“พี่ผู้มีพระคุณที่สุด” ในชีวิตของ “ไก่อู” เพราะพี่ชายคนนี้คือผู้ฉุดให้พ้นจากการ “จมน้ำ” ให้จ็อบเป็นคนเช็กเวลาวิ่งของการปล่อยม้า คุมสถานบันเทิงร้านเหล้าที่เคยโด่งดังอย่าง “สองสลึง” หลังจาก “หนี้ท่วมหัว” เพราะขาดทุนยับจากธุรกิจ ทำ “แท็กซี่ให้เช่า”

เป็นเส้นทางที่แสนโลดโผนจนถูกนิยามไว้หลายรูปแบบ ทั้ง “เด็กสนามม้า” “ทหารรับจ็อบคุมผับ” “ผู้สื่อสารสาธารณะ” “นักรบพาวเวอร์พอยต์” เลยไปถึง “ผู้ก่อการรัก” และ “นักแปลยุทธวิธีทางทหาร” ซึ่งสื่อสารเรื่องความมั่นคงฉบับชาวบ้าน ให้แฟนทีวีรับทราบ และเป็นลูกผสมตามหลักของ ปจว. ที่กำลังคุ้ยเขี่ยกรุยทางไปสู่เส้นทางแห่งอำนาจที่การเมืองแฝงตัวอยู่ในกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

People
พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด เกิดเมื่อ 14 สิงหาคม 2506 เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 23 และนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้ารุ่นที่34 วิทยาศาสตร์บัณฑิต (วิศวกรรมโยธา) ไม่ได้เล่นเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ แต่ก็โด่งดังในโลกออนไลน์ไม่น้อย
Rating : เสียงโหวตในพันทิป 2,190 คน ได้ 91.03% ชนะเคน ธีรเดช ที่ได้ 8.97%
Facebook กลุ่ม “มั่นใจคนไทยหลายคนเต็มใจรวมเงินซื้อายครีมให้เสธ.ไก่อู มีคน Like อยู่ 9,265 คน (วันที่ 26 พ.ค. 2553)
Facebook : พ.อ. สรรเสริญ แก้วกำเนิด สมาชิก 34,471 คน (31 พ.ค. 2553)

]]>
12649
ภัคพล ปรีชาชนะภัย มือประสานพลังที่(เคย)เงียบ https://positioningmag.com/12749 Thu, 13 May 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12749

ขณะที่ หมอตุลย์ในวัย 45 ปีคือตัวแทนของกลุ่มเสื้อหลากหลากสีที่เป็นวัยทำงานตอนปลายขึ้นไป ภัคพล ปรีชาชนะชัย หรือแชมป์ ชายหนุ่ม วัย 27 ปีเจ้าของธุรกิจส่วนตัวด้านแพทย์อายุรวัฒน์ ซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่ม “มั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้านต่อต้านการยุบสภา” บนเฟซบุ๊คที่ตอนนี้มีสมาชิกเกือบ 5 แสนรายแล้วหลังจากที่ก่อตั้งในเวลาไม่ถึง 2 เดือน คือสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่มักอยู่บนโลกออนไลน์ ที่กลายเป็นพลังสำคัญให้ “เสื้อหลากสี” มีขนาดใหญ่ขึ้น

แม้ว่าแชมป์จะไม่ได้เป็นผู้ก่อตั้งและไม่ได้ทำหน้าที่แอดมินของกลุ่มนี้ แต่ด้วยความสนใจเรื่องการเมือง อีกทั้งยังเป็นคนกล้าตัดสินใจและกล้าแสดงออกทำให้สมาชิกในกลุ่มที่เป็นทีมงานดูแลผู้ชุมนุมมอบมอบหน้าที่ “ตัวแทน” จากเฟซบุ๊คให้เขาเป็นผู้ตอบคำถามกับสื่อและขึ้นเวทีปราศัยในการชุมนุมทุกครั้ง ส่วนผู้ที่ก่อตั้งกลุ่มนี้นั้นทีมงานให้ข้อมูลเพียงแค่ว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 และไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้มากกว่านี้เพราะยังเด็กจึงเกรงว่าจะเกิดการถูกข่มขู่จากฝ่ายตรงข้าม

โดยก่อนหน้าที่จะตัดสินใจรวมตัวกันนอกโลกออนไลน์นั้น แชมป์มักเปิดกระทู้สนทนาเรื่องการชุมนุมของเสื้อแดงกับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มผ่านเฟซบุ๊คอยู่เสมอ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างทหารและกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 10 เมษายน ทำให้เขาและเพื่อนๆ ที่เป็นสมาชิกในกลุ่มตัดสินใจรวมตัวเพื่อแสดง “พลังที่เคยเงียบ” ให้คนภายนอกได้รับรู้ว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มเสื้อแดง โดยเริ่มต้นชุมนุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 13 เมษายนที่สวนจตุจักร มีผู้ร่วมมาชุมนุมประมาณ 400 คน ซึ่งขณะนั้นมีสมาชิกในกลุ่มราว 1.5 แสนราย

ด้วยความบังเอิญที่วันนั้นกลุ่ม “เสื้อหลากสี” ของนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ หรือหมอตุลย์ได้มีการรวมตัวกันครั้งแรกเช่นกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จึงได้เจรจากันและพบว่ามีแนวทางเดียวกันคือ “ปกป้องสถาบันกษัตริย์และต่อต้านการยุบสภา” จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่มารวมกันในนามของกลุ่มเสื้อหลากสีที่มีอัตราผู้ชุมนุมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมาจากคนรุ่นใหม่ที่ใช้เฟซบุ๊คแล้วบอกต่อไปยังกลุ่มคนภายนอกที่ไม่ได้ใช้ช่องทางนี้แต่มีจุดยืนเดียวกันและชักชวนกันมาร่วมชุมนุมอย่างสงบด้วยการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีให้แก่พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว และร้องเพลงชาติร่วมกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 16.00-18.30 นาฬิกา ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ

แชมป์ยอมรับว่าช่วงแรกของการเริ่มชุมนุมกว่า 60-70% เป็นคนที่มาจากเฟซบุ๊ค แต่วันนี้จำนวนผู้ชุมนุมแต่ละครั้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ต่ำกว่าหลักพันคน ทำให้กลุ่มดังกล่าวลดลงเหลือแค่ 30-40% เท่านั้น “คนจากเฟซบุ๊คยังมีเท่าเดิมแต่ที่เพิ่มขึ้นคือคนทั่วไป” ซึ่งเขาเชื่อว่าการสื่อสารผ่านเฟซบุ๊คเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูงเพราะสามารถดึงคนมาชุมนุมได้เป็นจำนวนมาก โดยช่วงแรกเขาใช้ช่องทางนี้เป็นหลักในการสื่อสารกับผู้ชุมนุม แต่ตอนนี้มีสื่ออื่นๆ เข้ามาช่วยกระจายข่าวมากขึ้นจึงทำให้เฟซบุ๊คกลายเป็นช่องทางรองเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์กับสมาชิกในกลุ่มแทน

นอกจากนี้ ไม่ได้มีแค่เพียงกลุ่ม “มั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้านต่อการยุบสภา” บนเฟซบุ๊คเท่านั้นที่มาร่วมชุมนุม แต่ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่มีแนวทางเดียวกันมาร่วมอีกไม่ต่ำกว่า 10 กลุ่ม เช่น กลุ่ม I Support PM Abhisit กลุ่มมั่นใจคนไทยเกิน 20 ล้านต้องการยุบนปช. รวมถึงกลุ่มมั่นใจคนไทยเกิน 1 ล้านต่อต้านการยุบสภาในภาคต่างๆ อีกด้วย ซึ่งแชมป์บอกว่าคนที่ก่อตั้งกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ โดยส่วนใหญ่มักเป็นสมาชิกจากกลุ่มมั่นใจว่าคนไทยเกิน 1 ล้านต่อต้านการยุบสภาที่แตกชื่อออกไปในกลุ่มอื่นๆ นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองว่า โซเชี่ยลเนทเวิร์คมีผลต่อการเมืองคราวนี้มากกว่าในอดีตอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อถามถึงทวิตเตอร์ แชมป์บอกว่า “ผมเล่นทวิตเตอร์ไม่เป็น กลัวเจอแม้ว!”

]]>
12749
“ม็อบแม้ว” โหดไม่เลือกหน้า แผลราชประสงค์บาดลึก https://positioningmag.com/12629 Mon, 10 May 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=12629

ถ้าหากเป็นเกมการต่อสู้ในสงคราม ก็เรียกได้ว่า “กองทัพเสื้อแดง” นปช. ประสบความสำเร็จ ที่เลือกเข้ายึดยุทธภูมิราชประสงค์ เป็นการเข้าตีได้ถูกจุดถล่ม “คลังเสบียง” ฝ่ายตรงข้าม สร้างแรงกดดันให้ศัตรู

เพียงแต่เกมนี้ไม่ใช่การรบในสงครามกับศัตรูต่างบ้านต่างเมือง แต่เป็นเรื่องของคนไทยด้วยกัน ที่เข้าห้ำหั่นกันด้วยการปลุกปั่นโดยผู้บงการคนเดียว ทักษิณ ชินวัตร นักโทษชายหนีคดี
จัดจ้างแกนนำ จัดตั้งกองทัพ นปช.บุกเข้าเผาเมือง!

อีกทั้งคลังเสบียงที่เข้าตี “คลังราชประสงค์” ไม่ใช่คลังเสบียงของฝ่ายรัฐบาล หรือคลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่บริเวณพื้นที่ย่านนี้คือ อีก “คลังเศรษฐกิจ” ของประเทศไทย

ศูนย์กลางการค้าขายสำคัญ ที่วันนี้ต้องสูญเสียย่อยยับมหาศาล วายป่วงเพราะคำสั่งการให้ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำขู่อาฆาต “บ้านเมืองเละแน่”

“เละ” อย่างความต้องการของ “ทักษิณ”จริงๆ

จนถึงวันที่ปิดต้นฉบับนี้ ครบ1เดือนในการรุกเข้ายึดพื้นที่ราชประสงค์ของกลุ่ม นปช.ประเมินมูลค่าความเสียหายทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โรงแรมหรู 4-5ดาว ธุรกิจการค้าในย่านราชประสงค์เสียหายทั้งหมดหลายหมื่นล้านบาท

ขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบ ทั้งย่านสีลม ย่านธุรกิจการค้า การเงิน และแหล่งท่องเที่ยวในยามราตรี ตัวเลขใกล้เคียงกัน

รวมทั้งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ ทั้งโบ๊เบ๊ ประตูน้ำ ย่านค้าส่งสำคัญ เจอพิษม็อบกระอักไปด้วย
ยังไม่รวมผลกระทบต่อเนื่อง “ลูกโซ่” ความเสียหายจากเกมบ้าบิ่นของคนบ้าคลั่ง ทำให้หลายภาคธุรกิจต้องประสบคราวเคราะห์ ทั้งภาคการท่องเที่ยวและบริการ ภาคธุรกิจการจัดประชุมและนิทรรศการ ที่เป็นรายได้หลักนำเงินตราเข้าประเทศ เสียหายจนยากประเมิน

เพราะไม่เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ องค์กรธุรกิจที่มีแผนจะเข้ามาจัดประชุม สั่งยกเลิกกำหนดการ หลายประเทศประกาศเตือนประชาชนระมัดระวัง ชะลอ จนกระทั่งสั่งห้ามเดินทางมายังประเทศไทย
ขึ้นป้ายไทยแลนด์ เมืองอันตราย!

ภาพพจน์ภาพลักษณ์ของประเทศเสียหาย บ้านเมืองย่อยยับจนยากจะประเมินความสูญเสีย และยังไม่รู้ว่าจะกู้เครดิตไทยที่เสื่อมสูญไปใน “วิกฤตเสื้อแดง” อย่างไร และเมื่อใด

ไม่เท่านั้น ผลกระทบจากม็อบยึดใจกลางกรุงครั้งนี้ กินวงกว้างสร้างความเสียหายไปทั้งประเทศ

นปช.กินเมืองยังกิน “ทางลึก” ไปถึงกลุ่มคน “รากหญ้า”

หาก “ม็อบเสื้อแดง” ยังไม่เลิกรา หรือรัฐบาลไม่สามารถจัดการคืนพื้นที่ให้คนทำมาหากิน ธุรกิจการค้าไม่สามารถกลับมาเปิดกิจการ บรรดาคนระดับกลางไปจนจนระดับล่างจะได้รับผลกระทบเพิ่มขึ้น

ทั้งภาคเอสเอ็มอี ร้านค้าย่อย ค้าส่ง ไปจนกระทั่งพ่อค้าแม่ขายหาเช้ากินค่ำ ลูกจ้างพนักงานโรงแรม พนักงานห้าง พนักงานรายวัน คนทำงานหลักหมื่นคนอยู่ในภาวะเสี่ยงตกงาน

ม็อบยืดเยื้อไปนานเท่าไร การปลดโละพนักงานก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น รากหญ้ากระอัก เพราะน้ำมือม็อบที่เรียกตัวเองว่า “ไพร่”

ไม่เท่านั้น หากมาพิจารณาถึง “กรอบคิด” ของกลุ่มคนระดับแกนนำ นปช. ที่มองว่าจำเป็นต้องยึดพื้นที่สำคัญ เพื่อกดดันรัฐบาลให้ทำตามที่เรียกร้องคือ “การยุบสภา” เป็นหมากเกมที่กระหน่ำตี “ถูกจุด” แทงเข้าที่ “หัวใจศัตรู” กลุ่มทุน “อำมาตย์”

แต่แท้ที่จริง “ทุนราชประสงค์” ก็ไม่ใช่ว่าเป็น “ทุนศัตรู” ของทักษิณ เพียงเท่านั้น!!

เพราะข้อเท็จจริง ธุรกิจการค้าในย่านแยกราชประสงค์ ไม่เพียงที่ทักษิณ แอนด์ เดอะแก๊ง มองเป็นขั้วตรงข้าม ทั้งกลุ่มเดอะมอลล์ ในห้างพารากอน-สยาม กลุ่มเจ้าสัวเจริญ ศิริวัฒนภักดี ที่เซ็นเตอร์พ้อยท์

กลุ่มเซ็นทรัลฯ ของตระกูลจิราธิวัฒน์ และเครือข่าย คมช. ศูนย์การค้าเพนนินซูล่า ของคนนามสกุล “ปิยะอุย-สาลีรัฐวิภาค”
ภาคธุรกิจย่านถนนสีลม ที่เกือบจะโดนเต็มๆ ทั้งเครือข่ายธุรกิจการค้าของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เครือซีพี กลุ่มธนาคารกรุงเทพ ของตระกูลโสภณพนิช โรงแรมดุสิตธานี ของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย สมาชิกคนสำคัญใน “คณะ11” ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

แต่อำมาตย์อีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากม็อบ ก็มี “อำมาตย์” ที่เป็น “พวกทักษิณ” อาทิ โรงแรมแกรนด์ไฮแอทเอราวัณ โรงแรมเจ ดับบลิว แมริออท ศูนย์การค้าอัมรินทร์พลาซ่า เพลินจิตเซ็นเตอร์ มี 3หุ้น จาก3ตระกูล ที่เกี่ยวโยงถือหุ้นไขว้ มีสัมพันธ์อันดีกับระบอบทักษิณ

ทั้งตระกูลวัธนเวคิน ก็มีลูกเขย พงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็น “ไพร่” รับใช้ทักษิณมาตลอด

ตระกูล “ว่องกุศลกิจ” ที่เกาะเกี่ยวทางธุรกิจกับกลุ่ม “เอื้ออภิญญกุล” ที่มี วรวัจน์ อภิญญกุล ส.ส.แพร่ เพื่อไทย ทายาทพ่อเลี้ยงเมธา เอื้ออภิญญกุล ที่ร่วมลงหุ้นอยู่กับสองตระกูลข้างต้น เครือข่าย “ดิเอราวัณกรุ๊ป” ก็เจ็บปวดเพราะม็อบของทักษิณ เช่นกัน!

ขณะที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนลตัล โรงแรมฮอลิเดย์อินน์ ห้างเกษรฯ อาคารมณียา เพรสซิเดนท์ ทาวเวอร์อาเขต ของคนในตระกูลศรีวิกรม์ ส่วนหนึ่งแม้ ทยา ทีปสุวรรณ ศรีวิกรม์ รองผู้ว่าฯ กทม. จะอยู่ในขั้วประชาธิปัตย์ แต่ลูกชายของเสี่ยเฉลิมพันธ์ อย่าง พิมล ศรีวิกรม์ ก็เคยอยู่กับระบอบทักษิณ และวันนี้ก็ปักหลักในเครือข่าย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตขุนคลัง ที่แตะมือทางการเมืองอยู่กับพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย

ก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนี้ เมื่อธุรกิจของครอบครัวมาเจอกับพิษ “ม็อบคลังแม้ว” จะทำให้ “ศรีวิกรม์” สาย “สมคิด-บิ๊กจิ๋ว” ที่กลับไปลิงค์กับทักษิณอีกครั้ง จะขอถอนตัวไม่ “ร่วมแผน” แล้วหรือไม่?

เห็นได้ชัดว่า “ทักษิณ” ทำลายล้างไม่เลือกหน้า ไม่แค่ถล่มอำมาตย์ แต่บอมบ์ไม่สนฝ่ายไหนพวกใด ทำลายล้างไม่เลือกหน้า ก่อการร้ายของแท้!

ถึงตรงนี้ก็คงต้องบอกว่า เมื่อประชาชนคนไทย และบ้านเมืองต้องบอกช้ำ “เจ็บ” เพราะทักษิณ และม็อบ นปช.กันถ้วนทั่วแล้ว และยอม “ทนเจ็บ” เพื่อให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ จัดการขบวนการก่อการร้ายทำลายบ้านเมือง

สิ่งที่ต้องเร่งทำควบคู่ไปกับการคืนพื้นที่ กำจัดขบวนการก่อการร้าย เรียกกลับความสงบสุขของบ้านเมืองกลับคืนมา
จะ ต้องดูแลผู้คนที่ “บาดเจ็บ” จาก “แผลเศรษฐกิจ” อย่างเป็นรูปธรรมควบคู่ไปด้วย!

อภิสิทธิ์ และคณะรัฐมนตรี จะต้องมีมาตรการออกมาช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างเป็นรูปธรรมและโดยด่วนที่สุด นอกจากกลุ่มทุนกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ

จะต้องเหลียวแลและเข้าไปให้การอุ้มชูผู้ประกอบการขนาดกลาง ขนาดเล็ก คนหาช้าวกินค่ำ พนักงาน ลูกจ้าง
เพราะคนชั้นกลาง คนรากหญ้า ผู้คนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม เจ็บปวดหนักยิ่งกว่า

และเชื่อได้ว่า ไม่ว่าปัญหาม็อบจะจบลงอย่างไร ถึงที่สุดหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นในทางใดทางหนึ่ง กลุ่มคนในขั้วตรงข้ามรัฐบาลปัจจุบัน รัฐบาลอื่นคงไม่ทุ่มเทในการให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้

เห็นกันชัดแล้วว่า “ม็อบ นปช.” และทักษิณ โหดและเหี้ยมเกินกว่าจะสนใจในความเสียหายต่อผู้คนและชาติบ้านเมือง ถึงที่สุดแล้วจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งก็คงไม่เยียวยารักษา

ปล่อยให้ “บาดแผลที่ราชประสงค์” ครั้งนี้ลุกลาม “เรื้อรัง” ไว้ทำลาย “อภิสิทธิ์”

ดังนั้นเบื้องต้น รัฐบาลต้องเร่งฉีดยากันบาดทะยัก!

]]>
12629