Promotion – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 26 May 2021 00:15:19 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ธนาคารใหญ่ในสหรัฐฯ เตรียมอัดโปร ‘บัตรเครดิต’ กระตุ้นใช้จ่าย ปั๊มรายได้ช่วงเศรษฐกิจฟื้น https://positioningmag.com/1333830 Tue, 25 May 2021 15:13:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1333830 บรรดาธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ วางเเผนการตลาดใหม่ ทุ่มออกโปรโมชันบัตรเครดิตเพื่อขยายหาฐานลูกค้า กระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภค รับเศรษฐกิจฟื้นตัว ต่างจากปีที่เเล้วที่ระวังความเสี่ยงจนถึงขั้นดึงวงเงินสินเชื่อกลับคืน

Andrew Davidson นักวิเคราะห์จาก Mintel Comperemedia มองว่า สถาบันการเงินอย่าง Capital One , Citigroup และ JPMorgan มีเเผนจะอัดโปรโมชันบัตรเครดิตอย่างหนัก เพื่อหาลูกค้าใหม่เเละสนับสนุนให้ลูกค้าเก่าใช้จ่ายมากขึ้น เป็นกลยุทธ์การเพิ่มรายได้ในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังฟื้นตัว หลังการฉีดวัคซีนได้ผลดี

ดยจะเน้นไปที่การทำตลาดดิจิทัล โปรโมตเเคมเปญโฆษณาเเละข้อเสนอต่างๆ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook , Instagram , Youtube และ Podcast เพื่อดึงดูดให้ประชาชนหันมาใช้บริการบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นในปีนี้

ธนาคารใหญ่กำลังรอจังหวะการฟื้นตัวหลังโรคระบาด เพื่อทำรายได้ชดเชยส่วนที่หายไปในปีที่เเล้ว

โดยคาดว่า เเบงก์ต่างๆ จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการการให้สินเชื่อมากขึ้น ซึ่งเป็นท่าทีที่เเตกต่างจากช่วงปีที่ผ่านมา ที่ธนาคารส่วนใหญ่ตัดสินใจชะลอข้อเสนอบัตรเครดิต เเละดึงวงเงินสินเชื่อกลับคืน เพราะมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงการผิดชำระหนี้ หลังอัตราว่างงานในสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ จากผลกระทบของโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรการเยียวยาจากรัฐบาล ที่ให้เงินช่วยเหลือคนว่างงาน เเละปล่อยเงินกู้ให้เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก ทำให้ชาวอเมริกันที่พึ่งพาการใช้บัตรเครดิต สามารถชำระหนี้ได้เเละยังมีการใช้จ่าย บางรายชำระยอดคงเหลือด้วย

โดยรวมเเล้ว ธุรกิจบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ยังคงทำกำไรได้ แต่มีรายได้ลดลง

จากข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขานิวยอร์ก ระบุว่า ยอดเงินคงเหลือบัตรเครดิต (Card Balances) ของธนาคารในสหรัฐฯ ในปี 2020 ลดลง 14% ในช่วงการเเพร่ระบาด ขณะที่บัญชีที่มียอดหมุนเวียน (Revolving Balances) อยู่ที่ระดับ 39.7% ลดลงจากปี 2019 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 44.1%

ทั้งนี้ เฉลี่ยอัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ยของบัตรเครดิตในสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 16% สูงสุดที่ 25% (อ้างอิงจาก CreditCards)

แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ เห็นได้ชัดเมื่อสถานการณ์โรคระบาดเริ่มคลี่คลายลง หลังการกระจายวัคซีนทั่วถึง ผู้คนกลับมารับประทานอาหารในร้าน ข้อจำกัดการเดินทางถูกยกเลิก มีการจัดคอนเสิร์ต สำนักงานใหญ่ๆ เริ่มกลับมาเปิดทำการ เป็นสัญญาณที่ดีต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคเเละโอกาสที่จะปล่อยสินเชื่อ

 

 

ที่มา : Reuters

]]>
1333830
เทสโก้ โลตัส ฉลองครบ 20 ปี สุดยิ่งใหญ่ สินค้าราคาพิเศษสุดเป็นประวัติการณ์ รางวัลใหญ่กว่าที่เคยมีมา และเปิดตัวสินค้า Everyday Value https://positioningmag.com/58540 Mon, 06 Oct 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58540

เทสโก้ โลตัส ฉลองครบ 20 ปี จัดแคมเปญขอบคุณลูกค้าครั้งยิ่งใหญ่ ยกทัพสินค้าหลักลดราคาพิเศษสุดทุกวัน พร้อมทุ่ม กว่า 15 ล้านบาทจัดรางวัลใหญ่กว่าที่เคยมีมาให้ลูกค้าได้ลุ้น ทั้งรถเบนซ์ SLK และทองคำ และเปิดตัวสินค้าแบรนด์ Everyday Value ใหม่ๆ ในราคาเดียวเพียง 20 บาทต่อชิ้น ตลอดเดือนตุลาคม แถม LINE สติ๊กเกอร์ให้ลูกค้าได้ดาวน์โหลดฟรี

“เราขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่ได้มอบความไว้วางใจเลือกซื้อสินค้าและบริการจากเทสโก้ โลตัส ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ และสินค้าลดราคาครั้งใหญ่นับร้อยๆ รายการ ภายในแคมเปญ ‘Best Deal Ever’” คุณวรรณา สวัสดิกูล ประธานกรรมการบริหารฝ่ายการตลาด เทสโก้ โลตัส กล่าว

เทสโก้ โลตัส ยังได้มีการรีแบรนด์ สินค้าเฮ้าส์แบรนด์ใหม่จากชื่อ เทสโก้ คุ้มค่า (Tesco Value) เป็น เทสโก้ เอฟเวอรี่เดย์ แวลู (Tesco Everyday Value) โดยมีสินค้าใหม่กว่า 500 รายการ พร้อมทยอยวางจำหน่ายตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ทั้งสินค้าอาหารสด อาหารแห้ง เครื่องปรุง อาหารกระป๋อง และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด สินค้า Everyday Value มีคุณภาพดี ผลิตตามมาตรฐาน GMP และ HACCP จำหน่ายในราคาที่คุ้มค่า และมีดีไซน์แบรนด์ที่ทันสมัย สะท้อนถึงไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคใหม่

“สิ่งที่พิเศษสุด คือ สินค้าแบรนด์ Everyday Value 100 รายการที่ออกวางจำหน่ายในเดือนตุลาคม เช่น น้ำมัน ข้าวสาร น้ำปลา และขนมขบเคี้ยว จะมีราคาพิเศษเพียง 20 บาททุกชิ้น เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 20 กับลูกค้าทุกท่าน” คุณวรรณากล่าวเสริม

ลูกค้าที่มาจับจ่ายที่เทสโก้ โลตัส ในช่วงเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง ยังมีโอกาสลุ้นรางวัลทองคำมูลค่า 1 ล้านบาท ทุกสัปดาห์ และรางวัลใหญ่รถเบนซ์ SLK 350 ภายใต้แคมเปญ “รหัสลุ้นล้าน” ซึ่งลูกค้าผู้โชคจากการจับฉลากจะได้รับรางวัลใหญ่ นอกจากนี้ ลูกค้าที่มีรหัสหมายเลข 4 หลักท้ายสุดบนใบเสร็จตรงตามที่กำหนด จะได้รับรางวัลเช่นกัน  ลูกค้าจะได้รับ 1 สิทธิ์เพื่อลุ้นรางวัล เมื่อซื้อครบ 600 บาทที่ไฮเปอร์มาร์เก็ต ซื้อครบ 300 บาท ที่ตลาดโลตัส หรือเพียง 100 บาทที่เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2557

นอกจากนี้ เทสโก้ โลตัส ยังได้สร้างสรรค์สติ๊กเกอร์ LINE ให้ลูกค้าดาวน์โหลดได้ฟรี โดยสติ๊กเกอร์ LINE จะมาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสินค้าในเทสโก้ โลตัส เพียงแอดเฟรนด์กับเทสโก้ โลตัส ทาง LINE ก็จะได้รับรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมสิทธิพิเศษ

“เทสโก้ โลตัส ได้นำเสนอสินค้าคุณภาพดีในราคาสุดคุ้มเพื่อลูกค้ามา 20 ปีแล้ว และเรายังคงมุ่งมั่นที่จะมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและช่วยลดค่าครองชีพให้กับชาวไทยต่อไป โดยมีแคมเปญครบรอบ 20 ปีครั้งนี้ เป็นเครื่องยืนยัน” คุณวรรณา กล่าวสรุป

]]>
58540
ลูกค้านับแสนทะลักโออิชิ ผลจากแคมเปญลดราคา 50% https://positioningmag.com/58165 Mon, 28 Jul 2014 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=58165

ผลจากการจัดโปรโมชั่นลดราคา 50% ร้านอาหารในเครือ 6 แบรนด์ ประกอบไปด้วย โออิชิแกรนด์ , โออิชิ บุฟเฟต์ , นิกุยะ ,  ชาบูชิ, โออิชิ ราเมน และคาคาชิ ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม – 3 สิงหาคม โดยเริ่มวันนี้เป็นวันแรก ผลปรากฎว่า ลูกค้าตอบรับดีมากเกินความคาดหมาย ทุกสาขามีคนมาจองแน่น จนต้อง “ต่อคิว” แม้กระทั่งสาขาในอำเภอ หาดใหญ่ ที่เป็นสาขาที่มีลูกค้าน้อยกว่าสาขาอื่นๆ ก็มีคนมาทานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 

ส่วนสาขาที่คนเยอะที่สุด คือ สาขาห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ ที่ลูกค้ามาต่อคิวตั้งแต่ห้างสรรพสินค้ายังไม่เปิดโดยเข้ามาประตูของพนักงานห้างฯ จนเวลานี้มีนั่งรอเต็มทั้งชั้น  รวมทั้งสาขาในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล รัตนาธิเบศน์ ที่คนต่อคิวจนล้นออกไปนอกห้างฯ


 

นับตั้งแต่เราทำโปรโมชั่นการตลาดมาทุกปี ด้วยงบการตลาดเฉลี่ย 400 ล้านบาท ก็ยังไม่มีครั้งไหน ที่ทำแล้วกลายเป็นปรากฎการณ์ที่ทำให้คนมาต่อคิวได้เท่ากับโปรโมชั่นลดราคา 50% ที่โออิชิทำในครั้งนี้มาก่อนไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร โออิชิกรุ๊ป บอกกับ Positioning

โปรโมชั่นนี้ ยังเกินความคาดหมายที่ตั้งไว้ จากคาดว่าจะมีลูกค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 30%  หรือ 60,000 คน จากปกติ ซึ่งมียอดเฉลี่ยลูกค้า 30,000-50,000 คน รวมกัน 196 สาขา ทั่วประเทศ จาก 6 แบรนด์

ผลปรากฎว่า วันนี้วันเดียวคาดว่าจะมีลูกค้าเข้าร้าน เฉลี่ย 1 แสนคน รวมกันทั้ง 196 สาขา  จึงคาดว่าตลอดช่วง 7 วันที่จัดแคมเปญจะมีลูกค้าทั้งหมด 1 ล้านคน  สาขาที่มีคิวยาวที่สุด สำหรับวันแรก  คือ ที่สยามดิวคัฟเวอรี่ มียอดคิวถึง 600 กว่าคน

ส่วนสาเหตุที่ได้รับการตอบรับเกินคาดหมายนั้น ไพศาล มองว่า น่าจะเป็นเพราะ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ “อั้น” มานาน จากภาวะเศรษฐกิจซบเซามาพักใหญ่ ประกอบกับ การรับประทานอาหารร่วมกันคนในครอบครัว เพื่อนฝูง คนรัก เป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ยอดนิยมของคนไทย จึงให้ผู้บริโภคให้การตอบรับอย่างดี

แต่ถึงจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ผู้บริหารโออิชิ ยืนยันว่า ไม่มีการ “ต่อเวลา” โปรโมชั่น แน่นอน เพราะทำแล้วเพราะแคมเปญนี้ยิ่งทำมากก็ยิ่ง “ขาดทุน” เฉพาะต้นทุนอาหาร ก็คิดเป็นสัดส่วน กว่า 50% ของต้นทุนรวแล้ว ยังไม่รวมต้นทุนอื่นๆ เฉพาะแคมเปญนี้ โออิชิ ต้อง “ขาดทุน” ไปแล้ว 50 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้โออิชิ เคยจัดโปรโมชั่น ให้คนมา “กินฟรี” 1 วัน ที่โออิชิแกรนด์ สาขาห้างสรรพสินค้าสยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นการปลอบใจให้กับลูกค้า ในช่วงต้องประสบกับปัญหา วิกฤติการณ์“น้ำท่วม “ ก็มีคนมารอคิวจนเต็มลานจอดรถทั้ง 6 ชั้นมาแล้ว

ภาพจาก : Pantip.com

]]>
58165
Target ดัน Bundle สู้คู่แข่ง https://positioningmag.com/14089 Tue, 13 Sep 2011 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14089

ครั้งหนึ่งการรุกตลาดโดยใช้โปรโมชั่น Bundle หรือขายคู่ ขายหมู่ ขายรวม เคยถูกใช้ค่อนข้างจำกัดอยู่ในกลุ่มสินค้าบางจำพวก เช่น ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ที่รวมเอาหลายๆ ประเภทการใช้งานมารวมกันอยู่เป็นชุด นอกจากนี้ก็บริการเคเบิลทีวี ที่ซื้อบริการแล้วมีการจัดชุดช่องต่างๆ รวมกันไว้ให้ลูกค้าเลือก นอกจากนี้ก็ยังมีสินค้ากลุ่มอาหาร มีการรวมขายเป็นชุด

ห้างสรรพสินค้า Target ที่เน้นขายของราคาต่ำกว่าห้างอื่นๆ ถือว่าเป็นแห่งแรกที่กล้านำเอาแคมเปญขายเป็นชุดมาทำตลาดเพื่อกวาดยอดขายในยุคเศรษฐกิจชะงัก แข่งกับห้างสินค้าราคาถูกอื่นๆ โดยเน้นสินค้ากลุ่มต่างๆ อย่างเช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนต่างๆ

ทั้งนี้ Target เชื่อมันว่า โปรโมชั่นแบบขายรวม จะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของห้างเพิ่มสูงแซงหน้าคู่แข่งอย่าง Kmart หรือไม่ก็ Big W ได้อย่างรวดเร็ว

]]>
14089
7-11 VS Doraemon ใครแฟนเยอะกว่ากันนะ https://positioningmag.com/13319 Tue, 14 Dec 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13319

แสตมป์วิเศษ แลกของวิเศษ แคมเปญที่กลับมาอีกรอบของเซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) สำหรับโปรโมชั่นช่วงสั้นแค่ 4 เดือน 1 พฤศจิกายน 53 – 25 กุมภาพันธ์ 54 (แต่แลกของได้ถึง 28 กุมภาพันธ์) กลายเป็นแคมเปญที่แฟนๆ เซเว่นฯ รอคอย เช่นเดียวกับแฟนคลับโดราเอมอนที่คอยตอบเก็บของสะสม ก็กลับมากระหน่ำซื้อสินค้าที่เซเว่นฯ มากขึ้น

โดราเอมอน เป็นการ์ตูนที่เป็นที่รักทั้งกลุ่มผู้ใหญ่และกลุ่มเด็กซึ่งมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี แม้ว่า ฟูจิโกะ เอฟ. ฟูจิโอะ ผู้เขียนการ์ตูนเรื่องนี้จะลาโลกไปแล้วตั้งแต่ปี 2539 ก็ตาม เฉพาะหนังสือการ์ตูนมีตีพิมพ์มากกว่า 9 ภาษาทั่วโลก ขายได้มากกว่า 750 ล้านเล่ม ไม่รวมภาพยนตร์การ์ตูน หนัง และสินค้าที่ซื้อลิขสิทธิ์โดราเอมอน และไม่รวมที่ละเมิดลิขสิทธิ์ที่นับไม่ได้อีกนับไม่ถ้วน นี่คือเครื่องยืนยันว่าแฟนโดราเอมอนมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง

คนกลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยก็เป็นกลุ่มเดียวกับลูกค้าเซเว่นฯ ที่มีอยู่มากกว่า 7 พันสาขาในปัจจุบัน การซื้อขายภายในร้านเซเว่นฯ สำหรับซัพพลายเออร์นอกจากจะต้องคิดจัดแพ็กเกจจิ้งสินค้าและตั้งราคาให้เหมาะกับการค้าปลีกผ่านเซเว่นฯ แล้ว การทำโปรโมชั่นร่วมกับเจ้าของพื้นที่ก็เป็นรูปแบบที่ช่วยเพิ่มยอดขายได้อย่างเห็นผลทันตา

โดยปกติเซเว่นฯ จะมีโปรโมชั่นสินค้าออกมาอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นซื้อคู่ถูกกว่า สิทธิ์แลกซื้อของในราคาพิเศษเมื่อซื้อสินค้าครบทุก 40 แต่แคมปญที่แรงสุดก็คือ แสตมป์เซเว่นฯ นี่เอง จากเดิมกำหนดไว้ที่ 40 บาทต่อแสตมป์ 1 ดวง (มูลค่าขั้นต่ำ 1 บาท) รอบนี้เซเว่นฯ กล้าที่จะเพิ่มโปรโมชั่นเป็น 50 บาทต่อแสตมป์ 1 ดวง ถ้าไม่ใช่เพราะความขลังของเจ้าแสตมป์ที่ว่า ก็ไม่รู้จะพูดว่าเพราะอะไร

นี่ไม่ใช่รอบแรกของแสตมป์โดราเอมอน และคงจะได้เห็นอีกหลายรอบ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เซเว่นฯ เคยทำทั้งแสตมป์หมีพูห์และมิกกี้เม้าส์ แต่กระแสความแรงก็ไม่ถึงกับมีการทำซ้ำเหมือนโดราเอมอน ต้องถือว่าคาแร็กเตอร์แห่งความสุขและความสมหวังของเจ้าแมวอ้วน เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากกว่าคาแร็กเตอร์ตัวไหนๆ

ขณะที่สินค้าที่ร่วมรายการแจกแสตมป์ทองมูลค่าดวงละ 3 บาท ตั้งแต่ 1-15 ดวงก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น เฉพาะเดือนพฤศจิกายนเดือนเดียว มีจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 130 รายการ และจะหมุนเวียนไปสินค้าอื่นๆ จนครบช่วง 4 เดือน ถ้าแสตมป์ไม่ช่วยกระตุ้นยอดขาย ซัพพลายเออร์เหล่านี้คงไม่สนใจกระโดดรวมโปรโมชั่นกันอย่างคึกคักแบบนี้แน่ๆ และครั้งนี้เซเว่นฯ ถึงกับต้อนรับแฟนพันธุ์แท้โดราเอมอนและแสตมป์เซเว่นฯ ด้วยการตกแต่งหน้าร้านด้วยตัวละครเอกของเรื่อง ทั้งเจ้าโดราเอมอน โนปิตะ ไจแอ้น ซูเนโอะ และชิซูกะ ทำให้ประตูร้านมีสีสันเปลี่ยนไปทันตา

โปรโมชั่นแสตมป์
ชื่อแคมเปญ “แสตมป์วิเศษ แลกของวิเศษ”
สินค้าแลกซื้อ ของพรีเมียมลายโดราเอมอน
ระยะเวลาแลกแสตมป์ 1 พฤศจิกายน 53 – 25 กุมภาพันธ์ 54 และใช้แสตมป์ได้ถึง 28 กุมภาพันธ์ 54
เงื่อนไข ซื้อครบ 50 บาท ได้แสตมป์เงิน 1 ดวง (ยกเว้นบางรายการเช่น บุหรี่ เหล้า บัตรเติมเงิน) และแสตมป์ทองสำหรับสินค้าที่ร่วมรายการ
มูลค่าแสตมป์ ใช้แทนเงินสด ใช้บริจาค (รอบนี้ช่วยน้ำท่วม ขณะที่รอบที่แล้วสมทบทุนสร้างโบสถ์ของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ) ใช้แลกของพรีเมียมตามเงื่อนไขที่กำหนด
]]>
13319
โปรโมชั่นเด็ด ยังครองใจนักช้อป https://positioningmag.com/13309 Tue, 09 Nov 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13309

ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจขาลงในปีที่ผ่านมาทำให้ “โปรโมชั่น” กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดนักช้อปทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยนีลเส็นชอปเปอร์เทรนด์ได้สำรวจยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้พบว่า “เกือบ 7 ใน 10 ของผู้บริโภคไทยสนใจเรื่องโปรโมชั่น” เพราะคิดถึงความคุ้มค่ามากขึ้น

โดยประเทศที่ผู้บริโภคมีการซื้อสินค้าเพราะโปรโมชั่นจำนวนสูงที่สุดคือเวียดนาม มาเลเซีย จีน และอินเดีย ส่วนไทยจัดอยู่ในลำดับที่ 6 ของภูมิภาคนี้ ในปีที่แล้วสัดส่วนของผู้ที่ซื้อเพราะโปรโมชั่นมีสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น เวียดนามเพิ่มขึ้น 13% และอินเดียเพิ่มขึ้น 10% ส่วนไทยซึ่งเป็นประเทศที่ผู้บริโภคสนใจเรื่องโปรโมชั่นอยู่เป็นประจำอยู่แล้ว มีผู้บริโภคถึง 66% ยอมรับว่าโปรโมชั่นมีอิทธิพลต่อการซื้อพวกเขา

จัดประเภทพฤติกรรมนักช้อป

ทั้งนี้ สง่า บรรจงประเสิฐ ผู้อำนวยการแผนก Consumer Research บริษัท นีลเส็น ประเทศไทย จำกัด ให้ข้อมูลว่าปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคแบ่งออกเป็น 6 ประเภทด้วยกันคือ Stable, Variety Seeker, Choosy, Price Concierge, Promotion Seeker และ Convenience Seeker ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีพฤติกรรมดังนี้

1.กลุ่ม Stable จะมีพฤติกรรมที่เมื่อเดินมาถึงหน้าชั้นวางสินค้าแล้วก็หยิบได้ทันทีไม่มีลังเลเนื่องจากมีแบรนด์ในใจอยู่แล้ว

2.กลุ่ม Variety Seeker มักจะยืนดูรายละเอียดของสินค้าเป็นเวลานานๆ ซึ่งราคาไม่ใช่ปัจจัยหลักสำหรับการตัดสินใจซื้อ

3.กลุ่ม Choosey คือคนที่ต้องการรู้ข้อมูลสินค้ามากขึ้นกว่าป้ายบนฉลาก และมักถามข้อมูลเพิ่มเติมจากพนักงาน

4.กลุ่ม Price Concierge กลุ่มนี้มักใช้ราคาเป็นตัวตัดสินและมักมีการเปรียบกันหลายๆ แบรนด์

5.กลุ่ม Promotion Seeker สามารถเปลี่ยนใจได้ทันทีถ้ารู้ว่าห้างไหนให้โปรโมชั่นดีกว่า ซึ่งกลุ่มนี้มักจะดูใบปลิวก่อนว่าแบรนด์ไหนให้โปรโมชั่นดีที่สุด

6.กลุ่ม Convenience Seeker มักจะคำนึงถึงความสะดวกเป็นอันดับแรก ไม่ชอบความยุ่งยากซับซ้อน

จากพฤติกรรมดังกล่าวจะเห็นได้ว่าปัจจัยด้านราคาจะมีผลกับกลุ่ม Price Concierge, Variety Seeker และ Promotion Seeker เพราะมองหาสิ่งที่ดีที่สุดและมีการเปรียบเทียบขนาดกับราคาสินค้าเป็นประจำซึ่งมักพบในกลุ่มผู้บริโภคหญิงที่มองเรื่องความคุ้มค่ามากกว่าผู้ชาย ขณะเดียวกันถ้าแบรนด์ไหนมีสิทธิพิเศษ กลุ่มลูกค้าที่เป็น Stable ก็จะตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้นเพราะมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์อยู่แล้วและมักจะซื้อเก็บไว้ครั้งละเป็นจำนวนมากด้วย

“เมื่อแยกกลุ่มพฤติกรรมแล้วจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าแต่ละกลุ่มมีขนาดเท่าไหร่ ลักษณะทางประชากรศาสตร์เป็นอย่างไร อาชีพอะไร พักอยู่ย่านไหน อายุเท่าไหร่ และความสนใจในการช้อปปิ้งเป็นยังไง การเลือกห้างเพื่อซื้อของเป็นยังไง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้นำมาใช้ทำการตลาดได้ ทำให้นักการตลาดรู้ว่าผู้บริโภคในเซกเมนต์ไหนมีพฤติกรรมยังไง” สง่าอธิบาย

โอกาสของสินค้าเฮาส์แบรนด์
เมื่อ Value for money เข้ามามีบทบาทต่อพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้นจึงช่วยเพิ่มโอกาสให้กับสินค้าเฮาส์แบรนด์ หรือสินค้าตราห้าง (Private Labels) ในปีที่ผ่านมาทำให้สินค้ากลุ่มนี้มีส่วนแบ่งทางการตลาดในฮ่องกงมากกว่า 5% เพราะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคคำนึงถึงความคุ้มค่าในการซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้ส่วนแบ่งของยอดขายสินค้าเฮาส์แบรนด์ในเกือบทุกประเทศเพิ่มขึ้นด้วย

“เวลานี้ถือเป็นโอกาสดีของกลุ่มผู้ค้าปลีกที่จะนำเสนอสินค้าให้แก่ผู้บริโภคที่สนใจเรื่องความคุ้มค่า และยังเป็นโอกาสที่ดีจะสร้างความแตกต่างให้ตัวเองโดยการลงทุนกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ ซึ่งการรักษาคุณภาพสินค้าให้ดีอย่างต่อเนื่องและโปรโมตสินค้าอย่างกระตือรือร้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เนื่องจากผู้บริโภคในเอเชียเป็นกลุ่มที่จงรักภักดีต่อแบรนด์” ปีเตอร์ เกล กรรมการผู้จัดการ ด้านธุรกิจค้าปลีก ในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง และแอฟริกาสรุป

สำหรับในภาพรวมของยอดขายสินค้าอุปโภคบริโภคในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ไทยปรับตัวดีขึ้น 8% เมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของปีที่ผ่านมา ซึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีการโตขึ้น 12% โดยถูกขับเคลื่อนจากประเทศที่กำลังพัฒนา 6 ประเทศ จากทั้งหมด 13 แห่ง โดยเวียดนามมีอัตราการเติบโตที่สูงสุดถึง 16% รองลงมาคืออินเดีย 14.4% ฟิลิปปินส์ 14.2% จีน 11.9% อินโดนีเซีย 9.9% และไทย 7.8%

มนต์ของไฮเปอร์มาร์เก็ตในไทยยังไม่เสื่อม

แม้ว่าพิษเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาจะทำให้ไฮเปอร์มาร์เก็ตในเกาหลีและไต้หวันเสียส่วนแบ่งการตลาดถึง 1% เพราะผู้บริโภคลดความถี่ในการจับจ่ายที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตลงเพื่อต้องการเก็บเงินโดยพยายามไม่ใช้จ่ายไปกับสิ่งของที่ไม่จำเป็น ขณะที่ระดับการใช้จ่ายในไทยลดลงเล็กน้อยแต่อัตราความนิยมไฮเปอร์มาร์เก็ตในไทยยังถือว่ามีจำนวนมากที่สุดและเป็นช่องทางหลักอยู่ดี

ในรายงานของนีลเส็นยังเผยถึงการเติบโตด้านการใช้บริการที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือตลาดขนาดเล็กที่เพิ่มขึ้น เพราะตอบสนองความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภคมากขึ้นและยังช่วยลดค่าเดินทางได้อีกด้วย ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศไทย ไต้หวัน และอินโดนีเชีย ยังเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี โดยไทยมีจำนวนผู้บริโภคที่ใช้ซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นช่องทางหลักเพิ่มขึ้นจาก 10% ในปี 2551 เป็น 22% ในปี 2552

สิ่งที่น่าสนใจคือ แม้ว่าขนาดร้านจะเล็กกว่าห้างทั่วไป แต่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการร้านสะดวกซื้อที่อยู่ในปั๊มน้ำมันถี่มากขึ้น (จาก 3 ครั้งต่อเดือนในปี 2551 เป็น 4 ครั้งต่อเดือนในปี 2552) ส่วนร้านโชห่วย ตลาดสด และร้านสะดวกซื้อนอกปั๊มน้ำมัน ก็ยังมีการเข้าใช้บริการประมาณ 18, 14 และ 13 ครั้งต่อเดือน ซึ่งนับว่ายังคงเป็นช่องทาง 3 อันดับแรกที่ผู้บริโภคชาวไทยใช้บริการบ่อยที่สุด

โดยปีเตอร์วิเคราะห์ว่า ร้านสะดวกซื้ออย่าง 7 – Eleven จะยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกประเทศ รวมถึงการขยายตัวของธุรกิจอาหารและบริการอื่นๆ เพื่อสร้างความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันให้แก่ผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ไฮเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำต่างๆ พากันขยายสาขาไปยังพื้นที่ชุมชนเล็กๆ และจับกลุ่มที่มีลักษณะการจับจ่ายที่แตกต่างกัน

ผู้ชายช้อปปิ้งมากขึ้น

จากเดิมที่บรรดาแม่บ้านที่ต้องทำหน้าที่จับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ ภายในบ้าน สิ่งที่นีลเส็นพบจากการสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นผู้ชายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกำลังกลายเป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักของสินค้าอุปโภคบริโภคให้ครอบครัวอย่างช้าๆ เมื่อเทียบจาก 10 ปีที่ผ่านมา สัดส่วนของผู้ซื้อสินค้าเหล่านี้ที่เป็นชายเพิ่มสูงขึ้นจาก 14% เป็น 22% โดยเฉลี่ย ส่วนในประเทศไทยผู้ชาย 26% ยอมรับว่าพวกเขาเป็นผู้ซื้อหลักของครอบครัว โดยเพิ่มขึ้นจาก 15% ในปี 2545 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเดียวกัน

]]>
13309
ตู้พรินต์คูปองดิจิตอล Right Deal, Right Place, Right Now https://positioningmag.com/13176 Sat, 11 Sep 2010 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=13176

นักการตลาดรู้ดีว่าเทคนิคการหล่อลื่นยอดขายที่มาแรงและได้ผลจริงที่สุดในยุคเศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้ มีเพียงแต่การส่งเสริมการขายเท่านั้นที่จะพบกับผลลัพธ์ที่จับต้องได้ แต่โปรโมชั่นที่ทำให้ลูกค้าเกิด “Action” ได้อย่างแท้จริงนั้น ต้อง “ถูกคน ถูกที่ และได้ผลทันที” ซึ่งก็มีแต่เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างการระบุพิกัดตำแหน่ง (Location Based Service) เท่านั้นที่จะทำให้ทั้ง 3 ปัจจัยเกิดขึ้นพร้อมๆ กันได้ โดยรูปแบบการส่ง-รับสารโฆษณาก็มีทั้ง ผู้ขายส่งเอง (Geo-Fencing) หรือลูกค้าเป็นคนกระตือรือร้นที่จะเช็กอินเองอย่าง “โฟรสแควร์ (Foursquar) ”

แต่วันนี้หลังจากการเดินทางไปหลายเมืองใหญ่ทั่วไชน่า ผู้เขียนได้เห็นเทรนด์ใหม่ของการทำโปรโมชั่น ณ จุดขายด้วยเทคนิคที่ “เบสิกสุด” แต่เกิด Impact ต่อทั้งแม่บ้าน ผู้กำชะตาการใช้จ่ายเงินในซูเปอร์สโตร์ของทุกครอบครัว และวัยทีนที่ชอบอะไรใหม่ๆ เร็วๆ เจ๋งๆ นั่นคือ “เครื่องพิมพ์บัตรส่วนลด” ตู้ไฮเทคที่เชื่อมต่อระหว่างร้านค้าและลูกค้าได้ด้วยจอสัมผัส

Automatic Coupon Machine from Positioning Magazine on Vimeo.

“เครื่องพิมพ์บัตรส่วนลดนี้ ได้กระจายตัวไปยังสถานที่ต่างๆ อาทิ สถานีรถไฟใต้ดิน หน้าประตูเข้าห้างใหญ่ๆ และซูเปอร์สโตร์ โดยผู้ใช้จะต้องซื้อบัตร ที่ภายในฝังชิป RFID ไว้ (ใบละ 50-100 บาท แล้วแต่ดีไซน์ จ่ายครั้งแรก และครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต) จากนั้นก็สมัครเปิดใช้บริการผ่านมือถือ และเมื่อเดินผ่านตู้แบบนี้ก็เพียงเอาบัตรที่อยู่ในรูปแบบที่ห้อยโทรศัพท์ขนาดจิ๋วมาแตะที่เครื่อง จิ้มหน้าจอเพื่อเลือกส่วนลดที่ต้องการ เครื่องก็จะพิมพ์ออกมาเป็นคูปองเหมือนใบเสร็จที่เราได้จากการช้อปปิ้ง เพื่อนำไปใช้กับร้านค้าใกล้ที่สุดได้ทันที”

    วิเคราะห์องค์ประกอบของตู้พิมพ์บัตรส่วนลด

  • หน้าจอสัมผัส ที่ทำงานควบคู่กับการออกแบบไอคอนแบนเนอร์ร้านค้าต่างๆ ให้มีขนาดใหญ่ ทำให้กดด้วยนิ้วได้สะดวก
  • เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านไว-ไฟตลอดเวลา เพื่อที่จะสามารถเปลี่ยนโปรโมชันได้ทันทีจากศูนย์กลาง และยังส่งข้อมูลการใช้งานสั่งพิมพ์คูปองของลูกค้าแต่ละรายกลับไปยังศูนย์บัญชาการได้แบบเรียลไทม์
  • เนื้อหาคูปองของแต่ละตู้ จะแบ่งออกเป็นหลายธุรกิจ คูปองยอดนิยมคือคูปองของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด สถานบันเทิง เช่น โรงหนัง คาราโอเกะ (เมืองจีนเรียกว่า KTV) และคูปองรับตัวอย่างเครื่องสำอาง ข้อกำหนดเบื้องต้นคือ แต่ละตู้จะมีไม่เกิน 15 แบรนด์/หมวด สามารถเปลี่ยนแปลงเนื้อหาคูปองได้ทุกวัน-สองสัปดาห์ครั้ง โดยร้านค้าต่างๆ ในจอนั้นจะแสดงเฉพาะร้านที่มีตำแหน่งอยู่ใกล้ตู้นั้นๆ ที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้เดินไปใช้บริการได้ทันที
  • เครื่องพิมพ์คูปอง เมื่อพิมพ์ออกมาในกระดาษจะเห็นรูปโลโก้ร้าน และรายละเอียดส่วนลด วันเวลาที่พิมพ์และวันหมดอายุของคูปอง พร้อมทั้งเงื่อนไขการใช้คูปองอย่างละเอียด ที่พร้อมยื่นให้กับร้านค้าให้เป็นส่วนลดได้ทันที
    เคล็ดลับสู่ความสำเร็จของธุรกิจเครื่องพิมพ์บัตรส่วนลด

  • เลือกทำเลที่ตั้งตู้ ต้องเป็นที่มีคนเดินผ่านตลอดเวลา เช่น สถานนีรถไฟใต้ดิน (ลอยฟ้า) ประตูทางเข้าหน้าห้างซูเปอร์สโตร์
  • มีระบบการเก็บและประมวลผลฐานข้อมูลลูกค้า ที่จะต้องส่งให้เจ้าของสินค้าที่มาลงคูปองแบบเรียลไทม์
  • การทำให้บัตรมีขนาดเล็กมาก เสมือนเป็นพวงกุญแจ หรือห้อยไว้ที่มือถือได้ ฉะนั้นไม่ว่าจะไปไหนก็จะไม่มีวันลืม
  • ซื้อบัตร (สวยๆ เน้นขายดีไซน์บัตร) ครั้งเดียวแต่ใช้ได้ตลอดชีวิต และใช้การเปิดใช้บริการบัตรด้วยการส่ง SMS เข้าไปสมัครยังระบบ จุดนี้เองทำให้เชื่อมต่อไปกับการส่งสารโปรโมชั่นใหม่ๆ ทางมือถือ โดยที่เจ้าของบัตรไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใช้มากรอกข้อมูลส่วนตัว Demographic Profile อะไรให้ยุ่ง เพราะสามารถ Track ได้จากพฤติกรรมการกดเลือกคูปองหมวดต่างๆ นั่นเอง
  • ต้องเป็นเครื่องพรินต์ที่ลูกค้าเลือกสินค้าเอง จะทำให้มีคุณค่าและเกิดการใช้งานจริงๆ มากกว่าคูปองที่ได้รับแจกตามริมถนนทั่วไป หรือแม้กระทั่ง SMS คูปองก็ตาม
  • การใช้งานที่ง่ายและคุ้นเคย เพราะ “ตู้ซื้อของอัตโนมัติ” จากญี่ปุ่นกลายเป็นป๊อปคัลเจอร์ที่คนทุกวัยในโลกนี้รู้จักกันดี ฉะนั้นการจิ้มๆ หน้าจอเพื่อได้อะไรบางอย่างออกมาก็ไม่ยากเกินไปที่อาม่าวัย 85 จะผันตัวเป็นนักฉลาดช้อปได้ไม่ยาก
  • ตรงไลฟ์สไตล์คนจีน ที่พื้นฐานเป็นคนมัถยัสต์ ไม่อายที่จะยื่นส่วนลดให้พนักงาน และไม่วางแผนก่อนจะซื้ออะไรอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี การลงทุนในธุรกิจนี้ ก็ต้องมีมิใช่น้อย เพราะเป็นการเล่นกับเทคโนโลยี และค่าเช่าพื้นที่ ที่ต้องปรับตัวให้ทันอยู่ตลอดเวลา

Business Model อยู่ตรงไหน?

รายได้ทางตรง คือ การคิดค่าบริการแบรนด์ที่จะมาลงคูปองโฆษณา 20,000 บาท/เดือน ซึ่งจะได้แจกคูปอง / ดูสถิติการสั่งพิมพ์ / และแนะนำโปรโมชันจากผู้เชี่ยวชาญบริษัท โดยหลังจากได้ลองใช้งานส่วนใหญ่ก็จะเซ็นสัญญาต่อ 2-3 ปี ซึ่งผลลัพธ์เป็นยอดขายที่มากกว่า 5-8 เท่าของค่าเช่า ส่วนรายได้ในระยะยาวและต่อเนื่อง คือ การที่ตู้ไฮเทคนี้จะทำงานเป็นศูนย์กลางของข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคที่แม่นยำ เข้าถึงประวัติการซื้อของแต่ละบุคคลได้ (โดยไม่ละเมิดส่วนตัว เพราะไม่รู้ใครเป็นใคร รู้แต่เบอร์) ทำให้ขายข้อมูลที่สำคัญให้กับพันธมิตรธุรกิจต่อได้ไม่ยาก และสุดท้ายคือ ช่องทางต่อยอดรายได้ ที่ตู้นี้สามารถกลายพันธุ์เป็นตู้ศูนย์รวมทุกบริการ เช่น ซื้อตั๋วเครื่องบิน ตั๋วหนัง ลอตเตอรี่ เติมเงินมือถือ ฯลฯ

ธุรกิจตู้พิมพ์คูปอง

ตู้พิมพ์คูปองแบรนด์ใหญ่สุดที่มีสาขาอยู่ทั่วเมืองใหญ่อย่างปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ นานกิง (แผนต่อไปคือบุกซูโจว และอู๋ชี) คือ Velo (velo.com.cn) ซึ่งรับเงินลงทุนจากฝั่งตะวันตกรวมเข้ากับบริษัทท้องถิ่นในจีน ผู้ก่อตั้งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกจากเซี่ยงไฮ้ นามว่า จาก อี้ปิ่น ปัจจุบันมีมากกว่า 2,000 ตู้ใน 3 เมืองหลักนี้ แต่เมืองเล็กๆ อื่นๆ ก็มีการเลียนแบบระบบนี้ด้วยเช่นกัน เช่น Icoupon, Checkoo (กว่างโจว,เสินเจิ้น) and 5higo (หนานจิง) แต่ผู้ชนะคือ รายแรกที่บุกตลาด และมีจำนวนตู้มากที่สุดนั่นเอง

ขณะนี้มีผู้ใช้บัตรของ Velo แล้วผู้ใช้ 2 ล้านราย 70% เป็นผู้ใช้บริการประจำ ปีที่แล้วมียอดพรินต์คูปองออกจากตู้ประมาณ 80 ล้านครั้ง กลุ่มเป้าหมายหลักคือ สาวออฟฟิศอายุ 20-30 ปี คูปองที่ได้รับความนิยมสูงสุด 3 อันดับคือ ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด สถานบันเทิง (โรงหนัง คาราโอเกะ) และแจกฟรีตัวอย่างเครื่องสำอาง

]]>
13176