ล่าสุด SoftBank ก็ได้ปิดดีลขาย ‘ARM’ ผู้ผลิตชิปสัญชาติอังกฤษให้กับ ‘Nvidia’ บริษัทผลิตการ์ดจอ (GPU) เกมคอมพิวเตอร์และรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ในมูลค่าสูงถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (1.2 ล้านล้านบาท) ซึ่งถือเป็นดีลเซมิคอนดักเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา
โดยดีลนี้จะช่วยให้ Nvidia กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอุปกรณ์เชื่อมต่อไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน, พีซี, หุ่นยนต์และ 5G เนื่องจาก ARM เป็นผู้ผลิตชิปเซ็ตบนสมาร์ทโฟนและพีซีไม่ว่าจะเป็น Apple, Samsung รวมถึง Qualcomm และชิป Snapdragon ต่างถูกออกแบบบนสถาปัตยกรรมของ ARM ทั้งหมด
ทั้งนี้ ย้อนไปเมื่อปี 2016 หรือ 4 ปีก่อน SoftBank ได้เทกโอเวอร์ ARM ในมูลค่าสูงถึง 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (9.7 แสนล้านบาท) ซึ่งถือเป็นการครอบครองบริษัทจากต่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดโดยบริษัทญี่ปุ่นในเวลานั้น และหลังจากที่ SoftBank ปิดดีลดังกล่าวได้ ส่งผลให้หุ้น SoftBank ในโตเกียวเติบโตเกือบ 9%
]]>Intel ประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า กำลังออกจากธุรกิจโมเด็มมือถือ 5G หลังจากที่ Apple ตกลงกับ Qualcomm ซึ่งจะทำให้ Apple กลับมาใช้โมเด็มของ Qualcomm ในสมาร์ทโฟนของตัวเองอีกครั้ง
“Bob Swan” CEO ของ Intel จึงได้ออกมาชี้แจงว่า เตรียมยกเลิกธุรกิจโมเด็มเนื่องจาก Apple จะไม่ใช่โมเด็มของ Intel และบริษัท “ไม่เห็นหนทาง” ไปข้างหน้า นั้นเพราะ Apple เป็นลูกค้ารายใหญ่เพียงรายเดียวที่ใช้โมเด็มจาก Intel ในขณะที่สมาร์ทโฟนฝั่ง Android รายใหญ่ๆ ต่างใช้ Qualcomm หรือพัฒนาขึ้นมาเองทั้งสิ้น
ตามรายงานจาก Bloomberg ในเวลานั้น Apple ระบุถึงเหตุผลที่เลือกกลับมาซบ Qualcomm ว่า Intel ไม่สามารถจัดหาโมเด็ม 5G ให้กับ iPhone ในกรอบเวลาที่กำหนด เพื่อให้ทันต่อการวางจำหน่ายสมาร์ทโฟน 5G ได้ ส่งผลให้ Apple กลับมาคืนดีกับ Qualcomm
สำหรับดีลนี้ Apple จะได้มาซึ่งส่วนหนึ่งของธุรกิจของ Intel ซึ่งครอบคลุมสิทธิบัตรและพนักงานที่มีมูลค่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือมากกว่านั้น ซึ่งก่อนจะมาเป็นดีลนี้ Intel เองก็เริ่มประกาศหาผู้ที่จะเข้ามาธุรกิจโมเด็ม จนสุดท้ายมาลงเอยที่ Apple จนได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ Apple จะมีข้อตกลงเรื่องการใช้โมเด็มจาก Qualcomm อยู่แล้ว แต่ยักษ์ใหญ่ไอทีรายนี้ก็ได้พัฒนาโมเด็มของตัวเองขึ้นมาเช่นเดียวกัน และการซื้อธุรกิจโมเด็มของ Intel ในครั้งนี้จะส่งผลให้ Apple สามารถนำ Know-how รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ มาการพัฒนาชิป 5G เร็วยิ่งขึ้น.
]]>ศาลประชาชนชั้นกลาง (Intermediate People’s Court) เมืองฝูโจว ได้อนุมัติคำร้องของควอลคอมม์ ในการยื่นขอให้ออกคำสั่งชั่วคราว 2 ฉบับถึงบริษัทย่อย 4 แห่งของแอปเปิล ให้หยุดจำหน่าย ไอโฟน 6S, ไอโฟน 6S Plus, ไอโฟน 7, ไอโฟน 7 Plus, ไอโฟน 8, ไอโฟน 8 Plus และ ไอโฟน X
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นความคืบหน้าล่าสุดในข้อพิพาทอันยืดเยื้อเกี่ยวกับปัญหาสิทธิบัตรและค่าลิขสิทธิ์ระหว่างสองเทคโนโลยียักษ์ของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งต่อสู้กันในหลายศาลและในองค์กรบริหารต่างๆ ทั่วโลก
“แอปเปิลยังคงเดินหน้าแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาของเรา พร้อมกับปฏิเสธชดเชยแก่เรา คำสั่งของศาลเป็นการยืนยันเพิ่มเติมถึงความเข้มแข็งในด้านงานสิทธิบัตรอันกว้างขวางของควอลคอมม์“ ดอน โรเซนเบิร์ก รองประธานบริหารของควอลคอมม์ ระบุในถ้อยแถลง
ในขณะที่ ถ้อยแถลงของแอปเปิลที่ส่งถึงเอเอฟพี เรียกความพยายามของควอลคอมม์ ว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่สิ้นหวังของบริษัทหนึ่งซึ่งกระทำผิดกฎหมายและกำลังถูกสืบสวนโดยคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบทั่วโลก
แอปเปิลระบุว่า ควอลคอมม์ “กำลังอ้างสิทธิบัตร 3 ฉบับที่พวกเขาไม่เคยหยิบยกขึ้นมาก่อน และหนึ่งในนั้นก็เคยถูกหักล้างเป็นโมฆะไปแล้ว” พร้อมบอกต่อว่า “ผู้บริโภคในจีนยังสามารถหาซื้อไอโฟนได้ทุกรุ่น เราจะแสวงหาทุกทางเลือกทางกฎหมายผ่านกระบวนการศาล”
เมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา ควอลคอมม์ได้ทำการฟ้องแอปเปิล ครั้งล่าสุดในศึกสิทธิบัตรที่ทั้ง 2 บริษัทสู้รบกันมานาน โดยควอลคอมม์อ้างว่าแอปเปิลได้เอาเทคโนโลยีที่ทางควอลคอมม์เป็นผู้คิดค้นขึ้นมาไปใช้โดยที่ไม่ได้จ่ายเงินค่าสิทธิบัตร ทั้งนี้ควอลคอมม์ได้แจ้งข้อหาการละเมิดสิทธิบัตร 3 ฉบับ และต้องการคำสั่งชดเชยค่าเสียหาย และต้องการให้ศาลแบนไม่ให้แอปเปิลผลิตและวางขาย iPhone ในประเทศจีนอีกด้วย
คำสั่งของศาลในจันทร์ (10 ธ.ค.) ยังมีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าอันร้อนระอุระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง และเหตุจับกุมผู้บริหารระดับสูงของ ‘หัวเว่ย’ บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนในแคนาดา ตามคำร้องขอของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ
ปักกิ่งมีปฏิกิริยาอันโกรธเกรียวต่อการจับกุม เมิ่ง หว่านโจว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (ซีเอฟโอ) และบุตรสาวผู้ก่อตั้งหัวเว่ย ซึ่งเผชิญข้อกล่าวหาสมรู้ร่วมคิดฉ้อฉลสถาบันการเงินหลายแห่ง รวมทั้งเกี่ยวข้องในการทำธุรกรรมกับอิหร่านซึ่งเข้าข่ายละเมิดมาตรการลงโทษของอเมริกา
จีนกลายเป็นตลาดสำคัญของแอปเปิลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ ไชนา โมบายล์ ตกลงเริ่มเป็นผู้แทนจำหน่ายสมาร์ทโฟนแก่แอเปิล
รายงานผลประกอบการรายไตรมาสของแอปเปิลเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า ตลาดจีน ในนั้นรวมถึงไต้หวันและฮ่องกง นำรายได้สู่บริษัทราว 11,000 ล้านดอลลาร์ คือเป็น 18% ในรายได้รวมของบริษัท
ควอลคอมม์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ชั้นนำด้านผลิตชิปสำหรับอุปกรณ์มือถือ ต่อสู้ทางกฎหมายอันยืดเยื้อกับแอปเปิลมาหลายปีแล้ว โดย แอปเปิล อ้างว่า ควอลคอมม์ ละเมิดอำนาจทางการตลาดของพวกเขาเกี่ยวกับชิ้นส่วนมือถือบางอย่างเพื่อเรียกร้องค่าลิขสิทธิ์ที่ไม่เป็นธรรม
ทั้งนี้ ควอลคอมม์ทำการฟ้องกลับแอปเปิล และเมื่อช่วงกลางปีมันก็ขยายวงการสู่การต่อสู้ทางกฎหมาย โดยพวกเขากล่าวหาแอปเปิลขโมยความลับทางการค้าและแบ่งปันเทคโนโลยีเหล่านั้นแก่อินเทล คู่แข่งของควอลคอมม์
ในคำฟ้องในสหรัฐฯ ควอลคอมม์ ระบุว่าเป้าหมายของแอปเปิลคือการซื้อชิปจากอินเทลแทนการพึ่งพิงควอลคอมม์.
]]>โดยตำแหน่งที่พบบั๊กดังกล่าวไม่ได้มาจากแอปพลิเคชัน หากแต่เป็นซอฟต์แวร์ที่ควบคุมการทำงานของชิปเซ็ตของควอลคอมม์ (Qualcomm) ซึ่งโปรเซสเซอร์ควอลคอมม์นั้น มีการใช้งานอยู่ในสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ราว 900 ล้านเครื่องทั่วโลก อย่างไรก็ดี ยังไม่พบรายงานว่า มีแฮกเกอร์ทราบถึงช่องโหว่ดังกล่าว และใช้มันในการหาประโยชน์แล้วแต่อย่างใด
ด้าน Michael Shaulov โปรดักต์เมเนเจอร์แห่ง Checkpoint เผยว่า เขาค่อนข้างมั่นใจว่า ในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า จะมีแฮกเกอร์นำช่องโหว่ดังกล่าวไปหาประโยชน์ใส่ตัวแน่นอน
โดย Shaulov เผยว่า เขาพบช่องโหว่ดังกล่าวในซอฟต์แวร์ที่ดูแลด้านกราฟิก และโค้ดที่ควบคุมการติดต่อสื่อสารระหว่างโปรเซสการทำงานแต่ละตัว และได้ทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับบั๊กที่พบส่งให้กับทางควอลคอมม์แล้วตั้งแต่ต้นปี และทางควอลคอมม์ได้มีการออกแพตช์เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแล้ว รวมถึงการส่งแพตช์ต่างๆ ไปยังผู้ผลิตสมาร์ทโฟน และค่ายผู้ให้บริการแล้ว แต่ยังไม่มีตัวเลขแน่ชัดว่า บริษัทต่างๆ ที่ได้รับไปอัปเดตแพตช์ให้กับลูกค้าแล้วหรือยัง
อุปกรณ์ที่มีการใช้ชิปเซ็ตดังกล่าวประกอบด้วย
– BlackBerry Priv
– Blackphone 1 และ Blackphone 2
– Google Nexus 5X, Nexus 6 และ Nexus 6P
– HTC One, HTC M9 และ HTC 10
– LG G4, LG G5, และ LG V10
– New Moto X by Motorola
– OnePlus One, OnePlus 2 และ OnePlus 3
– Samsung Galaxy S7 และ Samsung S7 Edge (เวอร์ชันที่วางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา)
– Sony Xperia Z Ultra
ทาง Checkpoint จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชันฟรีชื่อ QuadRooter Scanner สำหรับตรวจสอบบั๊กในสมาร์ทโฟนให้ โดยแอปดังกล่าวจะค้นหาว่า มีการดาวน์โหลด และติดตั้งแพตช์ลงในสมาร์ทโฟนแล้วหรือยัง
พร้อมกันนี้ ทาง Checkpoint ยังได้แนะนำว่า ผู้ใช้งานแอนดรอยด์ควรดาวน์โหลดแอปจาก Google Play ซึ่งเป็นร้านค้าออนไลน์ของกูเกิลแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อความปลอดภัย
ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000078967
]]>