Research – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 22 Dec 2013 00:00:00 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 จุฬาฯ ร่วมกับสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เผย งานวิจัยใหม่ระบุวัคซีนเอชพีวี (HPV) คุ้มค่า ถึงเวลาแล้วหรือยัง https://positioningmag.com/57490 Sun, 22 Dec 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57490

ทีมนักวิจัยจากภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เผยผลการศึกษาใหม่ว่า วัคซีนเอชพีวีมีประสิทธิภาพสูงในการลดการติดเชื้อจากไวรัสเอชพีวีและมะเร็งปากมดลูก มีคุณค่าและประโยชน์ในการนำวัคซีนเอชพีวีเข้าในโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย

รองศาสตราจารย์นายแพทย์ วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ หัวหน้าสาขามะเร็งนรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์ ปิยลัมพร หะวานนท์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสถิติสาธารณสุข วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยว่าผลจากการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขซึ่งได้นำเสนอในการประชุมวิชาการนานาชาติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า การบรรจุวัคซีนเอชพีวีเข้าในโปรแกรมการตรวจคัดกรองและป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีในปัจจุบัน มีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับระดับความคุ้มค่าภายใต้บริบทของประเทศไทย วัคซีนเอชพีวีสามารถลดทั้งภาระโรคและค่าใช้จ่ายจากโรคที่เกิดจากเชื้อเอชพีวี โดยข้อมูลที่ได้นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการตัดสินใจเชิงนโยบายในการนำวัคซีนเอชพีวีบรรจุเข้าในโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไทย

มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่มีพบบ่อยเป็นอันดับต้นๆของประเทศไทย โดยมีอุบัติการณ์ของผู้ป่วยรายใหม่ในแต่ละปีเป็น 24.7 คน ต่อผู้หญิง 100,000 คน และเสียชีวิตเฉลี่ยถึง 14 คนต่อวัน

มีข้อมูลแสดงให้เห็นว่าการเกิดมะเร็งปากมดลูกในสตรีไทยมีสาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อเอชพีวี ไวรัสเอชพีวีบางสายพันธุ์ทำให้ผู้หญิงที่ติดเชื้อมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก ทำให้ผู้ป่วยทุกข์ทรมานจากตัวโรค และต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด ฉายแสง หรือให้เคมีบำบัด ตลอดจนประเทศต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นในแต่ละปี นอกจากนี้ไวรัสเอชพีวียังเป็นสาเหตุของโรคของอวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆ เช่น มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งช่องคลอด และมะเร็งทวารหนัก รวมทั้งโรคหูดหงอนไก่ การฉีดวัคซีนเอชพีวีจะสามารถป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีและโรคต่างๆที่มีสาเหตุมาจากไวรัสดังกล่าวได้

นายแพทย์ นิพนธ์ เขมะเพชร อาจารย์ สาขามะเร็งนรีเวชวิทยา ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า หลังจากมีการใช้วัคซีนเอชพีวีอุบัติการของมะเร็งปากมดลูกทั่วโลกได้ลดลง ในปีนี้เป็นปีแรกที่มีข้อมูลแสดงว่ามะเร็งปากมดลูกลดลงอย่างเห็นได้ชัดในประเทศสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่มีการนำวัคซีนเข้ามาใช้ในปีพ.ศ. 2549 โดยกลุ่มที่มีการลดลงของจำนวนผู้ป่วยอย่างเห็นได้ชัด คือ ผู้หญิงในช่วงอายุ 21-24 ปี ที่อุบัติการณ์ลดลงจาก 834 ราย เป็น 688 ราย ต่อประชากร 100,000 คน เช่นเดียวกับที่พบในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีการลดลงของโรคหูดหงอนไก่ในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 21 ปี ถึง 60% ในช่วงปี พ.ศ. 2550 -2554 และยังพบการลดลงของความผิดปกติของปากมดลูกชนิด high grade ในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 18 ปีถึง 47.5% (อุบัติการณ์ลดลงจาก 0.80% เป็น0.42%) ภายในระยะเวลา 3 ปี

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กนกวรรณ ธราวรรณ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า การลดมะเร็งปากมดลูกทำได้ด้วยการตรวจคัดกรอง ร่วมกับการฉีดวัคซีน สำหรับการตรวจคัดกรองนั้นเป็นเรื่องที่ต้องทำอยู่แล้ว เจอเชื้อเร็วเท่าไหร่ก็รักษาให้หายขาดได้เร็วเท่านั้น แต่ประเด็นคือปัจจุบันโลกเรามีวิทยาการที่ก้าวหน้าแล้ว เรามีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีแล้ว ไม่ต้องรอให้ติดเชื้อก่อน แล้วไปพยายามรักษาเอาตอนที่คัดกรองเจอ ทำไมไม่ป้องกันก่อน วัคซีนนี้ทำมาจากเปลือกไวรัส ไม่มีอันตราย แต่ช่วยป้องกันการติดเชื้อที่ทำให้เป็นมะเร็งปากมดลูกได้ แท้จริงแล้วเป็นสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ขั้นพื้นฐานตามข้อตกลง ICPD (International Conference on Population and Development Programme of Action) ด้วยซ้ำ หมายถึงว่า หากมีเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้หญิงดีขึ้น รัฐบาลก็ต้องจัดสรรให้ ไม่เช่นนั้นประเทศไทยจะช้ากว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน เพราะทราบว่ามาว่าประเทศภูฎาน ประเทศมาเลเซีย และเร็วๆนี้คือประเทศลาว ได้มีวัคซีนเอชพีวีใช้ในโครงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคของประเทศไปหมดแล้ว”

สุดท้ายรองศาสตราจารย์นายแพทย์ วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ ได้กล่าวปิดท้ายว่า “ผมเชื่อว่า การให้วัคซีนเอชพีวีเป็นหนึ่งในกลยุทธหลักในการลดมะเร็งปากมดลูกในสตรีทั่วโลก ควบคู่ไปกับการให้ความรู้และการตรวจคัดกรองที่สม่ำเสมอ”

]]>
57490
นักวิจัยยางแนะรัฐช่วย SME ทางสว่างของเกษตรกรยางแบบยั่งยืน https://positioningmag.com/57208 Sun, 15 Sep 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57208

รศ.ดร.เพลินพิศ บูชาธรรม ภาควิชาวิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ซึ่งทำงานวิจัยในอุตสาหกรรมยางมาต่อเนื่องกว่า 40 ปี กระทั่งได้รับรางวัลเมธีส่งเสริมนวัตกรรม จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ(NIA) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ความก้าวหน้าของนักวิทยาศาสตร์ของไทยในการพัฒนาคุณภาพและเพิ่มมูลค่าของยาง รวมถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ใช้ยางธรรมชาติเป็นวัตถุดิบนั้นมีจำนวนมาก บางงานวิจัยยังไม่เคยมีประเทศใดทำได้ แต่เสียดายที่งานวิจัยดีๆ เหล่านั้น ไม่สามารถนำความรู้และเทคโนโลยีลงสู่การปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ได้จริง เพราะติดปัญหาด้านการลงทุน การตลาด ส่งผลทำให้ไม่มีการขยายการผลิตผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจากยางพาราภายในประเทศ จึงไม่มีความต้องการการใช้ยางพาราเพิ่มขึ้นในขณะที่ผลผลิตยางพาราเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในระยะเวลาสิบปีนี้ เป็นผลทำให้ราคายางพาราตกต่ำอย่างมาก

แม้ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาการชะลอตัวของการผลิตยางซึ่งเป็นผลเกี่ยวเนื่องมาจากหลายเรื่อง ทั้งปริมาณการผลผลิตกับความต้องการของตลาดไม่สอดคล้องจนเกิดการล้นตลาด หรือจีนมีสต๊อกสินค้าจำนวนมากถึงขั้นประกาศให้เกษตรหยุดกรีดน้ำยาง รวมถึงธุรกิจรถยนต์ในญี่ปุ่นที่ถดถอย แต่การแก้ไขปัญหาภายในประเทศของไทยจะต้องเดินหน้าไม่ควรปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมของกลไกตลาดเท่านั้น พร้อมระบุว่า ในระยะหลังกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กของไทยทยอยปิดตัวไปจำนวนมาก รวมถึงอุตสาหกรรมแปรรูปจากยางกลุ่มนี้เป็นผู้ประสบปัญหาจากราคายางที่ค่อนข้างผันผวนมาโดยตลอด ทำให้ยากต่อการคำนวณต้นทุนโดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก หรือ SME ของไทยที่ต้องเลิกกิจการ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจยางที่ยังเหลืออยู่ส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติไม่ใช่คนไทย

“กลุ่มอุตสาหกรรมยางขนาดเล็กของไทยน่าสงสารมาก ภาครัฐจะต้องเข้ามาสนับสนุนอย่างจริงจังแบบเต็มรูปแบบ แม้จะมีการปล่อยกู้บ้างแต่เงื่อนไขที่มากมายที่ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะทดลองสายการผลิตใหม่เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มออกสู่ตลาด ดังนั้นการทำนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยางในอุตสาหกรรมระดับ SME ของไทยซึ่งมีอยู่มากจึงมีความเป็นไปได้ยากมาก ด้วยปัจจัยต่างๆ ไม่เอื้อ ทั้งค่าใช้จ่าย การรับความเสี่ยงตลอดจนความชัดเจนของตลาด ซึ่งหน่วยงานภาครัฐจะต้องเอื้อมมือเข้ามาช่วย SME อย่างทั่วถึงและเต็มรูปแบบมากกว่านี้ ค่าใช้จ่ายในเรื่องของค่าแรงงานที่สูงขึ้นทำให้มีผลกระทบมากอยู่แล้ว การพัฒนายางพาราของไทยที่จริงแล้วมีงานวิจัยมากมาย ออกมารองรับพร้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มมูลค่าอยู่จำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ขึ้นหิ้งหมดไม่สามารถต่อยอดในภาคการผลิตได้จริง ทั้งที่น่าจะเป็นโอกาสสำหรับประเทศไทย การทำการวิจัยและพัฒนาส่วนใหญ่เกิดมีขึ้นในส่วนกลุ่มธุรกิจที่มีขนาดใหญ่หรือมีเงินลงทุนเพียงพอซึ่งก็มักจะเป็นของต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายมากและต้องการผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่ลึกในด้านศาสตร์ของยางด้วย”

รศ.ดร.เพลินพิศ ระบุว่าดังนั้น รัฐบาลน่าจะเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องการส่งเสริมการลงทุนไม่เฉพาะจากต่างชาติเท่านั้น เพราะนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเปิดโรงงานก็ต้องประสบปัญหาเดิมๆ คือขาดแรงงานเพราะคนไทยไม่ทำในตำแหน่งเล็กๆ ประกอบกับค่าแรงที่ราคาสูงขึ้น อีกทั้งเป็นมาตรการที่สุดท้ายแล้วเกษตรกรอาจจะไม่ได้รับประโยชน์มากเท่ากับคนกลาง เพราะเกษตรกรยังคงขายยางดิบอยู่ ดังนั้นมาตรกรดังกล่าวอาจจะไม่เพียงพอ รัฐจะต้องส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ได้เกิดขึ้น หรือเกิดการรวมตัวเพื่อการผลิตจากกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราเอง รวมถึงการใช้โรงงานที่ อ.ส.ย.พยายามผลักดันให้เป็นอุตสาหกรรมแปรรูปยางแต่ไม่ได้มาตรฐานสากลนั้นกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ หากแต่จะต้องใช้งบประมาณหลายล้านบาทในการปรับปรุง เพราะการแก้ไขปัญหาเรื่องคุณภาพ หรือนวัตกรรมนั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนไทย แต่ปัญหาคือเงินลงทุนซึ่งขณะนี้ในส่วนขององค์ความรู้หรืองานวิจัยที่เกี่ยวข้องต่างๆ ของไทยค่อนข้างพร้อม

“การจะช่วยกลุ่ม SME นั้นไม่ใช่แค่ให้เงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรเท่านั้นแล้วจบซึ่งที่ผ่านมามันได้พิสูจน์แล้วว่าแนวทางนี้ไม่ประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่เขาต้องการคือองค์ความรู้ซึ่งในส่วนนี้นักวิชาการด้านยางของไทยซึ่งมีอยู่จำนวนมากนั้นคิดว่าเขาพร้อมที่จะนำความรู้ไปให้ โดยเฉพาะงานวิจัยที่เป็นปลายน้ำที่สามารถเพิ่มมูลค่าและโอกาสให้กับยางไทย อาทิการพัฒนาน้ำยางให้เข้ากันได้กับพลาสติกเพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น ทนแรงกระแทกได้ดี การพัฒนาเรื่องของการทำให้ยางมีความหนืดคงที่ ลดการเกิดเจล การกำจัดสารที่ทำให้แพ้ในน้ำยางเพื่อใช้กับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ด้ายยืด ถุงมือยาง การใส่สารเคมีเพื่อให้ยางธรรมชาติมีความคงทนมากกว่าเดิมเพื่อเพิ่มโอกาสให้กับยางไทย การนำยางธรรมชาติมาผลิตวัสดุผิวเคลือบสะท้อนความร้อน สูตรไบโอดีเซลที่มีน้ำมันเมล็ดยางพาราเป็นส่วนประกอบ การดัดแปรในระดับโครงสร้างในระดับโมเลกุลของยางเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม กาว หมึกพิมพ์ หรือแม้กระทั่งการทำน้ำหมึกจากยางธรรมชาติที่ดัดแปรโครงสร้างแล้วนั้น นักวิจัยไทยก็สามารถทำได้เป็นหนึ่งเดียวในโลก แต่ปัญหาที่เราไปต่อไม่ได้คือการลงทุน และการหาตลาดรองรับ ซึ่งในส่วนนี้รัฐบาลน่าจะต้องเข้ามาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เพราะเมื่อมีตลาดมีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางแล้ว การผลิตก็เดินหน้าได้ ก็จะเป็นการเพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราของไทยมากขึ้น เมื่อมีความต้องการใช้ยางขยายออกไปอย่างต่อเนื่องและกว้างขวาง ราคายางพาราก็จะไม่ตกต่ำอย่างเช่นปัจจุบันแน่นอน ดังนั้นรัฐบาลจะต้องหวนกลับมาคิดให้ความสำคัญและทำเป็นนโยบายแห่งชาติอย่างเป็นรูปธรรม”

รศ.ดร.เพลินพิศ กล่าวในตอนท้ายว่า นอกจากนี้รัฐยังสามารถหามาตรการอื่นๆ ในการช่วยให้ยางมีโอกาสในตลาดการค้าอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น การให้มีการนำยางมาใช้แทนอิฐบล็อกปูทางเท้า หรือ ใช้หุ้มเสาไฟฟ้าเพื่อลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ อย่าลืมว่าประเทศเราจะเข้าสู่ประเทศที่มีผู้สูงวัยมาก ดังนั้นการป้องกันทั้งด้านสุขภาพและอุบัติเหตุจึงควรจะได้รับการดำเนินการ ซึ่งในต่างประเทศมีการนำยางมาใช้แทนอิฐบล็อก แม้แต่ทำถนนมานานแล้ว เนื่องจากมีคุณสมบัติเด่นหลายเรื่องทั้งป้องกันอุบัติเหตุ มีความยืดหยุ่นสูง ดีต่อสุขภาพหากเดินบนพื้นยางทำให้ข้อเท้าและเข่าไม่เสื่อมง่าย แม้จะมีต้นทุนที่สูงกว่าอิฐบล็อกแต่ในระยะยาวแล้วคุ้มทุนในเรื่องคุณสมบัติที่ทนกระแทกได้มากกว่า ที่สำคัญเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับยางไทยที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งตลาดภายในประเทศด้วย เพราะหากพึ่งแต่ตลาดต่างประเทศแต่เพียงอย่างเดียวก็อาจจะประสบปัญหาอย่างที่เป็นทุกวันนี้

]]>
57208
ตลาดกวดวิชายังคงเติบโต : จับตา ทางเลือกกว้างขึ้นของนักเรียน และสินค้าติวเข้ามหาวิทยาลัย เป็นปัจจัยท้าทาย https://positioningmag.com/57097 Mon, 26 Aug 2013 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=57097

ธุรกิจกวดวิชาครอบคลุมถึงการเรียนกวดวิชาทั้งในรูปแบบโรงเรียนกวดวิชา และติวเตอร์อิสระที่สอนแบบตัวต่อตัวหรือสอนเป็นกลุ่ม โดยค่านิยมการเรียนเสริมความรู้ในบางรายวิชาของนักเรียนไทยทั้งในกลุ่มที่เรียนอ่อนและเรียนเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ธุรกิจกวดวิชาเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีมูลค่าตลาดอยู่ในระดับสูง ดังจะเห็นได้จากการขยายสาขาของโรงเรียนกวดวิชาในพื้นที่จังหวัดต่างๆทั้งในกรุงเทพฯและภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการธุรกิจกวดวิชาก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์การประกอบธุรกิจเพื่อให้สามารถประกอบธุรกิจได้อย่างยั่งยืนท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ในยุคปัจจุบัน

โรงเรียนกวดวิชาเน้นรวมตัวเป็นคลัสเตอร์ ขยายสาขา ปรับหลักสูตร และใช้เทคโนโลยี

นักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเรียนกวดวิชา ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งมีความต้องการเรียนกวดวิชาเสริมสร้างความรู้เพื่อใช้ในการสอบวัดผลการเรียนในโรงเรียนและสอบแข่งขันเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยฐานนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการเรียนกวดวิชามีอยู่จำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากข้อมูลของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการที่ระบุว่า ปี 2555 มีจำนวนนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในกลุ่มโรงเรียนประเภทสามัญศึกษาทั้งของรัฐบาลและเอกชนรวม 1,412,570 คน แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 163,743 คน และในภูมิภาค 1,248,827 คน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2550 ที่มีจำนวนรวม 1,166,942 คน

เมื่อพิจารณาข้อมูลการสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย พบว่า ในปี 2555 มีผู้สมัครเข้าศึกษาในระบบ Admissions ถึง 122,169 คน ในขณะที่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันของรัฐในสังกัดหรือกำกับของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สามารถรองรับนักศึกษาใหม่ได้เพียง 64,000 คน หรือรองรับได้เพียงร้อยละ 53 ของผู้สมัคร Admissions ทั้งหมด จึงส่งผลให้การสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยยังคงเป็นไปอย่างรุนแรง

กล่าวได้ว่า การมีนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่ศึกษาอยู่ในระบบเป็นจำนวนมาก ในขณะที่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันของรัฐมีขีดจำกัดในการรองรับนักศึกษา ได้นำมาซึ่งค่านิยมในการเรียนกวดวิชาของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเพื่อสร้างความได้เปรียบในการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย โดยการเรียนกวดวิชามีภาพลักษณ์ของการสรุปเนื้อหาอย่างตรงประเด็น สอนเทคนิคการทำข้อสอบ ใช้เวลาเรียนไม่มาก รวมถึงยังมีเทคนิคการสอนที่เพลิดเพลิน ซึ่งค่านิยมดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจกวดวิชาเติบโตและมีมูลค่าตลาดสูง ดังจะเห็นได้จากการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบการธุรกิจกวดวิชาทั้งโรงเรียนกวดวิชาและติวเตอร์อิสระ ที่มีผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังมีการขยายธุรกิจของผู้ประกอบการที่ประกอบธุรกิจในปัจจุบัน โดยปี 2555 ประเทศไทยมีโรงเรียนกวดวิชารวม 2,005 แห่ง แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ 460 แห่ง และในภูมิภาค 1,545 แห่ง และมีจำนวนนักเรียนที่เรียนกวดวิชารวม 453,881 คน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12 ของจำนวนนักเรียนระดับชั้นมัธยมทั้งหมด

เมื่อพิจารณาในรายวิชาต่างๆ พบว่า คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษเป็นวิชาพื้นฐานที่นักเรียนทุกคนมีความจำเป็นต้องศึกษาและใช้ในการสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย นักเรียนที่เรียนวิชาดังกล่าวจึงมีจำนวนมาก และมีผู้ประกอบการธุรกิจกวดวิชาในตลาดจำนวนมากตามไปด้วย ในขณะที่วิชาที่ต้องอาศัยความเข้าใจและการวิเคราะห์ระดับสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชาที่ใช้สอบเข้าคณะต่างๆของสายวิทยาศาสตร์ เช่น ฟิสิกส์ และเคมี พบว่า มีผู้ประกอบการธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาที่ดำเนินการสอนมานานและมีชื่อเสียงในกลุ่มนักเรียนอยู่แล้ว จึงก่อให้เกิดข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบการธุรกิจกวดวิชารายใหม่ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างชื่อเสียง อย่างไรก็ตาม พบว่า ในส่วนของวิชาอื่นๆ เช่น ชีววิทยา ภาษาไทย และสังคม ที่นักเรียนสามารถอ่านทบทวนเองได้นั้น ก็ยังมีผู้ประกอบการธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาที่มีชื่อเสียงในกลุ่มนักเรียนอยู่แล้วเช่นกัน ทั้งนี้ โรงเรียนกวดวิชาต่างก็มีกลยุทธ์ในการลงทุนที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาดของโรงเรียน ชื่อเสียง และทำเลที่ตั้ง โดยโรงเรียนกวดวิชาที่มีชื่อเสียงมักใช้กลยุทธ์ ดังนี้

• การรวมตัวกันเป็นคลัสเตอร์ : ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า มีความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียนกวดวิชาชื่อดังในวิชาต่างๆที่หลากหลายร่วมกันจัดการเรียนส่วนตัวแบบออนไลน์ รวมถึงมีการใช้สถานที่หรืออาคารร่วมกันเพื่อเป็นจุดศูนย์กลาง หรือ One – Stop Service ในการเดินทางมาเรียนกวดวิชาสำหรับนักเรียน โดยสถานที่โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังส่วนใหญ่มักมีทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองและห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีการคมนาคมที่สะดวก

• การขยายสาขาไปต่างจังหวัดที่มีศักยภาพ : แต่เดิมกลยุทธ์ของโรงเรียนกวดวิชาชื่อดังมักเลือกขยายสาขาไปในกรุงเทพฯและจังหวัดหลักในภาคต่างๆ นักเรียนจังหวัดรอบข้างจึงต้องเดินทางมาเรียน ในขณะที่นักเรียนบางคนก็มีข้อจำกัดด้านการเดินทางจึงไม่สามารถเข้าถึงการเรียนกวดวิชาได้ อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการขยายตัวของความเป็นเมือง ประกอบกับการเล็งเห็นถึงขนาดตลาดของนักเรียนที่เรียนกวดวิชาและศักยภาพทางเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวัดอื่นๆที่จะนำมาซึ่งกำลังซื้อของผู้ปกครอง โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังจึงได้มุ่งขยายสาขาจากจังหวัดหลักในภาคต่างๆไปจังหวัดรองมากขึ้น เช่น เชียงราย นครสวรรค์ พิษณุโลก อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ราชบุรี ตรัง เป็นต้น ส่งผลให้สามารถขยายฐานนักเรียนในต่างจังหวัดได้มากยิ่งขึ้น

• การปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับระบบ Admissions : การสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยในระบบ Admissions ที่มีการสอบแข่งขันทั้งในระบบกลางและระบบรับตรงของมหาวิทยาลัย ได้ส่งผลให้โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังหันมาปรับหลักสูตรให้สอดคล้องกับระบบดังกล่าวมากขึ้น ครอบคลุมทั้งวิชาสามัญทั่วไป การสอบความถนัดทั่วไป (GAT: General Aptitude Test) การสอบความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ (PAT: Professional and Academic Aptitude Test) รวมถึงวิชาเฉพาะ เช่น วิชาเฉพาะแพทย์

• การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเรียนการสอน : โรงเรียนกวดวิชาชื่อดังได้นำเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามาใช้ในการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำ Application เกี่ยวกับการเรียนการสอนผ่านทางสมาร์ทโฟน การเรียนส่วนตัวแบบออนไลน์ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูงโดยนักเรียนสามารถบริหารจัดการการเรียนด้วยตนเองผ่านคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน รวมถึงการใช้แท็บเล็ทประกอบการเรียนการสอน ซึ่งถือได้ว่าเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับนักเรียนได้เป็นอย่างดี

ทั้งนี้ การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นในตลาดธุรกิจกวดวิชาได้ส่งผลให้มีผู้ประกอบการธุรกิจกวดวิชาบางรายเริ่มกระจายความเสี่ยงโดยการขยายไปในธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เช่น บริการแนะแนวการศึกษา แฟรนไชส์ธุรกิจการศึกษา การผลิตสื่อและสิ่งพิมพ์ รวมถึงการขายสื่อการเรียนรู้แบบมัลติมีเดียให้โรงเรียนต่างๆ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประมาณการมูลค่าตลาดธุรกิจกวดวิชา ทั้งในส่วนของการเรียนกวดวิชาในรูปแบบโรงเรียนกวดวิชา และติวเตอร์อิสระที่สอนแบบตัวต่อตัวหรือสอนเป็นกลุ่มในปี 2556 ไว้ที่ประมาณ 7,160 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีมูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท และจะเติบโตไปสู่ 8,189 ล้านบาทในปี 2558 หรือเติบโตโดยเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี โดยคาดว่าจะมีปัจจัยหนุนมาจากการเพิ่มราคาค่าเรียนต่อหลักสูตรและจำนวนนักเรียนที่เรียนกวดวิชาเพิ่มขึ้น

หลากปัจจัยท้าทายตลาดกวดวิชา แนะผู้ประกอบการต้องปรับตัว

ในอดีตที่ผ่านมา ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชามีภาพลักษณ์ของการเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ กล่าวคือ เป็นธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนในแต่ละปีค่อนข้างคงที่ อีกทั้งค่านิยมของผู้ปกครองไทยที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาของบุตรหลานจึงมองว่าการเรียนกวดวิชาเป็นสิ่งจำเป็น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยี ได้ส่งผลให้สภาพแวดล้อมในการประกอบธุรกิจกวดวิชาเปลี่ยนแปลงไป ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประมวลความท้าทายที่อาจส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจกวดวิชาในอนาคต ดังรายละเอียดต่อไปนี้

• ทางเลือกในการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยมากขึ้น

การเพิ่มขึ้นของจำนวนหลักสูตรภาคพิเศษ และหลักสูตรการเรียนการสอนแบบนานาชาติของมหาวิทยาลัยรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักสูตรการเรียนการสอนแบบนานาชาติที่เปิดใหม่เพื่อผลิตบุคลากรรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC อาจส่งผลให้การแข่งขันเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลมีความรุนแรงลดลง อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ว่าความรุนแรงในการสอบแข่งขันเพื่อศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยจะลดลงและส่งผลกระทบต่อภาพรวมของธุรกิจกวดวิชา แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นโอกาสของโรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษที่จะสามารถขยายฐานนักเรียนที่ต้องการเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษ เพื่อใช้ในการสอบแข่งขันศึกษาต่อในหลักสูตรนานาชาติ

นอกจากนี้ การที่ผู้คนในสังคมยอมรับคุณภาพของมหาวิทยาลัยเอกชนมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเร่งยกระดับคุณภาพให้เทียบเท่ามหาวิทยาลัยรัฐบาล ทั้งด้านการเปิดการเรียนการสอนในสาขาที่หลากหลาย มีการชูจุดเด่น ทั้งความพร้อมในด้านบุคลากร สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆภายในมหาวิทยาลัยเพื่อดึงดูดนักศึกษา รวมถึงในอนาคต หากมีการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการจัดตั้งมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้มหาวิทยาลัยต่างชาติที่มีชื่อเสียงสามารถเข้ามาเปิดวิทยาเขตภายในประเทศไทยเพื่อเป็นตัวเลือกหนึ่งสำหรับนักเรียนได้ ส่งผลให้การแข่งขันเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรัฐบาลอาจไม่รุนแรงเช่นในอดีต ซึ่งนักเรียนอาจให้ความสำคัญกับการเรียนกวดวิชาเพื่อสอบแข่งขันศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยรัฐบาลลดลง

• การทำการตลาดเพื่อเจาะกลุ่มนักเรียนและนักศึกษาของผู้ผลิตสินค้า

ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภครายใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าประเภทเครื่องดื่มบำรุงสมอง ต่างก็หันมามุ่งเจาะตลาดนักเรียนและนักศึกษา โดยมุ่งสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าในการเป็นตัวช่วยทางด้านการเรียน ซึ่งเป็นแนวคิดในการสร้างความผูกพันธ์กับแบรนด์สินค้าตั้งแต่วัยเด็กเพื่อเป็นข้อได้เปรียบในการทำการตลาดระยะยาว ที่จะส่งผลให้ลูกค้ากลุ่มนักเรียนและนักศึกษามีความผูกพันธ์กับแบรนด์สินค้าและกลายเป็นลูกค้าที่มีกำลังซื้อในอนาคต ผ่านการจัดกิจกรรมทางการตลาดในรูปแบบการเปิดติววิชาต่างๆเพื่อสอบแข่งขันศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งอาจส่งผลให้นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวมากขึ้น ทดแทนการเรียนกวดวิชาซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง

นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายในด้านอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น การเติบโตของสื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทั้งในรูปแบบการถ่ายทอดการเรียนการสอนออกอากาศผ่านทางโทรทัศน์ช่องต่างๆ สื่อประเภทวีซีดีและดีวีดี และช่องทางอินเทอร์เน็ต ที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ในรูปแบบการเรียนผ่านเว็บไซท์ e–Learning คลิปวีดิโอ ที่ยังมีการออกแบบให้สามารถมีปฏิสัมพันธ์ได้อย่างเพลิดเพลิน ไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงสามารถเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา ยกตัวอย่างเช่น www.khanacademy.org ซึ่งเป็นเว็บไซท์ไม่แสวงหาผลกำไรชื่อดัง ที่มีแบบทดสอบเรื่องต่างๆให้ผู้เรียนได้ทดสอบความรู้เช่นเดียวกับการเรียนที่โรงเรียน อีกทั้ง การที่ผู้ปกครองหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพในด้านอื่นๆของบุตรหลานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทักษะภาษาต่างชาติ การฝึกสมอง งานศิลปะ ดนตรี รวมถึงกีฬา เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลให้ผู้ปกครองและนักเรียนมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการเรียนกวดวิชาน้อยลง

จากความท้าทายที่อาจส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจกวดวิชาดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจกวดวิชาต้องปรับตัวให้สอดคล้องตามการเปลี่ยนแปลง นอกจากการกำหนดตำแหน่งการแข่งขันของโรงเรียนกวดวิชาในการเป็นสถานที่เรียนรู้เนื้อหาวิชาการเพิ่มเติม รองจากโรงเรียนแล้ว ผู้ประกอบการธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาควรกำหนดตำแหน่งการแข่งขันของโรงเรียนกวดวิชาในการเป็นศูนย์รวม หรือ Community ของนักเรียนเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับนักเรียนในระยะยาว ที่จะสามารถดึงดูดนักเรียนให้เข้ามาเรียนเป็นกลุ่มและเกิดการบอกต่อไปยังกลุ่มเพื่อน รวมถึงยังต้องยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน โดยมุ่งเน้นการทำความเข้าใจในเนื้อหาบทเรียนและเสริมสร้างทักษะการคิดวิเคราะห์สำหรับนักเรียนให้มากขึ้น จากที่ในปัจจุบันจะเป็นการมุ่งเน้นสรุปเนื้อหาและถ่ายทอดเทคนิคการทำข้อสอบเท่านั้น

ทั้งนี้ จากการขยายธุรกิจของโรงเรียนกวดวิชาที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นผู้ประกอบการหลักจำนวนไม่กี่รายไปในจังหวัดต่างๆที่เป็นหัวเมืองรอง นำมาซึ่งความจำเป็นในการปรับตัวของโรงเรียนกวดวิชาท้องถิ่น โดยโรงเรียนกวดวิชาท้องถิ่นควรใช้จุดแข็งด้านความเข้าใจถึงความต้องการและข้อจำกัดของนักเรียนในท้องถิ่น รวมถึงค่าเรียนต่อหลักสูตรที่อยู่ในระดับไม่สูงมากนักดึงดูดนักเรียน และในขณะเดียวกัน ก็จำเป็นต้องปรับหลักสูตรและนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการเรียนการสอนควบคู่กันไป

]]>
57097
แมคแคน ทรูธ เซ็นทรัล เปิดมุมมองหลากมิติคุณแม่ยุคดิจิตอล (The Truth About Moms) https://positioningmag.com/55508 Fri, 10 Aug 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=55508

จากการศึกษาวิจัยทั่วโลกพบว่ากว่าร้อยละ 50 ของหญิงที่แต่งงานและมีบุตรแล้ว กล่าวว่า “เสียแหวนหมั้น ยังดีกว่าเสียเทคโนโลยีประจำตัว” 

การศึกษาวิจัยอย่างเข้มข้นทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพครั้งล่าสุดโดย         แมคแคน ทรูธ เซ็นทรัล ในหัวข้อ “เปิดมุมมองหลากมิติคุณแม่ยุคดิจิตอล (The Truth About Moms)” ระบุ    โลกกำลังเข้าสู่ยุคของ “เศรษฐกิจยุคคุณแม่” หรือยุคเศรษฐกิจที่มีบรรดาคุณแม่เป็นตัวขับเคลื่อน ยุคสมัยซึ่งแม่บ้านทันสมัยต่างก้าวทันโลกแห่งเทคโนโลยี โดยกว่า 2 ใน 3 ของบรรดาคุณแม่ล้วนมีความคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี และถือเป็นกลุ่มที่นักการตลาดเรียกว่า “super-influencer” หรือผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจสูง มีความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์และแลกเปลี่ยนคำแนะนำหรือแนวคิดดีๆ ที่ได้รับการยอมรับ ไม่เพียงเท่านั้น คุณแม่ในยุคนี้ยังเป็นกำลังสำคัญในการปรับประยุกต์เป้าหมายอันหลากหลายของคนใหม่ให้มุ่งเน้นไปที่ความสุขมากกว่าความร่ำรวยและความสำเร็จ 

 

บรรดาคุณแม่และเทคโนโลยี

“แม้ว่าเรามักจะมองบทบาทของบรรดาคุณแม่ในแง่อารมณ์ความรู้สึก แต่ในความเป็นจริงคนกลุ่มนี้ถือเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ เพราะพวกเธอเป็นผู้ใช้เทคโนโลยีในลักษณะที่ข้ามขีดจำกัดเดิมๆ” ดาริล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายกลยุทธ์ ของแมคแคน อีริคสัน กล่าว “ในหลายประเทศ เช่น จีน ที่ซึ่งแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้อาจมีจำกัด บรรดาคุณแม่ที่เป็นบล็อกเกอร์จะช่วยกันค้นหาความจริง ทั้งนี้ เพื่อที่จะได้รับความสนใจจากพวกเธอ แบรนด์สินค้าต่างๆ จำเป็นต้องได้รับการยอมรับจากพวกเธอด้วย” จากการศึกษาวิจัยครั้งนี้พบว่า:

• เว็บบล็อกถือเป็นรากฐานของ “Mom Economy” ซึ่งความรู้และความเชี่ยวชาญกลายเป็นปัจจัยสำคัญ โดยเกือบร้อยละ 40 ของบรรดาคุณแม่ระบุว่าพวกเธอเขียนบล็อก อย่างในประเทศจีน คุณแม่ราวร้อยละ 86 เขียนบล็อกใน Weibo (ได้ชื่อว่าเป็นคู่แฝดของ Twitter เวอร์ชั่นภาษาจีน) 

• เทคโนโลยีสำคัญอย่างไรต่อบรรดาคุณแม่?

o ร้อยละ 67 เชื่อว่าเทคโนโลยีจะช่วยให้พวกเธอทำหน้าที่แม่ได้ดีกว่าเดิม แนวโน้มนี้พบมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่อย่างจีน (เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 91) และอินเดีย (เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90) 

o ร้อยละ 49 ของผู้ที่แต่งงานและมีบุตแล้วมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่ตนใช้ประจำเป็นส่วนตัวมากกว่าแหวนหมั้นเสียอีก

 คุณแม่รายหนึ่งในบราซิล กล่าวว่า “เนื่องจากเราไม่มีครอบครัวคอยให้ความช่วยเหลือเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เทคโนโลยีมีส่วนช่วยงานคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกตัวคนเดียวอย่างเราได้มาก เทคโนโลยีจึงถือเป็นเพื่อนของเรา!”

 

บรรดาคุณแม่กับความสุข 

“ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถาโถมและเรื่องอื้อฉาวขององค์กรในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาดูเหมือนจะมีส่วนทำให้คุณแม่ทั้งหลายเปลี่ยนเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับลูกๆ ของพวกเธอ” ลอร่า ซิมป์สัน ผู้อำนวยการกลุ่มตลาดโลกของแมคแคน ทรูธ เซ็นทรัล กล่าว “ในขณะที่แม่หลายคนมุ่งเน้นความสำเร็จทางวัตถุของลูกๆ มากเกินไปในยุคก่อนหน้านี้ กลับปรากฏว่าแม่หัวสมัยใหม่ นับตั้งแต่ในสหรัฐอเมริกา ไปถึงจีนและเม็กซิโก มีค่านิยมสอดคล้องต้องกัน คือ พวกเธอต้องการเลี้ยงดูลูกให้มีความสุข” ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่า:

• ร้อยละ 83 ของแม่ในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับความสุขของลูกๆ เหนือความสำเร็จและความร่ำรวย;

• ร้อยละ 65 ของแม่ในปัจจุบันปฏิเสธความเชื่อดั้งเดิมที่ต้องทำตัวเป็น “สุดยอดคุณแม่” 

• ร้อยละ 71 ของแม่ในปัจจุบันต้องการให้ลูกๆ รู้จักตัวตนที่แท้จริงของพวกเธอ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย 

แม่คนหนึ่งในญี่ปุ่น กล่าวว่า “ฉันต้องการให้ลูกชายของฉันภาคภูมิใจในทัศนคติของฉันที่ไม่กลัวความผิดพลาด”

 

*เกี่ยวกับงานวิจัยหัวข้อ “The Truth About Moms” – ระเบียบวิธีวิจัย 

The Truth About Moms เป็นหนึ่งในชุดงานศึกษาวิจัยระดับโลก ซึ่งจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ให้ข้อมูลแก่ แบรนด์ต่างๆ ในการกำหนดกลยุทธ์เพื่อเข้าถึงกลุ่มคุณแม่สมัยใหม่ที่ทำงานหลายอย่างและก้าวทันเทคโนโลยี การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการสำรวจเชิงปริมาณผ่านแบบสอบถามความคิดเห็นออนไลน์ ซึ่งมีบรรดาคุณแม่เป็นผู้ตอบแบบสอบถามรวม 6,800 คน ทั้งในสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา อิตาลี ญี่ปุ่น บราซิล จีน อินเดีย และเม็กซิโก นอกจากนี้ ยังได้ข้อมูลเชิงลึกจากกลุ่มตัวอย่างจำเพาะอีกกว่า 40 กลุ่ม ซึ่งทำการสำรวจในทุกประเทศดังกล่าวข้างต้น รวมถึงอินโดนีเซีย มาเลเซีย เปรู สิงคโปร์ ไต้หวัน และประเทศไทย 

เกี่ยวกับ แมคแคน ทรูธ เซ็นทรัล

แมคแคน ทรูธ เซ็นทรัล เป็นหน่วยงานวิจัยของแมคแคน อีริคสัน หน่วยงานภายใต้แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป ที่มีขอบข่ายการดำเนินงานในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และมุ่งแสวงหาความจริงที่เปิดมุมมองใหม่ให้คนทั่วโลกและช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ได้ใช้ข้อมูลนั้นให้เกิดประโยชน์ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ทรูธ เซ็นทรัล หรืองานวิจัย Truth About Moms และ Truth Studies ฉบับก่อนหน้านี้ได้ที่ http://truthcentral.mccann.com/truth-studies/

เกี่ยวกับแมคแคน เวิลด์กรุ๊ป

แมคแคน เวิลด์กรุ๊ป เป็นผู้นำด้านการสื่อสารการตลาดระดับโลกที่มีหน่วยงานสื่อสารการตลาดในด้านต่างๆ ครบวงจร อันได้แก่ แมคแคน อีริคสัน – บริษัทโฆษณา, เอ็ม.อาร์.เอ็ม. เวิลด์วายด์ -ดิจิตอลและการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์, แมคแคน เฮลธ์แคร์– สื่อสารด้านผลิตภัณฑ์ยาและสินค้าเพื่อสุขภาพ, โมเมนตัม – อีเว้นท์และโปรโมชั่น, ฟิวเจอร์ แบรนด์ – การออกแบบและดีไซน์, เวเบอร์ แชนด์วิค – ประชาสัมพันธ์

]]>
55508
ใครกันแน่ลูกค้าประกันชีวิต “ผู้สูงวัย” https://positioningmag.com/14554 Tue, 21 Feb 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14554

มาถึงวันนี้ ชัดเจนแล้วว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ สังเกตได้ง่ายๆ จากการที่มีสินค้าหรือบริการเพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ สถานพยาบาลที่ดูแลคนชรา และไม่เว้นแม้แต่ประกันชีวิตที่เจาะจงเฉพาะกลุ่ม ส.ว. (สูงวัย) กลุ่มอายุ 50-75 ปี 

ภาพรวมในปัจจุบัน บริษัทประกันชีวิตส่วนใหญ่จะเน้นทำการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายผู้สูงวัยเหล่านี้โดยตรง ด้วยจุดขายเช่น ไม่ต้องตรวจสุขภาพหรือตอบปัญหาสุขภาพ และค่าเบี้ยประกันต่ำโดยเริ่มต้นเพียงวันละประมาณ 5-7 บาท อย่างที่เห็นได้จากสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ อย่างไรก็ตาม คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามี “หลายๆ กรณี” ที่ผู้ที่ติดต่อเข้ามาจะเป็นบรรดาลูกหลานของเหล่า ส.ว.แทนที่จะเป็นบรรดาท่าน ส.ว.โทรติดต่อเข้ามาเองทั้งหมด หรือคนที่ใช้สินค้าไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจซื้อเอง

ดังนั้น ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มมุมมองใหม่ๆ ให้กับธุรกิจประกันชีวิตประเภทนี้ บริษัท ฟาร์อีสท์ ดีดีบี จึงได้ทำการสำรวจความคิดเห็นกับผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเพศชายและเพศหญิงที่มีอายุระหว่าง 18-45 ปี จำนวนทั้งหมด 200 คน ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเป็นการทำการศึกษาผ่านทาง Insights Springboard ซึ่งเป็นเครื่องมือการศึกษาเบื้องลึกของผู้บริโภคที่สามารถทำให้เข้าใจเกี่ยวกับทัศนคติ และความต้องการของผู้บริโภคและสังคมแวดล้อมได้อย่างลึกซึ้ง

 

วันนี้…ที่อุปสรรคทางความเชื่อกำลังเปลี่ยนไป

เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ใครก็ตามที่มีพูดถึงการซื้อประกันชีวิตให้กับพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ (โดยเฉพาะท่านที่อาจจะมีโรคประจำตัวอยู่แล้ว) อาจจะถูกมองได้ว่ากำลังให้ร้ายหรือว่ากำลังแช่งท่าน ส.ว.ในครอบครัว จนบางท่านอาจจะต้องใช้วาทศิลป์หรือกลยุทธ์ต่างๆ ในการที่จะโน้มน้าวหว่านล้อมให้ท่านเหล่านั้นเห็นความสำคัญและความจำเป็นของประกันชีวิต หรือสำหรับบางท่านอาจจะเก็บความคิดดังกล่าวเข้ากรุไปจนลืมไปแล้ว

สำหรับผู้ที่ยังคงมีความเชื่อเช่นนั้น ข้อมูลจากการสำรวจในครั้งนี้ อาจจะทำให้ท่านแปลกใจพอสมควร เนื่องจากมีเพียง 10% ของกลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้ที่เห็นด้วยว่า “การทำประกันชีวิตสำหรับผู้สูงวัยให้กับบิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่ดูเหมือนเป็นการแช่ง/ให้ร้าย/ไม่ประสงค์ดี” ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลพวงจากการที่ผู้คนเริ่มเห็นความสำคัญและประโยชน์ของประกันชีวิตมากขึ้น

ที่น่าสนใจเพิ่มขึ้นไปอีก ก็คือ มีเพียง 7% เท่านั้นที่เห็นด้วยว่า “โฆษณาที่เชิญชวนให้บุตรหลานเป็นผู้ซื้อประกันชีวิตสำหรับผู้สูงวัยให้กับบิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม” และนั่นยิ่งเป็นการช่วยตอกย้ำถึงโอกาสของบริษัทประกันชีวิตที่จะออกแคมเปญการตลาด รวมถึงการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนให้กลุ่มตัวอย่างเกิดความสนใจหรือความกระตือรือร้นที่จะมองหาประกันชีวิตประเภทดังกล่าวให้กับบรรดา ส.ว.ในครอบครัว (เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสม)

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”font-weight: bold;”>ความคิดเห็นที่มีต่อประกันชีวิตสำหรับผู้สูงวัยในประเด็นต่างๆ ฉันคิดว่าการทำประกันชีิวิต
สำหรับผู้สูงวัยให้กับบิดา มารดา หรือญาติผู้ใหย่ เป็นสิ่งจำเป้นที่ควรทำ
โดยเฉพาะในยุคสมัยปัจจุบัน 67% พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นดารา
หรือผู้มีชื่อเสียงสามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทประกันชีวิตนั้นได้ 55% การทำประกันชีวิต สำหรับคนสูงวัย
สามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ของตัวฉันเองได้
ทำให้ฉันสนใจพิจารณาประกันประเภทนี้มากขึ้น 47% ฉันมีความเชื่อว่า
การทำประกันชีวิตสำหรับคนสูงวัยให้กับิดา มารดา หรือญาติผู้ใหญ่
ดูเหมือนเป็นการแช่ง/ให้ร้ายไม่ประสงค์ดี 10% ฉันคิดว่าโฆษณาชวนเชื่อให้บุตรหลานเป็นผู้ซื้อประกันชีวิตสำหรับผู้สูงวัยให้กับบิดา-มารดา
หรือญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม 7%

ปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อ

ผลการสำรวจความคิดเห็นในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มตัวอย่างในแง่ของปัจจัยสำคัญๆ ที่ใช้ในการพิจารณาตัดสินใจซื้อประกันชีวิตประเภทดังกล่าวให้กับผู้ใหญ่ในครอบครัว ซึ่งก็คงไม่พ้นเรื่องของการไม่ต้องตรวจสุขภาพและเบี้ยประกันที่ไม่สูงและคงที่ตลอดอายุสัญญา ดังแสดงในกราฟด้านล่าง

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

ประเด็นที่ใช้พิจารณาเป็นหลักในการตัดสินใจซื้อประกันชีวิต
สำหรับผู้สูงวัย (ให้กับบิดา มารดา หรือญาติผู้ใหญ่) ไม่ต้องตรวจสุขภาพ/ตอบคำถามสุขภาพ 83% เบี้ยประกันเริ่มต้นด้วยเงินเพียง
5-7 บาท 72% ความสามารถเลือกวงเงินความคุ้มครองได้ตามต้องการ 69% เบี้ยประกันคงที่ตลอดอายุสัญญา 63% ความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันชีวิต 49% สามารถต่อกรมธรรม์ความคุ้มครองจนถึงอายุ
90 ปี 32% คุ้มครองอุบัติเหตุสาธารณะ
200% ตลอดอายุสัญญา 27% ติดต่อซื้อผ่าน
Call Center 3% คุ้มครองชีวิตจาก
30,000-200,000 บาท ทั้งจากอาการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ 3%

และนั่นก็คงเป็นความจริงด้านหนึ่งที่เกิดขึ้น แต่ประเด็นที่ทางทีมงานอยากฝากไว้ตรงนี้ก็คือ เมื่อ “การไม่ต้องตรวจหรือตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพ” รวมถึงการที่เก็บค่าเบี้ยประกันไม่สูงมากนักกำลังกลายเป็นคุณลักษณะหรือคุณสมบัติหลักๆ ที่บริษัทประกันชีวิตประเภทนี้หลายๆ บริษัท (รวมทั้งที่เพิ่งเข้าตลาดมาใหม่) โหมกระหน่ำซัมเมอร์เซลใช้เป็น Message หลักๆ ที่ใช้ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายหลักอย่างผู้ที่อยู่ในฐานะ ส.ว.และไม่เว้นแม้แต่กลุ่มเป้าหมายรองอย่างลูกๆ หลานๆ ในวัยเดียวกับกลุ่มตัวอย่างด้วย (แหม! ก็เป็นคนจ่ายสตางค์นี่นา!!) ในไม่ช้าไม่นาน เราก็คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องประสบกับสถานการณ์ที่ผู้บริโภคอาจจะเริ่มมีความคาดหวังหรือมองหา “เหตุผล” ใหม่ๆ ในการที่จะตัดสินใจจ่ายเงินซื้อประกันชีวิตประเภทนี้ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีทัศนคติว่า “คุณสมบัติหลักๆ เหล่านั้น” เป็นสิ่งพื้นฐานที่ประกันชีวิตประเภทดังกล่าวต้องมีอยู่แล้ว และเมื่อถึงเวลานั้น นักการตลาดหลายๆ ท่านก็คงจะเห็นด้วยว่า “ความแตกต่างของแบรนด์” ก็จะเริ่มมีช่องว่างน้อยลง ไม่ว่าประกันชีวิตไหนๆ ก็เหมือนกันไปหมด

 

กลัวถูกหลอก เพราะ Call Center

โดยปกติแล้ว ประกันผู้สูงอายุประเภทนี้จะเน้นใช้การตลาดแบบ Telemarketing เป็นหนึ่งในช่องทางการขาย โดยให้ผู้สนใจโทรศัพท์ไปฝากเบอร์ทิ้งไว้ที่ Call Center แล้วทางเจ้าหน้าที่หรือตัวแทนบริษัทประกันจะเป็นฝ่ายโทรศัพท์กลับมาเพื่อชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับกรมธรรม์ ซึ่งงานวิจัยครั้งนี้อาจจะดูไม่สมบูรณ์นักถ้าไม่เปิดเผยให้เห็นว่า กลุ่มตัวอย่างที่มีแนวโน้มหรือศักยภาพที่จะเป็นลูกค้าของบริษัทประกันชีวิตประเภทนี้ (นอกจากตัวท่าน ส.ว.เอง) มีความกังวลใดบ้างเกี่ยวกับการติดต่อผ่าน Call Center 

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

ข้อกังวลเกี่ยวกับการซื้อประกันชีวิตสำหรับผู้สูงวัย
ผ่าน Call Center ไม่มั่นใจ/ไม่น่าเชื่อถือ
(ไม่มีหลักฐานยืนยัน) 34% กลัวถูกหลอก (ไม่มีตัวแทน) 33% กลัวข้อมูลไม่ละเอียด/ไม่มีความรู้มากกว่าเท่ากับตัวแทน 25% กลัว Call Center ปลอม 9% ไม่มีีบริการหลังการขาย/ไม่มีตัวแทนมาดูแล 9% ข้อมูลอาจไม่ถูกต้อง/ไม่ตรงกับที่ตกลง 5% ไม่มีข้อกังวลใดๆ 16% อื่นๆ*(คือ
มีแบบให้เลือกน้อย/ไม่มีคนรับผิดชอบ/ติดต่อยาก/ยุ่งยากเวลาจ่ายเงิน/เป็นการขายแบบมัดมือชก) 4%

โฆษณาแนวไหนดีเอ่ย…

ดังที่ได้นำเสนอข้างต้นมาแล้วถึงความเป็นไปได้หรือโอกาสของการทำแคมเปญการตลาดกับคนในวัยเดียวกับกลุ่มตัวอย่างที่มีศักยภาพที่จะมองหาประกันชีวิตประเภทดังกล่าวให้กับบรรดา ส.ว.ในครอบครัว ดังนั้น ข้อมูลตัวเลขอีกหนึ่งชิ้นที่อาจจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ประกอบการและนักการตลาดก็คือ แนวทางโฆษณาที่กลุ่มตัวอย่างมองว่าเหมาะสม ดังแสดงในกราฟ

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”font-weight: bold;”>รูปแบบโฆษณาที่กลุ่มตัวอย่างคิดว่า
เหมาะสมสำหรับประกันชีวิตสำหรับผู้สูงวัย นำเสนอบรรยากาศความห่วงใย/ความสุขในครอบครัว 87% นำเสนอโดยใช้พรีเซ็นเตอร์มาบอกสิทธิประโยชน์หลักๆที่จะได้รับ 77% นำเสนอแนวสะเทือนใจ 52% นำเสนอเนื้อหาแนวตลกขบขัน 46% นำเสนอแนวธรรมะธัมโม 20% นำเสอนแนวเสียดสีประชดประชัด 18%

บทส่งท้าย 

ขอฝากผู้ประกอบการและนักการตลาดทั้งหลายที่อยู่ในธุรกิจประกันชีวิตประเภทดังกล่าวว่า โอกาสทางการตลาดของประกันชีวิตประเภทนี้น่าจะยังคงมีอยู่อีกมาก เพราะตามข้อมูลของส่วนราชการนั้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรผู้สูงอายุมีอัตราเฉลี่ยที่สูงขึ้น (ฐานข้อมูลประชากร : สัดส่วนประชากรสูงอายุไทย จะเพิ่มจากประมาณร้อยละ 8 ในปี พ.ศ. 2543 เป็นประมาณร้อยละ 16 ในปี พ.ศ. 2563) หรือแม้แต่ทางรัฐบาลเองก็ได้กำหนดให้การเตรียมความพร้อมสังคมไทยสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และมีการจัดทำแผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ไว้แล้ว ดังนั้น นั่นยิ่งเป็นโอกาสอันดีที่บริษัทประกันชีวิตต่างๆ จะทำความเข้าใจผู้บริโภคในหลายๆ แง่มุม เพื่อนำมาใช้พลิกมุมหาพื้นที่ (ในใจผู้บริโภค) ใหม่ๆ ในการสื่อสาร อีกทั้งยังสามารถนำมาต่อยอดสร้างความได้เปรียบทางการตลาดให้ดีกว่าและเหนือกว่าคู่แข่งใหม่ที่กำลังจะเข้ามาแย่งมาร์เก็ตแชร์ในธุรกิจนี้

]]>
14554
อาชีพและงานในฝันคนไทย https://positioningmag.com/14462 Tue, 17 Jan 2012 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=14462

ทุกคนล้วนมีความฝัน และการแสวงหางานในฝันก็เป็นหนึ่งในฝันที่ทุกคนต้องการให้เป็นจริง อเด็คโก้ (Adecco) ประเทศไทย ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนทำงานในประเทศไทย เกี่ยวกับลักษณะบริษัทในฝัน ที่สามารถทำให้เกิดงานที่มีประสิทธิภาพสูงและทำงานอย่างมีความสุข จากผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 2,209คน  มีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ 

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”font-weight: bold;”>ใครเป็นใครกับงานในฝัน

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>58%  
เพศหญิง

42%  เพศชาย

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>53%

จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>41%

จบการศึกษาในระดับปริญญาโท

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>33%

อายุเฉลี่ยอยู่ในระหว่าง 25-30 ปี

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>24%

มีอายุระหว่าง 30-35 ปี

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>36%

มีประสบการณ์ทำงาน 10 ขึ้นไป

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>25%

มีประสบการณ์ทำงาน 0-3 ปี

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>38%

ได้เงินเดือน 10,000–30,000
บาทต่อเดือน

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>26%

ได้เงินเดือน 30,000-50,000
บาทต่อเดือน

เบื้องลึกพฤติกรรมคนทำงาน-คนหางาน

อเด็คโก้มองว่าปี 2554 เป็นปีที่ตลาดแรงงานมีความตื่นตัวมากในประเทศไทย  เกิดตำแหน่งงานใหม่ พร้อมการจ้างงานในตำแหน่งต่างๆ เพิ่มมากขึ้น สำหรับในปี 2555 ฝ่ายทรัพยากรบุคคลขององค์กรต่างๆ ยังคงมุ่งมั่นในการมองหา “คนที่ใช่” ให้กับองค์กร และในทางตรงกันข้ามทางผู้สมัครก็มองหางานที่ตอบโจทย์ความต้องการในการทำงานเช่นกัน  

cellspacing=”2″>

ระยะเวลาในการทำงานกับบริษัทหนึ่ง 38% (<5 ปี) ช่วงเวลาที่ทำงานได้ประสิทธิภาพสูงสุด 60% (9-11 ปี) ปัจจัยที่ทำให้เกิดความสุขในการทำงานมากที่สุด 48% (บรรยากาศในการทำงาน) ปัจจัยที่ทำให้เกิดงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด 37% (ผลตอบแทนสูง
ลักษณะงานน่าสนใจ) ลักษณะบรรยากาศในการทำงานที่ต้องการ 45% (มีอิสระในการทำงาน) เงินเดือนที่ต้องการให้เพิ่มขึ้นเมื่อเปลี่ยนงาน 43% (มากกว่าหรือเท่ากับ 20%) อายุมากที่สุดที่จะไม่คิดเปลี่ยนงาน 59% 35-40 ปี สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ตกลงรับทำงาน 35% ลักษณะงานที่น่าสนใจ ลักษณะของบริษัทที่อยากไปทำงานด้วยมากที่สุด 70% บริษัทข้ามชาติ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกสมัครงานกับบริษัทหนึ่งๆ 43% (ชื่อเสียงขององค์กร)

จากตารางสามารถอธิบายเพิ่มเติมบางส่วนได้ดังนี้

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”vertical-align: top; text-align: center;”> style=”font-weight: bold;”>สูงสุด 5 ปี ก็พอแล้ว

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>38%

เห็นว่าระยะเวลาทำงานโดยเฉลี่ยในการทำงานกับบริษัทหนึ่งๆ
ไม่เกิน 5 ปี เป็นระยะเวลาสูงที่สุด

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>34%

มากกว่า 5 ปี

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>1%

ให้ความเห็นว่าทำงานโดยเฉลี่ยเป็นเวลานาน
1 ปี ทั้งนี้ระยะเวลาในการทำงานกับบริษัทหนึ่งๆ 
ขึ้นอยู่กับเนื้องานและผลตอบแทนด้วย และโดยเฉลี่ยจะใช้ระยะเวลา 3 ปี
ในการทำงานกับบริษัทหนึ่งๆ

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”vertical-align: top; text-align: center;”>พลังไอเดียพลุ่งพล่านสุดๆ
ต้องช่วงเช้า

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>60%

ช่วงเช้า (9.00-11.00 น.)

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>18%

ช่วงบ่าย (14.00-16.00 น.)

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>9%

ช่วงกลางวัน (11.00-14.00 น.),
และช่วงเย็น (16.00-18.00 น.) จะเห็นได้ว่าข้อมูลนี้เป็นประโยชน์แก่นายจ้างในการนัดประชุมหรือการระดมความคิดจากพนักงาน
เพราะช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่คนทำงานส่วนใหญ่สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้ดีที่สุด
ขณะที่ช่วงเย็นพลังชีวิตลดน้อยเต็มที
และคนส่วนใหญ่นึกถึงนัดหมายกับเพื่อนฝูงและการกลับบ้านไปพักผ่อนกับครอบครัว

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”vertical-align: top; font-weight: bold;”>บรรยากาศที่ดีคือความสุขในการทำงาน

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>48%

บรรยากาศในการทำงาน

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>35%

เพื่อนร่วมงาน

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>น้อยกว่า3%

หัวหน้างาน และวัฒนธรรม/นโยบาย
องค์กร

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

อะไรที่ทำให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุด

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>37%

ลักษณะงาน

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>33%

เพื่อนร่วมงาน

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>7%

ผลตอบแทน แสดงให้เห็นว่าปัจจัยเรื่องผลตอบแทน
ไม่ได้เป็นเป้าหมายหลักที่คนมองว่าจะช่วยทำให้สามารถทำงานได้ดี

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”font-weight: bold;”>คนรุ่นใหม่ไม่ต้องการกรอบ

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>45%

ต้องการอิสระในการทำงาน

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>40%

ต้องการความเป็นกันเอง
และความร่วมมือกันในการทำงาน ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เปลี่ยนไปและความคาดหวังของกลุ่มคน
Gen Y ในที่ทำงาน ที่ไม่ต้องการพิธีรีตองหรือความเคร่งเครียดในที่ทำงาน

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

อายุไม่ใช่อุปสรรคในการหางานในฝัน

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>59%

เชื่อว่าช่วงอายุ 35-40 ปี
เป็นช่วงอายุสูงที่สุดที่ยังสามารถเปลี่ยนงาน

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>5%

เห็นว่าถึงแม้จะมีอายุมากกว่า 50
ปี ก็ยังสามารถเปลี่ยนงานได้เช่นกัน ดังนั้นช่วงอายุเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจเปลี่ยนงาน
แต่หลายคนไม่ได้มองว่าเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด  

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

style=”font-weight: bold;”>ใช่ หรือ ไม่ใช่ ดูจากอะไร

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>35%

ได้รับผลตอบแทนสูง

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>34%

ลักษณะงานน่าสนใจ

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>6%

บริษัทอยู่ใกล้บ้าน ผลวิจัยนี้ยังพบว่ากลุ่มคนอายุมากกว่า40
ปีขึ้นไป จะพิจารณาตอบรับเข้าทำงานจากลักษณะงานที่น่าสนใจเป็นหลัก
ในขณะที่กลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า40 ปี จะพิจารณาจากผลตอบแทนเป็นหลัก

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

บริษัทข้ามชาติมาแรง

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>70%

อยากทำงานบริษัทข้ามชาติ

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>14%

อยากทำงานบริษัทคนไทยขนาดใหญ่

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>12%

อยากทำรัฐวิสาหกิจ นอกจากนี้ยังมีลักษณะของบริษัทที่อยากทำงานด้วยอื่นๆ
คือ เป็นบริษัทที่มีความมั่นคงและบริษัทที่มีการบริหารที่เป็นมาตรฐานสากล

cellpadding=”2″ cellspacing=”2″>

ส่วนใหญ่สนใจบริษัทดัง

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>43%

ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงขององค์กร
ในการเลือกสมัครงานมากที่สุด

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>30%

วัฒนธรรมองค์กร 

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>13%

ขนาดบริษัท โดยมีเหตุผลอื่นๆ
ที่ส่งผลต่อการเลือกสมัครงาน คือ ความมั่นคงของบริษัทและผลตอบแทน/สวัสดิการ

cellspacing=”2″>

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>Min

style=”vertical-align: top; text-align: center; font-weight: bold;”>Max

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>Min

style=”vertical-align: top; font-weight: bold; text-align: center;”>Max Accounting 10,000 80,000 Information
Technology – Business 18,000 60,000 Admin/
Secretarial 10,000 60,000 Legal/Compliance 10,000 50,000 Customer
Service 10,000 60,000 Logistics 18,000 30,000 Engnineering 15,000 60,000 Marketing / PR 10,000 80,000 Engnineering
– Business 15,000 60,000 Medical &
Science 15,000 25,000 Finance 13,000 45,000 Sales 10,000 80,000 Human Resource 12,000 45,000 Supply Chain 15,000 60,000 Information
Technology 10,000 100,000 Technical /
Manufacturing 12,000 40,000

ด้านผลสำรวจเงินเดือนพบว่า ในระดับจูเนียร์ (ประสบการณ์ 0-5 ปี) ผลสำรวจพบว่าอาชีพที่มีเงินเดือนสูงสุดคือด้าน  IT มีเงินเดือน10,000-100,000 ส่วนอาชีพที่มีเงินเดือนต่ำสุด คือ ด้าน Medical&Science มีเงินเดือน 15,000-20,000 บาท 

ขณะที่ในระดับซีเนียร์ (ประสบการณ์ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป) ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงมีเงินเดือน 70,000-600,000 บาท อาชีพที่มีเงินเดือนสูงสุดคือ วิศวกร มีเงินเดือน 15,000-300,000 บาท 

ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดแรงงานเติบโตอย่างน้อย 20% พบว่าสายงานขาย วิศวกร ไอที ยังครองแชมป์หาคนมากที่สุด ส่วนตำแหน่งรองมาจะอยู่ในกลุ่มสายงานบัญชี การเงิน บุคคล และการตลาด ส่วนกลุ่มธุรกิจที่มองหาคนมากที่สุด คือ กลุ่มเทรดดิ้ง กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มงานบริการ และกลุ่มพลังงาน เป็นต้น 

]]>
14462
งานวิจัยระบุว่าธุรกิจโทรคมนาคมมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ https://positioningmag.com/43234 Thu, 11 Sep 2008 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=43234

งานวิจัยระบุว่าธุรกิจโทรคมนาคมมีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ศาสตราจารย์ลีโอนาร์ด เวฟเวอร์แมนจากมหาวิทยาลัยธุรกิจแห่งลอนดอนชี้ให้เห็นความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างธุรกิจโทรคมนาคมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

งานวิจัยของเวฟเวอร์แมนและนักวิชาการท่านอื่นพบความสัมพันธ์ระหว่างธุรกิจโทรคมนาคม กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ กล่าวคือเมื่ออัตราการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เศรษฐกิจของประเทศนั้นจะเติบโตขึ้นร้อยละ 0.6 การศึกษาของเขาพบว่า กิจการโทรคมนาคมมีผลทำให้เศรษฐกิจในประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ขยายตัวเร็วกว่าตลาดที่พัฒนาแล้วถึง 2 เท่า

งานวิจัยของคุณจะเกี่ยวกับผลของระบบการสื่อสารทางเสียงเป็นส่วนใหญ่ แล้วผลงานวิจัยจะใช้ได้กับเทคโนโลยีบรอดแบนด์ด้วยหรือไม่

“การสื่อสารแบบไร้สาย” แท้จริงแล้วหมายถึงการสื่อสารทุกชนิดในประเทศที่แทบจะไม่มีการสื่อสารด้วยสาย บริการด้านเสียงขั้นพื้นฐานจะมีหน้าที่อยู่หลายประการ บางประการเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม ซึ่งก็คือการสื่อสารภายในครอบครัว ที่มีความสำคัญมาก และหน้าทีบางประการเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ เช่นการหาข้อมูลเรื่องพืชผลและราคา การสื่อสารแบบบรอดแบนด์ดูจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลน้อยกว่าและมีจุดมุ่งหมายเพื่อการทำธุรกิจมากกว่า ผมคิดว่ามันน่าจะให้ความบันเทิงมากกว่าด้วย ในขั้นแรก มันจะเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจสำหรับผู้ใช้บริการ ที่สำคัญ จะช่วยส่งเสริมการใช้อินเตอร์เน็ตในประเทศที่กำลังพัฒนา ในที่สุด ก็จะถูกใช้เพื่อความบันเทิงเหมือนกับที่เป็นอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว

คุณคิดว่าผู้ควบคุมและบริษัทต่างๆ ควรมีบทบาทอย่างไร
ผู้ควบคุมควรมีหน้าที่ทำให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมเท่านั้น ซึ่งก็คือการเปิดเสรีโทรคมนาคมทำให้เกิดการแข่งขัน ออกใบอนุญาต และวางกรอบตามสมควรเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้ และไม่ต้องมายุ่ง ผู้ประกอบการจะตัดสินใจเองจะว่าออกบริการ และผลิตภัณฑ์ใด ด้วยราคาเท่าไร

บรอดแบนด์ fixed-line คิดค่าบริการแบบอัตราเดียว และนวันนี้บรอดแบนด์ไร้สายก็กำลังดำเนินตามในทิศทางเดียวกัน และอัตราค่าบริการแบบอัตราเดียวจะมีผลกระทบต่อการพัฒนา หรือไม่ ถ้าเราไม่สร้างความแตกต่างระหว่างบริการโทรศัพท์พื้นฐานกับบรอดแบนด์แบบไร้สาย

ผมคิดว่าจะต้องมีการคิดค่าบริการแบบอัตราเดียวแต่ย่อมต้องมีข้อจำกัด นี่เป็นเพราะว่าแม้แต่บริการอินเทอร์เน็ตทเองก็ยังพบว่าต้องเริ่มสร้างข้อจำกัดขึ้นมา เนื่องจากว่าไม่อยากให้มีใครจ่ายเดือนละ 3 เหรียญ และดาวน์โหลดภาพยนตร์ทั้งเรื่องลงโทรศัพท์มือถือของตน หากเป็แบบนี้ธุรกิจก็คงขาดทุน ผมคิดว่าเราคงไม่อาจมีบริการแบบที่จะได้ตามความต้องการทุกอย่าง มันต้องมีข้อจำกัดอยู่บ้าง เพราะคลื่นความถี่มีอยู่อย่างจำกัด ความสามารถในการรับส่งข้อมูลมีข้อจำกัดหลายประการ เพราะมันเป็นธุรกิจที่ไม่เหมือนธุรกิจอย่างอื่น ซึ่งเราจำเป็นต้องระวังไม่ให้มันมาแทนที่การสื่อสารด้วยเสียง ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรต่อไป

นี่เกี่ยวกับการการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือราคาถูกหรือเปล่า
มีโทรศัพท์ราคา 20 เหรียญถือว่าเหมาะสมกับการที่จะเพิ่มจำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์ให้ได้ถึง 5,000 ล้านคนตามเป้า แต่ความท้าทายต่อไปก็คือ แล้วใครล่ะจะมาเป็นผู้ขายโทรศัพท์แบบให้งานอินเทอร์เน็ตได้ในราคาที่ถูกที่สุด แล้วควรมีราคาเท่าไร แต่ผมมั่นใจว่าเราจะได้เห็นโทรศัพท์ราคาถูกจริงๆ ในอีกไม่นาน ผมไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ขาย และด้วยราคาเท่าไร แต่…เราอาจจะเห็น ZTE หรือบริษัทประเภทนี้ขายโทรศัพท์ที่ราคาถูกจริงๆ เช่นโทรศัพท์ราคา 10 เหรียญ เป็นต้น แต่ผมไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไร จากนั้น คนก็จะต้องการจอสีและเทคโนโลยี 2.5G แล้วจะมีราคาเท่าไร

โทรคมนาคมมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนา แต่มันไม่ใช่เพียงปัจจัยเดียวใช่หรือไม่
เราต้องการไฟฟ้า และบริการสุขภาพ เราต้องการถนน และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ เราต้องการการสื่อสารทุกชนิด เราต้องการทุกอย่าง เราต้องประกอบการในที่ซึ่งไม่มีไฟฟ้า ซึ่งเป็นเรื่องแปลกและค่อนข้างทำได้ยาก ยกตัวอย่างเช่น มีผลผลิตออกใหม่ และคุณมีข้อมูลเรื่องราคามากขึ้น ดังนั้น คุณจะสามารถตังราคาที่ดีที่สุดได้ แต่คุณไม่มีถนนให้เดินทางไปถึงตลาด เพราะฉะนั้น คุณก็ไม่อาจจะสงขอที่คุณมี และมันจะมีประโยชน์อะไรเล่า ผมจึงคิดว่าเราจึงต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยสนับสนุน ถ้าคุณเป็นชาวประมงก็จงจะง่ายกว่านี้ คงไม่ต้องการทางหลวง แต่ยังคงมีปัญหาอื่นๆ อีกหลายอย่างให้แก้ไม่ทางใดก็ทางหนิ่ง

บริษัทโทรคมนาคม เข้าทำโครงการอื่น เช่น โครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ จำเป็นด้วยหรือ
จริงๆ แล้วผมคิดว่า บริษัทเหล่านั้นควรสนใจธุรกิจหลักมากกว่า อย่างน้อยก็สนใจธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น บริษัทโทรคมนาคมอาจใช้อุปกรณ์โทรคมนาคม แต่ธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพก็น่าจะปล่อยให้บีพีทำ

โครงการแบบนั้นเล็กเกินไป หรือใหม่ไปหรือไม่
ผมต้องบอกว่าผมไม่ชอบการทดลองทำฏครงการเล็กๆ ผมอยากเห็นการให้บริการการแพทย์ทางไกลแก่หมู่บ้านสักแห่งนาน 5 ปีมากกว่า ผมอยากบอกว่าอย่าเพิ่งล้มเลิกเร็วเกินไป สานต่อโครงการให้นานพอแล้วคุณจะเห็นผลลัพธ์ ในกรณีนี้ผมอยากบอกว่า ผมไม่ชอบการทดลอง ถ้ามันจะเป็นเพียงการทดลอง เช่นการอวดอ้างแบบชั่วคราว ผมอยากให้มันเป็นเรื่องจริงจัง และคุณก็มองเห็นหมู่บ้านแห่งศหศวรรษในทวีปแอฟริกาตอนใต้ ทะเลทรายซาฮาร่า ผมคิดว่าโครงการแบบนี้น่าจะเป็นประโยชน์ที่นั่น มันเป็นโครงารที่เกี่ยวข้องกับผู้ร่วมโครงการที่สำคัญๆ หลายฝ่าย ได้แก่รัฐบาฃในท้องถิ่น โครงการสหประชาชาติ บริษัทต่างๆ และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนอย่างลงตัว และที่สำคัญก็ให้เวลาในการพัฒนาอย่างแท้จริง

กิจการผูกขาดภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการวางเครือข่ายโทรศัพท์ขั้นพื้นฐานมาเป็นเวลานาน แต่ทุกวันนี้ไม่มีองค์กรจากส่วนกลางมาวางโครงสร้างพื้นฐานเลย ดีหรือไม่

ผมคิดว่าโมฮาเม็ด อิบราฮิม ผู้ก่อตั้งเซลเทล กล่าวว่าการพัฒนาโทรศัพท์ขั้นพื้นฐานให้กับประชากรแอฟริการ้อยละ 2 ใช้เวลา 100 ปี คำกล่าวนี้ถือว่าชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ จากนั้นการผ่อนคลายกฎระเบียบและการริเริ่มจากบุคคลในภาคเอกชน นายอิบราฮิมทำให้เกิดเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สายอยางรวดเร็ว การแข่งขันดีกว่าการผูกขาดอยู่มากอย่างเห็นได้ชัด

ถ้าการพัฒนาควรทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด และการให้ความช่วยเหลือจะก่อปัญหาหรือไม่
ความช่วยเหลือด้วยการกุศลเคยเกิดขึ้นในทางที่ผิด เพราะเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่ควรเกิด แต่ถ้าเกิดขึ้นอย่างเหมาะสม ก็จะกลายเป็นสิ่งสำคัญและมีความหมายมากมาย อันจะทำให้เกิดประโยชน์มหาศาล ผมคิดว่าเราไม่สามารถพัฒนาแอฟริกาหรือประเทศต่างๆ ในแอฟริกาที่ขาดแคลนบางสิ่งได้โดยไม่ต้องให้การช่วยเหลือ การให้ความช่วยเหลือเป็นสิ่งสำคัญและจะต้องมีเป้าหมาย ต้องการมีการส่งมอบและมีดัชนีชี้วัดความสำเร็จและทุกอย่างที่เคยขาด

คุณยกตัวอย่างความร่วมมือที่ดีระหว่างบริษัทโทรคมนาคมกับองค์กรที่ไม่มุ่งผลกำไรใช่หรือไม่
องค์การหมู่บ้านแห่งสหัสวรรษเป็นตัวอย่างที่ดีมากโครงการหนึ่ง โครงการนี้เป็นผลลัพธ์ของการให้การช่วยเหลือและการดำเนินธุรกิจ เป็นความร่วมมือที่ดีโครงการหนึ่ง

คุณเห็นว่าพื้นที่ไหนมีศักยภาพที่จะเจริญเติบโตมากที่สุด ซึ่งเป็นความเจริญทั้งสำหรับประชากรตลอดจนผู้ค้าและผู้ประกอบการ
ประเทศที่เอ่ยถึงกันมากที่สุดก็คืออินเดียและจีน อินเดียมีศักยภาพที่จะเจริญในระดับสูงมากเพราะมีวิศกรพัฒนาโปรแกรมเป็นจำนวนมาก และมีภาคเทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูลที่ก้าวหน้า การพัฒนาในประเทศอินเดียและจีนจะเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง ด้วยประชากรที่มีขนาดใหญ่และประชาชนที่มีความรู้ความชำนาญเป็นจำนวนมาก บริษัททั้งหลายซึ่งรวมถึงอีริคสันก็จะไม่มีปัญหาในการหาพนักงานในประเทศเหล่านี้

คุณช่วยยกตัวอย่างพื้นที่ที่จะเกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรมได้หรือไม่
นอกจากรัฐเกรละในประเทศอินเดีย ซึ่งอาจเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดแล้วยังมีโครงการพัฒนาอื่นๆ เกิดขึ้นที่เคนย่า เป็นต้น และก็มีโครงการพัฒนาต่างๆ ในเอเชีย เช่นโครงการโทรศัพท์กรามีน ที่เริ่มในบังคลาเทศและการโอนเงินที่เริ่มในประเทศฟิลิปปินส์

คุณคิดว่าบริษัทโทรคมนาคมจะสนใจสิ่งอื่นนอกจากกำไรของตนจริงหรือไม่
แน่นอนอยู่แล้ว เรามีความรับผิดชอบต่อสังคมซึ่งยิ่งใหญ่กว่าผลกำไรในระยะสั้น และผมคิดว่ามันเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ ในที่นี้ คุณต้องสร้างความแตกต่างระหว่างการทำกำไรระยะสั้นและระยะยาว ความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นหนทางที่ดีหนทางหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดผลประโยชน์ในระยะยาวได้

ในฐานที่เป็นบริษัทหนึ่ง คุณอาจมุ่งสร้างผลกำไรในระยะสั้นให้ได้มากที่สุด แล้วออกจากประเทศนั้นไป แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการ เป้าหมายในระยะยาวก็เป็นสิ่งที่ควรจะมี และแน่นอน..ผมคิดอยู่เสมอว่าบริษัททั้งหลายก็ต้องการผลกำไร

คุณกำลังวิจัยเรื่องอะไร
ผมกำลังศึกษาผลงานของผู้กำกับกิจการโทรคมนาคม การออกกฎระเบียบเป็นสิ่งจำเป็น และเราต้องนำเสนอกฎระเบียบที่ประสิทธิผลและไร้ประสิทธิผล

]]>
43234
TMC จัดสัมมนาฟรี!!! “สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี” https://positioningmag.com/39081 Fri, 01 Feb 2008 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=39081

ในโลกปัจจุบันที่มีสภาพการแข่งขันทางธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น ความอยู่รอดของธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องอาศัยเทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อันจะนำไปสู่การได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ยั่งยืน และเนื่องจากประเทศไทยกำลังสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขันด้านต้นทุนแรงงาน ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มสูงขึ้นกว่าประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ประเทศไทยจะต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมจากการใช้แรงงานมาสู่การใช้ความรู้ ซึ่งมีรากฐานมาจากการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี รัฐจึงมีมาตรการจูงใจทางด้านการเงิน เพิ่มการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัท และห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นจำนวนร้อยละ 100 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าจ้างเพื่อทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี

สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการรับรองโครงการวิจัยและพัฒนา ภายใต้ศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (Technology Management Center: TMC) สวทช. จึงได้จัดงานสัมมนาฟรีในหัวข้อ “สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี” ในวันศุกร์ที่ 29 กุมภาพันธ์นี้ เวลา 08.30-13.00 น. ณ ห้องทิพย์พิมาน ชั้น 1 โรงแรมเชียงใหม่แกรนด์วิว จ.เชียงใหม่ ซึ่งผู้ประกอบการจะได้รับทราบถึงวิธีการยื่นขอรับรองโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี และหลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนผู้รับทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดหรือสำรองที่นั่งได้ที่ คุณสุธาทิพย์ / คุณพรพจน์ โทร. 02-564-7000 ต่อ 1328-1332 หรือ www.tmc.nstda.or.th/rdc หรือส่งอีเมล์ที่ [email protected] โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด

]]>
39081
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จับมือ ศศินทร์ฯ ทำโครงการ Market Microstructure Research https://positioningmag.com/38798 Thu, 17 Jan 2008 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=38798

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับศศินทร์ฯ จัดทำโครงการ Market Microstructure Research หวังส่งเสริมให้มีการวิจัยเกี่ยวกับโครงสร้างและกลไกการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดทุนไทยเพิ่มมากขึ้น เพื่อพัฒนาโครงสร้างตลาดทุนไทยในอนาคต

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังการลงนามความ
ร่วมมือในการจัดทำโครงการ Market Microstructure Research เพื่อตลาดทุนไทย กับสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า
“ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้เกิด ผลงานวิจัยที่เกี่ยวกับโครงสร้างและกลไกการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดทุนไทยเพิ่มมากขึ้น โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นผู้สนับสนุนข้อมูลการซื้อขายเชิงลึกให้แก่ทีมวิจัยของศศินทร์ โดยผลงานวิจัยที่ได้จากความร่วมมือนี้ จะนำไปสู่ ข้อเสนอแนะที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการนำไปกำหนดนโยบาย เพื่อการพัฒนาและยกระดับประสิทธิภาพของ ตลาดทุนไทย เพื่อการทำหน้าที่เสาหลักที่สำคัญของระบบเศรษฐกิจไทยต่อไป”

ศาสตราจารย์เติมศักดิ์ กฤษณามระ ผู้อำนวยการสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นความสำคัญของการนำผลงานวิจัยทางวิชาการไปใช้ประกอบการพิจารณาในการกำหนดแนวทาง ข้อบังคับ กฎระเบียบต่างๆ ของตลาดทุน ด้วยศักยภาพของคณาจารย์ของศศินทร์ ประกอบกับ ข้อมูลที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้การสนับสนุนทำให้มั่นใจได้ว่าจะได้ผลงานวิจัยทางวิชาการที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนาตลาดทุนไทยอย่างมีทิศทางและยั่งยืน”

ทั้งนี้ ในประเทศที่ตลาดทุนพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ มีการศึกษาด้าน Market Microstructure กันอย่างกว้างขวางและผลงานได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าวในประเทศพัฒนาแล้วมีส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ผลกระทบจากกฎระเบียบต่าง ๆ ของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปว่ามีความเหมาะสมหรือไม่

โครงการ Market Microstructure Research เพื่อตลาดทุนไทย เป็นโครงการที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนที่สนใจจะผลิตงานวิจัยด้าน Market Microstructure ที่มีทีมนักวิจัยที่มีความรู้ความสามารถ ในด้านนี้ และมีความพร้อมในด้านสถานที่ อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ที่จำเป็น โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะให้การสนับสนุนด้านข้อมูลการซื้อขายเชิงลึก ซึ่งมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งให้ความสนใจเข้าร่วมโครงการ ได้แก่ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล

สำหรับสถาบันการศึกษาที่สนใจหรือต้องการสอบถามข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อได้ที่ฝ่ายพัฒนากลยุทธ์ สายงานวิจัยและข้อมูลสารสนเทศ ตลาดหลักทรัพย์ฯ โทรศัพท์ 0 2229 2167 – 8

]]>
38798
ผู้บริโภคชาวไทยหวั่นปัญหาเศรษฐกิจ เน้นออมมากกว่าใช้จ่าย https://positioningmag.com/38761 Tue, 15 Jan 2008 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=38761

ผลการสำรวจออนไลน์ของผู้บริโภคจาก 48 ประเทศชิ้นล่าสุดจากนีลเส็น ผู้นำด้านการวิจัยทางการตลาดและข้อมูลชั้นนำของโลก พบว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยยังคงอยู่ที่ระดับเดิมจากการสำรวจ เมื่อเทียบจากผลสำรวจในรอบหกเดือนที่ผ่านมา พบผู้บริโภคชาวไทยมีความกังวลเพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับเศรษฐกิจ กว่าครึ่งยังคงรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจกับโอกาสในด้านการงาน และเกือบครึ่งวิตกกับสถานะทางการเงินของตนเองในปีหน้า ส่งผลให้ชาวไทยส่วนใหญ่ต้องการออมเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายในสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต

จากผลการสำรวจของนีลเส็นพบว่าค่าเฉลี่ยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลกยังคงตกลงอย่างต่อเนื่อง โดยลดลงจากระดับ 99 จากการสำรวจในรอบเดือนพฤศจิกายนในปี 2549 มาที่ระดับ 97 ในรอบการสำรวจในเดือนพฤษภาคมปี 2550 และลดลงอีกครั้งที่ระดับ 94 ในการสำรวจครั้งล่าสุดในรอบเดือนพฤศจิกายนในปี 2550 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังพบว่าผู้บริโภคทั่วโลกจำนวนยี่สิบแปดเปอร์เซ็นต์คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในปีนี้ ส่งผลให้ระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคใน 21 ประเทศ จาก 48 ประเทศที่นีลเส็นทำการสำรวจลดลง ผู้บริโภคชาวไทยติดลำดับแรกของโลกด้วยจำนวนคนห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ คาดว่าว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในปีนี้ รองลงมาคือไต้หวัน (47%) และอิตาลี่ (45%) ตามลำดับ( ตารางที่1 และ ตารางที่ 2 ) ประเทศนอร์เวย์ติดอันดับแรกของโลกที่พบผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นสูงสุดด้วยคะแนน 135 รองลำดับสองได้แก่ อินเดีย (133) และลำดับสามได้แก่ เดนมาร์ก (124) ( ตารางที่1.1)

นอกจากอินเดีย ประเทศในกลุ่มเอเชีย แปซิฟิค อาทิ อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ฮ่องกง เวียดนาม นิวซีแลนด์และ สิงคโปร์ จัดอยู่ในกลุ่มที่มีความเชื่อมั่นติดในสิบลำดับแรกของโลก โดยพบระดับความเชื่อมั่นของอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้ทวีปเอเชีย แปซิฟิคเป็นทวีปที่มีความเชื่อมั่นสูงสุดในโลก

นางจันทิรา ลือสกุล กรรมการผู้จัดการ นีลเส็น กล่าวว่า ” ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯที่ลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2549 ภายใต้ปัจจัยที่บ่งขี้ในทางลบเกี่ยวกับเศรษฐกิจหลายประการ เช่น การชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ค่าเงินดอลล่าร์ที่อ่อนตัว ราคาน้ำมันขึ้น และภาวะวิกฤตในตลาดสินเชื่อซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นนั้น ในฐานะผู้นำเศรษฐกิจของโลกของสหรัฐฯ สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจที่ไม่ดีนี้ได้ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจในส่วนต่างๆของโลกและมีผลต่อความรู้สึกในเชิงลบของผู้บริโภคทุกๆแห่ง รวมทั้งประเทศไทย”

พบผู้บริโภคชาวไทยยังคงกังวลเกี่ยวกับโอกาสในด้านการงานและเกือบครึ่งไม่เชื่อมั่นในสถานภาพทางด้านการเงิน
เมื่อสอบถามความคิดเห็นและความรู้สึกของผู้บริโภคชาวไทยเกี่ยวกับโอกาสในด้านการงาน และสถานะทางการเงินของตนในอีกสิบสองเดือนข้างหน้า ผู้บริโภคชาวไทยยังคงแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องดังกล่าวในระดับใกล้เคียงจากการสำรวจในรอบหกเดือนที่ผ่านมาว่า พบผู้บริโภคชาวไทย (64%) ยังคงรู้สึกว่าโอกาสในด้านการงาน “ไม่ค่อยดี” และ “ไม่ดี” นอกจากนี้ยังพบว่าเกือบครึ่งของผู้บริโภคชาวไทย (44%) มีความกังวลในด้านสถานะทางการเงินของตนในปีหน้า

ผู้บริโภคชาวไทยยังคงมุ่งเน้นการออม
ผู้บริโภคชาวไทย (66%) เชื่อว่าขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการซื้อสินค้าที่ตนต้องการในอีก 12 เดือนข้างหน้า ประเทศไทยยังคงติดในลำดับที่สามของโลกที่มีจำนวนนักออมมากถึง 64% ที่มีความประสงค์จะเก็บเงินในส่วนที่เหลือเพื่อเก็บออมหลังจากใช้จ่ายสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต หลังจากที่เคยครองแชมป์อันดับที่หนึ่งของโลกต่อเนื่องกันถึงสามครั้งในการสำรวจที่ผ่านมา โดยการสำรวจครั้งนี้พบชาวอินโดนีนีเซีย และสิงคโปร์ (65% เท่ากัน) ถูกจัดลำดับแรกและอันดับสองของโลก นอกจากนี้ยังพบว่าผู้บริโภคชาวไทยเพียง 6% กล่าวว่าพวกเขาไม่มีเงินเหลือเก็บเลย (ตารางที่ 3)

นอกจากความตั้งใจที่จะออมเงินแล้ว การใช้จ่ายทางด้านการท่องเที่ยวและการพักผ่อนหย่อนใจ ยังคงเป็นทางเลือกที่ผู้บริโภคชาวไทยนิยมในการใช้จ่าย (50%) มาก รองลงมาคือ สินค้าทางด้านเทคโนโลยี่ (38%) และความต้องการซื้อเสื้อผ้าใหม่ (30%) ตามลำดับ

นางจันทิรา ลือสกุล กล่าวเสริมว่า “ผู้บริโภคทั่วโลกรวมถึงผู้บริโภคชาวไทยระมัดระวังเรื่องการใช้จ่าย โดยจะเห็นได้จากความพร้อมในการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลงของผู้บริโภคใน 26 ประเทศ จาก 48 ประเทศที่เราทำการสำรวจ เมื่อเทียบจากผลสำรวจเมื่อหกเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญต่อกลุ่มผู้ค้าปลีก ที่ต้องใช้ความพยายามมากขึ้นในการดึงดูดผู้บริโภคให้จับจ่ายใช้สอยในปีนี้ ”

ผู้บริโภคชาวไทยวิตกปัญหาเศรษฐกิจมากที่สุด
ผู้บริโภคชาวไทยติดอยู่ในห้าประเทศแรกของโลกเมื่อพิจารณาถึงความวิตกกังวลทางด้านเศรษฐกิจในอีกหกเดือนข้างหน้า โดยพบผู้บริโภคจำนวน 68% กังวลกับปัญหาในเรื่องนี้เพิ่มขึ้นจาก 59% จากการสำรวจในรอบที่ผ่านมา และปัจจัยที่กังวลมากที่สุดในสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำก็คือ ความไม่มั่นคงทางด้านการเมือง ( 47%) ปัญหาการว่างงาน ( 43%) และภาวะเงินเฟ้อ (28%)

ไต้หวัน (74%) จัดอยู่ในอันแรกของโลกที่วิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจมากที่สุด รองลงมาคือประเทศจีน (71%) โดยจะพบว่าเจ็ด ในสิบประเทศที่มีความกังวลต่อเรื่องดังกล่าวมากที่สุดคือประเทศในกลุ่มเอเชีย แปซิฟิค (ตารางที่4 )

ในทวีปเอเชีย แปซิฟิค ประเทศที่กังวลกับเรื่องสุขภาพมากที่สุดได้แก่ จีน (63%) ฮ่องกง (49%) และเวียดนาม (48%) และประเทศที่กังวลกับเรื่องโอกาสด้านการงานมากที่สุดได้แก่ เวียดนาม ( 58%) เกาหลีใต้ (54%) และฟิลิปปินส์ (47%)

ส่วนผู้บริโภคที่มีความเชื่อมั่นน้อยที่สุดส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศในแถบยุโรป โดยมีประเทศในแถบเอเชีย แปซิฟิค ได้แก่ เกาลีใต้(54) ญี่ปุ่น(59) และไต้หวัน (69) ที่มีความเชื่อมั่นในระดับที่ต่ำ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในญี่ปุ่น และไต้หวัน ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง

เกี่ยวกับการสำรวจ
ผลการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลกเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นและความคิดเห็นออนไลน์ของผู้บริโภคทั่วโลกของเอซีนีลเส็น จัดทำขึ้นสองครั้งต่อปี โดยมีจุดมุ่งหมายในการสำรวจระดับความเชื่อมั่น, พฤติกรรม/แนวโน้มการใช้จ่าย ปัจจัยกังวลของผู้บริโภคทั่วโลก ระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคถูกประเมินจาก ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับตลาดงาน สถานภาพทางการเงิน และความพร้อมในการใช้จ่าย การสำรวจครั้งล่าสุดถูกจัดทำขึ้นในเดือนตุลาคม ถึงพฤศจิกายนปี 2550 จากผู้ใช้อินเตอร์เน็ตประมาณ 26,312 คน ใน 48 ประเทศ จากทวีปยุโรป เอเชียแปซิฟิค อเมริกาเหนือ และ ประเทศในแถบตะวันออกกลาง

เกี่ยวกับนีลเส็น
บริษัทนีลเส็น จำกัด เป็นบริษัทเกี่ยวกับสื่อและข้อมูลทั่วโลก ซึ่งประกอบด้วยแบรนด์ชั้นนำที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในแวดวงการตลาดเป็นอย่างดีอาทิ “เอซีนีลเส็น” ซึ่งให้บริการเกี่ยวกับข้อมูลทางการตลาด , “นีลเส็นมีเดีย รีเสริช” ให้บริการเกี่ยวกับข้อมูลทางสื่อ “BASES” ให้บริการเกี่ยวกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ( New product launch ) , สิ่งพิมพ์ทางธุรกิจอาทิ Billboard, The Hollywood Reporter และ Adweek รวมถึง Trade show และส่วนงานหนังสือพิมพ์ ( Scarborough ) โดยเป็นบริษัทเอกชนที่เปิดดำเนินการมากกว่า 100 ประเทศ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Haalem เนเธอร์แลนด์ และ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nielsen.com

]]>
38761