Sansiri – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 30 Jan 2018 03:31:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 แสนสิริ ลุยที่อยู่อาศัยทุกมิติ ทาวน์เฮ้าส์ ตลาดต่างประเทศ เคาะบิ๊กโปรเจกต์ร่วม The Standard และ Monocle ลุยคอนโด https://positioningmag.com/1154947 Mon, 29 Jan 2018 13:38:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1154947 ธุรกิจหากย่ำอยู่กับที่ก็เท่ากับถอยหลัง ยิ่งยุคนี้ “โลกดิจิทัล” Disrupt หลายอย่างให้เปลี่ยนแปลงไป ทั้ง Speed การทำธุรกิจ เทคโนโลยีใหม่ๆ มีบทบาทมากขึ้น ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยน การทำตลาดเหมือนเดิมไม่ได้ เหล่านี้เป็นเหตุให้ “แสนสิริ” หนึ่งในยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทยมีการ “ปรับเปลี่ยน” องค์กร การบริหารจัดการ กลยุทธ์ รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย

Positioning พาผู้อ่านไปเจาะแผนการขับเคลื่อนธุรกิจของแสนสิริ การพัฒนาที่อยู่อาศัยจะเป็นอย่างไร

++ทุบสถิติเปิดโครงการมากสุด   

การเปิดโครงการใหม่ เป็นสิ่งจำเป็นมาก ท่ามกลางคู่แข่งทั้งรายเล็กรายใหญ่ ประกาศโครมๆ ทุ่มงบพันล้านหมื่นล้าน ผุดบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียมหลายโครงการ “แสนสิริ” จึงต้องเปิดเกมรุกใส่เช่นกัน ประกอบกับ “ยอดขายที่รอรับรู้รายได้” หรือแบ็กล็อกเริ่มร่อยหรอ ถ้าไม่เพิ่มสต๊อกที่อยู่อาศัย อาจกระเทือนรายได้ในปีนี้ ดังนั้นบริษัทจึงเดินหน้าเปิด 31 โครงการใหม่ มูลค่า 63,200 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท

โดยโครงการใหม่จะแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 21,300 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ 11 โครงการ มูลค่า 9,600 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 12 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท

ปีนี้ยังเป็นการกับมาบุกตลาดทาวน์เฮ้าส์ และต่างจังหวัดอีกครั้ง เหตุผลเพราะ ทาวน์เฮ้าส์เป็นตลาดที่มี “ดีมานด์” หรือความต้องการจากผู้บริโภคอยู่มาก และถ้าบริษัทต้องการเร่งเพิ่มยอดขาย การทำที่อยู่อาศัยแนวราบระดับราคา 1.9 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็น Real Demand ก็จูงใจลูกค้าได้ ที่สำคัญ ตลาดต้องการอะไร ก็ทำโปรดักต์ที่โดนใจตอบสนองให้ตรงจุด

ขณะที่การบุกตลาดต่างจังหวัด เพราะมองว่ามีโอกาสและความต้องการ อีกทั้ง “สต๊อกเก่า” ที่มี 13 โครงการ ก็ขายเกลี้ยงพอร์ตแล้ว ดังนั้นต้องติดเกียร์เร่งเหมือนกับทาวน์เฮ้าส์ เพื่อปั๊มยอดขายนั่นเอง

ปี 2556 บริษัทเคยบุกไปตลาดต่างจังหวัด แต่ตอนนั้นอสังหาฯ ภูธรซัพพลาย “ล้นตลาด” จนผู้ประกอบการเล็กใหญ่เจ็บตัวกันระนาว แต่รอบนี้แสนสิริย้ำว่ามีข้อมูลปึ้ก การกลับไปบุกตลาดอีกครั้งน่าจะไปได้ดี โดยทำเลที่เลือกจะมีเมืองหลักได้แก่ เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต หาดใหญ่ และเมืองรอง หัวหิน พัทยา 

นอกจากนี้ บริษัทยังให้น้ำหนักในการเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น เตรียมตั้งสำนักงานขายแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง เพราะปัจจุบันตลาดฮ่องกง และจีนเป็นตลาดใหญ่โกยยอดขาย 7,000 ล้านบาท จากยอดต่างประเทศทั้งหมดกว่า 9,000 ล้านบาท โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายต่างแดนเติบโตถึง 40%  

++ผนึก The Standard และ Monocle ผุด Branded Residence

ปี 2560 แสนสิริทุ่มงบ 80 ล้านเหรียญสหรัฐ ลงทุนใน 6 บริษัทชั้นนำ ได้แก่ The Standard, One Night, JustCo, Hostmaker, Monocle และ Farmshelf ผู้บริโภคและตลาดคงอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงและความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมเร็วๆ และปีนี้ที่จะได้เห็นเป็นลำดับแรกๆ คือการนำ Farmshelf หรือนวัตกรรมฟาร์มอัจฉริยะเพื่อการปลูกผักสดสะอาดในที่พักอาศัย เข้าไปอยู่ในโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัท แต่ไม่ได้มีทั่วไป เพราะจะทำแค่บริเวณ “ส่วนกลาง” ของโครงการเท่านั้น แต่ถ้าลูกบ้านสนใจ ก็สามารถติดต่อนำไปต่อยอดที่บ้านของตัวเองได้

ส่วน JustCo ผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซ ก็จะมาเปิด 4 สาขาที่ประเทศไทย โดย 2 สาขาแรกประเดิมที่อาคาร AIA สาทร เปิดให้บริการเดือนพฤษภาคมนี้ อีกสาขาที่อาคาร All Season Place เปิดให้บริการเดือนสิงหาคม ส่วนอีก 2 สาขา ผู้บริหารขออุบไว้เป็นความลับ

แล้วลูกบ้านแสนสิริจะได้สิทธิประโยชน์ในการใช้ JustCo หรือไม่ คำตอบคือ 3 เดือนแรกที่เปิดสาขาในไทย ลูกบ้านไปใช้ฟรีได้ แต่หลังจากนั้นจะต้องสมัครสมาชิก ซึ่งจะได้รับค่าบริการพิเศษกว่าลูกค้าทั่วไปแน่นอน

ส่วน Hostmaker ในอนาคต ก็อาจนำมาใช้ช่วยบริหารจัดการที่อยู่อาศัยแก่ลูกค้าของบริษัท เช่น การ Re-sale การปล่อยเช่าเป็นห้องพัก เป็นต้น แต่ต้องรอให้กฎหมายไทยเปิดกว้างเสียก่อน

และที่รอคอยกันคือบิ๊กโปรเจกต์ที่จะทำร่วมกัย The Standard และ Monocle ซึ่ง “อุทัย อุทัยแสงสุข” ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) บอกว่า ทั้ง 2 โปรเจกต์อาจไม่ได้เห็นภายในปีนี้ เพราะหาที่ดินไม่ทัน!

แต่เบื้องต้นให้รายละเอียดเกี่ยวกับทั้ง 2 โครงการจะพัฒนาเป็น “ที่อยู่อาศัย” (Residence) โดย The Standard จะเป็นโครงการในรูปแบบ Branded Residence Condominiums ซึ่งเป็นเทรนด์ของที่อยู่อาศัยสุดฮอตทั่วโลกในเวลานี้ เพราะ Bulgary และ Amarni ก็มีแล้ว จุดเด่นคือการมี “แบรนด์ดัง” มาบริหาร และมีบริการเหมือนกับโรงแรม เพื่อให้เห็นภาพลองนึกถึง The Rizt Carlton ซึ่งข้อจำกัดของ The Standard คือต้องหา “พันธมิตร” ผู้ที่จะมาลงทุนพัฒนาโรงแรมก่อน และหาที่ดินที่ใช้เพื่อกันส่วนหนึ่งของที่ไว้สร้างคอนโด และลูกบ้านก็จะสามารถไปใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณูปโภคร่วมกับโรงแรมได้

ส่วนโครงการกับ Monocle ก็อยู่ระหว่างหาที่ดินที่ใช่ โจทย์คือทำเลต้องชิคๆ เช่น ย่านทองหล่อ เพื่อให้สอดคล้องกับคาแร็กเตอร์ของแบรนด์ นอกจากนี้ยังต้องหารือกันในเรื่องการออกแบบ ดีไซน์โครงการด้วย

“The Standard และ Monocle อาจเปิดตัวไม่ทันปีนี้เพราะการทำ Branded Residence ต้องหาที่ดินที่ใช่อย่างในย่านใจกลางธุรกิจ ย่านสุขุมวิท อย่าง The Standard เราต้องมีคนทำโรงแรมก่อนจึงจะขึ้นที่อยู่อาศัยได้ และตอนนี้ก็มีหลายคนอยากทำโรงแรมและมาคุยกับเราแล้ว”  

++ดึง Agile มาพิ่ม Speed การบริหารจัดการ

โลกธุรกิจยุคปัจจุบันแข่งกันที่ Speed ใครเร็วกว่า กวาดลูกค้าได้ก่อน ก็ชนะคู่แข่งได้ และเพื่อให้การบริการจัดการมีประสิทธิภาพ แสนสิรินำแนวคิดการบริหารงาน “Agile” มาใช้ในส่วนงานพัฒนาโครงการ ซึ่งครอบคลุมทั้งการออกแบบ การก่อสร้าง การตลาด จุดเด่นของแนวคิดดังกล่าวคือการให้ “อำนาจในการตัดสินใจ” แก่คนทำงานมากขึ้น จากเดิมระบบการทำงานของบริษัทเป็นแมทริก เป็นไซโลแต่ละฝ่ายจะมีหัวหน้างาน เมื่อคนทำงานเกิดปัญหาก็จะนำไปรายงานหัวหน้า หัวประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาอีกขั้น ทำให้งานค่อนข้างล่าช้า แต่แนวคิดใหม่ จะลดขั้นตอนการทำงาน และทำงานเร็วขึ้น ส่วนการเลือกใช้กับส่วนพัฒนาโครงการเพราะทำเงินให้บริษัทมากสุด

จากแผนดังกล่าว แสนสิริหวังว่าจะโกยยอดขายปีนี้ 45,000 ล้านบาท เติบโต 24% จากปี 2560 มียอดขาย 38,600 ล้านบาท.

]]>
1154947
แสนสิริ ปั้นแฟลกชิปคอนโด แพงสุดในไทย เคาะราคา 5.5 แสน ตร.ม. ยูนิตละ 60 ล้าน – 600 ล้าน https://positioningmag.com/62712 Thu, 10 Mar 2016 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=62712
“โลเคชั่น โลเคชั่น และโลเคชั่น” 3 คำสั้นๆ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการ 98 Wireless  เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เมื่อแสนสิริได้สร้างความฮือฮา ด้วยการตัดสินใจซื้อที่ดินผืนงามบนถนนวิทยุมาในราคาตารางวาละ 1.5 ล้านบาท  
 
มาวันนี้ แสนสิริได้ฤกษ์เผยโฉมโครงการ 98 Wireless คอนโดมิเนียม ระดับ “ซูเปอร์ พรีเมียม” บนที่ดินผืนดังกล่าว ด้วยมูลค่าโครงการ 8,500 ล้านบาท ถือเป็น 1 ใน 2 หรือ 3 โครงการในรอบ 30 ปี ที่แสนสิริได้ทำโครงการในระดับนี้ 
 
“ที่ดินถนนวิทยุ เวลานี้ที่เป็นฟรีโฮล (ที่ซื้อขาด) หาไม่ได้อีกแล้ว ที่มีอยู่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ให้เช่า หรือไม่ก็ถือครองโดยสถาบัน ตอนที่เราได้ที่ดินผืนนี้มา ก็คิดแล้วว่า เราจะมาทำคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เหมือนกับบ้านไข่มุก ที่หัวหิน ที่เคยทำมาเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว” อภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสริ จำกัด (มหาชน) 
 
 
ที่ทำให้แสนสิริ มั่นใจ ยอมควักเงินซื้อมาในราคาแพงระดับนี้ นอกจากเป็นที่ดินหาไม่ได้อีกแล้ว และยังดูจากโครงการบ้านไข่มุก หัวหิน เมื่อ 27  ปีที่แล้ว ถือเป็นโครงการระดับแฟลกชิปของแสนสิริ ที่เคยสร้างความฮือฮามาแล้วเช่นกัน ด้วยการควักเงินซื้อที่ดินมาในตารางวาละ 37,500 บาท ถ้าเทียบกับราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ที่ซื้อขายในราคาตารางวาละ 15,000-16,000 บาท ซึ่งเวลานั้นตั้งราคาขายเริ่มต้นยูนิตละ 7 ล้านบาท ปรากฏว่าราคาขายเวลานี้เพิ่มขึ้นเป็น 80 ล้านบาท หรือ 330,000 บาทต่อ ตร.ม. เพิ่มขึ้นกว่า 1,150 เปอร์เซ็นต์ 
 
 
แสนสิริ มองว่า ไม่ต่างจากโครงการ 98 Wireless ที่อีกไม่นานจะกลายเป็นของหายาก เพราะเป็นคอนโดเพียงแห่งเดียวที่ลูกค้าสามารถถือครองกรรมสิทธิ์ 100%  ที่สำคัญผ่านมา 6  ปี ราคาที่ดินที่แสนสิริซื้อมาในราคา 1.5 ล้านบาท /ตารางวา เวลานี้ราคาประเมิน ทะลุไปถึง 2.8 ล้านบาท/ตารางวาไปแล้ว  
 
โครงการ 98 Wireless คอนโดมิเนียม ความสูง 25 ชั้น จำนวน 77 ยูนิต บนพื้นที่ 2 ไร่ ออกแบบเน้นสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก มีที่จอดรถ 240% รวมทั้งที่จอดรถซูเปอร์คาร์ มีลิฟต์ส่วนตัวทุกยูนิต และมีพื้นที่ส่วนกลางไว้บริการลูกค้า 3 ชั้น ซึ่งมีความสูงเท่ากับตึก 8 ชั้น เติมความหรูด้วยการใช้วัสดุ เช่น หินอ่อนที่ต้องบินไปเลือกถึงแหล่งจากอิตาลี และใช้เฟอร์นิเจอร์ส่วนกลางของ Ralph Lauran Home ส่วนห้องชุดมีตั้งแต่ 2- 4 ห้องนอน ตั้งราคาขายเฉลี่ย 550,000 บาทต่อตารางเมตร มีราคาเทียบเท่ากับคอนโดมิเนียมในประเทศสิงคโปร์ แถมยังทำลายสถิติราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมสูงที่สุดในย่าน CBD ของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันมีราคาขายเฉลี่ยสูงสุดที่อยู่ที่ประมาณ 3 แสนบาทต่อตารางเมตร
 
 
โดยมีตั้งแต่ขนาด 2– 4 ห้องนอนเพนต์เฮาส์ และซูเปอร์เพนต์เฮาส์ “The One” ซึ่งตั้งอยู่ชั้นสูงสุดของโครงการ ราคาเริ่มต้น 60 ล้านไปจนถึง 600-700 ล้าน
 
ไม่ต้องรอให้โครงการแล้วเสร็จในเดือนตุลาคม 2559 ที่จะเปิดขายอย่างเป็นทางการ เพราะเวลานี้ขายไปได้ 20%  จ่ายเป็นเงินสดโดยลูกค้าคนไทยล้วนๆ รวมทั้งเพนต์เฮาส์ และซูเปอร์เพนต์เฮาส์ เดอะวัน ก็ขายไปแล้ว โดยเฉพาะซูเปอร์เพนต์เฮาส์ ได้เศรษฐีของเมืองไทยซื้อไปในราคา 600-700 ล้านบาท 
 
ส่วนที่เหลืออีก 80% อภิชาติ บอกว่า ไม่ได้กำหนดว่าจะขายหมดเมื่อไหร่ แต่ได้วางสัดสวนลูกค้า ชาวไทย 60%  และต่างชาติ 40%  
 
“เชื่อว่าโครงการฯ นี้จะสามารถดึงดูดลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทยและต่างประเทศได้ ซึ่งเราวางสัดส่วนลูกค้าชาวไทยที่ 60% ในขณะที่ลูกค้าชาวต่างประเทศ 40% และถือหนึ่งในโครงการที่พรีเมี่ยมที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และครั้งแรกของเมืองไทยที่มีโครงการคอนโดมิเนียมลักษณะนี้” อภิชาติ บอกทิ้งท้าย 
 

]]>
62712