Sappe – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 18 Mar 2021 09:29:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ไม่พลาด! “เซ็ปเป้” เปิดคาเฟ่เครื่องดื่มผสมกัญชาใจกลางสยามฯ เอาใจสายเขียว https://positioningmag.com/1323961 Thu, 18 Mar 2021 08:29:14 +0000 https://positioningmag.com/?p=1323961 “บมจ.เซ็ปเป้” หรือ SAPPE เปิดตัวเครื่องดื่มซีรีส์ใหม่ “มาเพรียวกัญ” Preaw x Cannabis และ “หอมอร่อยด้วยกัญ” All Coco x Cannabis มี 4 เมนูใหม่ที่มีส่วนผสมของกัญชา โดยนำร่องที่ร้าน HAVE A sip DAY CAFE by เพรียว คาเฟ่แบบป็อปอัพใจกลางเมืองย่านสยามสแควร์ และร้าน All Coco สาขาเซ็นทรัล อีสวิลล์

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า

“กระแสกัญชาฟีเวอร์ในประเทศไทย ถือว่าเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นจำนวนมาก โดยจุดเริ่มต้นมาจากการปลดล็อกกัญชากัญชงออกจากการเป็นสารเสพติด ทำให้หลายบริษัทนำเอาประโยชน์ของกัญชา-กัญชงมาใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงพัฒนาเป็นสารสกัดในรูปแบบต่างๆ ให้ง่ายต่อการใช้งานหรือลิ้มลอง”

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือร้านอาหาร และเครื่องดื่มที่นำส่วนประกอบของพืชกัญชาไปประกอบอาหารหรือเครื่องดื่มจำหน่าย จะต้องซื้อมาจากแหล่งปลูกที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เท่านั้น  

ปัจจุบันมูลค่าตลาดกัญชาทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง คาดว่าในปี 2567 จะมีมูลค่ารวมทั่วโลกกว่า 103,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็น ตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์มีสัดส่วน 60% ของมูลค่าตลาดกัญชาทั้งหมด และอีก 40% เป็นตลาดกัญชาเพื่อการสันทนาการ

ในปัจจุบันเริ่มมีหลายบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มของโลก สนใจใช้สารสกัดจากกัญชาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ จึงคาดว่าตลาดกัญชาทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยจะเติบโตและกระจายในหลายธุรกิจมากขึ้น ซึ่งถือเป็น Mega Trend ในอนาคต 

ในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับ SAPPE ในการสร้างประสบการณ์เครื่องดื่มผสมกัญชา ผ่านหน้าร้าน HAVE A sip DAY CAFE by เพรียว ใจกลางย่านสยามสแควร์ และหน้าร้าน All Coco สาขาเซ็นทรัล อีสวิลล์ ที่จะทำให้ผู้บริโภคได้ร่วมลิ้มลองรสชาติ โดยออกสินค้าเครื่องดื่มผสมกัญชาเอาใจคนรักสุขภาพสายเขียว เพื่อนำเสนอประสบการณ์สุด Relax ด้วยความร่วมมือกับแหล่งปลูกใบกัญชาที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย  

เปิดตัวเครื่องดื่มซีรีส์ใหม่ “มาเพรียวกัญ” Preaw x Cannabis นำเสนอ 2 เมนู ได้แก่

  • เครื่องดื่ม มาเพรียวกัญ เป็นสูตรกาแฟพิเศษจากน้ำ Detox ผสมกับน้ำต้มกัญชา ภายใต้คอนเซ็ปต์ ผอม หุ่นดี อารมณ์ดี ต้อนรับ Summer ด้วยกาแฟหอมกรุ่นจากกาแฟเพรียว ซึ่งผสมผสานกับกัญชาเต็มใบ ในราคา 69 บาท
  • เครื่องดื่ม ท็อกซ์กัญ เพรียวคลอโรฟิลล์โซดาผสมใบกัญชา ใช้สูตรหัวเชื้อ Detox เข้มข้น ฉีดผสมซาบซ่าด้วยใบกัญชาคุณภาพเต็มใบ ในราคา 89 บาท 

นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวเมนูเครื่องดื่มมะพร้าวน้ำหอม All Coco ที่แปลกใหม่ ด้วยซีรีส์ หอมอร่อยไปด้วยกัญ All Coco x Cannabis เปิดมิติใหม่น้ำมะพร้าวผสมกัญชาจำนวน 2 เมนู ได้แก่

  • เครื่องดื่ม Snowflake Cannabis มะพร้าวน้ำหอมเกล็ดหิมะสูตรออริจินัลผสมใบกัญชา ราคา 149 บาท
  • Mojito Coco Heaven ราคา 149 บาท 
]]>
1323961
ผู้บริโภคไม่ยึดติดแบรนด์ สินค้าไม่โดนถูกเทเร็ว “เซ็ปเป้” ชี้โอกาสเป็นของธุรกิจเครื่องดื่มขนาดกลาง-เล็ก https://positioningmag.com/1231097 Wed, 22 May 2019 23:05:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1231097 ธุรกิจวันนี้นอกจากจะถูก Disrupt จากเทคโนโลยีแล้ว พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวพัฒนาสินค้าตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคที่มีความหลากหลาย ไม่มี Brand Loyalty เหมือนในอดีต พร้อมลองของใหม่

ในอุตสาหกรรม “อาหารและเครื่องดื่ม” ต้องเผชิญความท้าทายจากพฤติกรรมผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ จะเลือกสินค้าที่ตอบสนองความต้องการและสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นกลุ่มที่ไม่ยึดติดกับแบรนด์ ต้องการลองสินค้าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา กลยุทธ์การทำตลาดของแบรนด์ต่างๆ ในวันนี้ จึงต้องโฟกัสไปที่การพัฒนาสินค้า ออกมาเอาใจผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

อเนก ลาภสุขสถิต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มทั่วโลก “ผู้เล่น” ที่เติบโตสูงอยู่ในกลุ่มขนาดกลางและเล็กมากกว่าบริษัทระดับโกลบอล เพราะมีความคล่องตัวในการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ตามเทรนด์ผู้บริโภคที่ต้องการ “ลองของใหม่” ได้อย่างรวดเร็ว

 

ในอดีตผู้บริโภคเลือกแบรนด์ที่มั่นใจ แต่ในยุคที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลา แม้เป็นแบรนด์ใหม่ ผู้บริโภคก็มีช่องทางหาข้อมูลสินค้าได้เอง การเป็นแบรนด์เก่า หรือแบรนด์ใหม่ จึงไม่ใช่ปัจจัยตัดสิน แต่อยู่ที่สินค้าหากโดนใจ ก็พร้อมลองของใหม่

อเนก ลาภสุขสถิต

สินค้าไม่โดน วงจรชีวิตจบเร็ว

หากย้อนไปสัก 7 – 8 ปีก่อน สินค้าแต่ละประเภท จะมีวาไรตี้ของ SKU ไม่มาก วงจรชีวิตของสินค้าที่อยู่ในเกณฑ์ “ยอดขายไม่วิ่ง” หรือ “ไม่โดนใจผู้บริโภค” อาจจะยังอยู่ในตลาดหรือบนชั้นวางได้อีก 2 – 3 ปี แต่ช่วง 1 – 2 ปีนี้ต้องบอกว่าทุกอย่าง “เร็วมาก” หากเข้าข่าย “แป้ก” จบชีวิตภายใน 5 – 6 เดือนเท่านั้น จะเห็นได้ว่าในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม บนชั้นวางจะมีวาไรตี้ของสินค้าจำนวนมากและเปลี่ยนแปลงเร็ว

กลยุทธ์การทำตลาดของ “เซ็ปเป้” จึงต้องมุ่งไปที่พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกมาตลอด ปัจจุบันมี 7 – 8 แบรนด์หลัก มีสินค้ากว่า 1,000 SKU ที่ทำตลาดทั้งไทยและส่งออก 91 ประเทศ โดยชูความหลากหลายของสินค้า เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มวันนี้ แต่ละประเภทจะมีทั้งแบบ น้ำ เจลลี่ แบบเม็ด บาร์ เพื่อตอบสนองความสะดวกในการรับประทานของแต่ละกลุ่มและสถานการณ์

ปกติแต่ละปีจะเปิดตัวสินค้าใหม่เฉลี่ย 13 – 14 SKU ปีที่ผ่านมามีสินค้าใหม่ 16 – 17 SKU เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการความหลากหลาย ปีนี้จะวางสินค้าใหม่ทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มราว 20 SKU ส่วนสินค้าที่ต้องออกจากตลาดมีเพียงปีละ 1 – 2 SKU เท่านั้น

ปิยจิต รักอริยะพงศ์

จับมือสารพัดพันธมิตรเข็นสินค้าลงตลาด

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เซ็ปเป้” วางตัวเป็นองค์กรด้านนวัตกรรม จึงต้องร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายทั้งระดับโลกและท้องถิ่น ที่เปิดตัวไปแล้ว คือ ความร่วมมือระหว่าง SAPPE และ Danone จัดตั้งบริษัทร่วมทุน “ดานอน-เซ็ปเป้ เบฟเวอเรจเจส” เพื่อร่วมกันทำตลาด B’lue เครื่องดื่มผสมวิตามินเซ็ปเป้ ดูแลการผลิตและกระจายสินค้าในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน

ปีที่ผ่านมาได้จัดตั้ง SAPPE INNO STUDIO ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เปิดรับไอเดียและพัฒนานวัตกรรมสินค้าอาหารและเครื่องดื่มร่วมกับพันธมิตร 4 กลุ่ม คือ มหาวิทยาลัย หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ, SME, เกษตรกร และพนักงาน เพื่อนำไอเดียมาพัฒนาเป็นสินค้า

ปัจจุบันได้สร้างแบรนด์สินค้าใหม่จาก SAPPE INNO STUDIO แล้ว 3 แบรนด์ คือ Chim Dii สแน็กคางกุ้ง ซึ่งพัฒนาร่วมกับ SME ผู้ประกอบการเจ้าของแบรนด์คางกุ้ง Okusno ที่ทำตลาดในประเทศไทย ส่วนแบรนด์ ChimDii จะทำตลาดต่างประเทศผ่านเครือข่ายร้านค้ากว่า 2.9 แสนจุดขาย ใน 91 ประเทศที่เซ็ปเป้ ทำตลาดอยู่

แบรนด์ Maxtive ทำงานร่วมกับเกษตรกร ที่ทำหน้าที่ซัพพลาย “กล้วยหอมทอง” เพื่อพัฒนาเป็นนวัตกรรมอาหารให้พลังงาน ทำตลาดทั้งไทยและต่างประเทศ และแบรนด์ Shootz เครื่องดื่มให้พลังงาน ซึ่งเป็นไอเดียจากพนักงานของเซ็ปเป้ สำหรับพนักงานที่เสนอไอเดียหากพัฒนาออกมาเป็นผลิตภัณฑ์จำหน่าย จะได้ส่วนแบ่งรายได้จากยอดขายสินค้าแบรนดังกล่าวเป็นวลา 1 ปี

ปัจจุบัน SAPPE INNO STUDIO มีโปรเจกต์ที่จะพัฒนาสินค้าและแบรนด์ใหม่อยู่ในมือที่เตรียมออกมาทำตลาดต่อเนื่องในช่วง 3 ปีนี้ โดยแต่ละปีจะมีแบรนด์ใหม่ 3 – 4 แบรนด์

ด้านผลประกอบการปีนี้ยังมั่นใจเติบโตได้ 30% เทียบกับปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 2,886 ล้านบาท สัดส่วนรายได้ต่างประเทศ 60% และในไทย 40% ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์หลัก 5 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม (Functional Drink) กลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ (Juice Drink) กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทผงพร้อมชงเพื่อสุขภาพและความงาม (Functional Powder) กลุ่มเครื่องดื่มปรุงสำเร็จพร้อมดื่ม (Other RTD Segment) และกลุ่มขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ (Healthier Snack)

ส่อง 6 เทรนด์เครื่องดื่ม

เทรนด์เครื่องดื่มในตลาดโลก ที่กำลังได้รับความสนใจจากผู้บริโภค มี 6 เทรนด์

  1. ฟังก์ชันนอลดริ้งก์ (Hyper Personalized Functionality) ด้านสุขภาพและความงาม
  2. วัตถุดิบจากพืช (Plant-Based) เป็นเทรนด์ที่เกาะกระแสการดูแลสุขภาพและใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ
  3. สีสันจากธรรมชาติ (Color and Nostalgia) เครื่องดื่มที่มีลูกเล่นจากสีสันพืชผักธรรมชาติ เช่น ดอกอัญชัน ฟักทอง
  4. ภูมิปัญญาท้องถิ่น (Globally-Inspired Flavors) เป็นแหล่งผลิตที่มี storytelling เช่น แหล่งผลิตมะพร้าวน้ำหอมที่มีรสชาติดีที่สุดในโลก หรือแหล่งผลิตกล้วยหอมทองรสชาติดี
  5. มีชิ้นเนื้อของวัตถุดิบเป็นส่วนผสม (Texture) เครื่องดื่มที่ใส่ชิ้นเนื้อผสม เพื่อให้ได้ประสบการณ์จากการดื่ม
  6. กระบวนการผลิตที่ดูแลสิ่งแวดล้อม วัตถุดิบออร์แกนิก (Sustainability) การทำธุรกิจที่ใส่ใจสังคมชุมชนและเติบโตอย่างยั่งยืน
]]>
1231097
SAPPE ตั้งเป้ารายได้ปี 62 เติบโตก้าวกระโดด 30% รุกโหมแคมเปญตลอดปี ชู B’lue และ All Coco ดันสัดส่วนรายได้ในประเทศแตะ 40% https://positioningmag.com/1227655 Tue, 30 Apr 2019 08:39:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1227655 บมจ.เซ็ปเป้ หรือ SAPPE ตั้งเป้าปี 62 เป็นปีแห่งการเติบโตก้าวกระโดด ตั้งเป้าดันรายได้พุ่งจากปีก่อน 30% จากการเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ B’lue การรับรู้รายได้จากออล โคโค และแผนงานเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องในปีนี้ ประเมินแนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องดื่มฤดูร้อนนี้แข่งขันดุเดือด ลุยทำกิจกรรมกระตุ้นตลาดและแคมเปญส่งเสริมการขายตลอดทั้งปี เตรียมปูพรมจัดกิจกรรมให้ผู้บริโภคทดลองชิม B’lue เครื่องดื่มใหม่ที่เปิดตัวเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พร้อมตั้งเป้าดันสัดส่วนยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 40% ภายในปีนี้           

นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE ผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนวัตกรรมที่มุ่งตอบสนองผู้บริโภคที่ใส่ใจในสุขภาพ เปิดเผยว่า ปี 2562 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าผลักดันรายได้ปีนี้เติบโต 30% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,886 ล้านบาท

โดยปัจจัยหลักจะมาจาก 3 ส่วน ได้แก่

  1. ยอดขายเครื่องดื่มผสมวิตามิน B’lue ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ร่วมทุนกับบริษัท MYEN PTE.LTD. หรือ Danone และเปิดตัวเป็นที่เรียบร้อย
  2. การรับรู้รายได้จากบริษัท ออล โคโค จำกัด หลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 51% และ
  3. การทยอยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ SAPPE และออล โคโค ในปีนี้ อาทิ เครื่องดื่ม Sappe Beauti Drink สูตรใหม่ Beauti Acna นวัตกรรมเครื่องดื่มที่มีคุณประโยชน์ช่วยแก้ไขปัญหาสิวและบำรุงผิวพรรณ   

ทั้งนี้ บริษัทฯ ประเมินภาพรวมตลาดเครื่องดื่มในปีนี้มีความคึกคักและแข่งขันกันอย่างรุนแรงไม่แพ้ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนปีนี้ซึ่งถือเป็นฤดูการขายสินค้าของอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม คาดว่าจะมีสภาพอากาศร้อนจัด จึงมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง พร้อมโหมทำโฆษณาและแคมเปญการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายสินค้าอย่างเต็มที่

ขณะเดียวกัน SAPPE ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เตรียมโหมกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปี ซึ่งจะมีทั้งการจัดกิจกรรมการตลาด การทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขายและการออนแอร์ภาพยนตร์โฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขายสินค้าอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะช่วงฤดูร้อนปีนี้ โดยหลังจากบริษัทฯ ร่วมทุนกับ MYEN PTE.LTD. หรือ Danone ผู้ผลิตเครื่องดื่มรายใหญ่ของโลก เปิดตัว B’lue ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มผสมวิตามิน 3 รสชาติ ได้แก่ รส COOL CALAMANSI รส PLAYFUL PEACH และรส POSITIVE PEAR เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเครื่องดื่มเซกเมนต์ใหม่ที่มีจุดเด่นปริมาณน้ำตาลต่ำปัจจุบันได้วางแผนรุกจัดกิจกรรมแบบปูพรมให้ผู้บริโภคทดลองชิมสินค้าตัวอย่าง เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่นกลุ่ม i-Gen

“เราประเมินว่าแนวโน้มตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริ้งค์ในปีนี้จะมีอัตราเติบโต 3 – 5% จากความคึกคักของการเปิดตัวสินค้าใหม่และการจัดกิจกรรมกระตุ้นตลาดของผู้ประกอบการหลายๆ รายในช่วงฤดูร้อนนี้ สะท้อนจากยอดขายสินค้าเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาที่ปรับตัวดีขึ้น โดยในส่วนของบริษัทฯ นอกจากการร่วมทุนเปิดตัวเครื่องดื่ม B’lue ที่วางจำหน่ายสินค้าทั่วประเทศไปแล้ว เรายังมีแผนออนแอร์ภาพยนตร์โฆษณาผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง” นางสาวปิยจิต กล่าว

]]>
1227655
เจาะผู้บริโภคยุคนี้แค่ “Need” ไม่พอ ต้อง “Unmet Need” กรณีศึกษา “Danone” ร่วมทุน “Sappe” https://positioningmag.com/1218656 Fri, 08 Mar 2019 05:18:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1218656 พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค ก่อให้เกิด “Disruption” ซึ่งหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับแวดวงเทคโนโลยีและธนาคาร ที่กำลังตื่นตัวกับเรื่องนี้เป็นอย่างมากในบ้านเรา แต่จริงๆ แล้วคลื่นลูกนี้มีพลังมากกว่าที่เห็น และสร้างผลกระทบแล้วกับของกินที่ไม่คาดคิดว่าจะโดนกับเขาด้วย

เพราะวันนี้วัฏจักรของสินค้าได้ลดลงเหลือเพียง 3 ปีเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้แม้แต่บริษัทระดับโลกอย่าง “Danone group” ซึ่งมีอายุ 100 กว่าปี วางขายสินค้ากว่า 120 ประเทศ มีรายได้กว่า 24.7 พันล้านยูโร หรือราว 8.8 ล้านล้านบาทในปี 2017 ซึ่งคนไทยน่าจะคุ้นเคยกับ น้ําแร่เอเวียง, โยเกิร์ตแอคทีเวีย และนมดูเม็กซ์ ยังต้องออกมาปรับตัว

ฟลอริส เวสเซลลิ่ง” รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ ดานอน วอเทอร์ส อธิบายว่า สถานการณ์เช่นนี้ถือเป็น “Big Disruption” ที่ไม่ใช่แค่ของ Danone เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบริษัทระดับโลกอื่นๆ ด้วย สิ่งที่ต้องปรับตัวรับมือกับพฤติกรรมเช่นนี้ คือการหาทางตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถรอ “Need” แล้วค่อยออกสินค้าไปรองรับ

แต่ต้องเป็น “Unmet Need” ออกสินค้าที่ไปจุดความต้องการที่ซ่อนเร้น ซึ่งผู้บริโภคจะไม่ได้แสดงออกมาตรงๆ แต่มักจะเป็นความต้องการเรื่องความรู้สึก เสียมากกว่า

ดังนั้นทุกแบรนด์จึงพยายาม Create เซ็กเมนต์ใหม่ๆ เพื่อก่อให้เกิด “Unmet Need” ดังที่กล่าวไป สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปจึงจะเห็นแบรนด์เล็กๆ ย่อยๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด เพราะแม้เทรนด์ผู้บริโภคเปลี่ยน แต่ไม่ได้เปลี่ยนสินค้าที่เคยดื่ม เพียงแต่พวกเขาจะไม่สนและยึดติดกับสินค้าของแบรนด์ระดับโลก กลับสนใจกับแบรนด์หรือสินค้าที่ให้ความรู้สึกแปลกใหม่มากกว่า

ทางออกของ Danone จึงต้องเข้าไปผนึกกำลังของบริษัทในประเทศนั้นๆ เพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมกับผู้บริโภคในแต่ละแห่งให้ลึกซึ้ง จึงเป็นที่มาของดีลร่วมทุนกับ “Sappe” ก่อตั้งบริษัท ดานอนเซ็ปเป้ เบฟเวอเรจเจส จำกัดทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท Danone ถือหุ้น 75% Sappe 25%

(“เซ็ปเป้” ร่วมทุน “ดานอน” เจ้าของโยเกิร์ต “แอคทีเวีย” บุกตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 8.6 หมื่นล้าน)

ทำไมต้องเป็นเมืองไทย ? เพราะตลาดเครื่องดื่มปราศจากแอลกอฮอล์ในไทยนั้นถือว่าเป็นตลาดใหญ่ ด้วยมูลค่าราว 2 แสนล้านบาท โตประมาณ 3-5% ต่อปี อีกทั้งเป็นตลาดที่มีอัตราการบริโภคต่อหัวสูงสุดในเอเชีย ไม่นับจีนและญี่ปุ่น โดยปีที่ผ่านมากลุ่มของเครื่องดื่มทำรายได้ประมาณ 8.6-8.7 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40% ของยอดขายในเอเชียแปซิฟิก Danone ต้องการให้ไทยเป็นหนึ่งในตลาดหลักต่อไป

ส่วนทำไมต้องเป็น “Sappe” ? นั้น เพราะ Sappe ค่อนข้างแข็งแรงในกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล สิ่งที่ Danone จะได้จากดีลในครั้งนี้คืออินไซด์ของคนไทย ซึ่ง Danone วางวัตถุประสงค์ของการร่วมทุนในครั้งนี้ 2 ข้อ ได้แก่ 1.นำสินค้าของ Danone ที่ขายในต่างประเทศเข้ามาสู่ไทย และ 2.ร่วมกันพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่ม

“ฟลอริส เวสเซลลิ่ง” รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ ดานอน วอเทอร์ส

แม้เมืองไทยจะมีการแข่งขันที่สูง ผู้เล่นในระดับโลกต่างบุกเข้ามาหมดแล้ว ยังไม่รวมแบรนด์ในประเทศที่มีเยอะแยะไปหมด แต่ Danone กลับมองว่ามีเสน่ห์และศักยภาพที่สามารถหาข่องทางการโตได้

ผู้บริหารจาก Danone บอกว่า หนึ่งในความน่าสนใจของพฤติกรรมคนไทยในตอนนี้ คือ อยากได้เครื่องดื่มที่ทั้งรสชาติดี มีรสหวาน และดีต่อสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นสินค้าตัวแรกที่ผลิตและจำหน่ายภายใต้บริษัทร่วมทุนตัวแรกคือ “B’lue” (บลู)

วางตัวเองเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ให้ความรู้สึกสดชื่นและเป็นเครื่องดื่มที่มีรสชาติ มีน้ำตาลน้อย โดยอยู่ตรงกลางระหว่างน้ำเปล่า และเครื่องดื่มผสมวิตามิน ถือเป็นเซ็กเมนต์ใหม่ที่ยังไม่สามารถหามูลค่าตลาดได้

โดยจะเข้าไปแทรกด้วยการเป็นน้ำสีใสที่มีรสชาติ ในช่วงเวลาที่อยากกินน้ำเปล่า แต่ต้องการความสดชื่น ซึ่งความท้าทายอยู่ที่การสื่อสารในเรื่องนี้ เจาะกลุ่ม iGen ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รักการออกกำลังกายและใส่ใจในสุขภาพ นักสำรวจที่ค้นหาเทรนด์ใหม่ๆ อยู่เสมอ วัยรุ่นที่จริงจังกับกิจกรรมวันพักผ่อน มีให้เลือก 3 รสชาติ จำหน่ายในราคา 25 บาท

จริงๆ แล้ว “B’lue” เป็นเครื่องดื่มที่เกิดขึ้นมาประมาณ 10 ปีที่แล้ว วางจำหน่ายทั้งใน นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย จีน ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ้งใช้ชื่อแบรนด์ “Mizone” (มายโซน) ปีที่ผ่านมาทำรายได้สูงถึง 35,000 ล้านบาทในตลาดเอเชียแปซิฟิก ส่วนชื่อ “B’lue” จะใช้ในเมืองไทยและวางแผนบุกไปในประเทศ กัมพูชา ลาว และพม่าต่อไป

ขณะเดียวกัน “B’lue” ถือเป็นสินค้าตัวแรกของ Sappe ในการบุกเข้าสู่ตลาดแมส จากที่ก่อนหน้านี้อยู่ในกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงค์มาตลอด ทั้ง เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ หรือ เพรียว คอฟฟี่ปิยจิต รักอริยะพงศ์” กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) ให้เหตุผลที่ต้องร่วมทุนในการบุกตลาดแมส เพราะหากทำเองต้องใช้เวลาในการศึกษา และเงินทุนค่อนข้างสูงในการวิจัยสินค้าใหม่ๆ

แต่นี่ได้ Know-how จากบริษัทระดับโลกมาเลย ซึ่งมี R&D ที่แข็งแรงมาก ทำให้การขยายเป็นไปอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังได้เรียนรู้วิธีการทำตลาดของแบรนด์ จากประสบการณ์ที่เคยทำมาทั่วโลก มาปรับใช้กับ Sappe เองด้วย

“ปิยจิต รักอริยะพงศ์” กรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)

ในอนาคตทั้งคู่วางแผนจะเพิ่มสินค้าใหม่ๆ เข้ามาอีก โดยวางแผน 3-5 ปี ดานอนเซ็ปเป้ เบฟเวอเรจเจสจะสร้างรายได้ 3,000 – 3,500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทร่วมทุนในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ของ Danone ในการจับมือกับบริษัทไทย ก่อนหน้านี้ได้ร่วมทุนกับเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ซึ่งตอนนี้อยู่ภายใต้เครือของเจ้าสัวเจริญในการนำโยเกิร์ตแอคทีเวียยี่ห้อโยเกิร์ตที่ใหญ่ที่สุดของ Danone มีจำหน่ายกว่า 60 ประเทศทั่วโลก เข้ามาขายในไทยในปี 2007 ก่อนที่จะยกธงออกจากตลาดไปในปี 2016″

ฟลอริสบอกว่า วันนี้ยังไม่มีแผนนำแอคทีเวียกลับมาทำตลาดใหม่ แต่อนาคตยังไม่แน่นอน ต้องศึกษาตลาดและความพร้อมเสียก่อน

]]>
1218656
“เซ็ปเป้” ร่วมทุน “ดานอน” เจ้าของโยเกิร์ต “แอคทีเวีย” บุกตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ 8.6 หมื่นล้าน https://positioningmag.com/1211651 Fri, 01 Feb 2019 00:57:20 +0000 https://positioningmag.com/?p=1211651 Thanakit

ตราบใดที่คนไทยยังอินกระแสรักสุขภาพไม่สร่างซา ตราบนั้น ตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมูลค่า 86,700 ล้านบาท ก็ยังเติบได้อีกเรื่อยๆ อยู่ที่ว่าใครจะหาช่องว่างแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ได้

กลิ่นที่หอมหวนเกินห้ามใจทำให้ล่าสุด เซ็ปเป้ซึ่งมีเครื่องดื่มในมือ 4 กลุ่มสินค้า 12 แบรนด์อยู่แล้ว อดไม่ไหวตัดสินใจร่วมทุน ดานอน ยักษ์ใหญ่ด้านตลาดผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับนม (Dairy Products) โดยเฉพาะสินค้าผลิตภัณฑ์โยเกิร์ตของโลก สัญชาติฝรั่งเศส เพื่อร่วมกันพัฒนา ผลิต ทำการตลาด และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพในประเทศไทย

ถ้าเอ่ยชื่อ ดานอน แน่นอนว่าหลายคนอาจจะไม่รู้จัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อแบรนด์ แอคทีเวีย คนไทยต้องรู้จักอย่างแน่นอน แม้วันนี้จะไม่มีขายแล้วก็ตาม นอกจากนี้ดานอนยังมีชื่อเสียงจากการเป็นเจ้าของแบรนด์ น้ำแร่เอเวียง (Evian)” แบรนด์น้ำแร่ระดับพรีเมียม

ดีลนี้ได้ให้ บริษัท เซ็ปเป้ โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเซ็ปเป้ถือหุ้น 100% จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับ MYEN PTE.LTD. หรือ Danone ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ Danone SA ถือหุ้น 100% โดยบริษัทร่วมทุนนี้มีทุนจดทะเบียนประมาณ 300 ล้านบาท แบ่งชำระเป็น 3 งวด ภายในระยะเวลา 2 ปี

โดย เซ็ปเป้ โฮลดิ้ง จะถือหุ้นในสัดส่วน 25% ผ่านการใช้กระแสเงินสดภายในเป็นแหล่งเงินทุน ขณะที่ Danone ถือหุ้นในสัดส่วน 75% คาดว่าการดำเนินงานจะเริ่มในไตรมาสแรกของปี 2019

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า

ดานอนมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาการผลิต การตลาด และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ส่วนเซ็ปเป้ความเข้าใจเชิงลึกในตลาดเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ในประเทศไทย รวมทั้งมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย จึงเป็นการผสานจุดแข็งของทั้งคู่ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสำเร็จแน่นอน

นอกจากการตั้งบริษัทร่วมทุนแล้ว เซ็ปเป้ยังได้เข้าถือหุ้นเพิ่มใน บริษัท ออล โคโค จำกัด ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมะพร้าวน้ำหอมและผลิตภัณฑ์ขนมจากน้ำมะพร้าวน้ำหอม เพิ่มเป็น 51% จากเดิมที่ถือหุ้น 40% โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท 

ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การดำเนินงาน ส่งผลให้ เซ็ปเป้ ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ออล โคโค ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2019.

]]>
1211651
“เซ็ปเป้” โฟกัสต่างประเทศ เป้าดันรายได้ทั้งปีโต 10% https://positioningmag.com/1134579 Mon, 31 Jul 2017 05:48:08 +0000 http://positioningmag.com/?p=1134579 ต้องยอมรับว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงที่ท้าทายอย่างมากของเซ็ปเป้จากภาพรวมของเศรษฐกิจที่ยังไม่ค่อยดี และตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์ที่ไม่มีการเติบโต อีกทั้งยังติดลบหนักมา 2-3 ปีแล้ว เทรนด์ดูแลสุขภาพทำให้ผู้บริโภคหันไปดื่มเครื่องดื่มอย่างอื่นแทน ทำให้ต้องมีการปรับกลยุทธ์ และแก้เกมกันยกใหญ่ เพื่อที่จะทวงบังลังก์ผู้นำตลาดฟังก์ชันนอลดริ้งก์กลับมาให้ได้ หลังจากที่เสียตำแหน่งให้แมนซั่มมานานหลายปี

ทำให้ได้เห็นเซ็ปเป้มีการเคลื่อนไหวอย่างมาก ทั้งการปรับองค์กรภายใน รีเฟรชแบรนด์ให้ทันสมัย ยิ่งในปีนี้มีการเคลื่อนไหวอย่างหนักตั้งแต่ต้นปี ได้ออกสินค้าใหม่เพื่อสร้างสีสันในตลาด จัดทัพพรีเซ็นเตอร์ และโฟกัสตลาดออนไลน์ รวมถึงการบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น เพราะตลาดในไทยไม่เติบโต

ในปีนี้เซ็ปเป้ได้อานิสงส์จากไวรัลเซ็ปเป้ขวดฟ้าหรือสูตรแอคทีฟ ฟอร์ซ และสูตรรีแล็กซิ่ง คาล์ม เป็นที่พูดถึงอย่างมากบนโลกออนไลน์ ที่ดื่มแล้วอารมณ์ดี สามารถกระตุ้นยอดขายให้เซ็ปเป้ได้อย่างดี ประกอบกับในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาได้ปล่อยแคมเปญใหญ่เซ็ปเป้คาราวาน: ภารกิจมอบมง แซ่บ เป๊ะ ปังทำให้ในปีนี้คาดว่ายอดขายรวมจะสามารถเติบโต 10% ได้ตามเป้า  

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา คาดว่าจะเติบโตได้ดีด้วยปัจจัยจากตลาดส่งออกขยายตัวได้ดี จากปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศทุกภูมิภาค โดยเฉพาะตลาดหลักอย่างประเทศจีนและอินโดนีเซียที่มีอัตราเติบโตที่ดี หลังจากบริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่พร้อมมุ่งเน้นการดูแลด้านโลจิสติกส์ในร้านค้าปลีกเพื่อให้ จุดขายมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา และขยายช่องทางขายใหม่ๆ เพิ่มเติมในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนตลาดในประเทศจีนนั้น บริษัทฯ ได้พยายามเพิ่มตัวแทนจำหน่ายเพื่อกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทางการขายร้านค้าปลีกรายย่อยและซูเปอร์มาร์เก็ตตามหัวเมืองใหญ่มากขึ้น รวมถึงการจัดวางสินค้าเพื่อเพิ่มความโดดเด่นสามารถดึงดูดลูกค้าได้ดีขึ้น

ขณะที่ตลาดในประเทศ โดยภาพรวม มีแนวโน้มประสบความสำเร็จได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ หลังจากบริษัทฯ ได้ทำแคมเปญใหญ่ พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ของ เซ็ปเป้ บิวติดริ้งค์, เซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ เป็นคนแรกก็คือโทนี่ รากแก่น รวมถึงออกสินค้าใหม่ ได้แก่ เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สูตรแอคทีฟ ฟอร์ซ และสูตรรีแล็กซิ่ง คาล์ม, เซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ กลิ่นแอปเปิล สูตรน้ำตาลน้อย เพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและความงาม

รวมถึงได้ปรับเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายสินค้าเพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่ร้านค้ารายย่อยทั่วประเทศ รองรับความต้องการซื้อสินค้าของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น จึงส่งผลดีต่อภาพรวมยอดขายสินค้า

ส่วนแผนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เซ็ปเป้มีแผนเปิดตัวเครื่องดื่มใหม่ในตลาดต่างประเทศกว่า 6 รายการ ได้แก่ โมกุ โมกุ ทู โก , โมกุ โมกุ 4 รสชาติ และเซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ สูตรน้ำตาลน้อย เพื่อรุกขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มเติม

ขณะที่ตลาดในประเทศนั้น บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณา เซ็ปเป้ บิวติดริ้งค์ ผ่านช่องทางออนไลน์ในเดือนกรกฎาคมนี้ เพื่อสร้างกระแสไปยังผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโต 10% โดยมีสัดส่วนยอดขายจากตลาดต่างประเทศ 65% และตลาดในประเทศ 35%

]]>
1134579
ถอดบทเรียน 2 ดรามาร้อน ไมโลก้อน-เซ็ปเป้ กินแล้วขำ เมื่อผู้บริโภคคือผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ https://positioningmag.com/1123724 Thu, 27 Apr 2017 11:30:57 +0000 http://positioningmag.com/?p=1123724 ถอดบทเรียน จาก 2 ดรามาร้อน ไมโลก้อน-เซ็ปเป้ สีฟ้า กินแล้วชำ นักการตลาดชี้ คนไทยชอบลองของใหม่ ของหายาก-ไม่ยอมตกกระแส ผู้บริโภคยุคนี้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนใหม่ในโลกออนไลน์ แบรนด์ต้องปรับตัวอย่างไร

จากกรณี 2 ดรามาร้อนๆ ในโลกโซเชียล “ไมโลก้อน หรือ ไมโลคิวบ์” ที่กลายเป็นสินค้าฮอตฮิตของคนไทยต้องหาซื้อมากิน เพราะกลัวตกกระแส แม้ว่าตัวสินค้าไม่มีขายในไทย ส่งผลให้ราคาขายพรีออเดอร์บนออนไลน์ ถูกปั่นสูงขึ้น 2-3 เท่าตัว แถมปัญหายังลุกลามบานปลาย เกิดคดีต้มตุ๋นกันขึ้น

ส่วนอีกกรณีที่เกิดในช่วงเวลาเดียวกัน คือ เครื่องดื่ม “เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ ขวดสีฟ้า ที่กลายเป็นกระแสดรามา เมื่อมีผู้รีวิว “กินเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ ขวดสีฟ้าแล้วอารมณ์ดี หายง่วง กินแล้วหัวเราะ” เนื่องจากมีส่วนผสมของ “ลาเวนเดอร์ คาโมไมล์ แอล-ธีอะนีน” ช่วยให้ผ่อนคลาย หลับสบาย คลายกังวล คลายความล้า จึงมีผู้ไปทดลองกินตามแล้วก็มาแชร์ต่อ เพื่อต้องการพิสูจน์ จนเกิดเป็นกระแสลุกลามไปทั่วโซเชียลว่านี่คือ การตลาดหรืออุปทานหมู่กันแน่

ทั้ง 2 เคสนี้มีความคล้ายกัน คือ เมื่อมีการจุดติดประเด็นบนโลกโซเชียล ทำให้เกิดการทดลองตาม สอดคล้องกับพฤติกรรมคนไทยที่ไม่ยอมตกกระแส ชอบทดลองอะไรใหม่ๆ  เมื่อมีการออกมาเมนต์ มาแชร์ต่อ ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ก็ยิ่งทำให้กระแสแผ่ขยายไปในวงกว้าง แต่กระแสที่เกิดขึ้นก็มีทั้งด้านลบและด้านบวก ที่แบรนด์เองก็อาจควบคุมไม่ได้

ลองมาฟังความเห็นจากนักการตลาดออนไลน์ และนักวิชาการด้านการตลาด ถึงปรากฏารณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง  2 กรณีดังกล่าว  

ผู้บริโภค influencer คนใหม่

สโรจ เลาหศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด Rabbit Digital Group ตั้งข้อสังเกตจาก 2 กรณีดังกล่าวว่า การตลาดในยุคดิจิทัลเริ่มย้อนกลับแล้ว  เพราะจากที่ตรวจสอบดู กระแสที่เกิดขึ้นกับไมโล และเซ็ปเป้ ไม่ได้มาจากตัวแบรนด์ หรือเอเจนซีที่เป็นผู้ปลุกกระแส แต่มาจาก Micro Influencer หรือผู้บริโภคทั่วไป ที่ทำให้แบรนด์เป็นกระแส  ซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่แบรนด์ต้องใช้คนดัง ดารา หรือ Influencer มาช่วยปลุกกระแส ซึ่งก็อาจใช้ไม่ได้ผลแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากผู้บริโภคยุคนี้บางคนไม่เชื่อถือ Influencer แล้ว เพราะมองว่า Influencer อาจเป็นแค่สื่อๆ หนึ่ง ทำหน้าที่แค่ถือสินค้า และมีแคปชันใต้ภาพ แต่ไม่ได้เห็นว่ามีการทดลองใช้จริง แต่ถ้าดูรีวิวจากตัวผู้บริโภคเอง จะได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้น

สโรจ ยังมองว่า นับจากนี้แบรนด์อาจจะหันมาใช้วิธีนี้ให้ผู้บริโภคมาสร้างกระแสมากขึ้น เพราะเวลานี้ก็ได้รับโจทย์จากลูกค้ามาแล้วว่า ต้องการได้แบบนี้ ให้เป็นกระแสไวรัลลักษณะเดียวกันนี้ เพราะใช้เงินลงทุนน้อย

แต่ก็อยากแนะนำว่า อะไรที่เป็นกระแสมันจะไม่ยั่งยืน แบรนด์ต้องแน่ใจว่าสินค้าดีจริง เพราะฉะนั้นถ้าสินค้าไม่ดีจริงจะเหมือนการเรียกแขก แล้วแบรนด์ก็จะดูแย่ลง ถ้าสินค้าไม่เป็นไปตามที่ผู้บริโภคคาดหวัง ซึ่งงานไวรัลควบคุมยาก ถ้าตั้งใจทำมันจะไม่ธรรมชาติ

สิ่งสำคัญก็คือ แบรนด์ต้องอย่าพยายามทำหน้าม้า หลายคนเห็นกรณีแบบนี้ก็อยากได้บ้าง อาจจะมีหน้าม้าของตัวเอง แต่เป็นสิ่งที่ไม่จริงใจต่อผู้บริโภค ให้สร้างกลุ่มแฟนคลับที่แท้จริงของแบรนด์ดีกว่า ไม่ว่าจะมีสินค้าใหม่ก็พร้อมจะทดลอง ที่ดรามาก็พร้อมปกป้อง

คนไทยชอบลองของใหม่ ของหายาก-ไม่ยอมตกกระแส

ผศ.เสริมยศ ธรรมรักษ์ หัวหน้าภาควิชาการสื่อสารแบรนด์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ให้ความเห็นว่า เมื่อมีอะไรเกิดขึ้นหรือมีขึ้นในสังคมที่ยังไม่เคยมีสิ่งนั้น เราอาจจะเรียกว่าของใหม่ หรือนวัตกรรม จะมีกลุ่ม Innovators เป็นกลุ่มที่ชอบทดลองของใหม่ อาการคือออกปุ๊บซื้อปั๊บ พร้อมเสี่ยง พร้อมลุย พร้อมเจอกับราคาที่อาจจะสูงในช่วงเปิดตัว

ดังนั้น บรรดาแบรนด์ต่างๆ ที่ออกผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ตลาด ก็จะมีคนกลุ่มนี้เป็นแฟนคลับ ทำหน้าที่รีวิว แนะนำให้ ส่วนจะรีวิวดีหรือไม่ ก็คงต้องขึ้นกับผลิตภัณฑ์นั้น

อีกหนึ่งกลุ่มที่ตามมาติดๆ ก็คือ Early Adopters คนกลุ่มนี้ก็จะเป็นผู้นำนวัตกรรมเช่นกัน แต่ไม่เร็วเท่ากลุ่มแรก และกลุ่มนี้ยังสามารถเป็นผู้นำทางความคิดและอาจจะเล็งเห็นประโยชน์อะไรบางอย่างจากความแปลกใหม่เหล่านั้น อย่างเช่น กรณีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่อาจนำสินค้าจากประเทศอื่นที่ไม่มีในประเทศไทยมาขาย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นกันมานานแล้ว อย่างเช่น ขนมของญี่ปุ่นที่คนไทยมักจะซื้อกลับมาเป็นของฝาก ก็นำมาขายด้วยเลย

ดังนั้น ผู้บริโภคบางคนอาจจะอยากลองของใหม่ ถ้าได้ลองแล้วฟิน บรรลุเป้าหมายก็จบ อย่างเช่นกรณีโคคาโคล่า พลัส ที่วางขายที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2560 คนไทยที่ไปญี่ปุ่นก็ไปซื้อมาลองแล้วก็บอกกับเพื่อนๆ ในโซเชียลมีเดีย หรืออาจจะมีบางคนแค่อยากลองรสชาติเพราะความใหม่ ถ้าลองแล้วชอบก็อาจจะซื้อต่อเนื่อง “ความใหม่”  จึงเป็นมุกที่นักการตลาดมักจะใช้เพื่อขยายโอกาสทางการขาย บางคนอาจจะชอบของหายาก อะไรหายากก็จะดิ้นรนขวนขวายให้ได้มา จะราคาแพงแค่ไหนไม่สนใจ

ในกรณีของ ไมโลคิวบ์ นี้น่าจะเป็นกระแสอันเกิดจากการหายาก มาจากต่างประเทศและความหายากนี่เองทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาปั่นราคาให้สูงกลายเป็นของเลอค่า แล้วก็ไปขุดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมาว่า อันนี้ของแท้มันต้องแพง อันนั้นราคาถูกเป็นของปลอมชัวร์ โดยลืมคิดไปว่านี่คือไมโล ไม่ใช่กระเป๋าแบรนด์หรู แล้วถ้าวันหนึ่งทางเนสท์เล่มีไอเดียจะนำผลิตภัณฑ์นี้มาขาย ความแพง หายาก เลอค่า ของปลอม ของแท้นี้ก็จะหายไป

หลายๆ ครั้งที่นักการตลาด อาจรวมถึงพ่อค้าแม่ค้ามักจะนำประเด็นเรื่อง ความใหม่ ความหายาก การได้ครอบครองก่อนใครมานำเสนอ และถ้า “จริต”  ของผู้บริโภคไปตรงกับประเด็นนั้นพอดีก็บรรลุเป้าหมายทางการขาย

อะไรที่เป็นกระแสจะไม่ยั่งยืน และถ้าสินค้าไม่ดีจริงจะเหมือนการเรียกแขก แล้วแบรนด์ก็จะดูแย่ลง ซึ่งงานไวรัลควบคุมยาก ถ้าตั้งใจทำมันจะไม่ธรรมชาติ

]]>
1123724
ดราม่า “เซ็ปเป้ขวดฟ้า” การตลาดหรืออุปทานหมู่ https://positioningmag.com/1122632 Tue, 18 Apr 2017 05:17:59 +0000 http://positioningmag.com/?p=1122632 ไม่ใช่แค่ไมโลก้อน” ที่เป็นกระแสอยู่ในเวลานี้ แต่เครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวตี้ ดริ้งค์” ขวดสีฟ้า ก็กำลังกระแสฮอตไม่แพ้กัน

เมื่อมีผู้รีวิวกินเซ็ปเป้ บิวตี้ ดริ้งค์ขวดสีฟ้าแล้วอารมณ์ดี หายง่วง กินแล้วหัวเราะในโซเชียลมีเดีย พอมีผู้จุดประเด็นขึ้นมา เลยมีคนไปรีวิวทดลองกินตาม แล้วก็มาแชร์ต่อ พอแชร์มากๆ มีคนเอาไปตั้งกระทู้ขึ้นใน Pantip ในทวิตเตอร์ รีวิวเซเว่น ก็ยิ่งเกิดเป็นกระแสบอกต่อ

จากนั้นก็มีการนำคุณสมบัติข้างขวดออกมาแชร์ต่อว่า ที่กินแล้วหัวเราะ เพราะมีส่วนผสมของลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ แอลธีอะนีนช่วยให้ผ่อนคลาย หลับสบาย คลายกังวล คลายความล้า ก็ยิ่งทำให้คนที่ได้รับข้อมูลก็ยิ่งอยากทดลอง เพื่อพิสูจน์ และเกิดแชร์ต่อกันหนักยิ่งขึ้น แม้ว่าบางคนจะกินแล้ว ไม่รู้สึกอะไร หรือบางคนกินแล้วอารมณ์ดี ก็มีเหตุผลออกมาสนับสนุนว่าเป็นเพราะส่วนผสมดังกล่าว 

*** ลาเวนเดอร์ คาโมมายล์ แอลธีอะนีน = หลับสบาย หลับสนิท คลายกังวล *หัวเราะอะไรกัน***

***เซปเป้ขวดฟ้าเห็นว่ามีลาเวนเดอร์กับคาโมไมล์ สองตัวนี้มันช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบายมากขึ้นไม่เกี่ยวกับกินแล้วหัวเราะ พวกเธออุปทานหมู่กันไปเอง***

 

พอออกมารีวิวแบบนี้ เลยทำให้คนรับรู้คุณสมบัติของส่วนผสมเครื่องดื่มชนิดนี้กันมากขึ้น จากที่ไม่เคยรู้ก็ได้รู้กัน และที่สำคัญ เซ็ปเป้ บิวตี้ ดริ้งค์ ขวดสีฟ้า ขายดิบขายดี ถึงกับหาซื้อไม่ได้ในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น จนมีการแชร์บอกใน ทวิตเตอร์ รีวิวเซเว่น

***มีแต่คนรีวิวว่ากินแล้วขำ.. ขอคนรีวิวเซเว่นที่ยังมีขายด้วยค่ะ ไปมา 7 เซเว่น หมดทุกที่เลย***

***กินแล้วต้องขำนะไม่งั้นตกเทรน การตลาดแบบอุปทานหมู่ #รีวิวเซเว่น***

แต่ถึงแม้ว่าจะมีคนออกมาตั้งข้อสังเกตแล้วว่า กระแสของเซ็ปเป้ ขวดสีฟ้า ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนแรงในเวลานี้ น่าจะเป็นเรื่องของกลยุทธ์การตลาด ที่จับเอาพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคนี้ไม่อยากตกกระแส เมื่อมีผู้จุดประเด็นขึ้นมาจนกลายเป็นกระแส ก็ต้องไปหาซื้อมาทดลองว่าจริงอย่างหรือไม่ แล้วก็ต้องออกมาเมนต์มาแชร์ต่อ ถึงแม้ว่าจะมีไม่น้อยที่บอกว่า ที่กินไม่รู้สึกอะไรเลย เหมือนกินน้ำเปล่า แถมคนก็เริ่มรู้แล้วว่า นี่คือการตลาด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นอีกหนึ่งในเคสการตลาดยุคนี้ ที่ใช้กระแสดราม่าในโลกออนไลน์ เพื่อสร้างการรับรู้ได้เห็นผลยิ่งกว่าโฆษณาแบบเดิมแล้ว


https://pantip.com/topic/36350324

การตั้งกระทู้ถามแบบนี้  อาจทำให้เกิดผลอย่างหนึ่ง คือ ….. เครื่องดื่ม Sappe beauti drink
อาจมียอดขายพุ่งกระฉุดได้  เพราะมีการแชร์ต่อไปจำนวนมาก  คนเห็นมาก  คนที่ไม่เคยกินก็อยากลองกินดู
ผมว่ายอดขายพรุ่งนี้พุ่งปรี๊ดแน่นอน  55555

มีแชร์แล้ว 50,000 กว่าครั้ง ขายดีแน่นอน Sappe

]]>
1122632
“เซ็ปเป้” ขอคัมแบ็กใช้อินไซต์ลุยทวงแชมป์ฟังก์ชั่นนอลดริ้งค์ https://positioningmag.com/1121718 Wed, 05 Apr 2017 18:44:43 +0000 http://positioningmag.com/?p=1121718 หลังจากที่ต้องเจอโจทย์ 2 เด้ง ตลาดฟังก์ชั่นนอลดริ้งค์ไม่มีการเติบโตมา 2 ปีติดกันแล้ว ในปี 2559 มีมูลค่า 1,900 ล้านบาท เป็นผลต่อเนื่องจากปี 2558 ที่ติดลบถึง 8% ปัจจัยหลักมาจากที่ตลาดไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ไม่มีสินค้าใหม่ๆ ออกมา รวมถึงผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น มีเทรนด์เรื่องการดูแลสุขภาพเข้ามา หันไปดื่มน้ำดื่มประเภทอื่น

“เซ็ปเป้” ที่เคยเป็นผู้นำตลาดฟังก์ชั่นนอลดริ้งค์มานาน แต่เวลานี้โดนคู่แข่งแซงหน้า จนทำให้หล่นไปเป็นเบอร์สองมีส่วนแบ่งตลาด 27% ส่วนแมนซั่มสามารถขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งได้มาหลายปีแล้ว ครองส่วนแบ่งตลาด 35%

เซ็ปเป้ จึงต้องปรับกลยุทธ์เป็นการด่วน ด้วยการรีแบรนด์ครั้งใหญ่เมื่อปี 2558 จากนั้นในปี 2559 ที่ผ่านมาเซ็ปเป้หันมาเน้นปรับโครงสร้างองค์กรภายใน เพื่อรับกับการทำงานยุคใหม่ รวมถึงปรับปรุงสูตรให้สินค้าลดน้ำตาลลง เพื่อตอบโจทย์กระแสดูแลสุขภาพของผู้บริโภค เมื่อทุกอย่างพร้อมปีนี้เซ็ปเป้จึงกลับมาบุกตลาดอีกครั้ง เปิดแคมเปญใหม่ตั้งแต่ต้นปี

ความท้าทายของเซ็ปเป้ในปีนี้จึงต้องทำการ “แก้เกม” ทั้งของแบรนด์ตัวเอง และตลาด มีเป้าหมายทำให้ตลาดฟังก์ชั่นนอลดริ้งค์กลับมามีการเติบโตให้ได้ 3-5% และเซ็ปเป้ต้องมีการเติบโตให้ได้ 10% พร้อมกับขยายส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 30% เพื่อทวงแชมป์เบอร์หนึ่งกลับมาให้ได้อีกครั้ง

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลาดฟังก์ชั่นนอลดริ้งค์ในปีนี้จะมีการเติบโตจากปีก่อนมากขึ้น เพราะมีผู้เล่นใหม่เข้ามา ส่วนรายเกาเก่าก็มีการปรับสูตร ออกสินค้าใหม่ เซ็ปเป้เองก็กลับมาบุกตลาดมากขึ้นหลังจากไปทำการบ้านมาหลายอย่าง พบว่าการทำตลาดยุคนี้ต้องอาศัยอินไซต์จากผู้บริโภคมากขึ้น แค่ออกสินค้าและทำโฆษณาอย่างเดียวไม่ตอบโจทย์แล้ว

เรียนรู้อินไซต์ผู้บริโภคมากขึ้น

สิ่งที่เซ็ปเป้ได้เรียนรู้เพิ่มเติมจากการทำการตลาดในยุคนี้ก็คือไม่ใช่แค่ออกสินค้าอะไรก็ได้ แต่ต้องเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากพอ ทำให้ในปีนี้เซ็ปเป้เน้นทำการบ้านในการทำวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคมากขึ้นในการออกสินค้า หรือทำกิจกรรมการตลาด รวมถึงศึกษาเทรนด์ของเครื่องดื่มด้วย

ยกตัวอย่างสินค้าน้องใหม่ “เลโม เพลย์” ที่เพิ่งวางจำหน่ายเมื่อต้นปี ได้ทำวิจัยพบว่าผู้บริโภคต้องการเครื่องดื่มเปรี้ยวๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น จึงแตกไลน์สินค้าเป็นน้ำมะนาวสูตรเวอร์จิ้น เลมอนเนด และพิ้งค์ เลมอนเนด

ส่วนเซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ เป็นเครื่องดื่มผสมเนื้อว่านหางจระเข้ สินค้าตัวนี้ได้วางตลาดราว 3 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ทำตลาดเท่าไหร่ พบว่าสินค้าตัวนี้เป็นที่นิยมในกลายประเทศทั้งอเมริกา และยุโรป เทรนด์เครื่องดื่มในเอเชียก็มาจากอเมริกาและยุโรปทั้งสิ้น

ทำให้เซ็ปเป้ปรับแผน เอาตัวอโลเวร่า ดริ้งค์มาบุกตลาดมากขึ้น พร้อมมีพรีเซ็นเตอร์คนแรกก็คือ โทนี่ รากแก่น เพราะได้มองดูเทรนด์ของตลาดเครื่องดื่มน้ำผลไม้ที่มีชิ้นเนื้อว่านหางจระเข้มีการเติบโตทุกปีเฉลี่ย 15% มีมูลค่าตลาด 600-700 ล้านบาท และพฤติกรรมผู้บริโภคในตอนนี้ชอบดื่มอะไรที่ในความสนุกเพิ่มเติม ได้เคี้ยวชิ้นเนื้อว่านหางจระเข้   

เซ็ปเป้ในปีนี้มีการตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตขึ้น 10% หรือ 3,000 ล้านบาท เป็นการเติบจากในประเทศ 30% และต่างประเทศ 15%

ปัจจุบันเซ็ปเป้มีสินค้าในเครือ 15 แบรนด์ แบ่งสัดส่วนรายได้เป็น น้ำผลไม้ 50% ฟังก์ชั่นนอลดริ้งค์ และผลิตภัณฑ์ประเภทผงพร้อมชง 18% อื่นๆ 32%

4 กลยุทธ์เซ็ปเป้ทวงแชมป์ฟังก์ชั่นนอลดริ้งก์   

1. ปูพรมออกสินค้าใหม่ ตั้งแต่ต้นปีเซ็ปเป้ได้ออกสินค้าใหม่แล้ว 7 รายการ เป็นการแตกแบรนด์ใหม่ เลโม เพลย์ น้ำมะนาว และการเพิ่มรสชาติใหม่ให้กับแบรนด์เดิมเซ็ปเป้ อโลเวล่า ดริ้งค์, กุมิ กุมิ บาย โมกุ โมกุ และบิวติ ดริ้งค์ เพื่อเป็นการเติมนวัตกรรมให้กับตลาด ให้ตลาดมีสีสันมากขึ้น

2. ใช้พรีเซ็นเตอร์ มาช่วยสร้างความจดจำ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่เซปเป้ใช้มาตลอด ทั้งบิวติ ดริ้งค์ และกาแฟเพรียว ในปีนี้ได้เพิ่มพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์เครื่องดื่มอื่นๆ โดยแบ่งไปตามเซ็กเมนต์ เช่น เซ็ปเป้ อโลเวล่า ดริ้งค์ ได้เลือก “โทนี่ รากแก่น” เพราะมองว่ามีไลฟ์สไตล์ และคาแร็กเตอร์ตรงกับแบรนด์ ที่มีความสนุก และเป็นคนรุ่นใหม่ ส่วนบิวติ ดริ้งค์ได้เปลี่ยนพรีเซ็นเตอร์ใหม่เป็น “ซอ จียอน” เป็นตัวแทนคนรุ่นใหม่ดูแลตัวเอง ส่วนกาแฟเพรียวยังคงใช้ “กระแต อาร์สยาม” เป็นพรีเซ็นเตอร์ติดต่อกันมา 3 ปีแล้ว เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายกลุ่มแมส

3. ทำกิจกรรมการตลาด ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์มากขึ้นกว่าปีก่อนๆ  โดยงบการตลาดทั้งปีรวม 200 ล้านบาท แคมเปญใหญ่ และแคมเปญแรกของปีต้อนรับฤดูร้อนก็คือ “เซ็ปเป้คาราวาน” เป็น Mobile Truck ที่ตะเวนไปทำกิจกรรมตามที่ต่างๆ และแจกสินค้าชิม 1 ล้านขวด เพื่อสร้างเอ็นเกจเมนต์กับผู้บริโภคมากขึ้น จะไปทั้งหมด 150 สถานที่ จาก 31 จังหวัด เน้นพื้นที่ชุมชน

4. เน้นตลาดต่างประเทศมากขึ้น ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเซ็ปเป้ได้เน้นการบุกตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว ปัจจุบันมีการทำตลาดแล้ว 74 ประเทศ มีสัดส่วนรายได้ 60% ในประเทศ 40% แต่ในปีนี้จะเน้นทำกิจกรรมการตลาดมากขึ้น ทำอีเวนต์ ทำโฆษณา ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ จากเดิมที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรเลย ปีนี้ตั้งเป้าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 65%

]]>
1121718
เซ็ปเป้ เชื่อตลาดเครื่องดื่มปีนี้ฟื้น วางตลาดรวดเดียว 7 ชนิด https://positioningmag.com/1120204 Thu, 23 Mar 2017 14:48:07 +0000 http://positioningmag.com/?p=1120204 บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE คาดการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มในประเทศปี 2560 น่าจะเห็นการฟื้นตัว โดยคาดการณ์จะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 4-5% 

แนวทางการทำตลาดของ SAPPE นั้น จะใช้การออกสินค้าใหม่เพื่อกระตุ้นยอดขายมากกว่าการจัดโปรโมชั่นลดราคา เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาที่จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร

ต้นปีเซ็ปเป้ได้ออกสินค้าใหม่รวดเดียว 7 รายการ ได้แก่1. เลโม เพลย์ น้ำมะนาววิตามินซีสูง สูตรเวอร์จิ้น เลมอนเนด 2. พิ้งค์ เลมอนเนด เน้นดีไซน์บรรจุภัณฑ์ 3. เครื่องดื่มเซ็ปเป้ อโลเวร่า ดริ้งค์ กลิ่นแอปเปิ้ล สูตรน้ำตาลน้อย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับกระแสสุขภาพ 4. กุมิ กุมิ บาย โมกุ โมกุ  รสเมลอนญี่ปุ่น 5. รสลิ้นจี่จักรพรรดิ  6. เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สูตรแอคทีฟ ฟอร์ซ 7. เซ็ปเป้ สูตรรีแล็กซิ่ง คาล์ม ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพและการดูแลตัวเอง และเพื่อตอบรับกับแคมเปญฉลอง 10 ปี ที่ว่า เพราะความสวย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และกระตุ้นยอดขายในฤดูร้อนซึ่งเป็นฤดูกาลขายสินค้าอีกด้วย

จากแนวทางดังกล่าวจะช่วยผลักดันยอดขายจากตลาดในประเทศ ซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนการขายอยู่ที่ 35% ของยอดขายรวมทั้งหมด

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้ Umbrella Brand โมกุ โมกุ เพื่อทำตลาดผ่านช่องทางการขายกลุ่มร้านค้าปลีกรายย่อย (Traditional Trade) โดยช่วงแรกจะทดลองรุกตลาดส่งออกในบางประเทศ ซึ่งหากได้รับการตอบรับที่ดีจะเดินหน้าขยายตลาดในประเทศอื่น ๆ ต่อไป เพื่อรองรับการเพิ่มยอดขายสินค้าในต่างประเทศ

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)

ปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE เปิดเผยว่า ในปีนี้ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายผลการดำเนินงานเติบโต 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งแนวทางการทำตลาดต่างประเทศนั้น บริษัทฯ ยังคงเน้นรุกขยายตลาดในโซนเอเชียเป็นหลัก โดยเน้นประเทศจีนและอินโดนีเซีย 2 ตลาดหลักในการสร้างรายได้ให้แก่ SAPPE

นอกจากจะขยายช่องทางจำหน่ายให้ครอบคลุมร้านค้าปลีกรายย่อยทั้งในจีน และอินโดนีเซียแล้ว จะเน้น การขายและกิจกรรมการตลาดมากขึ้น และเจรจากับพันธมิตรเพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายร่วมกันขยายช่องทางการขายในประเทศจีน โดยคาดว่าตลาดในประเทศจีนจะเติบโตได้ 20% ส่วนอินโดนีเซียจะเติบโต 6%

]]>
1120204