Snapchat – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 19 Feb 2021 14:09:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อย่างเจ็บ! เมื่อ ‘Facebook’ ถูกเรียก ‘นักก๊อป’ มูลค่า 7.7 แสนล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1320170 Fri, 19 Feb 2021 09:59:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1320170 Facebook ยังคงเป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าใหญ่ที่สุดและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก พร้อมกับครองตลาดโฆษณาออนไลน์เช่นเดียวกับ Google แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการพาดหัวข่าวเกี่ยวกับการ ‘ก๊อปฟีเจอร์ยอดนิยม’ จากคู่แข่งมากกว่าที่มีในการสร้างฟีเจอร์และผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ด้วยตัวเอง

ย้อนไป 4 ปีที่แล้ว ‘Facebook’ มักจะมีนวัตกรรมอะไรที่น่าตื่นเต้นอยู่เสมอ โดยบริษัทได้จัดตั้งแผนกฮาร์ดแวร์ใหม่ชื่อ ‘Building 8’ โดยมีทีมนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรดูแลโดยผู้บริหารจาก DARPA และประกาศว่ากำลังสร้างเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้สามารถ ‘พิมพ์ด้วยสมอง’ และ ‘ได้ยินด้วยผิวหนัง’ นอกจากนี้มีข่าวว่าจะผลิต ‘สมาร์ทโฟน’ ด้วย

ในตอนนั้นยังไม่รู้ว่าสิ่งที่คิดนั้นจะสามารถเกิดขึ้นจริงได้หรือไม่ แต่มันให้ความรู้สึกแปลกใหม่และแตกต่างจากสิ่งที่บริษัทเคยทำมา แต่แล้วผู้บริหาร DARPA ก็ออกจาก Facebook ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา และหนึ่งปีหลังจากนั้น Building 8 ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Portal’ ชื่อเดียวกับ ‘Facebook Portal’ ลำโพงอัจฉริยะที่ Facebook สร้างขึ้นเพื่อแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันจาก ‘Amazon’

Computer screen showing the website for social networking site, Facebook (Photo by In Pictures Ltd./Corbis via Getty Images)

แทนที่จะใช้เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ Facebook ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ลอกเลียนแบบจำนวนมากที่ยกมาจาก YouTube, Twitch, TikTok, LinkedIn, Pinterest และ Slack โดย Facebook ดำเนินการเกี่ยวกับแอปหาคู่ยอดนิยมเปิดตัวคู่แข่ง Craigslist และฉีกฟีเจอร์ Stories ยอดนิยมของ Snapchat ในปี 2559 ไม่นานก่อนที่จะเผยแพร่ต่อสาธารณะ และที่เพิ่งมีข่าวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็คือ Facebook กำลังต้องการทำฟีเจอร์แบบเดียวกับ ‘Clubhouse’ ซึ่งเป็นแอปที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้

นอกเหนือจากการก๊อปแล้ว เมื่อ Facebook ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้มันก็ซื้อมันเหมือนกับที่ซื้อ ‘Instagram’ ในปี 2012 เช่นเดียวกับ ‘WhatsApp’ และ ‘Oculus’

เพราะทั้งซื้อและก๊อปฟีเจอร์ทำให้หน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกากล่าวหา Facebook ว่าใช้ “อำนาจการครอบงำและการผูกขาดเพื่อบดขยี้คู่แข่งที่มีขนาดเล็กกว่า” ตามคำพูดของ Letitia James อัยการสูงสุดแห่งนิวยอร์ก ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มในการสืบสวน Facebook

ด้วยความพยายามในการก็อปที่ต่อเนื่องทำให้เกิดคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับความสามารถในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ของ Facebook ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นส่วนสำคัญของบริษัทเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม Facebook นั้นไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีรายแรกหรือรายเดียวที่ก๊อปฟีเจอร์ แต่ทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ดูเหมือนจะคัดลอก TikTok ในระดับหนึ่งรวมถึง Snapchat และ YouTube อย่างไรก็ตาม สำหรับ Facebook เองก็ยากที่จะบอกได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ Facebook สร้างนวัตกรรมที่เป็นของตัวเองอย่างแท้จริงคือตอนไหน

Tucker Marion รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยนอร์ทอีสเทิร์น ที่มุ่งเน้นไปที่การเป็นผู้ประกอบการและนวัตกรรม กล่าวว่า การก๊อปของคู่แข่งไม่ใช่กลยุทธ์ที่ไม่ดี แต่จำเป็นต้องควบคู่ไปกับการที่บริษัทดำเนินการตามแนวคิดดั้งเดิมของตนเองด้วย

เพื่อความเป็นธรรมการสร้างสรรค์สิ่งใหม่เป็นเรื่องยาก โดย Google ได้เผาผลาญเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการต่าง ๆ ตั้งแต่การร่วมทุนบอลลูนอินเทอร์เน็ตที่มีความทะเยอทะยานไปจนถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองและมีความขยันขันแข็งมากขึ้นเกี่ยวกับการทดลอง

Facebook ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เปิดตัว News Feed ในปี 2006 หลายเดือนหลังจากที่ Twitter เปิดตัวและช่วยเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนบริโภคข้อมูลทางออนไลน์ จากนั้นการเปิดตัวโทรศัพท์ Facebook ก็ล้มเหลว การทดลองใช้โดรนส่งมอบอินเทอร์เน็ตที่บินด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ก็เงียบไป และ cryptocurrency ตัวใหม่ (TBD ก็ยังมีปัญหาในช่วงแรก ๆ)

ในทางกลับกันความพยายามบางส่วนในการเลียนแบบคู่แข่งประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล Instagram Stories ซึ่งเป็นก๊อป Snapchat กลายเป็นวิธีเริ่มต้นในการสื่อสารและเชื่อมต่อสำหรับผู้คนนับล้าน รวมถึง Facebook Marketplace กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม

ที่ผ่านมา Kevin Systrom ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CEO ของ Instagram เคยกล่าวไว้เมื่อถูกถามเกี่ยวกับปัญหาการลอกเลียนแบบว่า “ลองนึกภาพรถคันเดียวในโลกคือ Model T ในตอนนี้มีคนประดิษฐ์รถขึ้นมาใหม่มันเจ๋งมาก แต่คุณจะโทษไหมที่บริษัทอื่น ๆ สร้างรถยนต์ที่มีล้อพวงมาลัยและแอร์และหน้าต่างเหมือนกัน คำถามคือ คุณสร้างสิ่งที่ไม่เหมือนใครได้อย่างไร?”

คงจะจริงอย่างที่ว่า เพราะผู้บริโภคทั่วไปไม่สนใจว่าใครจะนึกถึงแนวคิดนี้ก่อน พวกเขาสนใจว่าใครเป็นผู้ดำเนินการได้ดีที่สุด อย่าง Apple ไม่ได้คิดค้นสมาร์ทโฟนขึ้นมา แต่เพียงแค่สร้างเครื่องที่ดีที่สุดในเวลานั้น นั่นเป็นเหตุผลที่ Instagram Stories ทำให้ฐานผู้ใช้ทั้งหมดของ Snapchat ลดลงอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปีแม้ว่า Facebook จะไม่ใช่คนที่คิดค้น และด้วยเหตุนี้ Reels ซึ่งเป็นฟีเจอร์วิดีโอรูปแบบสั้นจึงพยายามดิ้นรนเพื่อให้ได้รับแรงการตอบรับและแข่งขันกับอัลกอริทึมการแนะนำที่มีประสิทธิภาพของ TikTok

แม้แต่เทคโนโลยีการพิมพ์ด้วยสมองก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ เมื่อไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ Elon Musk มีแผนจะใช้สมองกับคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เฟซคอมพิวเตอร์สมองอื่น ๆ มีการใช้งานมานานหลายทศวรรษแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหวังว่าวันหนึ่งจะตื่นขึ้นมาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ ๆ จาก Facebook และแม้จะมีนักวิจารณ์พูดถึง Facebook แบบนี้ แต่ตัวแทนของบริษัทก็ยังไม่ตอบกลับคำร้องขอความคิดเห็นในเรื่องนี้ทันที

Source

]]>
1320170
ย้อนรอยเทรนด์ ‘Avatar’ ฟีเจอร์เก่าที่กลับมา ‘ฮิต’ ใหม่ในโลก Social https://positioningmag.com/1299329 Wed, 30 Sep 2020 09:58:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1299329 หากย้อนไปประมาณช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ใครที่ไถ Facebook อยู่คงจะได้เห็นเพื่อน ๆ หลายคนแชร์รูป ‘ตัวการ์ตูน’ ที่เป็น อวาตาร์ แทนตัวคนนั้น ๆ กันเต็มฟีด ซึ่งก็ไม่ต้องไปหาแอปอะไรมาสร้าง แต่ Facebook นี่แหละที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างกันได้เองผ่านฟีเจอร์อวาตาร์ (Avatar) และมาปลายเดือนนี้ LINE ก็เปิดให้ผู้ใช้ได้สร้างอวตาร์ของตัวเองด้วยเช่นกัน ดังนั้น Positioning จะพาไปย้อนรอยถึงเทรนด์การสร้างอวตาร์กัน ว่ามันเริ่มต้นมาได้อย่างไร

อย่างที่หลายคนรู้ ว่าเทรนด์การสร้างอวาตาร์นี่ไม่ใช่อะไรที่ใหม่เลย เพราะหากย้อนไปเมื่อปี 2018 ที่เป็นช่วงเริ่มต้นของยุคทองแห่งแอปพลิเคชันจดจำใบหน้าด้วยเทคโนโลยี AI ส่งผลให้สมาร์ทโฟนตัว Top ก็มีฟีเจอร์ให้สร้างอวาตาร์ได้ อย่าง Samsung Galaxy S9 และ S9+ ที่มีฟีเจอร์สร้าง ‘AR Emoji’ ไว้ใช้งานได้ด้วยตัวเอง หรืออย่างฝั่ง iOS ที่สามารถให้ผู้ใช้สร้าง ‘Memoji’ ได้เช่นกัน (ตั้งแต่ iOS 12 ขึ้นไป) แน่นอนว่าฟีเจอร์ดังกล่าวสามารถสร้างความ ‘ว้าว’ ให้กับสินค้าได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

จากนั้นในปีเดียวกัน ก็มีแอปพลิเคชันอย่าง ‘ZEPETO’ (เซ็ปเพ็ตโต้) แอปสัญชาติเกาหลีที่ใช้สร้างอวาตาร์ไว้เล่นกับเพื่อน แต่ไม่ใช่แค่สร้างมาเป็นสติกเกอร์ไว้เอามาแชร์บน Social เท่านั้น แต่เพราะสามารถทำวิดีโอภาพเคลื่อนไหวได้ สามารถใช้อวาตาร์สร้างปฏิสัมพันธ์ พบปะผู้คนที่เข้ามาเล่นด้วยกันกับเพื่อนได้ เช่น ถ่ายภาพร่วมกัน และมีเกมให้เล่นเพื่อเก็บเหรียญเพื่อซื้อชุดต่าง ๆ ส่งผลให้ในขณะนั้น ZEPETO มียอดดาวน์โหลดมากที่สุดในจีนและไทยเลยทีเดียว

นอกจากนี้ก็มี Bitmoji ของ Snapchat ก็ได้รับความนิยมเช่นกัน จากความฮิตดังกล่าว ส่งผลให้เจ้าพ่อ Social Media อย่าง Facebook ก็หันมาเพิ่มฟีเจอร์อวาตาร์อย่างที่เรา ๆ กำลังเล่นกันอยู่ โดยเปิดตัวครั้งแรกเมื่อกลางปี 2019 โดยเริ่มที่สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ก่อนจะมาเปิดตัวที่ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอีกหลายประเทศไปเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา และล่าสุดก็มาถึงคิวของ ‘LINE’ ที่เพิ่มฟีเจอร์อวาตาร์ให้ได้เล่นกัน โดยสามารถนำอวาตาร์มาทำเป็นภาพนิ่งหรือวิดีโอได้ แถมสามารถเอาตัวอวาตาร์ไปถ่ายภาพแบบ AR ได้ด้วย

จะเห็นว่าฟีเจอร์อวาตาร์ไม่ใช่อะไรที่ ‘ใหม่’ แต่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่ออกมาสร้างสีสันบนโลก Social ได้ดี แถมมีโอกาสสร้างรายได้ในอนาคต เช่น ซื้อชุดหรือสกินเสริม อย่างไรก็ตาม เพราะไม่ได้มีการต่อยอดอะไรเหมือนกับ ‘เกม’ ที่จะทำให้ผู้ใช้ยอมจ่าย แต่ใช้แค่สร้างอวาตาร์ของตัวเองไว้เป็นสติกเกอร์เพื่อสร้างสีสันเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่กระแสการสร้างอวาตาร์จะมาไวและไปไว (มาก) ไม่ว่าจะมาในยุคไหนสมัยไหนก็ตาม

]]>
1299329
สแนปแชต ส่อแววทรุด เลย์ออฟวิศวกร 100 ตำแหน่ง https://positioningmag.com/1161322 Tue, 13 Mar 2018 04:47:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1161322 งานในสาขาซอฟต์แวร์เอ็นจิเนียร์อาจเป็นงานที่หลายอุตสาหกรรมต้องการ แต่อาจไม่ใช่สำหรับสแนป (Snap) บริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย สแนปแชต (Snapchat) เมื่อมีรายงานว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างเลย์ออฟพนักงานในตำแหน่งดังกล่าวราว 100 คน หรือเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์ของทีมซอฟต์แวร์เอ็นจิเนียร์

การเลย์ออฟพนักงานในทีมดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องจับตา เนื่องจากก่อนหน้านี้ สแนปแชต มีการเลย์ออฟพนักงานในทีมอื่นมาแล้วเป็นระยะ เช่น ทีมมาร์เกตติ้ง ทีมด้านการรีครูตพนักงาน และทีมด้านคอนเทนต์ แต่สำหรับคราวนี้ ถือว่าเป็นการเลย์ออฟครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

สถิติการจ้างงานในสแนปแชทนั้น ลดลงประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสที่ 4 ที่ผ่านมา โดยมีการรายงานว่า เมื้อสิ้นสุดไตรมาส บริษัทมีพนักงานทั้งสิ้น 3,069 คน แต่ส่วนหนึ่งจะพบว่ามีผู้บริหารระดับสูงลาออกไปเป็นจำนวนมากนับตั้งแต่ที่บริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เมื่อกลางปีที่ผ่านมา

ซีอีโอสแนป อีวาน สปีเกล (Evan Spiegel) น่าจะเป็นผู้ที่ต้องรับบทหนักนี้กว่าใคร โดยสแนปแชต ประสบปัญหายอดผู้ใช้งานที่เติบโตน้อยลง รวมถึงรายได้ของบริษัท อีกทั้งยังต้องเผชิญกับคู่แข่งยักษ์ใหญ่ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) และอินสตาแกรม (Instagram) ที่มีการพัฒนาหลายฟีเจอร์บนระบบคล้ายคลึงกับสแนปแชตในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

แม้ว่ารายได้ของสแนปจะทำได้ตามเป้าที่วอลล์สตรีทตั้งไว้ แต่บริษัทไม่สามารถบรรลุเป้าหมายภายในองค์กรที่ตั้งไว้ได้ ซึ่งทำให้ทางบริษัทพยายามหาทางเยียวยาพนักงานที่มีกำลังใจลดน้อยลง รวมถึงจัดมีตติ้งเพื่อให้พนักงานได้ระบายในสิ่งที่ค้บข้องใจ 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนทำ Discover Channel เป็นการภายใน เพื่อให้พนักงานสามารถทำความรู้จักกันได้ เช่น ใช้เป็นที่แนะนำตัวพนักงานใหม่ หรือไว้ยกย่องทีมงานที่ทำผลงานได้ดี ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในทีม และสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้พนักงานไม่ลาออกในระยะยาว

ปัจจุบัน สแนปแชต มีผู้ใช้งาน 187 ล้านคน โดยบริษัทได้มีการออกแบบอินเทอร์เฟสเว็บใหม่เพื่อมันดูสับสนน้อยลงสำหรับคนที่รู้สึกว่า มันมีคอนเทนต์ของเพื่อน แบรนด์ และสื่อปะปนกันเต็มไปหมด ด้วยการแยกสื่อ และอินฟลูเอนเซอร์ ออกไปจากแมสเซจของเพื่อน และครอบครัว ผลก็คือ ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้บริโภคอย่างมากจนมีแคมเปญเรียกร้องบน Change.org และมีผู้ลงชื่อแล้วถึง 1.25 ล้านคน เพื่อให้สแนปแชตกลับมาเป็นแบบเดิม.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9610000024985

]]>
1161322
เมื่อ Native Ad ครองตลาด-โฆษณาล็อกเป้าหมายต้องเข้าถึงอารมณ์ เปิดเทรนด์โฆษณาดิจิทัล ปี 2018 ที่นักการตลาดไม่ควรพลาด https://positioningmag.com/1155702 Mon, 05 Feb 2018 08:17:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1155702 2017 ปีที่สื่อถูก disrupt

ซี เย็น อ็อง รองประธานฝ่ายการตลาด Spotify Asia ได้สรุปถึง สภาพของธุรกิจสื่อในปี 2017 ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการโฆษณาสำหรับทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และแพลตฟอร์มต่างๆ

การปรับตัวจากสื่อสิ่งพิมพ์สู่พื้นที่ดิจิทัลเรียกได้ว่าเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งยังมี “การคาดการณ์กันว่างบประมาณโฆษณาของสื่อสิ่งพิมพ์ ยังมีแนวโน้ม “ตกลง” ครั้งใหญ่อีกในปีนี้ ด้านโฆษณาโทรทัศน์เองก็มีการปรับย้ายไปสู่พื้นที่ดิจิทัลในทิศทางเดียวกันเช่นกัน จากการมาของ แอปวิดีโออย่าง Hulu หรือแพลตฟอร์มที่สามารถเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากได้ เช่น Facebook YouTube หรือ Snapchat

เว็บไซต์ที่ไม่สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างได้ มีโอกาสสูงมากที่เสียทั้งผู้บริโภคและผู้ลงโฆษณาไปให้กับแพลตฟอร์มที่ใหญ่กว่า

ขณะเดียวกัน สื่อวิทยุก็ถูกมองว่ายังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้ แต่คาดว่าจะย้ายไปสู่แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการฟังเพลงในที่สุด ดังนั้นเมื่อเทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง แบรนด์และนักการตลาดจึงจำเป็นจะต้องปรับวิธีการสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ให้มีความเกี่ยวข้องกับลูกค้าและอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นที่มาของ 4 เทรนด์การตลาดสำคัญที่ควรให้ความสนใจในปี 2018 และแม้ว่าเทรนด์เหล่านี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับใครหลายๆ คน แต่อย่างน้อยก็เป็นเรื่องไม่เสียหายในการนำเทรนด์ต่อไปนี้มาพิจารณาระหว่างที่ทำแผนการตลาดสำหรับปี 2018

1. ผลิตโฆษณาที่สร้างมูลค่าเพิ่ม (Value Add)

โฆษณาดิจิทัล ยังเพิ่มความน่าสนใจได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ที่มักจะไปขัดจังหวะการดูคอนเทนต์โปรดของผู้บริโภค แทนที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประสบการณ์การรับชมและรับฟัง ซึ่ง Facebook และ Google กำลังประสบความสำเร็จ จากการต่อยอดประสบการณ์การรับชมโฆษณาของผู้บริโภค สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนักการตลาด

โดยแพลตฟอร์มเหล่านี้นำเสนอ ที่สามารถคาดเดาความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำกว่าตัวผู้บริโภคเองเสียอีก แม้ว่าวิธีการดั้งเดิมอย่างการใช้คุกกี้เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ซื้อเพื่อการเข้าถึงผู้บริโภคอย่างเที่ยงตรง อาจถูกมองว่ามีประสิทธิภาพดีกว่าการทำการตลาดแบบสุ่มอย่างไร้ข้อมูล

แต่เมื่อแพลตฟอร์มที่กักเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลไว้เหล่านี้ สามารถตีความช่วงเวลาสำคัญๆ บริบทที่หลากหลาย รวมถึงสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความสนใจของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น ก็หมายถึงความสามารถในการขับเคลื่อนและเสาะหาคุณค่าในสายตาผู้บริโภคได้อย่างถูกต้องแม่นยำกว่าเดิมเช่นกัน

2. ปูทางสู่ Native Advertising และ Sponsored Content

Business Insider ของอังกฤษ กล่าวว่า การโฆษณาแบบ Native Advertising (โฆษณาแนวเดียวกับเนื้อหาของเว็บจะขับเคลื่อนรายได้จากการโฆษณาได้กว่า 74% ภายในปี 2021

โดย Native Advertising ถูกมองว่าส่งผลดีในแง่ของความยืดหยุ่นที่ทำให้โฆษณาไปถึงทุกช่องทางที่แพลตฟอร์มเข้าถึง รวมไปถึงคุณภาพของโฆษณาที่ดี และเมื่อโฆษณาถูกวางให้เข้ากับรูปแบบและฟังก์ชันของแพลตฟอร์ม ก็จะสร้างการเปิดรับและการมีส่วนร่วมให้กับโฆษณานั้นๆ ได้มากยิ่งขึ้น

งานวิจัยและที่มาต่างๆ ระบุว่า “…การโฆษณาแบบ Native Advertising มียอดการรับชมพอๆ กับคอนเทนต์ที่ไม่ได้ทำเพื่อจุดประสงค์เชิงพาณิชย์…” ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่แบรนด์ต่างๆ ควรนำมาพิจารณา เนื่องจากผู้ใช้ในปัจจุบันอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์จำนวนมหาศาล โดยนอกจากจะลดการก้าวล้ำพื้นที่ส่วนตัว ทั้งยังน่ารำคาญน้อยกว่าแล้ว Native Advertising ยังสร้างคอนเทนต์ที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์โดยรวมของผู้ใช้ได้อีกด้วย

ข้อมูลจากรายงานของ BI Intelligence อ้างว่า :

  • การโฆษณาแบบ Native-Display Advertisement ซึ่งรวมไปถึง Social Native และ Native Advertisement ที่ปรากฏบนฟีดของเว็บไซต์ จะสร้างรายได้ให้กับการโฆษณาแบบ Native Advertisement ทั้งหมดจากปี 2016 – 2021
  • Sponsored Content จะเป็นรูปแบบการโฆษณาแบบ Native ที่เติบโตเร็วที่สุดใน 5 ปีหลังจากนี้

3. การทำโฆษณาสำหรับแต่ละบุคคล จะต้องไปให้ไกลกว่าการ “ล็อกเป้าหมาย”

มาร์ค พริทชาร์ด ของ P&G เคยกล่าวถึงเรื่องนี้โดยละเอียด เกี่ยวกับปัญหาที่นักการตลาดพบในการลงโฆษณาแบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Programmatic Ad Placement) โดยที่การเข้าใจว่าควรลงโฆษณา ที่ไหน และ เมื่อไร นั้นมีความสำคัญพอๆ กับการเข้าใจว่าควรลงโฆษณา อะไร และ เพื่อใคร

ยกตัวอย่างเช่น คุณไม่ควรขอให้ผู้ใช้กดเข้าไปดูโฆษณาหากว่าพวกเขากำลังขับรถ หรือพุ่งเป้าไปที่ “คนรักการออกกำลัง” และขอให้กรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม ในขณะที่พวกเขากำลังออกกำลังกายอย่างเข้มข้น

ดังนั้น การเข้าใจบริบทและอารมณ์ของผู้บริโภคจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งการที่จะทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้ มีความเป็นไปได้มากขึ้นหากข้อมูลทุกอย่างถูกเชื่อมโยงเข้าไว้ด้วยกัน โดย IHS ระบุว่า จำนวนอุปกรณ์สื่อสารเคลื่อนที่ที่ถูกเชื่อมต่อไว้ด้วยกัน จะพุ่งสูงขึ้นถึง 30.7 พันล้านเครื่อง ภายในปี 2020

4. รับฟังเพลงและสื่อรูปแบบเสียงดิจิทัลกำลังมาแรง

เมื่อผู้คนหันมาบริโภคสื่อบนอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น ภูมิทัศน์ทางการตลาดก็ปรับตัวไปสู่การทำการตลาดตามบุคคล (People-based Marketing)

งานวิจัยของ Nielsen ระบุว่า ผู้คนรับฟังเพลงและสื่อรูปแบบเสียงในขณะที่กำลังทำกิจกรรมที่ไม่ต้องรับชมสื่ออื่นๆ ด้วยสายตากว่า 79% ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งออกกำลังบนลู่หลังเลิกงาน หรือการโชว์อินเนอร์ความเป็นดาราร็อกระหว่างอาบน้ำ ปัจจุบัน สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างแรกคือความสามารถในการเข้าถึงคอนเทนต์ต่างๆ มากกว่าการเป็นเจ้าของคอนเทนต์นั้นๆ อย่าง Spotify ที่ผู้ใช้ฟังเพลงผ่านแพลตฟอร์มของตัวเองกว่า 148 นาทีต่อวัน

นักการตลาดที่เชี่ยวชาญจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงในหมู่ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่การโฆษณาด้วยเสียงจะถูกพัฒนาผ่านประสบการณ์บนแพลตฟอร์ม ที่แตกต่างจากการรับฟังสื่อวิทยุแบบดั้งเดิม.

]]>
1155702
Tencent เทเงิน 2 พันล้านดอลล์ซื้อหุ้น 12% Snapchat https://positioningmag.com/1146022 Fri, 10 Nov 2017 04:13:30 +0000 https://positioningmag.com/?p=1146022 ความสัมพันธ์ระหว่าง Tencent และ Snapchat นี้ยังอาจทำให้เกิดความร่วมมือระหว่าง 2 แอปพลิเคชันแชตระดับโลกได้ในอนาคต

เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ธรรมดาสำหรับสแนปแชต (Snapchat) บริการรับส่งข้อความที่ครองใจวัยรุ่นอเมริกัน เพราะคุณสมบัติไม่เหมือนใครจนทำให้พี่ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) คัดลอกครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุด ความไฟแรงของ Snapchat เข้าตาเจ้าพ่อออนไลน์จีนอย่างเทนเซนต์ (Tencent) ทำให้มีการอัดฉีดเงินกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เข้าซื้อหุ้น 12% ของ Snapchat เรียบร้อย

Tencent เป็นบริษัทแม่ของบริการวีแชต (WeChat) ซึ่งได้รับความนิยมสูงในจีน การเสนอตัวเข้าซื้อหุ้นเกิน 10% ในบริษัทต้นสังกัด Snapchat อย่างสแนป (Snap) นั้น ถูกรายงานต่อสำนักงานกำกับดูแลหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือ US Securities and Exchange Commission แล้ว

เอกสารระบุว่า Tencent ซื้อหุ้นที่ไม่มีสิทธิออกเสียง จำนวน 145.8 ล้านหุ้น ในตลาดเปิดช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ช่วงดังกล่าวราคามาตรฐานของหุ้น Snap อยู่ที่ 14.50 เหรียญสหรัฐ ต่อหุ้น ทำให้มีการประเมินว่า Tencent จ่ายเงินไม่น้อยกว่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

เหตุที่ทำให้การซื้อหุ้นครั้งนี้มีความน่าสนใจ คือ เพราะ Snap เป็นบริษัทที่มีสำนักงานในเซินเจิ้น ประเทศจีน ถือเป็นพื้นที่บ้านเกิดของ Tencent รายงานชี้ว่า สำนักงานนี้เน้นการพัฒนาฮาร์ดแวร์ คาดว่าเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ Tencent มองเห็นโอกาสเติบโตของ Snap 

ที่สำคัญ โครงการนี้ไม่ใช่การลงทุนครั้งแรกของ Tencent ที่อัดฉีด Snap แบบไม่เปิดเผยตั้งแต่ปี 2013 การเพิ่มทุนครั้งนี้สะท้อนว่า Tencent มั่นใจใน Snap เพิ่มขึ้น

ในเอกสาร Snap ระบุว่า ได้รับแรงบันดาลใจเรื่องความคิดสร้างสรรค์และจิตวิญญาณของผู้ประกอบการจาก Tencent มานานแล้ว ทำให้บริษัทรู้สึกยินดีที่ได้สานต่อความสัมพันธ์ ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อสี่ปีก่อน จุดนี้ Snap อ้างคำพูดของมาร์ติน เลา (Martin Lau) ว่าประธาน Tencent แจ้งกับ Snap ว่า Tencent รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้กระชับความสัมพันธ์ในการถือหุ้นกับ Snap และหวังว่าจะได้แบ่งปันความคิด และประสบการณ์ร่วมกัน

ความสัมพันธ์ระหว่าง Tencent และ Snapchat นี้ยังอาจทำให้เกิดความร่วมมือระหว่าง 2 แอปพลิเคชันแชตระดับโลกได้ในอนาคต และเป็นความสัมพันธ์ที่คู่แข่งอย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) รวมถึงค่ายอื่นต้องจับตามองให้ดี.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000113233

]]>
1146022
เฟซบุ๊ก ปั้นอินสตาแกรมแซงหน้าสแนปแชทแล้ว https://positioningmag.com/1135197 Fri, 04 Aug 2017 10:52:40 +0000 http://positioningmag.com/?p=1135197 เมื่อสแนปแชท (Snapchat) เป็นหอกข้างแคร่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) มาโดยตลอด การตัดสินใจซื้อ “อินสตาแกรม” (Instagram) ก็น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนาทีนี้ดูเหมือนว่า อินสตาแกรมจะสามารถก้าวขึ้นแซงสแนปแชทได้แล้ว ทั้งในแง่ปริมาณการใช้งาน และฟีเจอร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นของสแนปแชทร่วงจนน่ากังวล

ส่วนแบ่งการตลาดของผู้ใช้งาน Snapchat ที่เข้ามาใช้เป็นประจำทุกเดือนได้ตกลงจาก 17.2 เปอร์เซ็นต์เหลือ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่งผลให้หุ้นของ Snapchat ร่วงจากราคาเมื่อ IPO ที่ 17 เหรียญสหรัฐเหลือ 13 เหรียญสหรัฐอย่างรวดเร็ว

ส่วนตัวเลขผู้ใช้งาน เฉพาะบริการ Instagram Stories ที่เพิ่งครบรอบ 1 ปีของการเปิดตัว ปัจจุบันมีผู้ใช้งานต่อวัน 250 ล้านคน ส่วน Snapchat Stories อยู่ที่ 166 ล้านคน ส่วนระยะเวลาในการใช้งานต่อวันของ Instagram ในกลุ่มผู้ใช้งานที่อายุน้อยกว่า 25 ปี ก็ยังมากกว่า 32 นาทีขึ้นไป ส่วนผู้ใช้งานที่อายุเกิน 25 ปีขึ้นไปก็มีการใช้งานมากกว่า 24 นาทีต่อวันด้วย

ขณะที่ตัวเลขของ Snapchat นั้น ยังไม่มีตัวเลขใหม่อัปเดตออกมา มีเพียงข้อมูลเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ระบุว่า ผู้ใช้งานที่อายุต่ำกว่า 25 ปีนั้น ใช้งาน Snapchat มากกว่า 30 นาทีต่อวัน และกลุ่มผู้ใช้งานที่อายุ 25 ปีขึ้นไป ใช้งานประมาณ 20 นาทีต่อวัน ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เลยตามหลัง Instagram ไปโดยปริยาย และนั่นทำให้หุ้นของ Snap ตกลงอีกเหลือ 12.65 เหรียญสหรัฐ

การที่เฟซบุ๊กไม่ลงมาเล่นเอง แต่ส่งมือขวาอย่าง Instagram มาจัดการ Snapchat แทนก็เป็นเรื่องน่าสนใจ โดยจะเห็นได้ว่า Instagram มีการพัฒนาความสามารถต่าง ๆ ที่คล้ายคลึงกับบริการของ Snapchat ก่อนหน้านี้อยู่มาก เช่นเรื่องของฟิลเตอร์ต่าง ๆ

ตามการรายงานของ TechCrunch ระบุว่า Snapchat ใช้เวลาประมาณ 3 ปีในการพัฒนาฟีเจอร์ Stories ของตนเอง แต่ Instagram ใช้เวลาเพียง 4 เดือน ก็สามารถเปิดตัวบริการ Instagram Stories ที่คล้าย ๆ กันกับของ Snapchat ได้แล้ว ส่วนฟีเจอร์อย่าง Instagram Direct ที่เป็นการโพสต์แบบจำกัดผู้ชมได้นั้น ก็มีผู้ใช้งานแล้วถึง 375 ล้านคนต่อเดือน

ส่วน Snapchat นั้น นับตั้งแต่บริษัท Snap เข้าสู่ตลาดหุ้นก็ประสบปัญหามาโดยตลอด ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่า Instagram คือ ต้นเหตุหลักของความยากลำบากที่ Snapchat กำลังเผชิญด้วย


ที่มา : manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000079245

]]>
1135197
Snapchat ควบกิจการ Zenly เพิ่มฟีเจอร์ แผนที่ Snap Map สู้ศึกโซเชียลมีเดีย https://positioningmag.com/1130168 Thu, 22 Jun 2017 03:19:33 +0000 http://positioningmag.com/?p=1130168 ศึกโซเชียลมีเดียนั้นอาจมีเดิมพันมากกว่าที่เราคิด ล่าสุดสแนปแชท (Snapchat) ได้อัปเดตฟีเจอร์ใหม่ในชื่อ Snap Map แล้ว ซึ่งในฟีเจอร์ใหม่นี้พิเศษกว่าตรงที่จะเปิดขึ้นมาในภาพของแผนที่โลกขนาดใหญ่ และมีการระบุตำแหน่งว่าผู้ใช้งานแต่ละคนอยู่ที่จุดใด โดยเป็นฟีเจอร์ที่ได้มาจากการควบกิจการสตาร์ทอัปสัญชาติฝรั่งเศสเซนลี่ (Zenly) ในมูลค่า 350 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยแผนที่ของ Zenly นั้นอัจฉริยะขนาดที่ว่าสามารถบอกได้ว่าตอนนั้นผู้ใช้งานกำลังนอนหลับ หรือว่าทำงานอยู่ รวมถึงแสดงตำแหน่งของเพื่อนคนสำคัญคนอื่น ๆ ที่อาจจะกำลังแฮงค์เอาท์อยู่ด้วยกัน เผื่อว่าผู้ใช้งานจะได้ทราบความเคลื่อนไหว หรือไปร่วมกิจกรรมนั้นด้วย หรือถ้าไม่ไป จะส่งอิโมติคอน, Bitmoji, ตำแหน่ง (Location) ฯลฯ ไปทักทายก็ยังได้ ส่วนการทำงานนั้น ระบบจะอัปเดตข้อมูลเมื่อมีการเปิดแอปพลิเคชันเท่านั้น เพื่อประหยัดแบตเตอรี่ให้กับผู้ใช้งาน

ทั้งนี้ Snapchat แสดงความสนใจซื้อกิจการของ Zenly มาสักระยะแล้ว และเพิ่งมีรายงานว่า บริษัทสามารถควบกิจการ Zenly ได้เมื่อไม่นานนี้ ซึ่งความสามารถในการพัฒนาแผนที่ของ Zenly คือจุดสำคัญที่ทำให้ Snapchat แสดงความสนใจ และดึงฟีเจอร์ดังกล่าวมาอยู่ใน Snap Map ในที่สุด

นอกจากฟีเจอร์ด้านแผนที่สำคัญ ๆ แล้ว Snapchat ยังดึงฟีเจอร์ “โกสต์โหมด” (Ghost Mode) สำหรับใครที่ไม่อยากให้คนอื่นทราบความเคลื่อนไหวมาใช้งานด้วย แต่บริษัทจะไม่มีการจัดกลุ่มผู้ใช้งานให้โดยอัตโนมัติบนบริการแผนที่ เพราะ Snap เน้นการใช้งานในส่วน Our Story มากกว่า

สิ่งที่ตามมาจึงอาจเป็นการรอดูว่า ฟีเจอร์ที่ Snapchat เพิ่มเติมขึ้นมานี้จะถูกใครก็อปปี้ไปอยู่ในแพลตฟอร์มของตัวเองอีกหรือไม่ ซึ่งหลังจากนี้ไป Zenly จะได้ทำงานต่ออย่างอิสระภายใต้การบริหารงานของ Snap ซึ่งไม่ต่างจาก Instagram แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียคู่แข่งจากเฟซบุ๊กที่ได้ดำเนินการอย่างอิสระภายใต้ร่มเงาของเฟซบุ๊กนั่นเอง


ที่มา : http://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000063540

]]>
1130168
Me too ได้ผล! เฟซบุ๊กเผยยอดผู้ใช้งาน WhatsApp แซงหน้า Snapchat แล้ว https://positioningmag.com/1124994 Tue, 09 May 2017 03:03:31 +0000 http://positioningmag.com/?p=1124994 เฟซบุ๊ก (Facebook) เผยตัวเลขผู้ใช้งาน “WhatsApp” รายเดือนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากฟีเจอร์ใหม่ “Status” ที่ทำให้ภาพถ่าย หรือวิดีโอหายไปในเวลาที่กำหนด แถมข่าวดี คือ มีผู้ใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ต่อเดือนแซงหน้าบริการต้นตำรับอย่างสแนปแชท (Snapchat) ไปแล้ว

โดยจากการเปิดเผยของซีอีโออย่างมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ที่ได้โพสต์ภาพผ่านทางหน้าเพจของตัวเอง แสดงให้เห็นถึงตัวเลขการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะปัจจุบัน วอทส์แอปมีผู้ใช้งานต่อเดือนถึง 1.2 พันล้านคนแล้ว เท่ากับเฟซบุ๊ก แมสเซนเจอร์ กันเลยทีเดียว

สำหรับฟีเจอร์ Status นั้น เป็นฟีเจอร์น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง

โดยเพื่อน หรือครอบครัวสามารถมีส่วนร่วมกับสิ่งที่ผู้ใช้งานโพสต์ผ่านฟีเจอร์ Status ได้โดยการกดปุ่ม Reply ซึ่งจะดึงผู้ใช้งานไปพูดคุยกับเจ้าของแอ็กเคานต์ผ่านช่องทางการส่งข้อความ และสิ่งที่เหมือนกันกับบริการอื่นๆ อย่าง อินสตาแกรม, สแนปแชท และเฟซบุ๊ก แมสเซนเจอร์ ก็คือ ภาพ และคลิปเหล่านั้น จะหายไปได้เองเมื่อเวลาผ่านไป

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่า เฟซบุ๊กพยายามที่จะขอซื้อสแนปแชทมาแล้วตั้งแต่ปี 2013 โดยในครั้งนั้นมีรายงานว่า ตัวเลขสูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว เนื่องจากสแนปแชทนั้น ประสบความสำเร็จในหมู่วัยรุ่นเป็นจำนวนมาก และมีตัวเลขชี้ว่า ผู้บริโภคกลุ่มวัยรุ่นนี้ไม่ค่อยสนใจใช้งานเฟซบุ๊ก สักเท่าใด จึงทำให้ดีลดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ

เมื่อไม่สามารถซื้อสแนปแชทได้ เฟซบุ๊กก็มีการเปิดตัวบริการที่คล้ายคลึงกับฟีเจอร์ของสแนปแชทออกมาแทน ทั้งแอปพลิเคชันสลิงช็อต (Slingshot) ที่อยู่ได้ไม่นานก็ต้องปิดตัวลง ไปจนถึงการเปิดตัวอินสตาแกรม สตอรี่ส์ (Instagram Stories) และบริการอื่นๆ ตามมา

โดยทุกวันนี้ บริการที่อยู่ในเครือของเฟซบุ๊กต่างมีฟีเจอร์ที่คล้ายกับต้นตำรับอย่างสแนปแชท อยู่มากมาย และในการอัปเดตตัวเลขล่าสุดของมาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก เกี่ยวกับยอดผู้ใช้งานของ แมสเซนเตอร์, วอทส์แอป, และอินสตาแกรมนั้น ก็ดูเหมือนว่า ฟีเจอร์เหล่านั้น มีผู้ใช้งานสูงกว่าผู้ใช้งานบนสแนปแชท เสียแล้วด้วย

ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000046713

]]>
1124994
Snapchat เปิดแผน “โฆษณาบนสมาร์ทโฟน” ชิงเม็ดเงินจากทีวี เน้นสนุก เจาะกลุ่มวัยรุ่น https://positioningmag.com/1118513 Tue, 07 Mar 2017 16:48:19 +0000 http://positioningmag.com/?p=1118513 สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “สแนป” (Snap) บริษัทแม่ของสแนปแชต (Snapchat) ทำสถิติมูลค่าหุ้นพุ่ง 50% นับจากการเปิดจำหน่ายหุ้นครั้งแรก หรือ IPO เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนมั่นใจใน Snap เช่นนี้ คือ แผนธุรกิจที่ Snap เปิดเผยต่อสาธารณชน นั่นคือ แนวคิดการทำโฆษณาออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จเหมือนโฆษณาทางทีวี

แม้วันนี้ Snap จะกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐไปเรียบร้อย แต่ความจริง คือ Snap ยังเป็นบริษัทที่ขาดทุนหลายล้านเหรียญสหรัฐ ตัวอย่างเช่น ปี 2016 ที่ขาดทุนมากกว่า 514 ล้านเหรียญสหรัฐ แน่นอนว่า Snap ไม่ได้หวังจะพลิกขึ้นมาทำกำไรจากธุรกิจโฆษณาออนไลน์ให้เทียบเท่ารายใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) ในช่วงข้ามคืน แต่แนวคิดที่หวังสร้างบริการใหม่ขึ้นมานั้น ทำให้ Snap ดูดีมีอนาคต

(ล่าสุด หุ้น Snap Inc. ลดฮวบจนต่ำกว่าราคา IPO ซึ่งเปิดตลาดที่ 24 เหรียญสหรัฐต่อหุ้นแล้ว สถิติต่ำสุดที่ 21.31 เหรียญ คิดเป็นสัดส่วนลดลงมากกว่า 16% จากราคา IPO)

ดูดีอย่างไร?

ในเอกสารที่ Snap แสดงต่อตลาดหลักทรัพย์สหรัฐอเมริกา ระบุว่า Snap จะใช้วิธีแย่งตลาดจากโฆษณาทีวีซึ่งมีงบประมาณมหาศาลรออยู่ ซึ่งต้องยอมรับว่าวิธีนี้ คือ วิธีการเดียวกับยักษ์ใหญ่อย่างยูทูป (YouTube) และ Facebook ที่แย่งเงินจากตลาดทีวีมาสู่ตลาดวิดีโอดิจิตอลเช่นกัน อย่างไรก็ตาม Snap มีความเชื่อมั่นว่า ตัวเองมีจุดยืนที่ดีกว่า ซึ่งหากทำได้ Snap จะสามารถสร้างเงินจำนวนมากต่อผู้ใช้หนึ่งราย

เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากวิถีโฆษณาบน Snapchat ที่แตกต่างจากคู่แข่งในวงการวิดีโอดิจิตอลรายอื่น Snap อธิบายว่า เป้าหมายของบริษัท คือ การสร้างแพลตฟอร์มโฆษณาที่ครบรสทั้งน่าสนใจ สร้างสรรค์ และสนุก ดังนั้น แทนที่จะทำให้โฆษณาบน Snapchat เป็นเหมือนบริการทั่วไปที่เล่นโฆษณาก่อน หรือระหว่างฉายวิดีโอ Snap จึงใช้วิธีแสดงโฆษณาเต็มจอที่ดูสนุกแทน

ผู้บริหาร Snap ใช้ตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นเวทีโชว์แว่นตา Spectacles สินค้าใหม่ของ Snap ซึ่งผู้สวมแว่นนี้สามารถถ่ายภาพหรือวิดีโอได้โดยกดปุ่มที่ขาแว่น

Snap อธิบายเพิ่มเติมว่า โฆษณาที่เล่นก่อนฉายวิดีโอออนไลน์ หรือ Pre-roll advertisement นั้น ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นจากวิดีโอ ทำให้ผู้ชมรู้สึกรำคาญที่จะต้องรอจนโฆษณาเล่นจนจบก่อนจึงจะได้ชมวิดีโอที่ต้องการ ขณะที่โฆษณาแบบ In-feed advertisement หรือโฆษณาที่เล่นระหว่างวิดีโอฉาย ก็ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเต็มจอ ทำให้ผู้ชมมักเลื่อนผ่านไป หรือมองข้ามไป ทำให้โฆษณารูปแบบนี้ไม่ต่างจากป้ายแบนเนอร์โฆษณาบนเว็บไซต์

เมื่อโฆษณาทั้ง 2 รูปแบบไม่ตอบโจทย์ Snap จึงมองว่า โฆษณาทีวี คือ คำตอบ เนื่องจากโฆษณาทีวีสามารถสร้างความสนุกสนานให้ผู้ชมได้มานานหลายสมัย

Snap มองว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะโฆษณาทีวีเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชมทีวี ผู้ชมจำนวนมากไม่รู้สึกเบื่อกับการชมโฆษณา เพราะรู้สึกสนุก สร้างสรรค์ และได้รับความบันเทิงจากการชมโฆษณาทีวี อรรถรสเช่นนี้ คือ บริการโฆษณาออนไลน์ที่ Snap ต้องการสร้างสรรค์ขึ้น

ทีวีเพื่อวัยรุ่น

ไอเดียโฆษณาของ Snap ถูกวางไว้ว่า จะต้องไม่ใช่โฆษณาทีวีธรรมดา เพราะสิ่งสำคัญ คือ จุดยืนของ Snap ที่จะเน้นการเป็นทีวีสำหรับวัยรุ่น เรื่องนี้ Snap มองว่า มีความแข็งแกร่งรออยู่แล้ว เนื่องจากการสำรวจพบว่า กลุ่มลูกค้าหลักของ Snapchat นั้น เป็นกลุ่มที่ชมทีวีน้อยนี่เองที่เป็นโอกาสทองที่ทำให้ Snap สามารถสร้างโฆษณาทีวีสำหรับอุปกรณ์พกพาขึ้นใหม่

แนวคิดนี้ได้ใจนักลงทุน แถมที่ผ่านมา Snap ก็สามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบโฆษณาไปทางที่โดดเด่น เช่น การเปิดรูปแบบโฆษณาแบบแนวตั้งเต็มจอ แม้จะเริ่มเปิดช่องให้ผู้ใช้สามารถข้ามโฆษณาไปได้เหมือนรายอื่นอย่าง YouTube

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “สแนป” (Snap) บริษัทแม่ของสแนปแชต (Snapchat) ทำสถิติมูลค่าหุ้นพุ่ง 50% นับจากการเปิดจำหน่ายหุ้นครั้งแรกหรือ IPO เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม

ในเอกสาร S-1 ดาวรุ่งอย่าง Snap ยังระบุว่า จะทำให้เหนือกว่าโฆษณาทีวี โดยเฉพาะเรื่องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถคลิกซื้อสินค้า หรือบริการหลักชมโฆษณาได้เลย นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มความสามารถให้โฆษณาสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่าที่โฆษณาทีวีเคยทำได้ ถือเป็น 2 จุดหลักที่ Snap ต้องการเพิ่มประสบการณ์ให้เหนือกว่าโฆษณาทีวี

อีกจุดน่าสนใจในเอกสารของ Snap คือ การเทียบตลาดโฆษณาของตัวเองเองตลาดโฆษณาทีวี โดยบอกว่า งบประมาณโฆษณาทีวีในวันนี้หดตัวลง เพราะความนิยมชมวิดีโอออนไลน์บนสมาร์ทโฟน แต่หากคำนวณตัวเลขตลาดรวมโฆษณาทั่วโลก จะพบว่าเม็ดเงินในตลาดนี้จะเพิ่มขึ้นจาก 6.52 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 มาเป็น 7.67 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 เรียกว่า เห็นโอกาสทองรออยู่แล้ว

ขณะเดียวกัน Snap เชื่อว่า ตลาดโฆษณาบนอุปกรณ์พกพาจะเติบโต 3 เท่าจาก 6.6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2016 มาเป็น 1.96 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2020 นี่จึงจะเป็นปัจจัยที่ทำให้แนวโน้มการเติบโตชัดเจนขึ้น แม้ว่าที่ผ่านมา Snap จะสามารถทำเงินได้เพียง 400 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้นในปีที่ผ่านมา.

ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9600000023574

]]>
1118513
เอาใจเด็กมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาแจ้งผลสอบเข้าผ่าน “Snapchat” https://positioningmag.com/1110113 Tue, 06 Dec 2016 23:55:24 +0000 http://positioningmag.com/?p=1110113 เป็นการแจ้งผลการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยที่โดนใจเด็กวัยรุ่นในสหรัฐอเมริกาไม่น้อยกับมหาวิทยาลัย Wisconsin-Green Bay หรือ UWGB ที่ตัดสินใจประกาศผลการเข้าศึกษาต่อให้กับเด็กมัธยมปลายที่มาสมัครสอบผ่านแอปพลิเคชั่น Snapchat

โดยผู้เชี่ยวชาญด้านโซเชียลมีเดียของมหาวิทยาลัยอย่าง Jena Richter Landers เผยว่าเลือกใช้ Snapchat เพราะเด็กๆ ชอบแอปพลิเคชั่นตัวนี้มาก และช่วงอายุของเด็กที่สมัครเข้าเรียนก็มีการใช้งาน Snapchat กันเป็นส่วนใหญ่

“เด็กๆ แทบจะอยู่บน Snapchat กันทั้งวัน ซึ่งพวกเขาชอบที่จะเล่นมันตลอดเวลา เราจึงมองว่า การแจ้งผลทาง Snapchat ก็น่าจะทำให้เด็กๆ ได้ทราบผลอย่างรวดเร็วมากขึ้น”

นอกจากการได้ทราบผลอย่างรวดเร็วแล้ว อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่จะตามมาก็คือ การเซลฟี่ตัวเองกับภาพผลการสอบคัดเลือกลงบน Snapchat ซึ่งน่าจะเป็นการโปรโมตสถาบันได้ดีอีกทางหนึ่งเลยทีเดียว

“เด็กๆ จะได้ทราบผลทาง Snapchat ก่อนเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยอีเมล และจดหมาย”

ส่วน Katie Vlachina นักศึกษาของมหาวิทยาลัยผู้ซึ่งเข้ามาช่วยมหาวิทยาลัยในการแจ้งผลการสอบนั้นก็กล่าวว่า การแจ้งผลสอบผ่าน Snapchat เป็นเรื่องที่เจ๋งมากๆ ด้วย

ทั้งนี้ Snapchat มีผู้ใช้งานในปัจจุบันราว 150 ล้านคนต่อวัน ซึ่งกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มมิลเลนเนียลที่มีอายุระหว่าง 16-35 ปี โดยคิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้งานทั้งหมด ซึ่ง Snapchat อ้างว่า ผู้ใช้งานแต่ละรายนั้น อยู่บนแพลตฟอร์ม 25-30 นาทีต่อวัน เลยทีเดียว

ที่มา : http://manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000120604

]]>
1110113