Social – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 28 Dec 2023 11:09:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 นักวิจัยเผย ‘โซเชียลมีเดีย’ ทำเงินเฉพาะแค่ ‘เยาวชน’ รวมกันกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1457421 Thu, 28 Dec 2023 05:06:01 +0000 https://positioningmag.com/?p=1457421 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ถูกตั้งคำถามว่าส่งผลเสียต่อเยาวชนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาของ Harvard TH Chan School of Public Health พบว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลาย สามารถสร้างรายได้จากการโฆษณาในสหรัฐฯ รวมกันมากกว่า 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์จากเยาวชน

เพื่อหาตัวเลขรายได้ นักวิจัยได้เก็บข้อมูลผู้ใช้ในสหรัฐอเมริกาที่ อายุต่ำกว่า 18 ปี บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ได้แก่ Facebook, Instagram, Snapchat, TikTok, X และ YouTube ในปี 2022 เพื่อประเมินรายได้โฆษณาในสหรัฐฯ ของแต่ละแพลตฟอร์ม และเวลาที่เด็ก ๆ ใช้ต่อวันในแต่ละแพลตฟอร์ม หลังจากนั้น นักวิจัยได้สร้างแบบจำลองเพื่อประเมินรายได้โฆษณาที่แพลตฟอร์มได้รับจากเยาวชนในสหรัฐอเมริกา

จากการศึกษาพบว่า รายได้จากโฆษณาสูงสุดจากผู้ใช้ อายุ 12 ปีหรือต่ำกว่า แพลตฟอร์ม YouTube ทำเงินสูงสุด (959.1 ล้านดอลลาร์) ตามมาด้วย Instagram (801.1 ล้านดอลลาร์) และ Facebook (137.2 ล้านดอลลาร์)

ในส่วนของรายได้โฆษณาจากผู้ใช้ อายุ 13-17 ปี แพลตฟอร์ม Instagram ทำรายได้สูงสุดที่ (4 พันล้านดอลลาร์) ตามมาด้วย TikTok (2 พันล้านดอลลาร์) และ YouTube (1.2 พันล้านดอลลาร์)

นอกจากนี้ นักวิจัยยังคาดการณ์ว่า Snapchat ได้รับส่วนแบ่งสูงสุดของรายได้จากโฆษณาโดยรวมในปี 2022 จากผู้ใช้อายุต่ำกว่า 18 ปี (41%) ตามมาด้วย TikTok (35%), YouTube (27%) และ Instagram (16%)

“การค้นพบนี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการควบคุมโซเชียลมีเดียของรัฐบาล เนื่องจากเด็ก ๆ ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองในการใช้แพลตฟอร์มได้ ดังนั้น แพลตฟอร์มควรจะมีความโปร่งใสที่มากขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาอันตรายต่อสุขภาพจิตของเยาวชน และลดแนวทางการโฆษณาที่อาจเป็นอันตรายซึ่งกำหนดเป้าหมายไปที่เด็กและวัยรุ่น” นักวิจัยกล่าว

people using smart phone ,Social, media, Marketing concept

ทั้งนี้ นักวิจัยและผู้ร่างกฎหมายได้มุ่งความสนใจไปที่ผลกระทบด้านลบที่เกิดจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมานานแล้ว ซึ่งอัลกอริทึมที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลสามารถผลักดันให้ เด็ก ๆ ใช้งานมากเกินไป โดยที่ผ่านมา สมาชิกสภานิติบัญญัติในรัฐ เช่น นิวยอร์กและยูทาห์ แนะนำหรือผ่านกฎหมายที่จะควบคุมการใช้โซเชียลมีเดียในหมู่เด็ก โดยอ้างถึงอันตรายต่อสุขภาพจิตของเยาวชนและข้อกังวลอื่น ๆ

ปัจจุบัน Meta ซึ่งเป็นเจ้าของ Instagram และ Facebook กำลังถูกฟ้องโดยรัฐหลายสิบแห่งในข้อหามีส่วนทำให้เกิดวิกฤตสุขภาพจิต และจากผลวิจัยพบว่า เด็กและวัยรุ่นวัยเรียนอาจจำโฆษณาได้ และมักจะไม่สามารถต้านทานโฆษณาได้เมื่อโฆษณานั้นฝังอยู่ในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่เชื่อถือได้ และได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอิทธิพลคนดัง

“แม้ว่าแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอาจอ้างว่าพวกเขาสามารถควบคุมแพลตฟอร์มเพื่อลดอันตรายต่อเยาวชนได้ แต่การศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่า แพลตฟอร์มโซเชียลฯ ยังมีแรงจูงใจทางการเงินอย่างล้นหลามเพื่อชะลอการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อปกป้องเด็ก ๆ ต่อไป” Bryn Austin ศาสตราจารย์ภาควิชาสังคมและพฤติกรรมศาสตร์ที่ Harvard กล่าว

ทั้งนี้ ตัวแพลตฟอร์มเองไม่ได้เปิดเผยว่าพวกเขาทำรายได้จากเยาวชนมากน้อยแค่ไหน

]]>
1457421
สรุป 15 อินไซต์การใช้ ‘โซเชียลฯ’ ของ ‘ภาคธุรกิจ’ ปี 66 ปีแห่งการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่าน “เรียลไทม์คอนเทนต์” https://positioningmag.com/1455076 Mon, 11 Dec 2023 01:51:24 +0000 https://positioningmag.com/?p=1455076 ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) ได้ทำการรวบรวมข้อมูลและสถิติการใช้งาน Facebook, X, Instagram, YouTube และ TikTok ของภาคธุรกิจกว่า 2,000 แบรนด์ชั้นนำจาก 20 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 3 ล้านข้อความ ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งปี 2566 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 30 กันยายน 2566 ผ่าน “INSTANT REPORT BUSINESS USAGE ภาพรวมการใช้งานโซเชียลมีเดียเชิงธุรกิจไตรมาส 1-3 2566” โดยมีสรุป 15 สาระสำคัญ ดังนี้

1. ภาคธุรกิจได้รับเอ็นเกจเมนต์ (Engagement) โดยรวมมากถึง 421 ล้านครั้ง และจากการโพสต์ (Post) รวมมากกว่า 1 ล้านครั้ง โดยที่ 66% ของแบรนด์เน้นใช้พื้นที่บน Facebook เป็นหลัก รองลงมาคือ Instagram ที่มีสัดส่วนประมาณ 20%

2. ช่องทาง TikTok วิดีโอที่มียอดไลก์ (Like) สูง ส่วนมากจะเป็นวิดีโอสั้น เช่น คอนเทนต์โปรโมตสินค้าจากทางแบรนด์และไลฟ์สไตล์ของเจ้าของแบรนด์

3. ช่องทาง TikTok มีจำนวนการรับชม (View) และจำนวนคอนเทนต์สูงกว่า YouTube แต่แนวโน้มการเพิ่มขึ้น-ลดลงตลอดทั้งปีของทั้ง 2 แพลตฟอร์มมีทิศทางเหมือนกัน คือ ยอดการรับชมเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ในเดือนมีนาคม และลดลงเรื่อย ๆ ทุกเดือน ในขณะที่การโพสต์คอนเทนต์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ภาพจาก Pexels

4. พื้นที่บนโซเชียลมีเดียของบัญชีทางการ มีการใช้ Facebook เป็นหลัก โดยแบรนด์เลือกใช้ Facebook มากที่สุด (99%) รองลงมาคือ Instagram (73%), YouTube (50%), TikTok (38%) และ X (34%) ซึ่ง 95% ของแบรนด์ มีบัญชีทางการอย่างน้อย 2 แพลตฟอร์ม โดยใช้ Facebook เป็นหลัก มีเพียงแค่ 5% ของแบรนด์เท่านั้น ที่ยังคงใช้เพียงแค่ 1 แพลตฟอร์มในการทำการตลาดกับผู้บริโภค

5. ในภาพรวมแบรนด์เน้นทำคอนเทนต์สร้างการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหาที่ตลกและสนุกสนานให้ดูเข้าถึงง่าย, เรียลไทม์คอนเทนต์ รวมถึงการเกาะกระแสไวรัลต่าง ๆ สร้างความรู้สึกเป็นกันเอง และทำให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์เพิ่มขึ้น

6. ช่องทาง Facebook Reaction ถูกใช้เป็นฟังก์ชันในการโหวตเพื่อร่วมกิจกรรม และใช้แสดงความรู้สึก โดย Love คือรู้สึกดีชื่นชอบ, Haha คือขำขัน, Wow คือประหลาดใจ, Sad คือแสดงความเสียใจ ต่อการสูญเสีย, Angry คือไม่พอใจการให้บริการ

ภาพจาก Unsplash

7. ช่วงเวลาในการโพสต์คอนเทนต์ของแบรนด์ในทุกแพลตฟอร์ม คือ วันจันทร์-ศุกร์ โพสต์ตามเวลาทำการ (Working Hours) โดยเฉพาะก่อนเวลาพักเที่ยง และก่อนเลิกงาน ส่วนเสาร์-อาทิตย์จะเน้นโพสต์ช่วงครึ่งเช้า

8. กลุ่มธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram มากที่สุดคือ Department Store แต่เอ็นเกจเมนต์ที่สูงที่สุดอยู่ในกลุ่มธุรกิจ Cosmetics & Skincare

9. กลุ่มธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม X มากที่สุดคือ Bank แต่เอ็นเกจเมนต์ที่สูงที่สุดไปอยู่ในกลุ่มธุรกิจ Marketplace & E-Commerce Platform

10. กลุ่มธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม YouTube มากที่สุดคือ Hospital, Mobile & Consumer Electronics และ Bank ตามลำดับ

11. กลุ่มธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม TikTok มากที่สุดคือ Shopping Center & Department Store, Cosmetics และ Skincare ตามลำดับ

ภาพจาก Shutterstock

12. กลุ่มธุรกิจที่เน้นโปรโมตโดยใช้ศิลปิน คือ กลุ่มธุรกิจ Marketplace & E-Commerce Platform โดยจะใช้แพลตฟอร์ม X และ Instagram ควบคู่กัน

13. แพลตฟอร์มที่แบรนด์เลือกใช้ถัดจาก Facebook จะเป็นไปตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในธุรกิจนั้น เช่น Skincare จะใช้ TikTok ควบคู่กับ Facebook ในขณะที่ Hospitality & Travel Agency และ Restaurant จะใช้ Instagram ควบคู่กับ Facebook ไปด้วย

14. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับยอดเข้าชมรวม (View) สูงสุดบน TikTok 5 อันดับ คือ 1. Skincare, 2. Marketplace & E-Commerce Platform, 3. Beverage, 4. Cosmetics และ 5. Food & Snacks

15. กลุ่มธุรกิจที่ได้รับยอดเข้าชมรวม (View) สูงสุดบน YouTube 5 อันดับ คือ 1. Beverage, 2. Marketplace & E-Commerce Platform, 3. Personal Care & Skin Care, 4. Mobile & Consumer Electronics และ 5. Food & Snacks โดยกิจกรรมส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การโปรโมทคลิปโฆษณาที่มีความยาว 15-30 วินาที

]]>
1455076
นักวิเคราะห์คาด ‘Meta Verified’ จะมีผู้ใช้กว่า 12 ล้านราย ฟาดรายได้ 1.7 พันล้านเหรียญภายในปีหน้า https://positioningmag.com/1420267 Wed, 22 Feb 2023 03:30:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1420267 เป็นข่าวฮือฮาเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ เมื่อ Facebook และ Instagram เดินตามรอย Twitter ที่ออกฟีเจอร์ Meta Verified หรือ เครื่องหมายติ๊กถูกหลังชื่อ เพื่อเป็นการยืนยันว่าเป็นเพจจริง ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องบัญชีปลอม หรือแอบอ้างเป็นบุคคล

จากการคาดการณ์ของ Bank of America (BoFA) มองว่าบริการ Meta Verified ที่จะคิดค่าบริการ 11.99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 400 บาท จะมีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณ 12 ล้านรายภายในปี 2024 ซึ่งแปลว่า Meta จะสามารถสร้างรายได้ราว 1.7 พันล้านดอลลาร์ หรือ 5.6 หมื่นล้านบาท

BoFA อธิบายว่า สมัครสมาชิกของ Meta นั้นพุ่งเป้าหมายไปที่ Influencers และ เพจ Official ต่าง ๆ มากกว่าจะเป็นผู้ใช้งานทั่วไป เพราะนอกจากจะช่วยยืนยันว่าเป็นตัวจริงแล้ว แต่ยังช่วย เพิ่มการมองเห็น รวมถึง จะเห็นชื่อในการค้นหาก่อน ให้กับเพจนั้น ๆ ด้วย

“ด้วยการเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นและโอกาสในการสร้างรายได้ที่มากขึ้นสำหรับเจ้าของเพจ เราเชื่อว่าบริการนี้ของ Meta สามารถเพิ่มรายได้ได้ดีกว่าการเพิ่มสมาชิก”

สำหรับฟีเจอร์ Meta Verified ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยหลังจากที่ Meta ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ดังกล่าว ก็มีหลายคนมองว่าเป็นการเดินตามรอยฟีเจอร์ Blue ของ Twitter ที่เปิดตัวในเดือนธันวาคม ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 8 ดอลลาร์ต่อเดือน โดยบริการดังกล่าวมีสมาชิกเกือบ 300,000 รายทั่วโลก ตามรายงานของเว็บไซต์ข่าวเทคโนโลยี The Information

นอกจากนี้ก็มี Snap ยังมีบริการสมัครสมาชิกที่เรียกว่า Snapchat+ ซึ่งบริการส่งข้อความโซเชียลเปิดตัวในเดือนมิถุนายนด้วยราคา 3.99 ดอลลาร์ต่อเดือน Snap กล่าวเมื่อปลายเดือนมกราคมระหว่าง รายงานรายได้ล่าสุดว่าตอนนี้ Snapchat+ มีผู้ใช้มากกว่า 2 ล้านคนแล้ว

Source

]]>
1420267
Facebook และ WhatsApp เปิดตัว ‘ไอคอน’ และ ‘ชุดสติกเกอร์’ ใหม่ไว้ใช้สื่อสารช่วง COVID-19 https://positioningmag.com/1274762 Wed, 22 Apr 2020 06:43:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1274762 ถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของ 2 แพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของโลกทั้ง Facebook ที่มีไอคอนใหม่ที่ใช้แสดงความรู้สึก ‘ห่วงใย’ และ WhatsApp ที่เปิดตัวชุดสติกเกอร์ใหม่ที่ชื่อว่า ‘Together at Home’ เพื่อสะท้อนความรู้สึกและอารมณ์ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้

ก่อนหน้าที่ Facebook จะเปิดตัว Icon ห่วงใยนั้น ได้เคยเปิดตัวสติกเกอร์ ‘อยู่บ้าน’ (Stay Home) และ ‘Thank You’ บน Instagram เพื่อแสดงความรู้สึกขอบคุณกับสิ่งที่ช่วยให้คุณสามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทางด้านสาธารณสุข เพื่อนฝูง ครอบครัว

และไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวแห่งความสุข ความเศร้า หรืออารมณ์ใด ๆ ก็ตาม Facebook ต้องการให้ผู้คนสามารถให้กำลังใจกันได้อย่างเหมาะสมกับทุกโอกาส ผ่านการแสดงความรู้สึกต่อรูปภาพ ข่าวสาร วิดีโอ โพสต์ข้อความ หรือการสนทนาต่าง ๆ โดยเฉพาะโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน

ด้วยเหตุนี้ จึงได้เปิดตัวปุ่มไอคอนแสดงความรู้สึกชุดใหม่บน Facebook และ Messenger โดยได้เริ่มให้บริการบน Messenger และจะเริ่มให้บริการบน Facebook ในวันที่ 23 เมษายนเป็นต้นไป ซึ่งปุ่มแสดงความรู้สึกเหล่านี้ถูกออกแบบเพื่อการใช้งานชั่วคราว เพื่อให้ผู้คนสามารถแสดงความห่วงใยกันและกันในช่วงเวลานี้เท่านั้น

ในส่วนของ WhatsApp ที่คนไทยไม่ค่อยใช้สักเท่าไหร่ เพราะนิยมใช้ Line มากกว่า แต่ในต่างประเทศ WhatsApp ถือว่าเป็นแอปที่ได้รับความนิยมมากทีเดียว โดย WhatsApp เปิดตัวสติกเกอร์เมื่อสองปีก่อนและตั้งแต่นั้นก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงออกบนแพลตฟอร์มโซเชียล

ล่าสุด WhatsApp ได้ร่วมกับ World Health Organization (WHO) หรือองค์กรอนามัยโลกเปิดตัวสติกเกอร์ใหม่ที่ชื่อว่า ‘Together at Home’ เพื่อสะท้อนความรู้สึกและอารมณ์ที่ผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ซึ่งมีทั้งสติกเกอร์ที่แสดงให้เห็นชายคนหนึ่งที่สวมใส่ชุดนอน แล็ปท็อปที่แสดงถึงบรรทัดฐานใหม่ของการ Work From Home, การสนทนากลุ่มทางวิดีโอ, คนที่กำลังดูซีรีส์บนเตียง, สุนัขที่เตือนผู้คนให้ล้างมือ และผู้หญิงกำลังสอดแนมเพื่อนบ้านโดยใช้กล้องส่องทางไกล มีสติกเกอร์ที่ฉลองวีรบุรุษทางการแพทย์

ทั้งนี้ ชุดสติกเกอร์ Together at Home มีอยู่ใน WhatsApp และสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี ปัจจุบันมีให้บริการเป็นภาษาอังกฤษและข้อความที่แปลเป็นภาษาต่าง ๆ 10 ภาษา ได้แก่ อาหรับ, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ฮินดี, อินโดนีเซีย, อิตาลี, โปรตุเกส, รัสเซีย, สเปน และตุรกี

Source

]]>
1274762
รางวัลสดุดี เทิดพระเกียรติในหลวง https://positioningmag.com/9384 Fri, 14 Oct 2016 10:55:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9384

ระดับนานาชาติ องค์กรระหว่างประเทศ ต่างแสดงความรัก และเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระองค์ท่าน ด้วยเหตุผลที่ได้เห็นถึงพระราชกรณียกิจ และพระอัจฉริยะภาพของพระองค์อย่างเด่นชัด

รางวัลที่ยังความปลาบปลื้มต่อคนไทยเมื่อเร็วๆ นี้ ต้องระบุถึงรางวัลที่โคฟี อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล “ความสำเร็จสูงสุด ด้านการพัฒนามนุษย์” (UNDP Human Development Lifetime Achievement Award) ของโครงการพัฒนาแห่งองค์การสหประชาชาติ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2549

อันนันได้กล่าวไว้ว่าองค์การสหประชาชาติให้ความสำคัญกับการพัฒนาคน โดยผ่านรายงานของสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นดีพี) ทั้งระดับโลกและระดับประเทศ ผ่านโครงการพัฒนาจาก 166 ประเทศ ดังนั้นการพัฒนาคนหมายถึงลำดับความสำคัญประชาชนเป็นอันดับแรก ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้วที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการพัฒนาคน ภายใต้แนวทางการพัฒนาคนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทั้งนี้จากพระปฐมราชโองการ “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระองค์ได้ทรงอุทิศพระวรกาย และทรงงานมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อพัฒนาชีวิตให้ปวงชนชาวไทย โดยมิเลือกเชื้อชาติ วรรณะ และศาสนา จึงทรงได้รับการขนานนามจากชาวโลกว่า “ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนา”

ในวันที่ 8 พฤษภาคม 2549 ที่ประชุมองค์การสหประชาชาติ มีการประชุมชาวพุทธนานาชาติ เนื่องในงานวันวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2549 ไคชิโร มาตสุอุรา เลขาธิการองค์การศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ยังได้กล่าวสุนทรพจน์ว่า อยากใช้โอกาสนี้เฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ครองสิริราชสมบัติ 60 ปี ซึ่งตั้งแต่พระองค์ขึ้นครองราชย์ทรงสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นบนความหลากหลายเชื้อชาติศาสนาในประเทศ

ที่ประชุมยังได้ยกตัวอย่างของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์มีโครงการในพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการ เพื่อให้เป็นต้นแบบของการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมทั้งยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้เป็นต้นแบบของพระมหากษัตริย์ที่ประสบความสำเร็จในโลกปัจจุบัน

นอกเหนือจากนี้ผลงานประดิษฐ์ และพระอัจฉริยะภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ยังได้รับการสดุดี เทิดพระเกียรติจาก คณะกรรมการจัดงานบรัสเซลส์ ยูเรก้า (Brussels Eureka) โดย The Belgian Chamber of Inventors ซึ่งเป็นสมาคมส่งเสริมและคุ้มครองนักประดิษฐ์ของราชอาณาจักรเบลเยียม ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในยุโรป ทูลเกล้าฯ รางวัลในปี 2543 และ 2544

ในปี 2544 ได้รับทูลเกล้าฯ รางวัลจาก 3 โครงการ ตามที่สภาวิจัยแห่งชาติได้จัดแสดงผลงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ ผลงานเรื่องทฤษฎีใหม่ (The New Theory) ผลงานเรื่องน้ำมันไบโอดีเซล สูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม (Palm Oil Formula) และผลงานเรื่องฝนหลวง (Royal Rain Making)

โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลถึง 5 รางวัล คือ

1. รางวัล D’Un Concept Nouveau de Development de la Thailande พร้อมถ้วยรางวัลทำด้วยเงิน

2. รางวัล Gold medal with mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติให้แก่ผลงานประดิษฐ์คิดค้น โครงการน้ำมันไบโอดีเซล สูตรสกัดจากน้ำมันปาล์ม

3. รางวัล Gold medal with mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติให้กับผลงานประดิษฐ์คิดค้นโครงการทฤษฎีใหม่

4. รางวัล Gold medal with mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมประกาศเกียรติคุณเทิดพระเกียรติให้กับผลงานประดิษฐ์คิดค้นโครงการฝนหลวง

5. ถ้วยรางวัล SPECIAL PRIX for His Majesty The King of Thailand พร้อมประกาศนียบัตร มอบให้ผลงานประดิษฐ์คิดค้นทฤษฎีใหม่ ปาล์มน้ำมัน ฝนหลวง และประกาศนียบัตร Honored Member of BACCI โดยเป็นรางวัลจาก Bulgarina American Chamber of Commercial and Industry (BACCI)

ก่อนหน้านั้นในปี พ.ศ. 2543 สภาวิจัยแห่งชาติ ได้นำผลงาน “เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย” หรือ “กังหันน้ำชัยพัฒนา” ในพระองค์เข้าประกวดในสิ่งประดิษฐ์ประเภทที่ 1 เกี่ยวกับการควบคุมมลพิษและสิ่งแวดล้อม (Pollution Control – Environment) ปรากฏว่า ได้รับการยกย่องจากคณะกรรมการจัดงานว่าเป็นผลงานที่ทรงคุณค่าและมีประโยชน์อย่างยิ่งในการบำบัดน้ำเสีย ทรงได้รับทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลรวมทั้งสิ้น 5 รางวัล คือ

1. เหรียญรางวัล Prix OMPI (Organisation Mondiale De La Propriete Intelietuelle) หรือรางวัลสิ่งประดิษฐ์ดีเด่นระดับโลก พร้อมประกาศนียบัตร และเงินรางวัลจำนวน 2,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ

2. เหรียญรางวัล Gold Medal with Mention หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพแห่งการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ และประกาศนียบัตรเกียรตินิยมจากบรัสเซลส์ ยูเรก้า ประจำปี พ.ศ. 2543

3. ถ้วยรางวัล Grand Prix International (International Grand Prize) หรือรางวัลผลงานประดิษฐ์ดีเด่นสูงสุด

4. ถ้วยรางวัล Minister J.CHABERT (Minister of Economy of Brussels Capital Region) หรือรางวัลผลงานสิ่งประดิษฐ์ดีเด่น

และ 5.ถ้วยรางวัล Yugosiavia หรือรางวัลสรรเสริญพระอัจฉริยภาพด้านการประดิษฐ์

พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2549 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา “พระบิดาแห่งการประดิษฐ์ไทย” แด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (สกว.) เสนอ โดย กำหนดให้วันที่ 2 ก.พ. ของทุกปีเป็นวันนักประดิษฐ์ เพื่อเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการที่ได้ทรงประดิษฐ์คิดค้นเครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย หรือกังหันน้ำชัยพัฒนา และทรงได้รับทูลเกล้าฯ ถวายสิทธิบัตรการประดิษฐ์

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9384
“ในหลวง” แรงบันดาลใจ แห่งเอเชีย https://positioningmag.com/9387 Fri, 14 Oct 2016 09:55:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9387

“ไทม์“ นิตยสารที่ทรงอิทธิของโลก ได้เทิดทูนในหลวงของเรา ในโอกาสก่อตั้งนิตยสารมาครบ 60 ปี ในฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 โดยรวบรวมวีรบุรุษแห่งเอเชีย ในหัวข้อ “60 Years of Asian Heroes” โดยยกย่องบุคคลสำคัญของเอเชีย 64 คน ใน 5 บทบาท คือ ผู้สร้างชาติ ศิลปินและนักคิด ผู้นำด้านธุรกิจ นักกีฬาและนักผจญภัย และผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจ

“ไทม์” ได้สดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในบทบาทของผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจ (Inspirations)โดยทรงเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ทรงใช้พระบารมีแห่งราชธรรมชี้นำประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตหลายครั้ง ในช่วง 60 กว่าปีที่ผ่านมา ทรงพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์จากโครงการพระราชดำริกว่า 3,000 โครงการที่ช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทรงช่วยเหลือเขตชนบทห่างไกล แม้ว่าเขตนั้นจะเป็นเขตของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ก็ตาม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์ตุลาคม ปี ค.ศ.1973 (พ.ศ. 2516) และพฤษภาทมิฬ ค.ศ. 1992 (พ.ศ. 2535) จนถึงการรัฐประหารล่าสุดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ชาวไทยยังเชื่อมั่นในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะทรงเป็นที่ยึดใหม่ให้คณะปฏิรูปคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชนตามที่ได้ให้สัตย์ปฏิญาณไว้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งหมดเป็นการแก้ไขปัญหาของประเทศไทย โดยอาศัยพระบารมีของพระองค์

พระองค์ยังทรงแนะนำอย่างเงียบๆ และบางครั้งทรงชี้แนะอย่างเปิดเผย เพื่อเน้นให้รัฐบาลคำนึงถึงผลประโยชน์สาธารณะเป็นอันดับแรก

บทความของไทม์ยังระบุด้วยว่าพระองค์ทรงดำรงสถานะอันสูงส่งเป็นที่เคารพรักได้ตลอด 60 ปีที่ทรงครองราชย์ ในขณะที่ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่างล้มเลิกระบอบกษัตริย์ บางประเทศกษัตริย์และเจ้าชายถูกลดทอนพระราชอำนาจ หรือบางราชวงศ์ถูกขับให้ลี้ภัย หรือถูกประหาร ตรงกันข้ามกับพระราชสถานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงและต่อเนื่อง

“ไทม์” ยังสดุดีพระองค์ท่านด้วยว่า เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นยุวกษัตริย์ของไทย ที่มีพระชนมายุเพียง 18 ชันษา ต่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลฯ ที่สวรรคตอย่างกะทันหัน สื่อหลายสำนักรวมทั้งไทม์ นิตยสารที่เพิ่งเปิดตัวในเอเชียขณะนั้น ก็ได้ตั้งคำถามว่า พระองค์จะสามารถปกครองบ้านเมืองท่ามกลางมรสุมทางการเมือง และความลี้ลับในเหตุการณ์ที่เกิดได้หรือไม่ แต่บัดนี้ทรงพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว”

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9387
วีรบุรุษแห่งเอเชีย https://positioningmag.com/9386 Fri, 14 Oct 2016 05:55:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9386

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทย ทรงใช้ทศพิธราชธรรมของพระองค์นำประเทศไทยผ่านวิกฤตการณ์มาหลายครั้ง พระองค์ทรงทำให้สถาบันกษัตริย์ของไทยดำรงอยู่ได้มานานถึง 60 ปี

พระองค์ทรงจัดตั้งโครงการส่วนพระองค์ 3,000 โครงการ เพื่อช่วยเหลือคนยากจน ในช่วงเวลาที่ประเทศชาติเกิดวิกฤต อันเนื่องมาจากเหตุการณ์เดือนตุลาคม 2516 และพฤษภาทมิฬ 2535 ที่ประเทศไทยเกิดความวุ่นวาย พระองค์ทรงใช้ทศพิธราชธรรมยุติการนองเลือด รวมถึงกลุ่มทหารยึดอำนาจและให้สัญญาว่าจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยยุติธรรมและแข็งแกร่งขึ้น ประชาชนชาวไทยยังทรงเชื่อว่าพระบารมีของพระองค์จะทำให้คณะทหารรักษาสัญญานี้

ด้วยทศพิศราชธรรมเหล่านี้เอง ทำให้พระองค์ได้รับยกย่องในระดับเวทีสากล ล่าสุดนิตยสารระดับโลก “ไทม์เอเชีย” ยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “วีระบุรุษแห่งเอเชีย” สาขาผู้เป็นแรงบันดาลใจ เพื่อฉลองวาระ 60 ปีของนิตยสาร

ก่อนหน้านี้ ในปี 2509 นิตยสาร Time ได้เชิญพระบรมฉายาลักษณ์ลงพิมพ์บนหน้าปก และลงบทความ ยกย่องพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการทรงประสานกับทหาร และสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจทั้งสองได้ในแบบของไทยเอง ซึ่งทำให้เกิดความราบรื่นในการปกครองประเทศของรัฐบาล

ในช่วงเวลาที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างของไทย (ในปี 2509) กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความไม่รู้หนังสือ การปกครองที่ล้มเหลว และการล่มสลายของความรู้สึกของการเป็นชาติ

แต่ประเทศไทยกลับโดดเด่นอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ขณะที่ชาติเพื่อนบ้านที่รายล้อมไทยกำลังเผชิญอยู่

Time ระบุว่า สิ่งที่หายากยิ่งกว่า และมีค่ายิ่งไปกว่า และไทยก็มีเช่นกัน คือ ความรู้สึกที่คนไทยรู้สึกว่าตนเป็นคนไทย และเป็นของประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช

ในปี 2542 นิตยสาร Time ก็ได้ลงบทความถึงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงใช้เวลาตลอด 53 ปี (ขณะนั้นเป็นปี 2542) ของการครองราชย์ ในการทรงพยายามจะสร้างความสมดุล ระหว่างด้านที่สดใสกับด้านมืดของประเทศไทย

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9386
พระผู้เป็นพลังของแผ่นดิน https://positioningmag.com/9371 Fri, 14 Oct 2016 04:50:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=9371

ถอดความจากนิตยสาร TIME ฉบับประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2509

ในช่วงเวลาที่ประเทศเพื่อนบ้านรอบข้างของไทย (ในปี 2509) กำลังเผชิญกับภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความไม่รู้หนังสือ การปกครองที่ล้มเหลว และการล่มสลายของความรู้สึกของการเป็นชาติ

แต่ประเทศไทยกลับโดดเด่นอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ที่ชาติเพื่อนบ้านที่รายล้อมไทย กำลังเผชิญอยู่

เพราะไทยมีสิ่งที่หายากและมีค่า นั่นคือ เสถียรภาพทางการเมือง แต่สิ่งที่หายากยิ่งกว่า และมีค่ายิ่งไปกว่า และไทยก็มีเช่นกัน คือ ความรู้สึกที่คนไทยรู้สึกว่าตนเป็นคนไทย และเป็นของประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากพระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ภูมิพลอดุลยเดช

ถึงแม้ว่าอำนาจของกษัตริย์ไทยตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะสิ้นสุดลงด้วยฝีมือของทหาร จากการปฏิรูปการปกครองแผ่นปี 2475 และหลังจากนั้น ไทยก็มีผู้นำประเทศที่มาจากกองทัพหลายต่อหลายคน ซึ่งน่าจะทำให้กษัตริย์และทหารของไทย เป็นเหมือนขั้วอำนาจที่อยู่ตรงข้ามและขัดแย้งกัน

แต่พระมหากษัตริย์กษัตริย์ของไทยกลับทรงมีพระปรีชาสามารถอย่างยิ่ง ในการทรงประสานกับทหาร และสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจทั้งสองได้ในแบบของไทยเอง ซึ่งทำให้เกิดความราบรื่นในการปกครองประเทศของรัฐบาล

ความรู้สึกของการเป็นชาติของคนไทยนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของใครติดต่อกันเกือบ 7 ศตวรรษ ซึ่งต่างจากชาติเพื่อนบ้านที่รายล้อมอยู่ แต่ที่สำคัญ เป็นเพราะการที่ไทยมีสถาบันพระมหากษัตริย์ และฐานะของพระมหากษัตริย์ไทย ได้รับการตอกย้ำด้วยความเชื่อในเชิงเทววิทยาของศาสนาพุทธ ซึ่งยกย่องกษัตริย์เป็นสมมติเทพ และเชื่อว่า ทรงมีบุญญาธิการและพระบารมีเหลือล้น ที่สั่งสมมาแต่อดีตชาติ จึงทรงเป็นที่เคารพเทิดทูนและสักการะบูชาของคนไทยทั้งปวง

ในยุคที่สถาบันกษัตริย์ในโลกนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยไปแล้ว และพระปรีชาสามารถของกษัตริย์ก็ได้ถูกลืมเลือนไป แต่ประเทศไทยกลับโชคดี และเป็นโชคดีของโลกเสรีด้วย ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชของไทย ไม่ได้ทรงเพียงตั้งพระทัยที่จะทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีเท่านั้น หากแต่ยังทรงถือเป็นพระราชภาระ ที่จะทรงหล่อหลอมประเทศไทยขึ้นใหม่ ซึ่งไทยจัดเป็นประเทศที่เพิ่งจะเกิดใหม่ในสมัยนั้น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งมีอายุยืนยาวมา 184 ปีแล้ว (เมื่อปี 2509) ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกในโลก ที่ประสูติในสหรัฐ ที่โรงพยาบาล Cambridge มลรัฐ Massachusettes โดยทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคมปี 2470 ในขณะที่พระบรมราชชนก คือเจ้าฟ้ามหิดล ซึ่งเป็นพระยศในขณะนั้น ทรงศึกษาทางการแพทย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย Harvard

ชีวิตในวัยทรงพระเยาว์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใช้ชีวิตในบรรยากาศของชานเมืองใน Brookline รัฐ Massachusetts หลังจากพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคตในเวลา 2 ปีต่อมา สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จพระราชชนนี ได้ทรงนำพระราชโอรสธิดาทั้ง 3 พระองค์ เสด็จนิวัติประเทศไทย

แต่หลังจากเกิดการปฏิรูปการปกครองปี 2475 สมเด็จศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงอพยพพระราชโอรสและพระราชธิดา เสด็จฯ ออกห่างจากความไม่แน่นอนในประเทศไทย ไปประทับยังเมืองโลซาน สวิตเซอร์แลนด์ ที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเติบใหญ่และทรงศึกษาที่โรงเรียน Ecole Nouvelle de Chailly โดยทรงศึกษาทั้งภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมัน

ในปี 2488 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงมีพระชนมายุเพียง 20 พรรษา ได้เสด็จกลับประเทศไทย เพื่อทรงรับสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8 แห่งราชวงศ์จักรี หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ

แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต หลังจากทรงครองราชย์ได้เพียง 6 เดือน ดังนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งทรงเป็นพระอนุชา และขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง 18 พรรษา ทั้งยังทรงเป็นน้องเล็กของครอบครัว ที่ยังทรงโปรดปรานความสนุกสนามตามประสาวัยรุ่น จึงกลับต้องทรงขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ของไทย สืบต่อจากพระเชษฐา

การที่ทรงใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่ในยุโรป ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงโปรดปรานดนตรีแจ๊ซ ภาพยนตร์เขย่าขวัญของ Hitchcock และทรงโปรดปรานความเร็วของการขับรถ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ บนถนนสายหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ และเกือบต้องสูญเสียพระเนตรข้างหนึ่ง

พระองค์เคยทรงศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ก่อนที่จะเสด็จฯ ขึ้นครองราชย์ในปี 2489 หลังจากเสด็จฯ ขึ้นครองราชย์แล้ว ได้เสด็จฯ กลับไปยังสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อให้จบ แต่ได้ทรงเปลี่ยนสายจากวิทยาศาสตร์ไปเป็นกฎหมาย แต่ก็ไม่ได้ทรงละทิ้งสิ่งที่ทรงโปรดปราน อย่างเช่นการถ่ายภาพ ดนตรี และรถยนต์ ทรงสามารถเล่นเครื่องดนตรีได้ทั้งกลอง เครื่องเป่าและเปียโน และยังทรงพระราชนิพนธ์เพลงเต้นรำ ทั้งในแบบเพลงสากลและเพลงไทย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพบกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์เป็นครั้งแรกที่กรุงปารีส ในขณะที่หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์มีอายุเพียง 14 ปี และพระบิดาทรงเป็นเอกอัครราชทูตไทยที่กรุงปารีส หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ก็โปรดปรานดนตรีเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อเสด็จฯ กลับไปยุโรปหลังจากที่ทรงขึ้นครองราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสานต่อความสัมพันธ์กับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ผู้ทรงสิริโฉมงดงาม และทั้งสองพระองค์ทรงอภิเษกสมรสในเดือนเมษายนปี 2493 หนึ่งเดือนก่อนที่มีพระราชพิธีราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างเป็นทางการ

การครองราชย์ในช่วงต้นรัชกาล ผ่านไปอย่างเงียบสงบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ต่างทรงโปรดการเขียนภาพ และภาพเขียนฝีพระหัตถ์บางภาพถูกอัญเชิญไปประดับในพระราชวังสวนจิตรลดา

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงใช้เวลาในช่วงต้นรัชกาลนี้ ฝึกฝนทักษะการเล่นแซ็กโซโฟน และพระปรีชาสามารถในด้านการพระราชนิพนธ์เพลง ซึ่งทรงมีพรสวรรค์อยู่แล้ว จนถึงขั้นสมบูรณ์ที่สุด และเพลงพระราชนิพนธ์ Blue Night ได้ถูกอัญเชิญไปประกอบละคร Broadway เรื่อง Peep Show ของ Mike Todd ซึ่งแสดงในปี 2493

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติตามโบราณราชประเพณี โดยทรงออกผนวชในปีที่ 10 ของรัชกาลของพระองค์ และทรงออกรับบิณฑบาตในตอนรุ่งสาง เช่นเดียวกับพระสงฆ์ทั่วไป

บททดสอบพระปรีชาสามารถในฐานะพระมหากษัตริย์ของไทยบทแรก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเผชิญ เกิดขึ้นในปี 2500 เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้เข้ายึดอำนาจการปกครอง และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงมีท่าทีสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งทำให้จอมพลสฤษดิ์ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และท่านยังพบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแม้จะยังทรงพระเยาว์ แต่ทรงมีพระสติปัญญาและพระปรีชาสามารถ มากเกินกว่าที่จะทรงเป็นเพียงพระประมุขในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น

เมื่อศาลโลกตัดสินให้เขาพระวิหารตกเป็นสิทธิ์ของกัมพูชา จอมพลสฤษดิ์มีทีท่าที่จะไม่ยอมส่งมอบเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา แต่เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสว่า คำตัดสินของศาลโลกควรได้รับการเคารพ จอมพลสฤษดิ์ก็เชื่อฟังพระองค์แต่โดยดี

ในช่วงเวลาแห่งการปกครองประเทศไทยของจอมพลสฤษดิ์ ท่านได้ทำงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้เจริญรุ่งเรือง และมีการจัดทำโครงการพัฒนามากมายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน ซึ่งกำลังถูกภัยคอมมิวนิสต์คุกคามอย่างหนักในขณะนั้น

“ไทม์” ตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะที่จอมพลสฤษดิ์มีภรรยามากมาย แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับทรงเคร่งครัดในแนวทางของการมีคู่เพียงคนเดียว และทรงมีสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะตรงข้ามกับจอมพลสฤษดิ์แล้ว ยังอาจนับได้ว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ สำหรับพระมหากษัตริย์ของไทย ซึ่งเคยทรงมีพระมเหสีและพระชายาหลายพระองค์ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงเป็นพุทศาสนิกชนที่ทรงประพฤติปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด

ในสมัยที่จอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพลสฤษดิ์ “ไทม์” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ต่างทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ที่ล้วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต ความเป็นอยู่และความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าของคนไทย และทรงใช้โอกาสทุกโอกาสที่มี ในการแสดงพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของประเทศไทย เพื่อให้โลกได้รู้จักประเทศไทยและความก้าวหน้าในด้านต่างๆ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นการเสด็จฯ เปิดเขื่อนใหม่หรือทางหลวงสายใหม่ การที่ทรงเข้าร่วมในพระราชพิธีแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ หรือทรงรับการถวายช้างเผือก

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ทุกโอกาสเหล่านี้ ในการเน้นย้ำให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรม ที่มีอยู่อย่างล้นเหลือของไทย และเพื่อแสดงเห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทยทั้งชาติ จึงไม่แปลกเลย ที่คนไทยทุกบ้านล้วนมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้เทิดทูนบูชา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงพระวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งในการสร้างชาติให้เป็นหนึ่งเดียว โดยทั้งสองพระองค์เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในท้องถิ่นทุรกันดารอันห่างไกลของประเทศไทยอยู่มิได้ขาด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่โปรดทรงขับรถจี๊ปส่วนพระองค์ โดยมีสมเด็จพระนางเจ้าฯ ตามเสด็จฯ โดยทรงมีห่อพระกระยาหารกลางวันของทั้งสองพระองค์ อยู่ในกระเป๋าที่ทรงสะพายอยู่บนพระปฤษฎางค์

และในการเสด็จฯ ท้องถิ่นทุรกันดารเพื่อทรงเยี่ยมราษฎรนี้ “ไทม์” รายงานว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ คงจะทรงเป็นสมเด็จพระราชินีผู้ทรงพระสิริโฉม เพียงไม่กี่พระองค์ในโลกนี้ ที่ทรงฉลองพระองค์อย่างง่ายๆ และทรงฉลองพระบาทรองเท้าผ้าใบยาง ได้อย่างสวยงามและน่ารัก โดยที่ยังทรงสามารถติดอยู่ในอันดับสตรีผู้แต่งกายดีเด่นของโลก อย่างไม่เปลี่ยนแปลง

ในการเสด็จฯ เยือนพสกนิกรในท้องถิ่นทุรกันดารครั้งหนึ่ง ทั้ง 2 พระองค์ต้องทรงพระดำเนินเป็นระยะทางหลายกิโลเมตรระหว่างหมู่บ้านต่อหมู่บ้าน เพื่อทรงนำอาหารและยาไปพระราชทานต่อชาวไทยภูเขาเผ่าต่างๆ ที่ปลูกฝิ่นเป็นอาชีพหลัก และมักตกเป็นเป้าหมายการครอบงำของคอมมิวนิสต์ แต่การเสด็จฯ เยือนราษฎรชาวไทยภูเขา ได้ทรงทำให้หัวหน้าเผ่าชาวเขาเหล่านั้น รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น และเทิดทูนเหรียญเงินพระราชทานเหรียญเล็กๆ ที่ได้รับพระราชทานจากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ว่าเป็นสิ่งที่สูงค่ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด และรู้สึกภาคภูมิใจว่า ตัวเองก็เป็นคนไทยคนหนึ่ง

ในยามว่างจากพระราชกรณียกิจที่แสนหนักหน่วงนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดงานอดิเรกที่หนักหน่วงไม่แพ้พระราชกรณียกิจ ทรงสร้างเรือใบขนาดยาว 13 ฟุต ซึ่งทรงแล่นมันไปทั่วอ่าวไทย โดยใช้เวลาถึง 16 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังทรงประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมอเตอร์เรือด้วยพระองค์เอง รวมทั้งทรงต่อเครื่องเฮลิคอปเตอร์ด้วย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยตรัสว่า “ความแข็งแกร่งของไทยอยู่ที่ความรู้สึกรักชาติของคนไทย” และบรรดาผู้นำการเมืองของไทย (ในขณะนั้น) ก็ตระหนักแน่แก่ใจดีว่า พระมหากษัตริย์หนุ่มพระองค์นี้ เปรียบประดุจสมบัติที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้งของคนไทยและของประเทศไทย***

king

ข้อมูลจาก : นิตยสาร POSITIONING ฉบับเดือนธันวาคม 2549

]]>
9371
คนไทยผูกติดโซเชียลมีเดีย 80% ใช้ทุกวัน LINE ครอง 92% ชี้แบรนด์ยังต้องพึ่งอินฟลูเอ็นเซอร์ https://positioningmag.com/1104292 Thu, 29 Sep 2016 04:32:49 +0000 http://positioningmag.com/?p=1104292
  • 80% ของผู้บริโภคออนไลน์ใช้ IM (Instant Messaging) หรือแพลตฟอร์มโซเชี่ยลมีเดียต่างๆ เป็นประจำทุกวัน
  • 92%ใช้ LINEเป็นหลัก ในขณะที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียระดับโลกอื่นๆ ยังได้รับความนิยม โดย 86% ใช้  Facebook, 31% ใช้ Instagram,16% ใช้ Twitter และ 6% ใช้  Snapchat
  • ในขณะที่ผู้บริโภคหนีออกห่างจากโฆษณาออนไลน์รูปแบบดั้งเดิม อินฟลูเอ็นเซอร์ (Influencer)ได้กลายมาเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภค
  • การใช้งานโซเชียลมีเดียในประเทศไทยยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย 80% ของผู้บริโภคออนไลน์ใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หรือ IM (Instant Messaging) เป็นประจำทุกวัน ตามการศึกษาล่าสุดโดยบริษัท กันตาร์ทีเอ็นเอส บริษัทค้นคว้าวิจัยและให้คำปรึกษาระดับโลก ภายใต้โครงการ “คอนเนคเต็ด ไลฟ์” (Connected Life) ซึ่งทำการวิจัยกับผู้บริโภคกว่า 70,000 คน

    ผลวิจัยยังพบว่า ว่า LINE ครองพื้นที่ประสบการณ์ออนไลน์มากที่สุดโดยผู้บริโภคไทยมากถึง 92 % ใช้แพลตฟอร์มสัญชาติญี่ปุ่นดังกล่าว

    ปัจจัยสำคัญมาจากโทรศัพท์มือถือที่ขับเคลื่อนพฤติกรรมของผู้บริโภค เวลานี้ตัวเลขผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนในประเทศไทยแตะ 20 ล้านคนแล้ว เมื่อบวกกับพัฒนาการของกล้องโทรศัพท์มือถือ ซึ่งนับวันยิ่งทรงพลังมากขึ้น จึงเอื้อต่อการที่ผู้ใช้สามารถอัพเดตเหตุการณ์ต่างๆ กับเพื่อนฝูงและผู้ติดตามได้อย่างรวดเร็วทันใจ

    ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้บริโภคจำนวนมากในยุคโมบายเฟิร์ส (Mobile First) นั้น สื่อสังคมออนไลน์เป็นทั้งศูนย์รวมแห่งประสบการณ์บนเว็บและเป็นจุดประสงค์หลักของการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตซึ่งนำไปสู่โอกาสในการค้นพบช่องทางการสื่อสารใหม่ๆ ในขณะที่กำลังท่องโลกโซเชียลมีเดีย

    อย่างไรก็ตาม แม้ LINE จะมีอิทธิพลในวงกว้างต่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ ยังคงเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง แต่ 86% ของผู้บริโภคออนไลน์ใช้ Facebook, 31% เล่น Instagram,  16%  ใช้ Twitter และ 6% ใช้ Snapchat ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเกิดใหม่

    คนไทยใช้ 5.6 แพลตฟอร์มต่อคน

    นอกจากนี้ ผลการศึกษาของโครงการ “คอนเนคเต็ด ไลฟ์” เผยว่าผู้บริโภคออนไลน์ใช้โซเชียลมีเดีย หรือ IM รวมกว่า 5.6 แพลตฟอร์มโดยเฉลี่ย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่านอกเหนือจากเครือข่ายของ LINE นั้น ช่องทางการสื่อสารอื่นๆ ยังคงมีบทบาทสำคัญต่อแบรนด์ในการเข้าถึงผู้บริโภค

    info_social

    ยกตัวอย่าง ผู้ใช้งาน Instagram นั้นจะประกอบไปด้วยคนรุ่นใหม่เป็นหลัก โดยเกินครึ่งหนึ่งของผู้ใช้ในไทยมีอายุระหว่าง 16-24 ปี (59%) Instagram จึงเป็นแพลตฟอร์มที่ดีในการพูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในช่วงวัยดังกล่าว

    ในทางกลับกัน แพลตฟอร์มที่ผู้ใช้สามารถแชร์เรื่องราวต่างๆ ได้ทันทีในขณะที่กำลังอยู่ในเหตุการณ์อย่าง Snapchat กลับยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก โดยพบว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยเพียง 6% เล่น Snapchat แม้ผู้ใช้งานได้เพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่งจากร้อยละ 1 ในปี 2558 แล้วก็ตาม

    ชี้ คนไทยปฏิเสธโฆษณาโดยตรงจากแบรนด์

    ความสำเร็จของแพลตฟอร์มดังกล่าวจะนำไปสู่โอกาสใหม่ๆ ในการสร้างความมีส่วนร่วมให้แก่ผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม แบรนด์ควรตระหนักถึงทัศนคติของผู้บริโภคที่อาจเปลี่ยนแปลงตามภูมิทัศน์สื่อสังคมออนไลน์อันหลากหลายที่เลือกใช้ ตามผลสำรวจจากการศึกษาโครงการ คอนเนคเต็ด ไลฟ์”เผยว่า 1 ใน 4 (27%) ของผู้บริโภคออนไลน์ในไทย “ปฏิเสธการรับรู้” โพสต์ทางโซเชียลมีเดียและเนื้อหาที่มาจากแบรนด์โดยตรโดย 29 %ระบุว่ารู้สึกคล้ายถูกโฆษณาออนไลน์ติดตามอยู่ตลอดเวล ธุรกิจจึงควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก้าวก่ายกิจกรรมออนไลน์ของผู้บริโภคจนเกินไป

    ดร. อาภาภัทร บุญรอด กรรมการผู้จัดการ กันตาร์ อินไซท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า

    ในขณะที่ธุรกิจต่างแข่งขันกันเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคออนไลน์ หลายๆ แบรนด์อาจเสี่ยงถูกมองว่ารุกล้ำความเป็นส่วนตัวจนเป็นเหตุให้ผู้บริโภคมองข้าม และมีทัศนคติในแง่ลบต่อแบรนด์ในที่สุด ซึ่งงานวิจัยของเราได้บ่งชี้ว่า กรณีดังกล่าวกำลังเป็นปัญหาใหญ่สำหรับแบรนด์จำนวนมากในประเทศไทย แบรนด์ต่างๆ จึงควรให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพมากกว่าการเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างแต่อย่างเดียว เนื่องจากในยุคสังคมออนไลน์นั้น ความสามารถของแบรนด์ในการดึงดูดความสนใจ สร้างความประทับใจให้แก่ผู้บริโภค และนำเสนอความโดดเด่นของตนที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ มีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับผู้บริโภค”

    โฆษณาออนไลน์ยังต้องพึงอินฟลูเอ็นเซอร์

    นอกจากนี้ การศึกษาโดย กันตาร์ ทีเอ็นเอส ยังพบว่าผู้มีอิทธิพลทางความคิดหรืออินฟลูเอ็นเซอร์ ผู้มีชื่อเสียงรวมถึงดารานักแสดงคือกุญแจสำคัญในการติดต่อสื่อสารกับผู้บริโภค โดยเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีอายุระหว่าง 16-24 ปี (48%) ตอบว่าเชื่อในสิ่งที่ผู้อื่นกล่าวเกี่ยวกับแบรนด์ในโลกออนไลน์มากกว่าข้อมูลที่มาจากแหล่งทางการ เช่น หนังสือพิมพ์ เว็บไซด์ของแบรนด์ รวมถึงโฆษณาทางทีวี

    อีกทั้งอินฟลูเอ็นเซอร์มีอิทธิพลทางความคิดกับกลุ่มคนเหล่านี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากคนรุ่นใหม่มักจะเชื่อบล็อกเกอร์และบุคคลรอบข้างมากกว่าข้อมูลที่ได้รับจากแบรนด์โดยตรง ในขณะที่ “เครือข่ายอินฟลูเอ็นเซอร์” ของคนรุ่นก่อนยังคงเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดและครอบครัว อย่างไรก็ตาม คนรุ่นก่อนอาจหันมาหาแรงบันดาลใจและข้อมูลจากอินฟลูเอ็นเซอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดียในไม่ช้า

    แนะไม่ควรมองข้ามแพลตฟอร์มใหม่ๆ

    โซอี้ ลอว์เรนซ์ ผู้อำนวยการดิจิทัลส่วนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า แม้ว่า LINE ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในภูมิทัศน์สื่อสังคมออนไลน์ของประเทศ แต่แบรนด์ไม่ควรมองข้ามช่องทางอื่นๆ ที่อาจเอื้อต่อกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและตรงกลุ่มเป้าหมายเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคไทยกำลังเปิดรับแพลตฟอร์มใหม่ๆ มากขึ้น แบรนด์จึงต้องมองช่องทางการสื่อสารต่างๆ เป็นโอกาสที่ดีในการพูดคุยกับผู้บริโภคด้วยวิธีการอันหลากหลาย โดยไม่เพียงแค่ใช้ LINE ในทุกแคมเปญ

    “สิ่งสำคัญคือการที่แบรนด์ไม่มองช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นเพียงพื้นที่ว่างให้ลงโฆษณา ผลสำรวจได้ชี้ให้เห็นแล้วว่าผู้บริโภคต้องการคอนเทนต์ที่ผสมผสานอยู่ในช่องทางนั้นๆ อย่างแนบเนียนเพื่อไม่เป็นการรบกวนการใช้งานของแพลตฟอร์มและการสอดแทรกเนื้อหาให้ได้อย่างแยบยลนั้น แบรนด์ต้องคำนึงถึงลักษณะของสื่อสังคมออนไลน์ที่เลือกใช้ อีกทั้งบริหารจัดการทีละแพลตฟอร์มต่างหากเพื่อให้แน่ใจว่าคอนเทนต์ที่นำเสนอสามารถเข้ากับฟีดของผู้ใช้ได้อย่างลงตัวสมบูรณ์

    เกี่ยวกับโครงการ “คอนเนคเต็ด ไลฟ์”

    เป็นการวิจัยเกี่ยวกับทัศนคติและพฤติกรรมดิจิทัลของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 70,000 คนกว่า 57 ประเทศโดยใช้การวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อศึกษาผลของการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ต่อการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของผู้คนเพื่อรับมือกับความท้าทายที่นักการตลาดเผชิญในปัจจุบัน

    การศึกษาวิจัยตลาดทั้งหมดระหว่างเดือนมิถุนายน–กันยายน 2559 โดยตัวเลขการใช้งานของ Instagram และ Snapchat อ้างอิงจากข้อมูลที่ผู้เข้าร่วมการสำรวจระบุว่าตนใช้แพลตฟอร์มนั้นๆ หรือไม่ (ไม่ว่าจะใช้ทุกวัน ทุกเดือน หรือน้อยกว่านั้น)

    ]]>
    1104292
    รู้หรือไม่ 86% ของโกลบอลแบรนด์ใช้อินสตาแกรม https://positioningmag.com/59280 Thu, 29 Jan 2015 00:00:00 +0000 http://positioningmag.com/?p=59280

    จากผลสำรวจของ Simply Measured ที่ทำการสำรวจอินเตอร์แบรนด์จำนวน 100 แบรนด์ที่เรารู้จักในทุกวันนี้ อย่างเช่น แอปเปิล กูเกิล หรือโคคา โคล่า และอื่นๆ อีกหลายแบรนด์ ล้วนใช้อินสตาแกรมเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือการตลาด และมีแอคเคาท์เป็นของตัวเอง

    โดยที่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2014 มีสัดส่วนการใช้ที่เพิ่มขึ้นจาก 71% ในปี 2013 เป็น 86%

    อินสตาแกรมถือเป็นอีกหนึ่งโซเชียลมีเดียที่ทรงอิทธิพลมากในประเทศไทยเช่นกัน

    ในปัจจุบันอินสตาแกรมมีผู้ใช้แอคทีฟทั่วโลก 300 ล้านยูสเซอร์/เดือน และมีการโพสท์ 70 ล้านภาพในแต่ละวัน มีการไลค์จำนวน 2,500 ครั้งในแต่ละวันเช่นกัน

    ผลสำรวจยังบอกอีกว่านอกจาก 86% ของ 100 อินเตอร์แบรนด์จะมีแอคเคาท์เป็นของตัวเองแล้ว 75% ของแบรนด์หล่านั้นจะโพสท์ภาพหรือวิดีโออย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง

    ส่วนใหญ่แต่ละแบรนด์จะมีการโพสท์รูปภาพหรือวีดีโอประมาณ 10-20 ครั้ง/เดือน

    การตั้งคำบรรยายภาพ หรือแคปชั่นก็เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างเอ็นเกจเมนท์

    ส่วน “แคปชั่น” ของภาพ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ “141 ตัวอักษร” และที่สำคัญคืการเพิ่มแฮชแท็คเข้าไปทำให้สามารถเพิ่มยอดเอ็นเกจเมนท์ได้ 37%

    91% ของแต่ละโพสท์จะมีแฮชแท็คเฉลี่ย 3-7 แฮชแท็ค

    ]]>
    59280