Software – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 09 Jan 2024 05:13:38 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Unity’ บริษัทซอฟต์แวร์พัฒนาเกมชื่อดังเตรียม ‘ปลดพนักงาน’ อีกระลอกกว่า 1,800 ตำแหน่ง https://positioningmag.com/1458052 Tue, 09 Jan 2024 03:53:45 +0000 https://positioningmag.com/?p=1458052 ดูเหมือนสถานการณ์การ เลิกจ้างพนักงานในบริษัทไอที จะยังไม่จบแค่ปี 2023 เพราะในช่วงต้นปี 2024 นี้ก็ยังดำเนินต่อไป โดยก่อนหน้านี้ก็มีบริษัทอีคอมเมิร์ซรายใหญ่อย่าง ลาซาด้า ล่าสุด ยูนิตี้ (Unity) บริษัทซอฟต์แวร์ดังก็ประกาศจะปลดพนักงงานอีกระลอก

ในปีที่ผ่านมาถือเป็นปีที่ลำบากของ ยูนิตี้ บริษัทผู้ให้บริการซอฟต์แวร์พัฒนาเกม โดยบริษัทได้ประกาศการเลิกจ้างพนักงาน 8% ส่งผลกระทบต่อพนักงาน 600 ตำแหน่ง โดยบริษัทให้เหตุผลว่า เพื่อรักษาผลกำไรและสร้างการเติบโต มาปีนี้ บริษัทกำลังจะลดพนักงานเพิ่มอีก 25% หรือราว 1,800 ตำแหน่ง

โดยยูนิตี้ กล่าวว่า การปรับลดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างองค์กร ซึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2023 ที่ผ่านมา บริษัทได้กล่าวกับนักลงทุนว่า บริษัทจะยุติการนำเสนอผลิตภัณฑ์บางอย่าง, การลดจำนวนพนักงาน และลดพื้นที่สำนักงาน เพื่อลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยการเลิกจ้างรอบล่าสุด ส่งผลให้หุ้นพุ่งขึ้นเกือบ 5%

ปีที่ผ่านมา ยูนิตี้ถือว่าเจอกับมรสุมพอสมควร โดยในเดือนกันยายน บริษัทได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงราคาของซอฟต์แวร์พัฒนาเกม ซึ่งทำให้นักพัฒนาหลายรายที่ต้องใช้เทคโนโลยีของบริษัทในการสร้างวิดีโอเกมไม่พอใจ ทำให้กลุ่มนักพัฒนาเกมออกมาประท้วงการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยระบุว่า การขึ้นราคาเป็นอันตรายต่อนักพัฒนาเกมทั้งรายเล็กและรายใหญ่

มาเดือนตุลาคม John Riccitiello CEO ของยูนิตี้ได้ ลาออก จากตำแหน่งและออกจากคณะกรรมการด้วย โดยบริษัทได้ James Whitehurst อดีตซีอีโอของ Red Hat ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นซีอีโอชั่วคราวในขณะที่ Roelof Botha ผู้อำนวยการอิสระหลักของบอร์ดยูนิตี้ และหุ้นส่วนของ Sequoia Capital ขึ้นเป็นประธาน

แม้ว่าหุ้นของบริษัทจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 40% ในปีนี้ แต่ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนตุลาคม บริษัทก็สูญเสียมูลค่าไปเกือบครึ่งหนึ่ง

Source

]]>
1458052
เลอโนโวและนูทานิกซ์ ร่วมนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวอร์จ เพื่อการใช้งานระดับองค์กรทั่วโลก https://positioningmag.com/1096811 Fri, 08 Jul 2016 03:41:49 +0000 http://positioningmag.com/?p=1096811 เลอโนโวและนูทานิกซ์ ประกาศความร่วมมือในการพัฒนาการตลาดและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฮเปอร์คอนเวอร์จใหม่จากเลอโนโวที่ทำงานโดยซอฟต์แวร์จากนูทานิกซ์ โดยรวบรวมการทำงานของสตอร์เรจ, เซิร์ฟเวอร์ และเวอร์ชวลไลเซชั่น (virtualization)ไว้ภายในผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยให้การจัดการดาต้าเซ็นเตอร์เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น และยังสามารถช่วยลดต้นทุนอีกด้วย ทั้งสองบริษัทมุ่งมั่นที่จะนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานไฮเปอร์คอนเวอร์จ (hyperconverged infrastructure) ที่จะช่วยฝ่ายปฎิบัติการและฝ่ายบริการขององค์กรไอที ด้วยการนำเสนอบริการคลาวด์ทางเลือก ซึ่งจะทำให้การทำงานขององค์กรไอทีมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ไฮเปอร์คอนเวอร์จ คือโครงสร้างพื้นฐานของเซิร์ฟเวอร์ที่มีความน่าเชื่อถือด้วยระบบซอฟต์แวร์คุณภาพสูง ที่จะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์บนระบบคลาวด์ส่วนตัว(Private Cloud) จึงมีความรวดเร็ว, การแบ่งระบบปฎิบัติการที่เหมาะสมกับขนาด และใช้ทรัพยากรเพียงเสี้ยวเดียวเมื่อเทียบกับระบบคลาวด์สาธารณะ การจับมือกับนูทานิกซ์ในครั้งนี้จะช่วยให้ เลอโนโว สามารถเดินหน้าในการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ความมุ่งมั่นที่มีต่อเทคโนโลยีทางด้านวิศกรรมศาสตร์ และสร้างวิสัยทัศน์สำหรับอุตสาหกรรมไอทีในอนาคต การที่ เลอโนโว เป็นบริษัทระดับโลกทำให้สามารถเจาะตลาดใหญ่อย่างเช่นประเทศจีน เพื่อสร้างพาร์ทเนอร์และเร่งอัตราการเติบโตให้เร็วยิ่งขึ้น

เลอโนโวและนูทานิกซ์ จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่ม ไฮเปอร์คอนเวอร์จ ที่ผลิตโดยระบบ เอ็นเตอร์ไพรซ์ซิสเต็มส์ ชื่อดังของเลอโนโว ซึ่งถูกจัดอันดับเป็น อันดับ 1ทางด้านความพึงพอใจและความน่าเชื่อถือจากลูกค้า นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวยังมาพร้อมกับซอฟต์แวร์จาก นูทานิกซ์ ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศจากหลากหลายแขนงอีกด้วย บวกพลังของเทคโนโลยีล่าสุดจาก อินเทล จึงทำให้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม ไฮเปอร์คอนเวอร์จ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับทุกการใช้งาน อาทิเช่น เอ็นเตอร์ไพรซ์ แอพพลิเคชั่น, ดาต้าเบส, เวอร์ชวลไลซ์ เดสก์ท็อป และการวิเคราะห์บิ๊กดาต้า

เลอโนโว ทุ่มงบลงทุนในการจัดตั้งกลุ่มตัวแทนจำหน่ายที่มีความสามารถทั่วโลก เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการการใช้ไฮเปอร์คอนเวอร์จที่สูงขึ้นในปัจจุบัน นอกจากตัวแทนจำหน่ายแล้ว ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะถูกจำหน่ายผ่านทางพาร์ทเนอร์ของเลอโนโวจากทั่วโลก นอกจากนี้เลอโนโวและนูทานิกซ์ ได้วางแผนการลงทุนทางด้านการสร้างและการพัฒนาแพลตฟอร์ม อีกทั้งยังวางแผนทางกลยุทธ์การเจาะตลาดอีกด้วย

การร่วมมือของทั้งสองบริษัท และการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะช่วยให้ธุรกิจของไทยจะดำเนินงานเพื่อทำให้บรรลุเป้าหมาย

คุณจีรวุฒิ วงศ์พิมลพร กรรมการผู้จัดการ เลอโนโว (ประเทศไทย) กล่าว“เลอโนโว ต้องการเปิดมุมมองใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเอ็นเตอร์ไพรซ์ เราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับวิธีการคิดและไอเดียรูปแบบเก่า เพราะเราสามารถสร้างธุรกิจจากนวัตกรรม โดยการจับมือกับพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ เมื่อผู้นำทางด้านเทคโนโลยีอย่าง นูทานิกซ์ มาร่วมมือกับบริษัทที่มีศักยภาพอย่างเลอโนโว จึงจะส่งเสริมให้เราสามารถให้บริการลูกค้าโดยการลดความซับซ้อนของดาต้าเซ็นเตอร์ในทุกขนาด”

คุณทวิพงศ์ อโนทัยสินทวี, กรรมการผู้จัดการ นูทานิกซ์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เลอโนโวเป็นผู้นำในตลาดเทคโนโลยีหลากหลายด้าน ด้วยนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ทำให้เลอโนโวได้รับความเชื่อมั่นจากบริษัทกลุ่มเอ็นเตอร์ไพรซ์ระดับโลกนับพันราย การที่เราได้มาจับมือกับเลอโนโวนั้น ถือเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งของบริษัทเรา บนหนทางที่ต้องการนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานแบบเว็บสเกลที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับสำหรับองค์กร และบริษัททุกขนาด”

การสนับสนุนจากผู้บริหารท่านอื่นในอุตสาหกรรม:

แมตต์ อีสต์วูด, รองประธานอวุโส, IDC Enterprise Infrastructure and Datacenter Group กล่าว “นูทานิกซ์เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดไฮเปอร์คอนเวอร์จที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังนับเป็นองค์กรแรกๆที่นำเสนอวิสับทัศน์เกี่ยงกับเทคโนโลยีประเภทนี้ การร่วมมือแบบ OEM (Original Equipment Manufacturer) ของเลอโนโวกับนูทานิกซ์ในครั้งนี้ ประสบความสำเร็จกว่าพันธมิตรทางธุรกิจแบบทั่วไป ด้วยการร่วมมือกันในระดับวิศวกรรม, การตลาด และสร้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสำหรับการขาย การผนวกความแข็งแกร่งทางการตลาดของนูทานิกซ์เข้ากับความสามารถในการเข้าถึงตลาดทั่วโลกของเลอโนโว จะช่วยนำโครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์คอนเวอร์จไปสู่ตลาดใหม่ๆ

]]>
1096811
อาลีบาบา เปิดตัวคอนเนกคาร์คันแรก “RX5”-รัน YunOS และรองรับ Alipay https://positioningmag.com/1096768 Thu, 07 Jul 2016 12:41:24 +0000 http://positioningmag.com/?p=1096768 เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการกับ RX5 รถยนต์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ผลงานการพัฒนาร่วมกันระหว่าง อาลีบาบา (Alibaba) แบรนด์อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่กับค่ายผู้ผลิตรถยนต์ SAIC ของสาธารณรัฐประชาชนจีน

โดยผู้ที่สนใจสามารถพรีออเดอร์รถยนต์รุ่น RX5 นี้ได้แล้ว ซึ่งมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 148,800 หยวน หรือประมาณ 22,300 เหรียญสหรัฐ และมีกำหนดส่งมอบในเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป

ความร่วมมือกันในโปรเจกต์ดังกล่าว ระหว่างอาลีบาบา กับ SAIC เริ่มขึ้นเมื่อสองปีที่ผ่านมา โดยเป็นโปรเจกต์ที่ร่วมทุนกันแบบ 50-50 บนงบประมาณ 160 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนารถยนต์ในโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ยังได้ใช้ระบบปฏิบัติการ Yun หรือ YunOS ของอาลีบาบา ในการเชื่อมต่อรถยนต์เข้ากับอินเทอร์เน็ตเพื่อให้บริการต่างๆ ได้ด้วย

559000006973702

โดยรถสามารถสร้างข้อความทักทายผู้ขับขี่ ตั้งค่าเพลง กำหนดจุดหมายปลายทางได้จากสมาร์ทโฟน หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวม อีกทั้งยังสามารถใช้บริการ Alipay (บริการด้านธุรกรรมทางการเงินของอาลีบาบา) จ่ายค่าที่จอดรถ เติมน้ำมัน ซื้อกาแฟ ฯลฯ ได้ด้วย และสำหรับนักพัฒนา หรือภาคธุรกิจที่สนใจ ทางอาลีบาบาเองก็มีแผนจะเปิด YunOS ให้กับเหล่า Third Party ด้วยเช่นกัน

เมื่อเข้ามาในตัวรถ RX5 ก็ยังพบกับฟีเจอร์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เริ่มตั้งแต่จอ Led สามจอ กล้อง 360 องศาที่สามารถบันทึกวิดีโอ และถ่ายรูปได้จำนวน 4 ตัว เพื่อรองรับการถ่ายเซลฟี่ภายในตัวรถ กระจกมองหลังอัจฉริยะ การรับคำสั่งเสียง และสุดท้ายระบบแผนที่อัจฉริยะ ที่ทางบริษัทอ้างว่า สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพา GPS หรือ WiFi แต่อย่างใด

ดร. Wang Jian คณะกรรมการบริหารด้านเทคโนโลยีของอาลีบาบา เผยว่า สิ่งที่เราสร้างไม่ใช่การใส่อินเทอร์เน็ตเข้าไปในรถ แต่เป็นรถที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ต และการมีระบบปฏิบัติการอัจฉริยะเป็นเครื่องยนต์ที่สอง กับมีข้อมูลเป็นเชื้อเพลิงขับเคลื่อน ซึ่งขั้นต่อไปของบริษัท คาดว่าจะเป็นการพัฒนาระบบออโต้ไพล็อตสำหรับรถยนต์ออกมาด้วย

559000006973703

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000067535

]]>
1096768
แอนดรอยด์ N ได้ชื่อแล้วคือ “Nougat” https://positioningmag.com/1096287 Mon, 04 Jul 2016 04:56:10 +0000 http://positioningmag.com/?p=1096287 ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันล่าสุดของแอนดรอยด์ที่เคยมีโค้ดเนม “N” ซึ่งกูเกิล (Google) เคยออกมาประกาศว่า ให้แฟนๆ ร่วมกันเสนอชื่อขนมที่ขึ้นต้นด้วยตัวอักษร N เข้ามาได้ในงาน Google I/O Conference 2016 นั้น มาในวันนี้มีชื่อเรียกแล้วอย่างเป็นทางการนั่นก็ คือ เจ้าตังเม “นูแก็ต” หรือ “Nougat” นั่นเอง

นูแก็ต เป็นขนมหวานสัญชาติฝรั่งเศส ที่มาพร้อมรสสัมผัสเหนียวหนึบหนับขนาดคนฟันแข็งแรงยังเคี้ยวยาก โดยทำจากไข่ขาว น้ำตาล และน้ำผึ้ง และมีถั่วต่างๆ เป็นส่วนผสม หลายคนมองว่า มันคล้ายขนมหลอกเด็กบางยี่ห้อด้วยซ้ำไป แต่สำหรับบ้านเรา ซึ่งมีขนมตังเมให้เด็กๆ ในอดีตได้เคี้ยวเล่น นูแก็ต ก็น่าจะใกล้เคียงกับขนมตังเมมากกว่าขนมชนิดอื่นๆ

สำหรับคนที่เคยเล็งไว้ว่ามันน่าจะชื่อออกแนวๆ นูเทลล่า ซึ่งเป็นยี่ห้อของเนยถั่วชื่อดัง คงอาจผิดหวังกันบ้างเล็กน้อย แต่หากมองในแง่ดีก็ทำให้เราได้รู้จักกับนูแก็ต แทนนั่นเอง

โดยที่ผ่านมา กูเกิลได้ตั้งชื่อระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชันต่างๆ ด้วยชื่อขนมหวานมาตลอด ทั้ง Cupcake, Donut, Eclair, Froyo, Gingerbread, Honeycomb, Ice Cream Sandwich, Jelly Bean, KikKat, Lollipop และ Marshmellow ระบบปฏิบัติการเวอร์ชันล่าสุด

อย่างไรก็ดี เดอะการ์เดียน ได้รายงานสถิติที่น่าสนใจเมื่อพบว่า มีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ของสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ทั้งหมดในตลาด ที่ได้ใช้งานมาร์ชเมลโลอยู่ในขณะนี้ ทั้งๆ ที่ระบบปฏิบัติการดังกล่าวเปิดตัวไปแล้วกว่า 9 เดือน ซึ่งทำให้อนาคตของนูแก็ต ที่จะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้น่าเป็นห่วงไม่ใช่น้อย เว้นเสียแต่ว่า ข่าวลือเรื่องการพัฒนาโทรศัพท์มือถือออกขายในแบรนด์กูเกิลเองจะเป็นความจริง

559000006843003

ที่มา: http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000066268

]]>
1096287
ดาต้าวัน เอเชีย จับมือ Ares International Corp เปิดตัว ArgoERP เจาะตลาดลูกค้าองค์กรในไทย https://positioningmag.com/1096159 Fri, 01 Jul 2016 08:03:05 +0000 http://positioningmag.com/?p=1096159 ดาต้าวัน เอเชีย มองเห็นโอกาสตลาดซอฟต์แวร์ ERP ในไทยโตต่อเนื่อง จับมือ Ares International Corp ยักษ์ดิจิทัลซอฟต์แวร์อันดับ 1 จากไต้หวัน ร่วมกันเปิดตัว ArgoERP รุกตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าองค์กรในไทย ตั้งเป้าหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายตลาดไปสู่ประเทศแถบอาเซียนชูจุดเด่น ArgoERP เป็นสุดยอดซอฟต์แวร์สำหรับคนไทย ใช้งานง่ายคุ้มค่าการลงทุนการันตีด้วยฐานลูกค้าองค์กร

นายอดิศร แก้วบูชา กรรมการผู้จัดการ บริษัทดาต้าวัน เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดตลาด ERP (Enterprise Resource Planning) หรือซอฟต์แวร์การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรในประเทศไทย เป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่าง เอรีส อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น ในการเปิดตัว ซอฟต์แวร์ “ArgoERP” เพื่อรุกตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดกลางขึ้นไป ที่มีความต้องการใช้ระบบ ERP ที่มีโครงสร้างฟังก์ชั่นที่สมบูรณ์ ทั้งด้านการเงินการบัญชีทรัพยากรบุคคล การบริหารสินทรัพย์ขององค์กร ตลอดจนครอบคลุมถึงกระบวนการผลิต และระบบการกระจายสินค้า เพื่อช่วยให้การวางแผนและบริหารทรัพยากรของบริษัทนั้นๆ มีประสิทธิภาพ สามารถนำมาเชื่อมโยงกับระบบงานต่าง ๆ ขององค์กรเข้าด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ระบบงานทางด้านบัญชีและการเงิน ระบบงานทรัพยากรบุคคล ระบบบริหารการผลิต ซึ่ง ArgoERP” ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานของธุรกิจในเอเชียและตอบสนองความต้องการของธุรกิจในประเทศไทยและตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นแบรนด์ ERP อันดับ 1 ที่ได้รับความนิยมในอาเซียน

นายอดิศร กล่าวต่อว่า ปัจจุบันธุรกิจของดาต้าวันเอเชีย เจาะกลุ่มงานธุรกิจแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ การจำหน่ายฮาร์ดแวร์โดยตรงให้กับผู้ใช้งาน, การกระจายสินค้าให้กับพาร์ทเนอร์ และธุรกิจการให้บริการ Outsourcing เพื่อเป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้า ในด้านการให้บริการโซลูชั่นใหม่ๆ ที่จะช่วยให้การดำเนินงานขององค์กรต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และพบว่าตลาดของซอฟต์แวร์ ERP (Enterprise Resource Planning) หรือซอฟต์แวร์การวางแผนทรัพยากรทางธุรกิจขององค์กรในประเทศไทย ยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ดาต้าวันเอเชีย วางแผนที่จะนำเข้าซอฟต์แวร์  ArgoERP มาจำหน่ายและทำตลาดในประเทศไทย โดยเริ่มจากการสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มลูกค้า ด้วยการนำระบบของ ArgoERP มาใช้กับบริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือก่อน เพื่อให้ทราบปัญหาในการอิมพลีเมนต์ระบบ รวมทั้งเพื่อพัฒนาความรู้ และความเชี่ยวชาญของบุคลากรของบริษัทในการแก้ปัญหา หรือให้คำปรึกษากับลูกค้า โดยจุดเด่นของ ArgoERP คือความสามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลาย มีฟังก์ชั่นการทำงานภาษาไทย ทำให้เข้าใจง่าย และสามารถทำ Multi – currency หรือ สามารถรองรับการกำหนดสกุลเงินต่างประเทศ และอัตราแลกเปลี่ยน เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีการนำเข้, ส่งออก หรือธุรกิจที่มีสาขาอยู่ในต่างประเทศ จึงช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี และหลังจากนั้นจะขยายสู่กลุ่มลูกค้าทางด้านอุตสาหกรรมและตลาดเอ็นเตอร์ไพรส์และเอสเอ็มอี เป็นหลัก และทางบริษัทยังได้วางแผนสำหรับอนาคตที่จะต่อยอดระบบ ERP ให้เชื่อมเข้ากับระบบบริหารงานไม่ว่าจะเป็นฝ่ายการขายและฝ่ายให้บริการ ฯลฯ

สำหรับประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์และการบริการเกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะเห็นได้จากหลายปีที่ผ่านมาบริษัทระดับโลกเข้ามาลงทุนและใช้ประเทศไทยเป็นฐานการพัฒนาที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคนี้ ซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นตลาดซอฟต์แวร์ของต่างประเทศ รวมทั้งซอฟต์แวร์ ERP ที่มีมูลค่าสูงถึง 57 ล้านดอลลาร์ ในปี 2014 และคาดว่าจะสูงถึง 90 ล้านดอลลาร์ในปี 2017 หรือมีอัตราการเติบโตระหว่าง 10% – 17% ต่อปี

มร. แฟรงค์ ลิน ประธานบริษัท เอรีส อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Ares International Corporation) กล่าวว่า ArgoERP ถูกวิจัยพัฒนาด้วยโครงสร้างของ Oracle มีความเข้มงวดในด้านความปลอดภัยของข้อมูลและการออกแบบระบบ จึงเรียกได้ว่า ArgoERP เป็นระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นในทวีปเอเชีย แต่มีแนวความคิดตามหลักสากล คือ ระบบมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรม เพียงเปลี่ยนการตั้งค่าพารามิเตอร์ของระบบ ก็สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของแต่ละองค์กรได้ ซึ่ง ArgoERP มีฟังก์ชั่นสมบูรณ์แบบ ที่ถูกวิจัยพัฒนาระบบโครงสร้างให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นหรือประเทศในอาเซียน ด้วยความเข้าใจกฎหมายของการทำงานของแต่ละประเทศ ทำให้การอิมพลีเมนต์ระบบเป็นเรื่องง่ายและสมบูรณ์แบบ ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง แต่ตอบสนองความต้องการให้กับธุรกิจขนาดกลางและขนาดใหญ่ได้อย่างครบครัน

ทั้งนี้เพื่อเข้าใจถึงความต้องการของตลาด ERP ในเมืองไทยมากขึ้น เอรีสฯ จึงร่วมมือกับกลุ่มบริษัท SVOA ที่เป็นธุรกิจตัวแทนจำหน่ายและให้บริการด้านไอทีและค้าปลีก รับซื้อบัญชีลูกหนี้ และลิสซิ่ง มีจำนวนสาขากว่า 16 สาขา มีเอเยนต์กว่า 2,000 ราย มีศูนย์บริการที่มากที่สุดในประเทศไทย และมีช่องทางในการเข้าถึงลูกค้าโดยตรง จึงร่วมกับบริษัทดาต้าวัน เอเซีย ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่ให้บริการเกี่ยวกับโซลูชั่นด้านไอทีแก่องค์กร ร่วมกันวิจัยพัฒนาและรวบรวม know-how ของทั้งสองฝ่าย เพื่อป้องกันปัญหาการใช้งานที่อาจเกิดขึ้นในด้านของกฎหมายแต่ละประเทศที่ต่างกัน โดยเฉพาะข้อจำกัดของการแปลภาษาท้องถิ่น ซึ่งได้ดีไซน์ออกมาให้เหมาะกับธุรกิจในประเทศไทย

จากภาพลักษณ์ของบริษัท SVOA ที่มีเครือข่ายการตลาดที่กว้างขวางในไทย ช่วยเสริมให้ระบบ ArgoERP สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่และเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีอยู่ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ตลอดจนได้พึ่งพาความแข็งแกร่งด้านการตลาดในเมืองไทยมาขยายตลาด ERP เพื่อเพิ่มความรู้จักกับแบรนด์สินค้าของเอรีสฯ ทำให้การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในครั้งนี้ จะเป็นแนวทางในการคัดลอกรูปแบบการตลาดของไทย และขยายฐานลูกค้าไปสู่ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งของเอรีสฯ ที่เป็นบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ มีประสบการณ์มากมายในการวิจัยพัฒนาหลายผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ด้วยมืออาชีพระดับสูง การันตีด้วยการเป็นบริษัทด้าน ERP รายเดียว ที่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไต้หวัน ด้วยประสบการณ์การให้บริการด้านซอฟต์แวร์กว่า 35 ปีในไต้หวัน, ญี่ปุ่น, ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมงานเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งของภาครัฐ ธนาคารพาณิชย์ ไฟแนนเชียล และธุรกิจทั่วไป

นอกจากนี้เอรีสฯ สามารถตอบสนองต่อความต้องการในยุคโมบิลิตี้ ด้วยการผสาน Argo Portal กับแอปพลิเคชั่น Argo ชื่อ “e-ARGO” ฟังก์ชั่นใหม่ในระบบคลาวด์ ช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงาน สามารถเรียกใช้ข้อมูลของบริษัทได้ทุกที่ทุกเวลา ช่วยเสริมสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยโซลูชั่นระบบ ArgoERP ได้ทำการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด รวมทั้งการสร้างตลาดที่ไม่ซ้ำแบบใคร เพื่อแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือที่ได้รับการยอมรับมาอย่างยาวนาน” มร. แฟรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับ บริษัทดาต้าวัน เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด

บริษัท ดาต้าวัน เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด : นอกจากเป็นผู้ให้บริการออกแบบ และวางระบบงานคอมพิวเตอร์อย่างครบวงจร (Systems Integration) ซึ่งประกอบไปด้วย การติดตั้ง Hardware, Software, Software Implementation และ Customization และให้บริการการบำรุงรักษาระบบหลังการ Implement แล้ว ยังเป็นผู้ให้บริการ Outsource แบบครบวงจรให้กับลูกค้า โดยใช้ความสามารถของบุคลากรที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ผนวกความร่วมมืออันดีกับพันธมิตรเจ้าของผลิตภัณฑ์ธุรกิจระดับโลก การบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology Management) และศูนย์ประมวลผลข้อมูล (Data Center) ซึ่งในส่วน Data Centerนี้ยังสามารถให้บริการรับฝากเซิร์ฟเวอร์ ให้เช่าเซิร์ฟเวอร์ บริหารเซิร์ฟเวอร์ ดูแลระบบอีเมล และจัดการระบบสำรองและประมวลผลกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินอีกด้วย

เกี่ยวกับ บริษัท เอรีส อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด

บริษัท เอรีส อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทุ่มเทเพื่อการบริการด้านไอทีมานานกว่า 35 ปี และได้รับการยอมรับในวงกว้างถึงประสบการณ์ทางด้านการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศด้วยผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ชั้นนำ และบริการระดับมืออาชีพ สำหรับลูกค้าสถาบันการเงิน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรต่างๆ นอกจากนี้ยังเป็นพันธมิตรกับ SWIFT และออราเคิลเจ้าแรก ในไต้หวัน และเป็นผู้ให้บริการโซลูชั่น ERP แรกที่รัฐบาลไต้หวันยอมรับในมาตรฐานการรายงานทางการเงินระหว่างประเทศ เอรีสฯ มีศักยภาพที่โดดเด่นในการวางระบบเพื่อแก้ไขปัญหาด้านกระบวนการดำเนินการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตไฟแอลอีดี และเอรีสยังเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสำหรับธนาคารในไต้หวัน

เอรีส ฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1980 และเป็นบริษัทในกลุ่มซอฟต์แวร์รายแรกที่ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในไต้หวันในปี 2010 ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 สาขาในไต้หวัน คือ ไทเป ซินชู ไถจง และในประเทศจีนอีก 2 แห่ง คือ เซี่ยงไฮ้ และซูโจว มีพนักงานทั้งหมดจำนวน 400 คน ทำหน้าที่หลักคือ วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์

 

]]>
1096159
ผู้บริโภคชนะ ไมโครซอฟท์ต้องจ่ายหมื่นดอลล์ฐาน Windows 10 อัปเกรดอัตโนมัติทำเครื่อง-ธุรกิจพัง https://positioningmag.com/1095823 Tue, 28 Jun 2016 15:37:09 +0000 http://positioningmag.com/?p=1095823 ถือว่าเป็นชัยชนะของผู้บริโภค สำหรับปัญหาที่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์เวอร์ชันใหม่ “Windows 10” อัปเกรดตัวเองอัตโนมัติโดยที่ผู้ใช้ไม่ได้ร้องขอ ล่าสุด หญิงเจ้าของธุรกิจท่องเที่ยวในแคลิฟอร์เนียได้รับผลกระทบจากปัญหานี้จนทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานไม่ได้ ร้อนถึงธุรกิจท่องเที่ยวที่เสียหาย แม้จะติดต่อขอให้ไมโครซอฟท์แก้ไขแล้ว สรุป คือ ศาลอเมริกันตัดสินให้หญิงรายนี้ชนะคดี และไมโครซอฟท์ต้องจ่ายเงินชดใช้ 10,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.5 แสนบาท

ความพ่ายแพ้ของไมโครซอฟท์นี้เกิดขึ้นหลังจากบริษัทประกาศหยุดผลิตคอมพิวเตอร์พกพา “เซอร์เฟส 3 (Surface 3)” ในเดือนธันวาคมปีนี้ โดยระบุว่า ได้ควบคุมจำนวนสินค้าในคลังแล้วในขณะนี้

ไมโครซอฟท์ แพ้คดี

เทริ โกลด์สไตน์ (Teri Goldstein) เจ้าของบริษัทท่องเที่ยวทีจีทราเวลกรุ้ป (TG Travel Group LLC) ในแคลิฟอร์เนีย ให้การต่อศาลว่า เธอไม่ได้คลิกอนุญาตให้เครื่องอัปเกรดจากระบบปฏิบัติการ Windows 7 เป็น Windows 10 ซึ่งหลังจากระบบดำเนินการอัปเกรดอัตโนมัติหลายครั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ไม่สามารถใช้การได้

เทริ เล่าว่า วิกฤตเหล่านี้เกิดขึ้นตั้งแต่สิงหาคมปี 2015 เธอพยายามแก้ปัญหาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เธอติดต่อทีมสนับสนุนของไมโครซอฟท์นับครั้งไม่ถ้วน เสียเวลาหลายชั่วโมงไปกับการเดินทางไปที่ร้านค้าปลีกของไมโครซอฟท์ ทั้งหมดนี้กระทบกับการทำธุรกิจของเธอโดยตรง เนื่องจากปลายปีเป็นช่วงเวลาทองของธุรกิจท่องเที่ยว การที่คอมพิวเตอร์ใช้งานไม่ได้ทำให้เธอเสียหายราว 17,000 เหรียญสหรัฐ

ในที่สุด เทริ ตัดสินใจฟ้องไมโครซอฟท์ หลังจากได้รับข้อเสนอจากไมโครซอฟท์ให้รับเงิน 150 เหรียญ เพื่อจบปัญหานี้ เธอจึงเดินทางไปที่ศาล ก่อนจะชนะ และได้รับค่าเสียหายสูงสุด 10,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 350,000 บาท เมื่อเดือนที่ผ่านมา

บริการอัปเกรดเป็น Windows 10 แบบไม่มีค่าใช้จ่ายจะสิ้นสุดลงในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้แล้ว
บริการอัปเกรดเป็น Windows 10 แบบไม่มีค่าใช้จ่ายจะสิ้นสุดลงในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้แล้ว

สำนักข่าวซีแอตเทิลไทมส์ (The Seattle Times) คือ สำนักข่าวแรกที่รายงานว่า ไมโครซอฟท์ตัดสินใจไม่อุทธรณ์ และยอมจ่ายเงินแก่ เทริ แต่โดยดี

คดีนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญของไมโครซอฟท์ ที่เริ่มใช้นโยบายเชิญชวนลูกค้าให้อัปเกรดระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด ตั้งแต่ก่อนกรกฎาคม 2015 ซึ่งเป็นวันที่ Windows 10 เปิดตัว วันนี้ผู้บริโภคต่อต้านนโยบายนี้ยิ่งขึ้น หลังจากไมโครซอฟท์ ระบุว่า จะเปิดให้พีซีทุกเครื่องอัปเกรดเป็น Windows 10 อัตโนมัติเมื่อตุลาคม 2015 ที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ไมโครซอฟท์ เคยอธิบายว่า เหตุที่ต้องกระตุ้นให้ผู้บริโภคอัปเกรดเป็น Windows 10 คือ เพราะบริการอัปเกรดเป็น Windows 10 แบบไม่มีค่าใช้จ่ายจะสิ้นสุดลงในวันที่ 29 กรกฎาคมนี้แล้ว บริษัทจึงต้องการช่วยให้ผู้ใช้งานอัปเกรดขึ้นมาใช้ระบบปฏิบัติการที่ดีที่สุดของวินโดวส์ แต่ในกรณีที่ไม่ต้องการผู้ใช้ก็สามารถยกเลิกการอัปเกรดได้

หยุดผลิต Surface 3 สิ้นปีนี้

หลังจากมีรายงานมาก่อนหน้านี้ ไมโครซอฟท์ ออกมายืนยันแล้วว่า จะหยุดผลิตแท็บเล็ต Surface 3 ในธันวาคมปีนี้จริง แต่ยังไม่มีแถลงการณ์เกี่ยวกับแท็บเล็ตรุ่นใหม่ Surface 4 ว่าจะวางจำหน่ายได้ในปีนี้หรือปีหน้า

Surface 3
Surface 3

คำประกาศนี้สะท้อนว่า อายุผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์นั้นสั้นลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับสินค้ารุ่นอื่นในตลาด Surface 3 เป็นแท็บเล็ตชิปอะตอม (Atom) ราคา 499 เหรียญสหรัฐ ที่เพิ่งเริ่มเปิดตัวเมื่อพฤษภาคม 2015 กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียน และครอบครัว รวมถึงผู้ที่ต้องการแท็บเล็ตราคาไม่แพง โดย Surface 3 ระบบปฏิบัติการ Windows 8.1 จะสามารถอัปเกรดเป็น Windows 10 ได้

ที่มา: http://www.manager.co.th/cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9590000064415

]]>
1095823
เน็ตแอพวางตลาดระบบปฏิบัติการเน็ตแอพออนแท็บ 9 ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อไปสู่ไฮบริด คลาวด์ กลายเป็นเรื่องง่ายในพริบตา https://positioningmag.com/1095388 Thu, 23 Jun 2016 04:52:58 +0000 http://positioningmag.com/?p=1095388 เน็ตแอพ บริษัทชั้นนำในการจัดการและบริหารข้อมูลระดับโลกซึ่งมีการ เติบโตเร็วที่สุดในประเทศไทยเปิดตัวระบบปฏิบัติการสำหรับการจัดเก็บข้อมูล เน็ตแอพออนแท็บ 9 (ONTAP® 9) ปฏิวัติรูปแบบการบริหารจัดการข้อมูลระดับองค์กรที่เหนือกว่าด้วยซอฟต์แวร์ที่ผสมผสานความเรียบง่ายและยืดหยุ่นในการจัดการ ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพที่ดีกว่าเคย ซอฟต์แวร์ออนแท็บ 9 ช่วยให้ธุรกิจและหน่วยงานต่างๆ สามารถรวบรวมข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในรูปแบบดั้งเดิมผสานเข้ากับเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การเก็บข้อมูลบนแฟลช คลาวด์ และสถาปัตยกรรมไอทีที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software – Defined Architected) ซึ่งนำไปสู่พื้นฐานของดาต้าแฟบริคระหว่างระบบดาต้าเซนเตอร์ที่มีอยู่แล้วในแต่ละองค์กรและส่วนประกอบอื่นๆ ที่อยู่บนคลาวด์ อาทิ เน็ตเวิร์คและสตอเรจเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างไร้รอยต่อ

เรียบง่าย ยืดหยุ่นและปลอดภัยในการใช้งานบนแฟลช ดิสก์และข้อมูลต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่บนคลาวด์

ผู้ใช้เน็ตแอพออนแท็บ 9 จะพบกับจุดเด่น 3 ประการสำคัญซึ่งจะตอบโจทย์การใช้งาน คือ 1. ซอฟต์แวร์นี้เหมาะสำหรับองค์กรที่ใช้ Private Cloud แบบ Premise  2. ทำงานด้วยซอฟต์แวร์ออนแท็บคลาวด์ (ONTAP Cloud)  ที่บริหารข้อมูลระดับองค์กรบนคลาวด์ และ 3. ออนแท็บซีเล็ก(ONTAP Select) ซึ่งเป็นซอฟตแวร์โซลูชั่นที่ให้อิสระในการทำงานบนฮาร์ดแวร์มาตรฐานในท้องตลาด

“ปัจจุบันธุรกิจขององค์กรต้องการการจัดเก็บข้อมูลที่มีระบบการประมวลผลที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น เทคโนโลยี Flash สามารถตอบโจทย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากความต้องการในตลาด ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดทั่วโลกของ Flash เติบโตโดยเฉลี่ยกว่า 87.4% ปัจจุบันลูกค้าบางส่วนต้องการเพิ่มการเก็บข้อมูลบนแฟลชและอาศัยประสิทธิภาพของคลาวด์มาใช้ และเล็งเห็นศักยภาพของออนแท็บ 9 ซอฟต์แวร์ในการบริหารจัดการข้อมูลโดยอาศัยบุคลากรด้านไอทีเพียงไม่กี่คนในการดูแล ซึ่งช่วยลดต้นทุนขององค์กรและถือเป็นโมเดลในการเลือกใช้ซอฟต์แวร์ที่มีประสิทธิภาพ โดยสามารถจัดการข้อมูลต่างๆ ที่อยู่บนดิสก์ แฟลชและส่วนประกอบอื่นๆ ที่อยู่บนคลาวด์ได้อย่างมีมาตรฐาน เน็ตแอพพร้อมให้บริการลูกค้าและคู่ค้าของเราด้วยนวัตกรรมที่ดีที่สุดเพื่อผลการดำเนินงานทางธุรกิจที่คุ้มค่า” นายวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการประจำประเทศไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เน็ตแอพกล่าว

]]>
1095388
อะโดบีส่ง Adobe Data Science นวัตกรรม “การจัดการข้อมูลยุคติจิตอล” ช่วยให้นักการตลาดดิจิทัล และนักโฆษณา สามารถส่งมอบประสบการณ์ที่วิเศษให้กับผู้บริโภคได้แล้ววันนี้ https://positioningmag.com/1093280 Tue, 31 May 2016 05:42:28 +0000 http://positioningmag.com/?p=1093280 ทุกครั้งที่คนตัดสินใจทำอะไรก็ตามบนออนไลน์ หรือในแอพพลิเคชั่น นั่นคือจุดที่ทำให้เกิดข้อมูลใหม่ (new data point) ข้อมูลเหล่านี้คือขุมทรัพย์สำหรับนักการตลาด และนักโฆษณา ที่นำมาซึ่งขั้นตอนวิธีการสร้างแอพและเว็บไซต์ที่สามารถประเมินผลจากพฤติกรรมการตัดสินใจโดยปรับแต่งประสบการณ์ที่เหมาะสมเฉพาะบุคคล ระบบนี้ยังสามารถตรวจรูปแบบของกิจกรรมที่คาดไม่ถึงของกลุ่มบุคคลจำนวนมาก อีกทั้งยังเรียบเรียงข้อมูลเพื่อให้นักวิเคราะห์ข้อมูลใช้ทำงาน และเพื่อให้นักการตลาดนำไปปรับใช้กับงานที่รับผิดชอบ การจัดการข้อมูลไม่เพียงทำให้กระบวนการด้านการตลาดดิจิตอลทำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ยังทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดอีกด้วย

อะโดบีได้เปิดตัวชุด “วิธีการจัดการข้อมูลแบบใหม่ (Adobe Data Science)” ด้วยการผสมผสาน “พลังความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ และพลังความสามารถการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงวิทยาศาสตร์เข้าด้วยกัน” กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลแบบใหม่ใน Adobe Marketing Cloud สามารถทำให้เราค้นพบข้อมูลทางพฤติกรรมเชิงลึกได้ตรงจุด จากข้อมูลมากกว่า 41 ล้านล้านรายการต่อปี รวมถึงการใช้งานโฆษณาแบบสมบูรณ์แบบทั้งภาพ, เสียง หรือ วิดีโอ (Rich Media) กว่า 4.1 ล้านล้านครั้ง เป็นการเปิดทางให้อะโดบีนำการวิเคราะห์ข้อมูลสู่รูปแบบการใช้ชีวิต นักการตลาดสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อทำให้สามารถตัดสินในทางธุรกิจได้ดีขึ้น รู้ว่าควรสร้างเนื้อหาแบบไหนถึงจะโดนใจ และได้ประโยชน์จากคำแนะนำและการคาดการณ์ที่พวกเขาอาจคาดไม่ถึง

ความสามารถในการจัดการข้อมูลแบบใหม่นี้มีอยู่ใน Adobe Clouds ทั้งสามระบบคือ Adobe Creative Cloud, Adobe Marketing Cloud และ Adobe Document Cloud สำหรับการจัดการข้อมูลหรือ Data Science ใน Creative Cloud จะช่วยให้นักออกแบบสามารถออกแบบได้ดีกว่าเดิม ตัวอย่างสำหรับ Adobe Photoshop CC ที่รวมความสามารถเช่น Facial Recognitionเทคโนโลยี Content-Aware และความสามารถในการลดความสั่นของกล้อง Camera Shake Reduction เป็นต้น สำหรับ Adobe Document Cloud ก็สามารถใช้วิธีการนี้ในการจัดการภาพ เช่น การตรวจหาขอบเขตของวัตถุในภาพสำหรับไฟล์ pdf และการแก้ perspective ของภาพจากไฟล์ pdf ที่สแกนมาเป็นไฟล์ และยังสามารถเปลี่ยนไฟล์ที่สแกนมาให้เป็นเอกสารที่แก้ไขได้ และสำหรับ Adobe Marketing Cloud ก็มีความสามารถในการจัดการข้อมูลแบบใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 40 ชนิด เช่น Contribution AnalysisAnomaly Detection และ Shoppable Video เป็นต้น

นาย อนิล กามัท ปรมาจารย์ด้าน Data Science ของอะโดบี กล่าวว่า“วิทยาการจัดการข้อมูล (Data Science) ในการตลาดดิจิตอลเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลของเราถูกสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถของนักการตลาด ซึ่งทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ที่แสนวิเศษ ตรงความต้องการของแต่ละบุคคล ตรงกลุ่มเป้าหมายและการแบ่งเซ็กเมนต์กลุ่มผู้บริโภค”

นาย ไจล์ส ริชาร์ดสัน หัวหน้าแผนกวิเคราะห์ข้อมูล Royal Bank of Scotland กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ ผู้บริโภคมีทางเลือกที่จะติดต่อกับบริษัทต่างๆ ได้หลากหลายช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้เราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริงนี้ ความสามารถในการจัดการข้อมูลใน Adobe Creative Cloud, Document Cloud และ Marketing Cloud ช่วยขยายธุรกิจในโครงการ Superstar DJ Program ให้กว้างขึ้น สร้างความพอใจให้กับลูกค้าแบบเรียลไทม์ และสร้างประสบการณ์แบบส่วนตัวให้กับลูกค้าได้ทุกช่องทาง ตั้งแต่ระบบคอลล์เซนเตอร์ไปจนถึงบริการในสาขาของธนาคารด้วย”

ความสามารถในการจัดการข้อมูลแบบใหม่ของ Adobe Marketing Cloudเกือบทั้งหมดพร้อมให้ใช้งานแล้ววันนี้ ประกอบด้วย:

  • การทำให้เนื้อหาดิจิตอลฉลาดขึ้น (Making Digital Assets Smarter): ด้วย Smart Tag ใน Adobe Experience Manager ทำให้นักการตลาดสามารถค้นหาเนื้อหาใน Creative Cloud เช่น ภาพวาด ภาพถ่าย วิดิโอ และเนื้อหาดิจิตอลอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต พลังในการค้นหาด้วยการคาดการณ์การติดแท็ก ทำให้แบรนด์เข้าใจได้ดีขึ้นว่า เนื้อหาที่ผู้บริโภคเห็นมีผลมากน้อยแค่ไหน โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาใส่แท็กให้กับภาพนับร้อยนับพันด้วยตัวเอง ตัวอย่างเช่น Smart Tag สามารถใช้ภาพที่ถูกระบุด้วยคำว่า “หน้าร้อน” “ภูมิประเทศ” และ “เด็ก” เพื่อค้นหาภาพทั้งหมดที่มีคำเหล่านี้ใน Creative Cloud ได้อย่างรวดเร็ว
  • การเสนอรายการโทรทัศน์สำหรับแต่ละบุคคล (Personalized TV Recommendations): ปัจจุบัน ผู้ให้บริการเนื้อหาแบบสตรีมมิ่งนำเสนอรายการสู่ผู้ชม บนพื้นฐานข้อมูลประวัติการชมและการซื้อในระบบปิด การจัดการข้อมูลแบบใหม่ของ Adobe Primetime และ Adobe Target นำข้อมูลจากการชมรายการแบบสตรีมมิ่ง การชมภาพยนตร์ และการถ่ายทอดสดรายการกีฬาของคนส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกามาใช้วิเคราะห์ และด้วย Adobe Primetime Recommendations โทรทัศน์ในยุคต่อไปจะทำให้สามารถนำเสนอรายการแบบเฉพาะบุคคลได้ โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกทั้งจากพฤติกรรมที่ใกล้เคียงและแบบเฉพาะตัวมาวิเคราะห์ ถ้าคุณดูบาร์เซโลน่าเล่นกับรีลมาดริตบน Apple TV ในคืนวันเสาร์ คุณจะได้รับข้อมูลในคืนวันจันทร์ว่ามีรายการไฮไลต์ฟุตบอลให้ชมเมื่อไหร่ผ่านทางสมาร์ทโฟนระบบแอนดรอยด์ เป็นต้น
  • Segment IQ: โดย Segment IQ ใน Adobe Analytics คือระบบการค้นหาความเชื่อมโยง และความแตกต่างของกลุ่มผู้ชมเป้าหมายที่แตกต่างกัน ผ่านทางระบบการวิเคราะห์อัตโนมัติที่ทำงานในทุกกลุ่มเป้าหมาย Segment IQ จะทำการเปรียบเทียบและเรียบเรียงความแตกต่างทางพฤติกรรมที่สำคัญ และสร้างข้อมูลเชิงลึกขึ้นมาเพื่อช่วยให้สามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจได้สิ่งนี้ทำให้นักการตลาดและนักวิเคราะห์รู้วากลุ่มเป้าหมายใดสำคัญที่สุด และสามารถตั้งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมายที่เหมือนกันหรือคล้ายกันได้ดีขึ้น ทำให้สามารถครองใจผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อประหยัดทั้งเวลาและงบประมาณ
  • ผู้ช่วยวิเคราะห์ส่วนตัว (Your Analytics Personal Assistant): ด้วย Adobe Analytics เครื่องมือ Virtual Analyst จะช่วยให้นักการตลาดทราบความเป็นไปในแบบเรียลไทม์ ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน Virtual Analyst เรียนรู้จากการใช้งานโดยบันทึกและจัดลำดับความสำคัญของความเปลี่ยนแปลงของข้อมูล และจัดสร้างข้อมูลเชิงลึกแบบตรงประเด็นอย่างที่นักการตลาดต้องการเพื่อช่วยในการตัดสินใจทางธุรกิจ ตัวอย่างเช่น Virtual Analyst ค้นพบว่ารายได้เป็นตัวชี้วัดสำคัญสำหรับคุณ ต่อจากนั้นก็ดูที่การสั่งซื้อ จำนวน และการถูกพูดถึงในโซเชียลมีเดีย Virtual Analyst ยังแจ้งเตือนความผิดปรกติของข้อมูลได้แบบรายชั่วโมง และสร้างอีเมล์แจ้งเตือนได้อีกด้วย บริการนี้คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงปลายเดือนกันยายนปีนี้
  • การคาดการณ์มูลค่าของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ (Predicting Consumer Value With Confidence): ด้วยเครื่องมือ “lifetime value decision” ใน Adobe Target จะช่วยให้นักการตลาดคาดเดากระบวนการซื้อที่ทำให้เกิดกำไรสูงสุดจากลูกค้าแต่ละคนได้ สิ่งที่แตกต่างจากวิธีการทดสอบกลุ่มเป้าหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็คือ Adobe Target จะวิเคราะห์พฤติกรรมที่ผ่านมาของลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่เหมาะสมได้แบบเรียลไทม์ ด้วยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลของลูกค้า ผู้ค้าปลีกสามารถจัดลำดับการเสนอส่วนลดให้กับสินค้าคอมพิวเตอร์ ต่อด้วยส่วนลดสำหรับจอมอนิเตอร์ ตามด้วยพริ้นเตอร์ได้ เพื่อที่จะได้กำไรสูงสุดจากการเสนอขายหนึ่งครั้ง
  • ข้อมูลเชิงลึกเพื่อการโฆษณาอัตโนมัติ (Automated Insights for Advertising): จะดีแค่ไหนถ้านักการตลาดสามารถลดเวลาวิเคราะห์การเติบโต หรือแนวโน้มของเทรนด์ต่างๆ ด้วยตนเอง และเอาเวลาไปใช้สร้างสรรค์สิ่งอื่น Adobe Media Optimizer คือเครื่องมือค้นหาข้อมูลเชิงลึกด้านการโฆษณาที่จะวิเคราะห์คำถามสำคัญที่ต้องการ และสร้างรายงานที่พร้อมสำหรับเสนอเป็นพรีเซนเตชั่นบนไมโครซอฟท์ พาวเวอร์พ้อยท์ที่มีตารางสถิติ บทสรุป คำแนะนำ ฯลฯ แบบมืออาชีพได้โดยอัตโนมัติ
  • การคาดการณ์หัวเรื่องที่น่าสนใจ (Predictive Subject Lines):การตลาดด้วยอีเมล์มีส่วนสำคัญในการเพิ่มรายได้มานานแล้ว แต่นักการตลาดก็ยังคงต้องดิ้นรนหาคำที่ดึงดูดใจลูกค้าบนพื้นฐานของพฤติกรรมความสนใจอยู่เสมอ ข้อความหัวเรื่องในอีเมล์ที่เหมาะสมสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างการถูกลบทิ้งกับการถูกเปิดอ่านได้ วันนี้ Adobe Campaign มีความสามารถที่เรียกว่า automated subject line capability ที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลอัตราการเปิดอ่านจากหัวเรื่องอีเมล์ที่ผ่านมา และแนะนำหัวเรื่องอีเมล์ที่เหมาะสมให้ได้ ตัวอย่างเช่น จากการวิเคราะห์แสดงว่า หัวเรื่องอีเมล์ที่มีคำว่า “brand new” จะมีอัตราการถูกเปิดอ่านมากกว่าคำว่า “new”บริการการคาดเดาหัวเรื่องนี้จะเปิดให้ใช้บริการในแบบทดลองประมาณไตรมาสที่สามปีนี้
]]>
1093280
‘ไอบีเอ็ม วัตสัน’ รุกเดินหน้าแก้ปัญหาอาชญากรรมไซเบอร์ https://positioningmag.com/1091259 Wed, 11 May 2016 08:19:43 +0000 http://positioningmag.com/?p=1091259 ไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้เปิดตัว วัตสันสำหรับไซเบอร์ซิเคียวริตี้’ (Watson for Cyber Security) เทคโนโลยีค็อกนิทิฟบนคลาวด์ที่ใช้ความสามารถของวัตสันในการเรียนรู้งานวิจัยด้านซิเคียวริตี้จำนวนมาก เพื่อศึกษาแพทเทิร์นของการคุกคามและภัยไซเบอร์ที่อาจแอบแฝงอยู่แต่ไม่สามารถตรวจจับได้ พร้อมเตรียมจับมือกับมหาวิทยาลัย 8 แห่ง ขยายคลังข้อมูลด้านซิเคียวริตี้และฝึกสอนวัตสันเพิ่มเติม เพื่อเสริมศักยภาพระบบค็อกนิทิฟซิเคียวริตี้ ให้พร้อมเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยผู้เชี่ยวชาญด้านซิเคียวริตี้ขององค์กรรับมืออาชญากรรมไซเบอร์อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ขยายศักยภาพค็อกนิทิฟซิเคียวริตี้เร่งต่อกรภัยไซเบอร์
องค์กรโดยทั่วไปต้องเผชิญกับเหตุด้านความปลอดภัยเฉลี่ยกว่า 200,000 รายการต่อวัน [1] นำสู่ค่าใช้จ่ายที่องค์กรต้องสูญเสียเพื่อแก้ไขปัญหาผลบวกลวง (False Positives) ถึง 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อปี และการสูญเสียเวลาในการแก้ปัญหาเกือบ 21,000 ชั่วโมง [2] เมื่อผนวกรวมกับข้อมูลช่องโหว่ของซอฟต์แวร์ที่ตรวจพบกว่า 75,000 รายการ ในฐานข้อมูลช่องโหว่แห่งชาติ [3] เอกสารงานวิจัยด้านความปลอดภัยกว่า 10,000 ฉบับที่ตีพิมพ์ในแต่ละปี และข้อมูลด้านความปลอดภัยจากกว่า 60,000 บล็อกที่เผยแพร่ในแต่ละเดือน [4] จึงกลายเป็นความท้าทายสำคัญที่กดดันให้นักวิเคราะห์ด้านซิเคียวริตี้ต้องเดินหน้าและรับมืออย่างรวดเร็ว

วัตสันสำหรับไซเบอร์ซิเคียวริตี้ได้รับการพัฒนาขึ้นบนคลาวด์ของไอบีเอ็ม และเป็นระบบแรกที่สามารถขยายขอบเขตการใช้ค็อกนิทิฟซิเคียวริตี้ให้ครอบคลุมองค์กรได้ทุกระดับ โดยวัตสันสามารถเข้าใจและเรียนรู้ข้อมูลไร้โครงสร้าง (unstructured data) ที่มีอยู่ถึงร้อยละ 80 ของข้อมูลทั้งหมดในปัจจุบัน อาทิ ข้อมูลจากบล็อก บทความ วิดีโอ รายงาน การแจ้งเตือนต่างๆ ฯลฯ เหล่านี้เป็นข้อมูลที่ระบบซิเคียวริตี้ทั่วไปไม่สามารถนำมาประมวลผลได้ นอกจากนี้ ไอบีเอ็มยังจะใช้ความสามารถด้านอื่นๆ ของวัตสันในระบบดังกล่าว อาทิ เทคนิคการทำเหมืองข้อมูลเพื่อตรวจจับความผิดปกติ เครื่องมือการนำเสนอรายงานผลลัพธ์แบบกราฟิก และเทคนิคการค้นหาความเชื่อมโยงระหว่างจุดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกันในเอกสารต่างๆ ตัวอย่างเช่น วัตสันสามารถค้นพบข้อมูลของมัลแวร์รูปแบบใหม่ได้จากการอ่านข้อมูลและรายงานข่าวด้านการรักษาความปลอดภัยออนไลน์ต่างๆ

แม้มีการคาดการณ์ว่าสถาบันการศึกษาต่างๆ จะสามารถสร้างบุคลากรด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ เพื่อรองรับความต้องการประมาณ 1.5 ล้านอัตราได้ภายในปี 2020 แต่เราก็จะยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายมากมายเกี่ยวกับทักษะของบุคลากรในด้านซิเคียวริตี้อยู่ดีนายกิตติพงษ์ อัศวพิชยนต์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซอฟต์แวร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าว ปริมาณและการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของข้อมูลคือปัจจัยสำคัญที่ท้าทายเป็นอย่างยิ่งในการรับมือกับอาชญากรรมไซเบอร์ การใช้ความสามารถของวัตสันในการเชื่อมโยงบริบทของข้อมูลแบบไร้โครงสร้างปริมาณมหาศาล จะนำสู่มุมมองเชิงลึก คำแนะนำ และองค์ความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เชี่ยวชาญด้านซิเคียวริตี้ ช่วยให้นักวิเคราะห์ด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ขั้นสูงสามารถทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์มือใหม่ก็สามารถฝึกฝนและเรียนรู้เพิ่มเติมไปด้วยในขณะปฏิบัติงาน”

ผนึกมหาวิทยาลัยติวเข้มไซเบอร์ซิเคียวริตี้ต่อยอดศักยภาพวัตสัน
ก้าวสำคัญของไซเบอร์ซิเคียวริตี้ในครั้งนี้ เป็นผลมาจากเป้าหมายในการลดช่องว่างของทักษะด้านซิเคียวริตี้ที่ยังไม่มีความชัดเจน โดยไอบีเอ็มจะร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ สถาบันเทคโนโลยีแห่งมลรัฐแมตซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยโปลีเทคนิคแห่งแคลิฟอร์เนีย มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค และมหาวิทยาลัยอื่นๆ รวม 8 มหาวิทยาลัย ภายใต้โครงการบุกเบิกระบบค็อกนิทิฟซิเคียวริตี้ เพื่อเพิ่มความสามารถของวัตสันในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูล ตรวจจับภัยคุกคาม พร้อมนำเสนอกลยุทธ์การรับมือรูปแบบต่างๆ เป็นข้อมูลช่วยนักวิเคราะห์ด้านซิเคียวริตี้ในการรับมือภัยไซเบอร์

นักศึกษาจะช่วยฝึกสอนภาษาที่เกี่ยวข้องกับไซเบอร์ซิเคียวริตี้เพื่อช่วยสร้างคลังความรู้ให้วัตสัน โดยจัดทำคำอธิบายประกอบ พร้อมป้อนข้อมูลรายงานการรักษาความปลอดภัยระบบและข้อมูลอื่นๆ โดยนักศึกษาจะได้ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากไอบีเอ็ม ซิเคียวริตี้ อย่างใกล้ชิด ได้เรียนรู้รายงานข้อมูลความปลอดภัยอัจฉริยะในมิติต่างๆ และยังจะเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ของโลกที่ได้รับประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับค็อกนิทิฟซิเคียวริตี้อีกด้วย โดยความร่วมมือนี้จะเป็นการทำงานต่อยอดจากโครงการพัฒนาและฝึกสอนระบบวัตสันสำหรับไซเบอร์ซิเคียวริตี้ที่ไอบีเอ็มได้ริเริ่มไว้แล้ว

ทั้งนี้ ในเฟสต่อไป ไอบีเอ็มวางแผนที่จะพัฒนาระบบให้สามารถประมวลเอกสารด้านความปลอดภัยให้ได้สูงสุด 15,000 ฉบับต่อเดือน โดยเอกสารเหล่านี้จะประกอบด้วยรายงานข้อมูลอัจฉริยะด้านภัยคุกคาม กลยุทธ์อาชญากรรมไซเบอร์ และฐานข้อมูลด้านภัยคุกคาม โดยการฝึกสอนวัตสันยังจะนำสู่การสร้างอนุกรมวิธานหรือการจัดหมวดหมู่ศัพท์ด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ซึ่งรวมถึงการทำความเข้าใจแฮช (Hash) แนวทางการติดไวรัส ตัวบ่งชี้ความเสียหาย และการระบุภัยคุกคามเรื้อรังขั้นสูง

ในวันเดียวกันนี้ มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ (UMBC) ยังได้ประกาศความร่วมมือระยะหลายปีกับไอบีเอ็ม เพื่อสร้างห้องทดลองค็อกนิทิฟไซเบอร์ซิเคียวริตี้เร่งรัด (Accelerated Cognitive Cybersecurity Laboratory: ACCL) ขึ้น โดยทางคณะและนักศึกษาที่ทำงานที่ห้องทดลองดังกล่าวจะใช้ค็อกนิทิฟคอมพิวติ้งเข้าแก้ปัญหาความท้าทายด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้ที่ซับซ้อน พร้อมร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ไอบีเอ็มในการเพิ่มความเร็วและขนาดที่เหมาะสมให้กับโซลูชั่นไซเบอร์ซิเคียวริตี้ใหม่ๆ

]]>
1091259
ทำความรู้จัก “Image Science” ศาสตร์ใหม่ที่กำลังจะครองโลกการตลาดดิจิตอล https://positioningmag.com/1090980 Sat, 07 May 2016 06:08:27 +0000 http://positioningmag.com/?p=1090980 ปัจจุบัน มีศาสตร์หนึ่งที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว นั่นคือ ศาสตร์ด้าน “คอมพิวเตอร์วิทัศน์ (Computer Vision)” คุณอาจไม่เคยเห็นคำนี้มาก่อน แต่ศาสตร์นี้กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันของคุณไปตลอดกาล

Computer Vision นั้นโดยหลักแล้วคือศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับภาพที่เรามองเห็นผ่านคอมพิวเตอร์โดยมีการวิเคราะห์ผ่านปัญญาประดิษฐ์เพื่อทำความเข้าใจว่าภาพนั้นคืออะไร (หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าระบบ Image Recognition) และด้วยพลังของระบบการคำนวนด้วยซูเปอร์คอมพิวเตอร์และการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับโครงข่ายประสาทเทียม ซึ่งเป็นกระบวนการที่จำลองการเรียนรู้ของสมองมนุษย์ คอมพิวเตอร์จะใช้อัลกอริธึมอันสลับซับซ้อนเพื่อวิเคราะห์ภาพที่แสดงบนหน้าจอและวิเคราะห์ว่าภาพนั้นคืออะไรและเกิดอะไรขึ้นในภาพนั้นบ้าง

ผู้เชี่ยวชาญผู้สร้างซอฟท์แวร์ด้าน Image Recognition มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า นักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์วิทัศน์ แต่หลายคนอาจเรียกพวกเขาตามความเข้าใจง่ายๆ ได้ว่า นักวิทยาศาสตร์ด้านภาพ

และเมื่อศาสตร์ด้านนี้พัฒนามาหลายปี นักวิทยาศาสตร์ด้านภาพก็เริ่มมีอิทธิพลต่อโลกของการโฆษณาเช่นกัน คาดการณ์ว่าตลาดด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์วิทัศน์จะเติบโตจนมีมูลค่า 3.3 หมื่นล้านเหรียญในช่วงสิ้นทศวรรษนี้

หลายธุรกิจ โดยเฉพาะ ธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ ต่างก็ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการระบุรูปภาพนี้ โดยได้มีการพัฒนาด้านการแพทย์อย่างเครื่อง Dulight กล้องถ่ายภาพแบบสวมใส่ขนาดเล็กที่ใช้เทคโนโลยีนี้ในการะบุสิ่งของต่างๆ อย่างอาหาร เงิน และสัญญาณจราจร ซึ่งช่วยให้ผู้พิการทางสายตาได้รับรู้สิ่งต่างๆ ได้มากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หรืออีกตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพที่เห็นได้ชัด ได้แก่ การพัฒนาตู้เย็นที่สามารถบอกได้ว่าอาหารที่แช่เอาไว้ชิ้นไหนหมดอายุหรือเสียแล้วบ้างของแบรนด์พานาโซนิก

และแน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อโลกการตลาดดิจิตอลแล้วเช่นกัน ด้วยความสามารถในการระบุรูปภาพทำให้เกิดรูปแบบการโฆษณาแบบใหม่ขึ้น คือ โฆษณาแบบ In-image

การโฆษณาแบบ In-image ใช้ประโยชน์จากซอฟต์แวร์ระบุรูปภาพเพื่อแสดงโฆษณาออนไลน์โดยอ้างอิงจากรูปภาพที่สอดคล้องกับโฆษณานั้นๆ เช่น เทคโนโลยีของบริษัท GumGum ที่สามารถจับรูปภาพในหน้าเว็บไซต์ข่าว หากเป็นรูปผู้ชายโกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา ระบบจะโชว์โฆษณาใบมีดโกนหนวดขึ้นมาภายในรูปภาพนั้น หรือหากเป็นรูปผู้หญิงยิ้มเห็นฟันขาว ระบบก็จะแสดงภาพโฆษณายาสีฟันขึ้นมา

เทคโนโลยี Image Recognition เปิดโอกาสให้สำนักข่าวออนไลน์ต่างๆ สร้างรายได้จากรูปภาพประกอบบทความของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และในขณะเดียวกันก็สร้างเครื่องมือทางการตลาดให้กับนักการตลาดในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยีนี้มีมากกว่านั้น เพราะทั้งหมดคือปรากฎการณ์ที่เรียกว่า Visual Web

ทุกวันนี้มีรูปภาพกว่า 2 พันล้านรูปถูกอัพโหลดเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่นที่เน้นการแชร์รูปภาพอย่าง Instagram และ Pinterest รวมทั้งกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนที่ใครๆ ก็มี คือช่องทางและเครื่องมือสำคัญในการแชร์ข้อมูลในรูปแบบรูปภาพดังกล่าว

หลายแบรนด์พยายามหาทางใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อสร้างคอนเทนต์แบบที่ผู้ใช้ผลิตขึ้นเอง (User-generated) แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า 80% ของรูปภาพที่เกี่ยวของกับแบรนด์มักไม่มีข้อความที่ชี้ให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องกับแบรนด์ ดังนั้น จึงไม่สามารถติดตามหรือระบุรูปภาพเหล่านั้นได้ด้วยเครื่องมือ Social Listening แบบดั้งเดิมที่เคยใช้กันมา ซึ่งหมายความว่านักการตลาดก็ยังคงไม่สามารถใช้ประโยชน์จากปรากฎการณ์การแชร์รูปภาพที่กระหึ่มโลกออนไลน์ที่กำลังเกิดขึ้นได้

ดังนั้น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์วิทัศน์จะเข้ามาช่วยเพิ่มความสามารถในการตรวจจับและระบุรูปภาพเป็นสิบๆ ล้านภาพที่ถูกโพสต์สู่โลกออนไลน์ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะสร้างช่องทางที่ทรงประสิทธิภาพที่จะช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าถึงลูกค้าได้โดยตรง

ด้วยเหตุนี้เอง สตาร์ทอัพอย่าง GumGum และเหล่ายักษ์ใหญ่อย่าง Google และ IBM ถึงได้ก้าวเข้ามาเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมด้านคอมพิวเตอร์วิทัศน์นี้ อย่างเทคโนโลยีการระบุหน้าคนของ Facebook ในปัจจุบัน ก็พัฒนาจนเรียกได้ว่าเกือบแม่นยำเทียบเท่าสมองมนุษย์แล้ว

ในขณะที่ข้อมูลด้านภาพในโลกอินเทอร์เน็ตเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรูปภาพได้เข้ามาแทนที่ข้อความ ในฐานะเครื่องมือในการสื่อสารหลักที่ผู้คนเลือกใช้ ความสำคัญของนักวิทยาศาสตร์ด้านภาพและศาสตร์ด้าน Image Visualจะพุ่งทะยานถึงขีดสุด แล้วคำว่า Computer Vision, Image Science, Image Recogniton จะไม่ใช่คำที่ไกลตัวเราอีกต่อไป

ที่มา Image Science: The Next Big Bang in Digital Marketing

]]>
1090980