Tiffany – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 12 Jun 2020 12:17:50 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Revenge spending’ พฤติกรรมใหม่ของนักช้อปชาวจีนที่ทำให้แบรนด์ ‘Luxury’ ยิ้มออก https://positioningmag.com/1283357 Fri, 12 Jun 2020 11:45:57 +0000 https://positioningmag.com/?p=1283357 ตั้งแต่เกิดวิกฤต Covid-19 แบรนด์ ‘Luxury’ ชั้นนำยังต้องเผชิญกับเส้นทางที่ยากลำบากข้างหน้า และมีแนวโน้มที่จะต้องหาวิธีคิดใหม่เกี่ยวกับการทำธุรกิจให้ฟื้นตัว หลังจากที่ยอดขายเสียหายทั่วโลก แต่ดูเหมือนว่าแบรนด์หรูต่าง ๆ อาจจะเริ่มยิ้มออกนิด ๆ เพราะผู้ซื้อชาวจีนเริ่มที่จะกลับมาช้อปปิ้งสินค้าฟุ่มเฟือยอีกครั้งหลังจากอัดอั้นมานาน

แบรนด์สินค้า Luxury หลายแห่งรายงานว่า ในประเทศจีนช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ ผู้คนเริ่มกลับมาจับจ่ายอีกครั้ง หลังจากหมดมาตรการล็อกดาวน์ โดยนักวิเคราะห์บางคนเรียกว่าแนวโน้มนี้ว่า ‘Revenge spending’ หรือการโหมจับจ่ายอีกครั้งหลังจากอั้นมานานในช่วงกักตัว โดยแบรนด์ Tiffany ชี้ให้เห็นว่าจีนเป็นจุดที่สดใสสำหรับธุรกิจเครื่องประดับ โดยยอดขายพุ่งขึ้น 30% ในเดือนเมษายนและ 90% ในเดือนพฤษภาคมเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โดยรวมของแบรนด์มียอดขายสุทธิทั่วโลกลดลงประมาณ 40% ในเดือนพฤษภาคม

“ผลการดำเนินงานของเราในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งเป็นตลาดแรกที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสบ่งบอกว่ากำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง” Alessandro Bogliolo ซีอีโอของ Tiffany กล่าว

ขณะที่แบรนด์อื่น ๆ ก็ให้ข้อมูลที่ตรงกัน อาทิ Burberry ระบุว่า เมื่อเดือนที่แล้วว่ายอดขายของเสื้อผ้ากระเป๋าและอุปกรณ์เสริมในประเทศจีนนั้นมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ Richemont ผู้ผลิตเครื่องประดับและนาฬิกาชาวสวิสได้ชี้ให้เห็นว่า จีนเป็นประเทศที่มีความสดใสในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า มีความต้องการที่แข็งแกร่ง Edgardo Osorio ผู้ก่อตั้งแบรนด์รองเท้าอิตาลี Aquazzura บอกกับ CNN Business ว่า “จริง ๆ แล้วมันเป็นแง่บวกมาก ๆ และเป็นประเทศจีนมาโดยตลอด แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เป็นหนึ่งในลูกค้าที่ตอบสนองรวดเร็วที่สุด”

“ข้อมูลบ่งชี้ว่าจีนอยู่ในโหมดการกู้คืน” Luca Solca นักวิเคราะห์ของ Bernstein กล่าว

Photo : Shutterstock

นักวิเคราะห์ระบุว่า ลูกค้าชาวจีนอาจใช้จ่ายเงินกับสินค้าในประเทศมากขึ้น เนื่องจากไม่สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นว่ายอดขายสองในสามของผู้ซื้อชาวจีนนั้นเกิดขึ้นนอกประเทศจีน และแทนที่จะไปเที่ยวพักผ่อน พวกเขาอาจซื้อกระเป๋า Chanel แทน

ทั้งนี้ การฟื้นตัวในประเทศจีนมีความสำคัญมาก เนื่องจากผู้ซื้อมีความสำคัญต่อตลาดระดับโลก เพราะมีสัดส่วนถึง 35% ของยอดขายทั้งหมดทั่วโลกตาม และคาดว่าอาจจะเติบโตเป็นเกือบ 50% ในอนาคต อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยังคงเจ็บสาหัสจาก Covid-19

Bain คาดการณ์ว่า ยอดขายทั่วโลกของสินค้าเหล่านี้อาจลดลงมากถึง -35% ในปีนี้ โดยคาดว่าจะมีรายรับ 180,000 – 220,000 ล้านยูโร ขณะที่ปีที่แล้วประมาณ 281,000 ล้านยูโร โดยแบรนด์ระดับโลกยอมรับถึงความกดดันนี้ เช่น สัปดาห์ที่แล้ว LVMH เปิดเผยต่อนักลงทุนว่าคณะกรรมการได้พบกันอีกครั้งเพื่อพิจารณาการเข้าซื้อกิจการ Tiffany อีกครั้ง

ดังนั้น การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของยอดขายภายในประเทศจีน “ไม่ใช่การอุดการสูญเสียยอดขายให้กับแบรนด์หรูจากผู้บริโภคทั่วโลก” เพราะสุดท้ายการใช้จ่ายโดยรวมจากจีนต่ำกว่าปีที่แล้วมาก ขณะที่พฤติกรรม ‘Revenge spending’ อาจจะเพียงพฤติกรรมชั่วคราว สุดท้าย สิ่งที่อุตสาหกรรมต้องการ คือ นักท่องเที่ยวจากจีนหรือที่อื่น ๆ

“เราคาดหวังว่าการเดินทางท่องเที่ยว จะทำให้สถานการณ์กลับมาสู่ภาวะปกติ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาหลายเดือน และอาจจะมากกว่าหนึ่งปี”

ดังนั้น เพื่อรับมือกับความเป็นจริงนี้ บริษัทจะต้องปรับกลยุทธ์ของพวกเขาและหาวิธีการเข้าถึงลูกค้าในท้องถิ่นมากขึ้น รวมถึงขยายไปสู่ช่องทางอีคอมเมิร์ซ

Source

]]>
1283357
LVMH ฮุบ Tiffany ปิดดีล 4.9 แสนล้านบาท ปักธงบุกตลาดเจ้าสาว https://positioningmag.com/1254795 Mon, 25 Nov 2019 15:41:44 +0000 https://positioningmag.com/?p=1254795 LVMH เจ้าของแบรนด์หรูทั้ง Bulgari และ Louis Vuitton บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการบริษัท Tiffany & Co. ในราคา 135 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น รวมเป็น 16,300 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 492,707 ล้านบาท

ราคานี้สูงขึ้นกว่าข่าวลือรอบแรกที่ระบุว่า LVMH เริ่มเจรจาดีลตั้งแต่เดือนตุลาคมในราคา 11,900 ล้านเหรียญ คาดว่าทั้งคู่จะประกาศดีลอย่างเป็นทางการวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายนตามเวลาสหรัฐฯ

ข่าวนี้ทำให้หุ้นของ Tiffany ราคาพุ่งขึ้นทันที แม้จะยังไม่สูงเท่าที่เคยทำสถิติสูงสุด 140 เหรียญในช่วงกลางปีที่แล้ว แต่มูลค่าหุ้นของต้นสังกัดแบรนด์เครื่องประดับหรูจากนิวยอร์กกำลังตีตื้นจากที่ปิดตลาดในวันศุกร์ด้วยราคา 125.51 เหรียญ ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าจะก้าวกระโดดยิ่งขึ้นอีกเพราะเม็ดเงินเสนอซื้อกิจการที่มากขึ้น

เหตุที่ทำให้ LVMH ยอมเทเงินมากขึ้นหลายพันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อให้ได้ Tiffany มาครอง คือจิวเวลรี่ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสินค้าหรูหราที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งที่สุดในปี 2018 ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา Bain & Co ชี้ว่าตลาดสินค้ากลุ่มจิวเวลรี่ทั่วโลกนั้นมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และจะเติบโตมากกว่า 7% ในปีนี้

กู้วิกฤติ Tiffany รัศมีหด

Tiffany เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นในนิวยอร์กปี 1837 ก่อนจะโด่งดังเต็มที่หลังจากมีส่วนร่วมในภาพยนตร์ปี 1961 เรื่อง “Breakfast at Tiffany’s” แต่ Tiffany ถูกมองว่าต้องดิ้นรนเต็มที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะยอดขายและกำไรต่อปีที่ลดลงตั้งแต่ปี 2015 ก่อนที่จะเริ่มกลับมาฟอร์มดีในช่วง 2 ปีที่แล้ว (ปี 2017)

ส่วนหนึ่งที่ทำให้ Tiffany เริ่มหายใจคล่องขึ้นคือการพยายามขยายธุรกิจสู่ประเทศจีน แต่บริษัทก็ยังต้องปวดหัวกับปัญหายอดขายลดลงในสหรัฐอเมริกา ยิ่งเมื่อมีปัจจัยอื่นอย่างสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน Tiffany ก็เป็นอีกบริษัทที่รับผลกระทบเต็มตัวจนยอดขายในเอเชียหดหายชัดเจน

แต่ Tiffany มีตลาดที่ LVMH เข้าไม่ถึงเต็มที่ ที่ผ่านมา LVMH มีแบรนด์แฟชั่นและเครื่องหนังในมือ ขณะเดียวกันก็มีแบรนด์น้ำหอม เครื่องสำอาง ไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น่าเสียดายที่แบรนด์จิวเวลรี่ของ LVMH ยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร

ขนหน้าแข้งไม่ร่วง

สำหรับ LVMH หรือ Moët Hennessy Louis Vuitton เป็นบริษัทสัญชาติฝรั่งเศสที่มีรายรับต่อปีประมาณ 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) ส่วนใหญ่ของรายได้นี้มาจากแบรนด์แฟชันและเครื่องหนังในเครืออย่าง Louis Vuitton และ Dom Perignon ทำให้การซื้อ Tiffany ถูกฟันธงว่าจะทำให้ LVMH เข้าถึงตลาดเจ้าสาว และสาวกเครื่องเพชรได้ดีขึ้น

กลุ่มเป้าหมายใหม่จะขยายฐานให้ LVMH มีลูกค้าไฮโซในตลาดสหรัฐอเมริกามากขึ้น เบื้องต้นรายงานระบุว่า LVMH วางแผนที่จะไม่รวมแบรนด์ โดยปล่อยให้ Bulgari และ Tiffany แยกกันทำตลาดต่อไปหลังจากดีลนี้บรรลุผล เชื่อว่าวิธีนี้จะทำให้ LVMH มีแรงสู้กับ 2 คู่แข่งหลักทั้ง Kering เจ้าของแบรนด์ Gucci และบริษัท Richemont ของสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Cartier ที่ต่างลงลึกมากขึ้นในตลาดไฮเอนด์จิวเวลรี่เหมือนนัดกันมา

ทั้งหมดนี้ต้องปรบมือให้ Financial Times ที่รายงานว่า LVMH และ Tiffany บรรลุข้อตกลงบันลือโลกได้เป็นสำนักข่าวแรก เรียกว่าอีกนิดเดียวก็จะถึงหลัก 5 แสนล้านบาทแล้ว.

]]>
1254795
ประท้วงฮ่องกงพ่นพิษ แบรนด์หรูกระทบหนัก Hermes ปิด 5 สาขา https://positioningmag.com/1248460 Thu, 03 Oct 2019 10:25:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1248460 4 เดือนของเหตุการณ์ประท้วงที่ฮ่องกงส่งผลให้แบรนด์หรูระดับโลกเจ็บช้ำไปตามกัน ทั้ง Prada, Cartier รวมถึง Tiffany ที่นับฮ่องกงเป็นตลาดใหญ่อันดับ 4 ของแบรนด์ ต่างมีแผลจากความไม่สงบที่ทำให้นักท่องเที่ยวหดหาย เกือบทุกแบรนด์จำใจปิดร้านค้าลงชั่วคราว กลายเป็นความเสียหายที่เริ่มชัดเจนผ่าน 4 สถิตินี้

1. ยอดเครื่องเพชรนาฬิกาหรูวูบ 47.4%

ฮ่องกงเป็นพื้นที่ติดอันดับ 1 ใน 5 จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวของนักช้อปที่ชื่นชอบสินค้าหรูหรา เพราะแบรนด์ใหญ่เลือกฮ่องกงเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการตั้งร้านค้าเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ สถิติจาก Bernstein ระบุว่าฮ่องกงครองสัดส่วน 5-10% ของยอดขายสินค้าฟุ่มเฟือยทั่วโลก ซึ่งคิดเป็นมูลค่าประมาณปีละ 285,000 ล้านเหรียญ

แต่ข้อมูลวันที่ 2 ตุลาคมแสดงว่า ยอดค้าปลีกในฮ่องกงประจำเดือนสิงหาคม 62 ลดลง 23% จากปี 61 ซึ่งเป็นสถิติการหดตัวมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่มูลค่ายอดขายสินค้ากลุ่มอัญมณี นาฬิกา และสินค้ามีค่ารายการอื่นทำสถิติลดลง 47.4%

2. นักท่องเที่ยวหด 39%

Annie Yau Tse ประธานสมาคมการค้าปลีกฮ่องกง Hong Kong Retail Management Association ยอมรับว่ายังไม่เห็นแสงสว่างของวิกฤติพิษประท้วงฮ่องกง บนสถิติล่าสุดที่สรุปแล้วว่าจำนวนนักท่องเที่ยวมาเยือนฮ่องกงลดลง 39% โดยจำนวนนักท่องเที่ยวแผ่นดินใหญ่ลดฮวบ 42.3%

3. แบรนด์ส่วนใหญ่ยอดตก 30-60%

ไม่ว่าจะ Hermes หรือ Tiffany รวมถึงหลายแบรนด์ที่ต้องปิดร้านในฮ่องกงชั่วคราวตั้งแต่เกิดการประท้วงในเดือนมิถุนายน ต่างเลี่ยงที่จะเปิดเผยผลกระทบต่อผลประกอบการในไตรมาส 2 แต่การสำรวจของบริษัท RBC คาดว่าแบรนด์ส่วนใหญ่จะประสบภาวะยอดขายลดลงระหว่าง 30-60% ซึ่งจะปรากฏเป็นตัวเลขในรายงานไตรมาส 3

บริษัทวิจัย Bain & Co มองว่าภาวะนี้จะส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจสินค้าหรูหราหรือ luxury sector ระดับโลกมีการเติบโตระดับต่ำในปีนี้ คิดเป็นการเติบโต 4-6% เท่านั้น

แบรนด์ผู้ผลิตนาฬิกามีแนวโน้มที่จะเป็นกลุ่มเจ็บหนัก เพราะฮ่องกงเป็นศูนย์กลางการค้านาฬิการะดับไฮเอนด์ เห็นได้ชัดจากที่กลุ่ม Swatch Group สัญชาติสวิตเซอร์แลนด์และกลุ่ม Richemont เจ้าของแบรนด์ Cartier ทำเงินจากตลาดฮ่องกงมากกว่า 11-12% จากยอดขายทั่วโลก

4. Hermes แบรนด์เดียวปิด 5 สาขา

ห้างสรรพสินค้าหลักมากกว่า 30 แห่งตัดสินใจปิดบริการชั่วคราวในวันที่ 1 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยไม่เพียงห้างสรรพสินค้า แต่แบรนด์หรูยังจำเป็นต้องปิดสาขาในสนามบินด้วย หนึ่งในนั้นคือ Hermes ผู้ผลิตกระเป๋าหนังสุดหรู Birkin ใบละ 6 แสนถึงเฉียด 3 ล้านที่เผยเมื่อกันยายนที่ผ่านมาว่าถูกกดดันให้ปิดร้านชั่วคราวทั้งหมด 5 สาขาในเกาะฮ่องกง

น่าเสียดายที่แบรนด์อื่นไม่เปิดเผยจำนวนร้านสาขาที่ปิดทำการชั่วคราว แต่สิ่งที่ชัดเจนคือทุกแบรนด์สูญเสียการขายอย่างชัดเจน เพราะการปิดห้าง 1 .. เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดประจำปีซึ่งเรียกกันว่า Golden Week ที่ปกติจะเป็นช่วงเวลาที่คึกคักสุดขีดสำหรับผู้ค้าปลีกในฮ่องกง

นอกจากการปิดร้าน งานอีเวนท์ของแบรนด์ก็ต้องระงับด้วย หนึ่งในนั้นคือ Chanel ที่วางแผนจัดแสดงแฟชั่นโชว์วันที่ 6 พฤศจิกายนเพื่อนำเสนอคอลเลคชั่น “Cruise” ก็ตัดสินใจเลื่อนโดยหยอดคำหวานว่างานแสดงแฟชันจะเกิดขึ้นในอนาคต ในช่วงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้

การสำรวจตลาดพบด้วยว่าแบรนด์กำลังหาทางเข้าถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนผ่านแหล่งช้อปปิ้งอื่นแทนฮ่องกง นอกจากบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างญี่ปุ่น นักวิเคราะห์มองว่าเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และสิงคโปร์ เป็นพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากการถดถอยในตลาดฮ่องกง.

Source 

]]>
1248460