ในตอนแรก กระทรวงพาณิชย์จีน ได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าไวน์ออสเตรเลียสูงสุด 218.4% เป็นระยะเวลานาน 5 ปี โดยเริ่มเก็บครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2021 ล่าสุด ยุติการจัดเก็บภาษี เนื่องจากความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเริ่มดีขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่งผลให้ให้จีนได้ยกเลิกมาตรการทางการค้าสําหรับสินค้าของออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ข้าวบาร์เลย์ไปจนถึงถ่านหิน
“เนื่องจากสถานการณ์ในตลาดไวน์ของจีนมีการเปลี่ยนแปลง ภาษีต่อต้านการทุ่มตลาดและต่อต้านเงินอุดหนุนที่เรียกเก็บจากไวน์นําเข้าจากออสเตรเลียจึงไม่จําเป็นอีกต่อไป” กระทรวงพาณิชย์กล่าวในแถลงการณ์
ก่อนหน้านี้ ไวน์ของออสเตรเลียที่นําเข้ามาในประเทศจีนไม่ต้องเสียภาษี หลังจากการลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีในปี 2015 ทําให้ออสเตรเลียได้เปรียบด้านภาษี 14% เหนือประเทศผู้ผลิตไวน์อื่น ๆ แต่หลังจากที่จีนกลับลำมาเก็บภาษีไวน์ออสเตรเลีย ทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2023 การนำเข้าไวน์ออสเตรเลียของจีนคิดเป็นเพียง 0.14% ของการนําเข้าไวน์ทั้งหมด จากปี 2020 การนำเข้าไวน์ออสเตรเลียคิดเป็นสัดส่วนถึง 27.46%
นับตั้งแต่การบังคับเก็บภาษีไวน์ออสเตรเลียในปี 2021 ทําให้ผู้ผลิตในออสเตรเลียไม่สามารถส่งออกไวน์บรรจุขวดไปยังตลาดจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น เมื่อจีนยกเลิกมาตรการดังกล่าว บรรดาผู้ผลิตไวน์ชั้นนําของออสเตรเลียต่างเตรียมเริ่มร่วมมือกับลูกค้าในประเทศจีนเพื่อขยายการขายและการตลาด ตลอดจนการจัดการแบรนด์
“การประกาศในวันนี้เป็นแง่บวกที่สําคัญกับอุตสาหกรรมไวน์ของออสเตรเลียและผู้บริโภคไวน์ในประเทศจีนด้วย” ทิม ฟอร์ด ซีอีโอ Treasury Wine Estates กล่าว
นอกจากนี้ การยกเลิกภาษีจะเป็นการเคลื่อนไหวที่น่ายินดีสําหรับผู้ปลูกองุ่นในออสเตรเลีย เนื่องจากต้นองุ่นหลายล้านต้นกําลังถูกทําลายเพื่อควบคุมการผลิตที่มากเกินไป เนื่องจากการบริโภคไวน์ทั่วโลกที่ลดลง
]]>รับชมมัลติมีเดียเพิ่มเติม ได้ที่ http://en.prnasia.com/mnr/treasurywine_201605.shtml
ความร่วมมือคร้ังนี้นับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของ วู้ล์ฟ บลาสส์ ในการเดินหน้าในการสนับสนุนแวดวงการกีฬาในภูมิภาคดังกล่าว หลังจากได้ลงนามข้อตกลงร่วมกับสมาคมบาสเก็ตบอลแห่งชาติของจีน และสมาคมเบสบอลอาชีพในญี่ปุ่นและเกาหลีไปเมื่อไม่นานมานี้ ทั้งนี้วู้ล์ฟ บลาสส์จะเข้าถึงบรรดาแฟนกีฬาในตลาดหลักๆ เหล่านี้ผ่านแคมเปญอันน่าตื่นเต้นในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นตามร้านค้า การออกผลิตภัณฑ์โดยใช้แบรนด์ร่วมกัน การแจกของรางวัล การสร้างกระแสในสื่อดิจิตอลและโซเชี่ยลมีเดีย รวมถึงการจัดกิจกรรมสำหรับผู้บริโภค
โรเบิร์ต ฟอยด์ ประธานและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา และละตินอเมริกา บริษัท เทรสเชอรี่ ไวนส์ เอสเทรทส์เจ้าของแบรนด์วู้ล์ฟ บลาสส์กล่าวว่า “วู้ล์ฟ บลาสส์มีความสัมพันธ์กับแวดวงการกีฬามาอย่างยาวนาน และมีความมุ่งมั่นในการไล่ล่าความสำเร็จ เราจึงรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีส่วนร่วมกับกีฬาอันดับหนึ่งของโลก และเป็นพันธมิตรกับหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จสูงสุดในโลกอย่างทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยวู้ล์ฟ บลาสส์จะนำแคมเปญระดับโลก ‘Here’s To The Chase’ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยกย่องการตามล่าความสำเร็จและชัยชนะ มาสร้างสีสันผ่านความร่วมมือกับสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ในครั้งนี้ และเราตั้งตารอที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในการคว้าถ้วยแชมป์มาครองเพิ่มเติม และเฉลิมฉลองความสำเร็จของทีมด้วยไวน์วู้ล์ฟ บลาสส์อันโด่งดัง”
คริส แฮทเชอร์ หัวหน้าไวน์เมกเกอร์ของวู้ล์ฟ บลาสส์ กล่าวว่า “ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไวน์ที่ได้รับรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย วู้ล์ฟ บลาสส์ไม่เคยหยุดยั้งที่จะก้าวขึ้นเป็นสุดยอดผู้ผลิตไวน์ เช่นเดียวกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ที่พยายามรักษามาตรฐานการเล่นฟุตบอลที่สวยงามที่สุดในโลกไว้อย่างต่อเนื่อง”
เดเมี่ยน วิลลอห์บี้ รองประธานและผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมือภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของซิตี้ฟุตบอลมาร์เก็ตติ้ง กล่าวว่า “วู้ล์ฟ บลาสส์ เป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมไวน์ซึ่งมีความใส่ใจในการรักษาความสม่ำเสมอของคุณภาพและคุณลักษณะของแบรนด์เช่นเดียวกันกับเรา ความร่วมมือครั้งใหม่นี้มอบโอกาสอันน่าตื่นเต้นให้กับเราที่จะได้ใกล้ชิดกับแฟนๆ และผู้บริโภค ซึ่งเราตั้งตารอที่จะได้ทำงานร่วมกับ วู้ล์ฟ บลาสส์ เพื่อเติบโตในแนวทางใหม่และสร้างสรรค์ไปด้วยกัน”
ในฐานะผู้สนับสนุนเครื่องดื่มอย่างเป็นทางการ (Official Wine Partner) ของแมนเซสเตอร์ซิตี้ วู้ล์ฟ บลาสส์ จะสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคอลูกหนังผู้ชื่นชอบในกีฬาฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ ด้วยฐานแฟนบอลกว่า 240 ล้านคนในเอเชีย ตะวันออกกลางและแอฟริกา รวมถึงผู้ติดตามในโซเชี่ยลมีเดียอีกหลายล้านคน แมนเชสเตอร์ซิตี้จะเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคทั้งเก่าและใหม่ได้รู้จักไวน์วู้ล์ฟ บลาสส์มากขึ้น และร่วมสร้างจิตวิญญาณแห่งการไล่ล่าความสำเร็จไปพร้อมๆกันสามารถรับชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.mcfc.co.uk
]]>การดื่มไวน์นับเป็นศาสตร์และศิลป์อีกแขนงหนึ่ง ที่สร้างความรื่นรมย์ในรสสัมผัสอย่างน่าอัศจรรย์ เพราะนอกจากบรรยากาศ รสชาติอาหาร การพูดคุยอย่างถูกคอในวงสนทนาพร้อมไวน์รสชาติเยี่ยมจากองุ่นสายพันธุ์ดีแล้ว แก้วไวน์ยังนับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่ออรรถรสของการดื่มไวน์อย่างมาก เพราะหากจับคู่ไวน์กับแก้วไวน์ไม่ตรงชนิดย่อมทำให้สูญเสียรสชาติและกลิ่นหอมของไวน์ที่เป็นเอกลักษณ์ไปเช่นกัน
ดังนั้นกูรูไวน์จึงมีข้อแนะนำวิธีการเลือกแก้วไวน์ให้เหมาะกับสายพันธุ์ขององุ่น เพื่อส่งเสริมเรื่องรสชาติและกลิ่นสัมผัส เพิ่มจุดเด่นให้ไวน์มีชีวิตมากขึ้น โดย มร.ฟรานซ์ ดูเมย์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายขายและการตลาด แก้วไวน์ระดับโลกแบรนด์ ‘Riedel’ ประจำภูมิภาคเอเชีย กล่าวว่า สำหรับแก้วไวน์ ‘Riedel’ มีตำนานยาวนานกว่า 250 ปี เพราะได้ศึกษา และรังสรรค์ขึ้นเฉพาะไวน์สำหรับองุ่นแต่ละสายพันธุ์ประเภท หนึ่งในหัวใจของการสัมผัสอรรถรสไวน์ให้ยิ่งลึกล้ำ ผ่านรูปแบบของแก้วไวน์ที่รองรับไวน์แต่ละประเภทภายใต้การคิดค้นและการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องระดับตำนาน จนถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในแก้วไวน์ที่ดีที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก
มร.ฟรานซ์ ดูเมย์ กล่าวแนะนำศาสตร์ และศิลป์ชั้นสูงของการเลือกแก้วดื่มไวน์ว่า แก้วทรงสูงที่มีดีไซน์ของแก้วที่เรียวยาว ปากแคบ เป็นแก้วที่เหมาะกับไวน์ขาว ที่ผลิตจากองุ่นสายพันธุ์ ‘Sauvignon Blanc’ ซึ่งเป็นไวน์ขาวทางตอนใต้ของฝรั่งเศส โดดเด่นด้วยรสชาติที่เปรี้ยวอมหวาน พร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของผลไม้ตระกูลซิตรัส อาทิ ส้มหรือมะนาว สร้างความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าให้ผู้ดื่ม ด้วยรูปทรงของตัวแก้วไวน์ที่เรียวยาว ค่อนข้างแคบ เป็นตัวช่วยให้ผู้ดื่มรับกลิ่นความหอมของไวน์ได้เต็มที่
แก้วไวน์ดีไซน์สูงประกอบกับตัวแก้วทรงใหญ่และขอบปากกว้าง เป็นแก้วไวน์ที่คู่ควรกับไวน์แดงอย่าง “Pinot Noir” องุ่นแดงเปลือกบางที่ผ่านการบ่มในถังไม้โอ๊ค ในเขตเมืองเบอร์กันดีของประเทศฝรั่งเศส จนได้ไวน์แดงคุณภาพเยี่ยม ด้วยความโดดเด่นของความเปรี้ยวเจือรสฝาดจากเปลือกองุ่น เมื่อหมุนวนในตัวแก้วไวน์ ใบใหญ่จะให้กลิ่นคาราเมลอ่อนๆ ผสานกลิ่นจากผลเบอร์รี่ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และด้วยดีไซน์ของขอบแก้วที่แคบนับเป็นตัวช่วยในการบังคับทิศทางไวน์ ให้รสชาติหอมหวานได้ตั้งแต่สัมผัสแรก
สำหรับแก้วไวน์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยรูปทรงค่อนข้างใหญ่ ถูกสร้างสรรค์มาเพื่อให้รสชาติไวน์แดงจากการบ่มองุ่นสายพันธ์ “Cabernet Sauvignon” มีความเข้มข้นและจัดจ้านของรสชาติไวน์กระจายสู่ต่อมรับรสอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น พร้อมสร้างสมดุลของรสชาติเพื่อไม่ให้รสชาติใดรสชาติหนึ่งโดดเด่นออกมาเป็นพิเศษ ซึ่งรสชาติไวน์แดง “Cabernet Sauvignon” มีความเข้มข้นผสมความฝาดของเปลือกองุ่นสูง รวมทั้งให้กลิ่นหอมของพริกหยวกที่เจือด้วยกลิ่นไม้เผา และกลิ่นช็อกโกแลต จึงเหมาะสมกับผู้ที่ต้องการกระตุ้นร่างกาย และสร้างความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าในยามเย็น
แก้วไวน์ที่มีลักษณะก้านแก้วสั้น ทรงแก้วค่อนข้างใหญ่และปากแก้วไวน์ที่กว้างเหมาะอย่างยิ่งกับองุ่นสายพันธุ์ “Chardonnay” ที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติที่หวานกลมกล่อม เมื่อนำมาบ่มเป็นไวน์ขาว จึงให้รสชาติที่หวานพร้อมกลิ่นหอมนุ่มนวลของลูกพีชสุก น้ำผึ้ง หรือวานิลลา เปิดสัมผัสความหอมของกลิ่นไวน์ตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งทรงแก้วที่ค่อนข้างใหญ่ช่วยสร้างความสมดุลให้กับไวน์ระหว่างหมุนวนในแก้ว เพิ่มกลิ่นความหอมนุ่มนวล และยังทำให้ไวน์ไหลสู่ต่อมประสาทรับรสเปรี้ยวที่อยู่ด้านข้างให้เข้ากับรสหวานของไวน์ได้มากขึ้น พร้อมความรู้สึกชุ่มฉ่ำในคอหลังจากทิ้งรสไวน์ไว้สักครู่
ทั้งนี้ ศิลปะการดื่มไวน์ ยังมีอีกหนึ่งลูกเล่นที่เรียกว่า ดีแคนเตอร์ (Wine Decanter) หรือที่พักไวน์ เป็นแก้วที่ถูกหลอมด้วยความร้อน แล้วเป่าด้วยลมที่สม่ำเสมอเป็นรูปทรงต่างๆ อาทิ ภาชนะคล้ายชาม เหยือก ทรงคล้ายงู หรือทรงกลมยาว เป็นต้น จากนั้นจึงนำไปจุ่มน้ำทำให้เย็น ตกแต่งให้ผิวเรียบตามที่ต้องการ
ประโยชน์ของดีแคนเตอร์ มีไว้เพื่อรองรับไวน์จากขวดก่อนที่จะรินลงแก้ว เพื่อให้ไวน์ได้สัมผัสออกซิเจนในอากาศได้เต็มที่มากกว่าการอยู่ในขวด การนำออกมาสัมผัสออกซิเจนอีกครั้งจะช่วยให้กลิ่นและรสชาติของไวน์ดีขึ้น ทั้งยังช่วยกรองกากตะกอนซึ่งพบในขวดไวน์ที่บ่มไว้นานหลายปี
มร.ฟรานซ์ ดูเมย์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม การออกแบบดีแคนเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงใดต้องผสานหลักการเคลื่อนไหวที่ช่วยให้ไวน์ได้รับออกซิเจนมากที่สุด ถ้าเป็นไวน์เก่าหลายปีต้องค่อยๆ รินไวน์จากขวด ใส่โถขนาดใหญ่ หากเป็นไวน์ใหม่ ใช้วิธีเทตรงให้ไวน์ไหลลงอย่างรวดเร็วเพื่อเพิ่มอากาศให้กับไวน์ ทำให้รสชาติดีขึ้น ทันทีที่เทใส่ดีแคนเตอร์เสร็จสามารถรินใส่แก้วดื่มได้ทันที ผิดจากสมัยก่อนใช้เวลานานถึง 2 วัน และถ้าผ่านวิธีการทำดีแคนแล้วดื่มไวน์ไม่หมด สามารถเก็บไว้ได้โดยเทกลับใส่ขวดแล้วปิดจุกคอร์ก ไม่ให้อากาศเข้าไป แต่ไม่ควรเก็บไว้เกิน 1 สัปดาห์ ทั้งหมดนี้คือศาสตร์และศิลป์ที่มร.ฟรานซ์จากรีเดล แบ่งปันเพื่อรสสัมผัสแห่งการดื่มไวน์ที่ลึกล้ำดื่มด่ำ มากกว่าทุกครั้งที่คุ้นเคย
Wine Connection, Wine, I Love You, Wine 33 และ Wine Bridge กำลังกลายเป็นร้านอาหารยอดฮิตที่มีจุดขายร่วมกันนั่นคือ มนต์สเน่ห์ของ “ไวน์”
ร้านอาหารที่มีไวน์เป็นจุดขายกลายเป็นร้านยอดฮิตที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต จน TripAdvisor เว็บไซต์ท่องเที่ยวชื่อดังของโลก ได้สำรวจจากความเห็นของนักท่องเที่ยวจนนำมาสู่บทสรุปว่ากรุงเทพฯ เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวเลือกให้เป็นจุดหมายสำหรับอาหารและไวน์ (2011 Travelor’s Choice Food and Wine Destinations) อันดับ 1 ของโลก และสมุยก็ติดอันดับอยู่ที่ 10
การเติบโตของร้านไวน์ในเมืองใหญ่ของประเทศไทย เกิดจากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่มีการใช้ชีวิตสังสรรค์ยามค่ำคืนหลังการทำงาน ไม่ใช่แค่ทำงานแล้วกลับบ้าน และนิยมแสดงตัวตน (Expression) ผ่านสถานที่, ภาพ, มื้ออาหาร ด้วยโซเชี่ยลมีเดีย
เมื่อกล่าวถึงตัว Product ไวน์มีเรื่องราวกับความเป็นศิลปะเฉพาะแฝงอยู่ จากเดิมการดื่มไวน์ดูเป็นเรื่องยากที่จำกัดวงเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งที่มีฐานะหรือชื่นชอบมากเป็นพิเศษ แต่ด้วยไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ วัยเกือบๆ 30 ปี ก็มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องไวน์มากขึ้นผ่านสื่อต่างๆ ที่นำเสนอวัฒนธรรมไวน์ร่วมสมัย “ไวน์” ถูกทำให้เป็นสัญลักษณ์ขอชนชั้น และสุขภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ยุ่งยากน้อยกว่าค็อกเทล ที่ระดับบุคคลทั่วไปไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญก็ดื่มได้ด้วยความเข้าใจง่ายๆ นั่งเท่ได้นาน
ในด้านเจ้าของร้านไวน์ก็ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้นด้วยกลยุทธ์ สถานที่ (Place) ที่ตกแต่งและสร้างบรรยากาศของ Wine Cellar โรงบ่มและเก็บไวน์ ทำให้นอกจากเสพไวน์แล้วยังได้ประสบการณ์ของการดื่มกับเพื่อน ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีทั้งความคลาสสิก โมเดิร์นในสไตล์ของร้านที่แตกต่างกัน โปรโมชั่น (Promotion) เช่น บุฟเฟ่ต์ไวน์ หรือว่าการขายไวน์พ่วงกับอาหารเต็มคอร์ส ส่วนเรื่องราคา(Price)ก็ถูกลงปัจจุบัน แค่ 399 บาท ก็เริ่มต้นชิลล์แบบมีระดับได้แล้ว ซึ่งราคาระดับนี้เมื่อบวกกับอาหารก็ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่ทำงานมาสักพักก็จ่ายไหว
จะเห็นได้ว่าการบริโภคไวน์มีความหมายต่อผู้บริโภคมากกว่าแค่คุณสมบัติของตัวสินค้า แต่ “คุณค่า” ที่พ่วงมากับไวน์ต่างหาก คือสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ เพราะขึ้นชื่อว่าเครื่องดืมแอลกอฮอล์แบบไหนก็เมาได้เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่า “เมาแล้วต้องเท่”
“ฉลากดูสะอาดตา ทันสมัย ฉีกจากรูปแบบเดิมๆ ที่ไม่มีรูปปราสาทเก่าแก่ แต่มันเป็นรูปเค้ก ของขวดไวน์ Layer Cake Primitivo“คือเหตุผลการตัดสินใจซื้อไวน์ของคนยุคใหม่ในกลุ่มมิลเลนเนียมที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเกิดช่วงปี 1980-2000
ฉลากบนขวดที่สะดุดตาพวกเขาจะทำให้โอกาสในการขายได้มีมากขึ้น เพราะไวน์จะเข้าไปอยู่ในร้านสะดวกมากขึ้น ตามพฤติกรรมกลุ่มมิลเลนเนียมที่ซื้อไวน์ที่ไหนก็ได้ โดยเฉพาะจากร้านสะดวกซื้อที่พวกเขาคุ้นเคย และที่สำคัญกลุ่มนี้ยังเริ่มดื่มไวน์เร็วกว่ารุ่นพี่อย่างเจนเนอเรชั่น X อีกด้วย โอกาสทางการตลาดคือจำนวน 20 ล้านคนใน 70 ล้านคนกำลังจะมีอายุ 21 ปีในปีนี้ และเริ่มชอบการดื่มไวน์
อย่างร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ได้เน้นกลุ่มมิลเลนเนียลมานาน และล่าสุดเพิ่งเปิดตัวไวน์แบรนด์ ”Cherrywood Cellars” ราคา 7.99-8.99 เหรียญสหรัฐ สำหรับกลุ่มนี้โดยเฉพาะที่ผู้บริหารเซเว่นฯบอกว่ากลุ่มนี้ไม่ใช่แค่ชอบความสะดวกและยังพร้อมลองสินค้าใหม่ๆ อีกด้วย
ตลาดไวน์เคยรุ่งเรืองในปี 1980 เมื่อกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์โต แต่ยอดขายไวน์ก็เติบโตน้อยลงเมื่อรุ่นต่อมาคือเจนฯ X ลังเลที่จะถือแก้วไวน์ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 และต่อไปทิศทางของไวน์จะเริ่มเข้ามาแย่งตลาดเบียร์ในกลุ่มมิลเลนเนียม ที่ปัจจุบันเลือกดื่มเบียร์ 42% ไวน์อยู่แค่ 24% แต่ไปจะเลือกดื่มไวน์ 26%และดื่มเบียร์ 38%
การทำตลาดของไวน์เริ่มมีการตั้งแผนกเพื่อเซ็กเมนต์มิลเลนเนียม มีการใช้โซเชี่ยลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก เพราะกลุ่มนี้ไม่อายที่จะขอคำแนะนำเกี่ยวกับไวน์จากเพื่อน อย่างฟรานเซีย ของเดอะไวน์กรุ๊ป ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับ Cupcake Vineyards ที่เป็นไวน์หน้าใหม่ให้รสชาติตามเทรนด์ของ Cubcake ที่มีรสดีจากไร่องุ่นชั้นดี นุ่มติดลิ้น จนมียอดขายเพิ่มขึ้น 250% ใน 1 เดือน
บทสรุปของเรื่องนี้คือรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร อยู่ที่ไหน รสนิยมแบบไหน แพ็กเกจที่โดน และราคาที่ใช่ ความสำเร็จก็มาถึงได้ไม่ยาก
ประเทศไทย, สิงหาคม 2552 – นับเป็นครั้งแรกที่ L’Ecole du vin de Bordeaux
(โรงเรียนสอนไวน์บอร์โดซ์) มาประเทศไทยเพื่อคัดเลือกและแต่งตั้งผู้สมัครที่มีศักยภาพเพื่อรับรองและแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนเกี่ยวกับไวน์บอร์โดซ์ในประเทศไทย
ปัจจุบัน ทั่วโลกมีผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนไวน์บอร์โดซ์จากสหพันธ์ผู้ผลิตไวน์บอร์โดซ์ (Bordeaux Wine Council) เพียงราว 145 คนเท่านั้น
โรงเรียนสอนไวน์บอร์โดซ์ (L’Ecole du vin de Bordeaux) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1990 โดยสหพันธ์ผู้ผลิตไวน์บอร์โดซ์ (Bordeaux Wine Council) เปิดสอนไวน์บอร์โดซ์ให้แก่ผู้ประกอบการด้านอาหารและเครื่องดื่ม และผู้บริโภคทั่วโลก
โรงเรียนสอนไวน์บอร์โดซ์ ได้เชิญผู้ประกอบการทางด้านอาหารและเครื่องดื่ม ผู้นำเข้าไวน์ ผู้จัดจำหน่าย ผู้ให้ความรู้เกี่ยวกับไวน์ และผู้แนะนำไวน์ เข้าร่วมการสัมมนาเป็นระยะเวลา 1 วัน โดย Mr. Stephen Mack ผู้เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงด้านไวน์บอร์โดซ์เป็นอาจารย์สอน ณ ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี เมื่อเร็วๆ นี้
หลังจากผ่านการอบรมหลักสูตรขั้นสูงใน 1 วันแล้ว ผู้เข้ารับการอบรมได้รับประกาศนียบัตรผ่านการอบรมที่ออกให้โดย โรงเรียนสอนไวน์บอร์โดซ์ (L’Ecole du vin de Bordeaux) ส่วนผู้เข้ารับการอบรมที่ประสงค์สมัครเพื่อขอรับการรับรองแต่งตั้งเป็นอาจารย์สอนไวน์บอร์โดซ์อย่างเป็นทางการนั้น จะต้องผ่านการสอบวัดผลเมื่อจบการอบรมและสอบสัมภาษณ์ ผู้ที่ได้รับคัดเลือกจะได้เดินทางเข้ารับการอบรมที่โรงเรียนสอนไวน์บอร์โดซ์ ณ ประเทศฝรั่งเศส และจะกลับมาเปิดคอร์สสอนเรื่องไวน์บอร์โดซ์ในประเทศไทยในอนาคต
ในโอกาสพิเศษสุดนี้ Mr. Thomas Jullien ผู้จัดการภาคพื้นเอเซียของสหพันธ์ผู้ผลิตไวน์
บอร์โดซ์ (Asia Manager of Bordeaux Wine Council – CIVB) ได้เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อแถลงข่าวรายละเอียดเกี่ยวกับโรงเรียนสอนไวน์บอร์โดซ์และแผนงานที่ดำเนินการโดยไวน์บอร์โดซ์ในประเทศไทยต่อสื่อมวลชน
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับไวน์บอร์โดซ์และโรงเรียนสอนไวน์บอร์โดซ์
โปรดชม www.bordeaux.com
เศรษฐกิจขาลงไม่กระทบตลาดบน ยอดขายไวน์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการดื่มไวน์ยังโตต่อเนื่อง อิตัลไทย ประกาศจับมือ รีเดล แก้วไวน์หรูระดับโลกจากออสเตรีย รุกทำตลาดเพิ่มเน้นกลยุทธ์สร้างประสบการณ์ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย มุ่งจัดกิจกรรม Riedel Master Class ให้ลูกค้าได้ชิมไวน์ผ่านแก้ว รีเดล
นายยุทธชัย จรณะจิตต์ กรรมการบริหาร บริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไวน์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการดื่มไวน์ เปิดเผยถึงการเติบโตของตลาดทั้ง 2 กลุ่มว่า ยังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แม้เศรษฐกิจจะอยู่ในภาวะขาลง แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าระดับบนและกลุ่มผู้ชื่นชอบในการดื่มไวน์ซึ้งเป็นกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ แต่อย่างไร กลุ่มที่มีการเติบโตอย่างเด่นชั่นคือกลุ่มของอุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการดื่มไวน์ โดยเฉพาะแก้วไวน์ ซึ่งทางบริษัทฯ ได้มีการนำเข้าและจัดจำหน่ายแก้วไวน์ รีเดล (RIEDEL) ซึ่งเป็นแก้วไวน์ระดับโลกมากว่า 2 ปี โดย รีเดล เป็นผู้ผลิตแก้วไวน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจากประเทศออสเตรีย มีประวัติในการผลิตแก้วไวน์ที่ยาวนานกว่า 250 ปี มีจุดเด่นในเรื่องของความพิเศษด้านการค้นคว้าและผลิตแก้วไวน์ที่เหมาะสมกับพันธุ์องุ่นหรือไวน์แต่ละชนิด
โดยการเติบโตของผลิตภัณฑ์แก้วไวน์ รีเดล นั้น มียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปีและคาดว่าจะสามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้นอีก 20% ในปีนี้ เนื่องจากมีการกระจายสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นใน 2 ช่องทางหลัก คือ Retail มีจำหน่ายที่ สยามพารากอน เอ็มโพเรียม เซ็นทรัลชิดลม เซ็นทรัลลาดพร้าว เซ็นทรัลบางนา และ Horeca มีจำหน่ายในกลุ่มโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว และร้านอาหารชั้นนำทั่วประเทศ
ด้านกลยุทธ์การตลาดสำหรับ รีเดล ในปีนี้จะเน้นในเรื่องของการจัดกิจกรรมเพื่อสร้างประสบการณ์ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกิจกรรม Riedel Master Class ที่จะมีการจัดอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือน ตามโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำในกรุงเทพและหัวเมืองใหญ่ๆ ในต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต ซึ่งกิจกรรมในลักษณะนี้จะทำให้ รีเดล สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและเป็นการทำให้กลุ่มลูกค้าได้สัมผัสและชิมไวน์ผ่านแก้วไวน์ระดับโลกได้โดยตรง
ส่วนกิจกรรมล่าสุดที่ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์สำคัญของปี คือการจัดงานระดับเวิล์ดคลาส Wine Tasting โดย มร.แม็กซิมิเลี่ยน ทายาทรุ่นที่ 11 ของ รีเดล ซึ่งจะเป็นผู้ให้คำแนะนำถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับแก้วไวน์ รีเดล จากทายาทโดยตรง มร.แม็กซิมิเลี่ยน ถือว่าเป็นผู้ออกแบบแก้วไวน์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก เป็นผู้ออกแบบแก้วไวน์ รีเดล รุ่น “O” Series ที่มีดีไซน์แปลกตากว่าแก้วไวน์อื่นๆ คือ เป็นแก้วไวน์ที่ไม่มีขา และด้วยจุดเด่นนี้เองทำให้แก้วไวน์ รุ่น “O” Series นี้เป็นที่รู้จักและกล่าวถึงเป็นอย่างมากในกลุ่มผู้รักการดื่มไวน์ นอกจากนี้ มร.แม็กซิมิเลี่ยน ยังเป็นผู้ออกแบบ ที่พักไวน์ (Decanter) ในรุ่นต่างๆ ที่มีดีไซน์ทันสมัยและแปลกสะดุดตาอีกด้วย
ไร่พีบีวัลเล่ย์ เขาใหญ่ไวน์เนอรี่ อ. ปากช่อง จ. นครราชสีมา ต้อนรับเทศกาลสงกรานต์ กับ สินค้าราคาพิเศษของไร่ฯ
โปรโมชั่นสุดคุ้ม จากร้าน PB Valley ให้ส่วนลดไวน์ทุกรุ่น (Pirom, PB Khao Yai, Sawasdee)
เพียงท่านซื้อไวน์แพ็คคู่ ลดทันที 10 %
Pirom red – white wine ราคาพิเศษเหลือเพียงขวดละ 1,125 บาท
PB Khao Yai red – white wine ราคาพิเศษเหลือเพียงขวดละ 531 บาท
Sawasdee red – white wine ราคาพิเศษเหลือเพียงขวดละ 315 บาท
พิเศษยิ่งกว่า เมื่อซื้อไวน์รุ่นเดียวกันครบ 12 ขวด รับฟรีทันทีแก้วไวน์สวยหรู 2 ใบ และสินค้าอื่นๆ อีกมากมายที่มอบส่วนลดให้แก่ท่าน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 ถึง 30 มิถุนายน 2552 สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร.036-226-415-7
บริษัท เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล จำกัด ขอเชิญร่วมดื่มด่ำไปกับไวน์รสเลิศในงาน “A Celebration of Wine” ครั้งที่ 3 โดยปีนี้พบกับเครื่องดื่มไวน์ชั้นดีกว่า 400 รายการที่ผู้ผลิตในไทยและต่างประเทศรวม 13 ประเทศ อาทิ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อิตาลี ชิลี อาร์เจนตินา แคนาดา เยอรมนี นิวซีแลนด์ โปรตุเกส สเปน แอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้คัดสรรกันมาเป็นอย่างดีเพื่อนำมาจัดแสดงและเปิดตัวไวน์ใหม่ๆ หลายรายการ ร่วมลิ้มรสชาติไวน์ชั้นดีและแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับผู้ผลิตไวน์ได้ในวันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 2552 ณ ห้องดุสิตธานี ฮอลล์ โรงแรมดุสิตธานี ตั้งแต่เวลา 18.00น. เป็นต้นไป
สำรองบัตรเข้าชมงาน (มูลค่า 300 บาท) ได้ที่ เซ็นทรัล ไวน์ เซลล่า สาขา เซ็นทรัล เวิลด์, เซ็นทรัล ชิดลม, หัวหิน, สมุย, หาดสุริน ภูเก็ต และภายใต้ท็อปส์ มาร์เก็ต หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 0-2937-1700 ต่อ 811
ร่วมเปิดประสบการณ์หรูกับการมาเยือนเมืองไทยเป็นครั้งแรกของทายาทรุ่นที่ 11 ของRiedel มร.แม็กซิมิเลี่ยน โจเชฟ รีเดล ที่ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเตล กรุงเทพ พิเศษสุดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบสุนทรียรสในการดื่มไวน์ด้วยแก้วไวน์ชั้นเลิศ คุณจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ของการดื่มไวน์ พร้อมเกร็ดความรู้เกี่ยวกับแก้วไวน์จากทายาทของรีเดล ตัวจริง แถมท้ายด้วยโปรโมชั่น ชุดแก้วไวน์ รุ่น Vitis ราคาสุดพิเศษในงานนี้เท่านั้น พบกับความพิเศษเหนือระดับครั้งนี้ได้ในวันที่ 24 มีนาคม 2552 สนใจติดต่อจองบัตรได้ที่ Tel 02314-1822, 02318-1617 ต่อ 2135 Email: [email protected]