Youtuber – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 27 Feb 2020 18:11:33 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ตลาดกล้อง ขาลงหนักมาก “ฟูจิฟิล์ม” ฮึดสู้รอบใหม่ เน้นถ่ายวิดีโอ หวังพึ่ง Vlogger-Youtuber https://positioningmag.com/1265659 Mon, 24 Feb 2020 12:10:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1265659 ตลาดกล้องขาลง “หนักมาก” ฟูจิฟิล์มฮึดสู้รอบใหม่ วางกลยุทธ์เน้นคนรุ่นใหม่ชอบถ่ายวิดีโอ เจาะกลุ่ม Vlogger- Youtuber หวั่นกำลังซื้อคนไทยลดลงจากพิษเศรษฐกิจ เเบรนด์กล้อง DSLR เจ้าใหญ่หันมาเเข่งตลาดมิลเลอร์เลส

สิทธิเวช เศวตรพัชร์ ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอล อิมเมจจิ้ง บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดกล้องดิจิทัลในประเทศไทย (ไม่รวมยอดขายออนไลน์) ในปี 2562 มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 190,000 ตัว มูลค่าตลาดประมาณ 5,800 ล้านบาท รวมกล้องคอมแพค กล้อง DSLR และกล้องมิลเลอร์เลส โดยมีอัตราการเติบโตติดลบ ประมาณ -29% ในเชิงปริมาณ และติดลบ -28% เชิงมูลค่า 

สำหรับ “กล้องมิลเลอร์เลส” ในปี 2562 ตลาดโดยรวมจำนวนตัว ประมาณ 117,000 ตัว ติดลบประมาณ -29% ในแง่จำนวนตัว และ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,900 ล้านบาท ลดลงประมาณ -20% เมื่อเทียบกับปี 2561

โดยขณะที่ กล้อง DSLR จำนวนตัวประมาณ 3,400 ตัว มีอัตราลดลงถึง -36% เมื่อเทียบกับปี 2561 ขณะที่เชิงมูลค่าประมาณ 1,400 ล้านบาท มีสัดส่วนลดลงถึง -44%

“สาเหตุหลักของการเติบโตที่ลดลงนั้นเกิดจากการที่ผู้บริโภคได้เปลี่ยนพฤติกรรมการถ่ายภาพจากกล้องดิจิตอล มาเป็นการถ่ายภาพโดยสมาร์ทโฟน เเละคำนึงถึงความง่ายในการใช้งานผ่านทางสั่งการแบบ Easy GUI และความสะดวกในการแชร์ภาพ หรือไฟล์ วิดีโอไปยังโซเชียลมีเดีย อย่าง Facebook , Line และ Instagram”

จากแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงนี้ มีผลโดยตรงต่อดีมานด์ของกล้องดิจิตอลลดต่ำลงที่ไม่แต่เพียงปีนี้ แต่ยังจะส่งผลใปในปีต่อๆ ไปด้วย

สำหรับการสำรวจตลาดล่าสุดในเดือนมกราคม 2563 ที่ผ่านมา ฟูจิฟิล์มยังครองมีส่วนแบ่งการตลาด “กล้องมิลเลอร์เลส” ที่ 43% เชิงปริมาณ และ 34% เชิงมูลค่า และในปีนี้ฟูจิฟิล์มตั้งเป้าหมายส่วนแบ่งการตลาดของกล้องมิลเลอร์เลสเป็น 50%

ทั้งนี้ ผลสำรวจเผยว่า คนไทยจำนวนมากชอบถ่ายภาพเเบบ “หน้าชัดหลังเบลอ” ชอบภาพที่มีมิติ ไม่แบน ชอบ Live วิดีโอ เเละชอบการใช้งานง่ายพร้อมแชร์โชเชียลได้ทันที

ห่วงกำลังซื้อคนไทยลด ตลาดมิลเลอร์เลสเเข่งดุ 

“ความท้าทายหลักของเราในปีนี้ เป็นเรื่องกำลังซื้อของคนไทยที่ลดลงมากจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่อง เป็นผลกระทบโดยรวมเพราะเมื่อเหล่าร้านอาหาร ร้านค้าขายของไม่ได้ คนก็ประหยัดเเละใช้จ่ายน้อยลง ก็ส่งผลต่อเราว่าคนก็จะงดการซื้อกล้องในช่วงนี้เช่นกัน” 

สิทธิเวช กล่าวต่อว่า นอกจากความท้าทายจากกำลังซื้อในประเทศที่ลดลงเเล้ว ฟูจิฟิล์มยังต้องสู้กับผู้ผลิตกล้อง DSLR เจ้าใหญ่ที่กำลังลงมาชิงตลาดมิลเลอร์เลสด้วย เพราะยอดขายกล้องใหญ่ตกลงมากเเละฟื้นคืนยาก ดังนั้นนั้นเราจึงต้องวางกลยุทธ์ใหม่

“เทรนด์ซื้อสมาร์ทโฟนเเทนกล้องใหญ่ มีเเต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราต้องปรับตัวตาม โดยไม่ต้องไปเเย่งลูกค้าในส่วนนั้น เเต่ต้องดึงดูดใจให้คนที่ซื้อสมาร์ทโฟนอยู่เเล้ว อยากซื้อกล้องของเราด้วย”

โดยในปี 2019 กล้องรุ่นที่ขายดีที่สุดของฟูจิฟิล์ม ได้เเก่
อันดับ 1 รุ่น X-A5
อันดับ 2 รุ่น X-A7
อันดับ 3 รุ่น X-T30
อันดับ 4 รุ่น X-T3
อันดับ 5 รุ่น X-PRO3

 จับลูกค้าคนรุ่นใหม่ Vlogger – Youtuber

กลยุทธ์ใหม่ของ “ฟูจิฟิล์ม” ในปีนี้ คือการจับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมเป็น Vlogger และ Youtuber ซึ่งมีกำลังซื้อสูงเเม้เศรษฐกิจไม่อำนวย เเละกระแสการถ่ายคลิปวิดีโอเริ่มได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก

ซึโตมุ วาตะนาเบ้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟูจิฟิล์ม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การถ่ายวิดีโอเริ่มได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เห็นได้จากพฤติกรรมกลุ่มวัยรุ่นที่เปลี่ยนไปจากที่ชอบถ่ายภาพนิ่งก็เริ่มหันมาถ่ายวิดีโอเกี่ยวกับการเล่าเรื่องราว ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตประจำวันแล้วแชร์ลงโซเชียลมากขึ้น ทำให้เห็นว่าเทรนด์การเติบโตของ Content Creator กำลังมาแรง

“เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ฟูจิฟิล์มรุกตลาดกล้องดิจิทัล ด้วยการเปลี่ยนพฤติกรรมการถ่ายภาพด้วยสมาร์ทโฟน มาเป็นการถ่ายภาพด้วยกล้อง X-A7 Smart Mirrorless ที่ให้คุณภาพของไฟล์ภาพเเละเลนส์ที่ดีกว่า ขนาดของเซ็นเซอร์รับภาพที่ใหญ่กว่าหลายเท่าตัว เเชร์คอนเทนต์ลงโซเชียลได้รวดเร็วเเละพกพาสะดวก” 

สำหรับการเจาะกลุ่มลูกค้าของฟูจิฟิล์มนั้นจะครอบคลุมทุก segment ตั้งแต่ระดับผู้เริ่มใช้ และปีนี้ขยายไปยังกลุ่มระดับกลางทีเป็นกลุ่มใหม่อย่าง Vlogger และ YouTuber

ดัน Fujifilm X-T200 บูมกระเเสถ่ายวิดีโอ

ล่าสุดกล้อง Fujifilm X-T200  เปิดราคาในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในคอนเซ็ปต์ “Smart Mirrorless V” เน้นในเรื่องการถ่ายวีดีโอเป็นหลัก ด้วยฟีเจอร์เน้นงานวีดีโอเอาใจสาย Vlogger และ Youtube เช่น  Digital Gimba, HDR Movie , Smart LCD , Film Simulatio, Vdo Slow motion 120fps เป็นต้น 

เเละในที่สุดก็รองรับการต่อไมโครโฟน พอร์ต 3.5mm เเล้ว (รุ่นก่อนๆ เป็น 2.5 mm) หน้าจอ LCD ขนาด 3.5 นิ้ว ระบบทัชสกรีน ปรับพับหมุนจอได้และสามารถถ่ายเซลฟี่ได้ขณะถ่ายวิดีโอ 

  • Fujifilm X-T200 ชุด [Body] ราคา 24,990.-
  • Fujifilm X-T200 [Standard Set] ชุด Kit 15-45mm ราคา 27,990.-
  • Fujifilm X-T200 [Portrait Set] ชุด Kit 15-45 + Lens XC 35mm F2 ราคา 31,990.-
  • Fujifilm X-T200 [VLogger Set] ชุด Kit XF 16mm F2.8 R ราคา 31,990.-
  • Fujifilm X-T200 Lens XC 35mm./F2 ราคา 7,990.-

“เราหวังว่าจะเป็นการปลุกกระแสความต้องการของกลุ่ม Content  Creator ทำให้ตลาดมีการแข่งขันและขยายตัวในอุตสาหกรรมการถ่ายภาพโดยรวม” สิทธิเวชระบุ

ด้านกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของกล้อง “Fujifilm X-T200” ในครั้งนี้ ปัทมาพร จันทร์จารุกุลกิจ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บอกว่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นการสื่อสารแบบ Total Communication ทั้งสื่อ Online และ Offline และในครั้งนี้ฟูจิฟิล์มได้มุ่งเน้นการสื่อสารกับกลุ่ม Content creator หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบการถ่ายทอดไลฟ์สไตล์ผ่านคลิปวิดีโอเป็นหลัก

โดยมีการดึงเหล่า Micro Influencer จากหลายแขนงร่วมกันถ่ายทอดประสบการณ์การใช้กล้อง Fujifilm X-T200 เเละโปรโมตผ่านช่องทางออนไลน์ยอดนิยมต่างๆ รวมถึงได้มีการเปิดตัว Smart Mirrorless Microsite ซึ่งพัฒนาต่อยอดมาจาก XA7 Microsite เพื่อเป็นแหล่งรวบรวม ข้อมูลข่าวสาร พร้อมทั้งกิจกรรมต่างๆ ให้กับกลุ่มเป้าหมายอีกด้วย

 

]]>
1265659
ส่องคนดังแวดวงฮอลลีวู้ด ผันตัวเป็น YouTuber รายได้ปังไม่แพ้ใน IG https://positioningmag.com/1251499 Wed, 30 Oct 2019 06:43:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1251499 ยุคนี้ใครๆ ก็สร้างคอนเทนต์ได้ง่ายดาย คนดังในวงการฮอลลีวู้ดก็เช่นกัน แม้จะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง แต่ก็ผันตัวมาทำคอนเทนต์ออนไลน์เป็น YouTuber ต้องบอกว่ารายได้ไม่แพ้ลงโฆษณาใน IG เลย

พามาส่องคนดังในวงการ YouTuber คนไหนสร้างรายได้เท่าไหร่บ้าง

วิซ คาลิฟา

มีผู้ติดตามมากถึง 28.7 ล้านคน ทำรายได้จากการโฆษณาโพสต์ลงไอจีอยู่ที่ 45,731-78,397 ดอลลาร์สหรัฐ

แรปเปอร์คนดังที่มีชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี และเป็นศิลปินระดับแพลทินัม ที่มีความสามารถทั้งแต่งเพลงและแสดง มีผลงานเพลงมาแล้ว 6 อัลบัม โดยซิงเกิลฮิตๆ มีทั้ง Black and Yellow และ See You Again แรปเปอร์หนุ่มรายนี้ประสบความสำเร็จจากช่องทางโซเชียลมีเดียอย่าง อินสตาแกรม

ส่วนช่อง YouTube ของเขามีชื่อว่า DayToday ซึ่งเป็นช่องเกี่ยวกับผลงานเพลง และอัปเดตชีวิตส่วนตัวและไลฟ์สไตล์ที่น่าตื่นเต้น โดยมีคนกดติดตามหรือ Subscribers มากถึง 19.4 ล้านคน

ทำรายได้ไปเหนาะๆ จากโฆษณาทาง YouTube ไปถึง 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐกันเลยทีเดียว

กอร์ดอน แรมซีย์

มีผู้ติดตามในอินสตาแกรม 7.4 ล้านคน ทำรายได้จากสปอนเซอร์ต่อการโพสต์ลงไอจีอยู่ที่ 13,000-23,000 ดอลลาร์สหรัฐ

เชฟคนดังชาวอังกฤษระดับมิชลินสตาร์ ที่มีร้านอาหารของตนเองกว่า 30 แห่งทั่วโลก และยังมีผลงานทางโทรทัศน์ทั้งรายการ Hell’s Kitchen และ MasterChef ส่วนช่อง YouTube ของเขามีผู้ติดตามมากถึง 11.6 ล้านคน โดยมีคอนเทนต์ที่น่าสนใจทั้งการสอนทำอาหาร และสอนเทคนิคในครัวที่มีคนติดตามชมวิดีโอของเขาไม่น้อยในแต่ละคลิปทำให้ยอดผู้ชมโดยรวมทั้งหมดมากถึงระดับพันล้านครั้ง

สร้างรายได้จาก YouTube อยู่ที่ 20,000-300,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน

วิล สมิธ

มีผู้ติดตามในไอจี 38.9 ล้านคน รายได้เงินจากสปอนเซอร์ถึง 71,921-119,868 ดอลลาร์สหรัฐต่อโพสต์

นักแสดงผิวสีคนดังที่มีผลงานมากมายนับไม่ถ้วนไปทั่วทุกวงการทั้งจอแก้วและจอเงิน รวมถึงไปเป็นนักร้อง และล่าสุดกับการเปิดช่อง YouTube ที่แชร์ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของตนเอง แถมยังมีรายการพิเศษอย่าง Will Smith : The Jump ที่เจ้าตัวเอาชนะความกลัวด้วยการกระโดดร่ม ทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์กระโดดบันจี้จัมป์

ซึ่งช่อง YouTube ของเขามีผู้ติดตามมากถึง 6.91 ล้านคน แน่นอนว่าเจ้าตัวหวังทำรายได้จาก YouTube ไม่ต่างจากที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจากอินสตาแกรม ส่วนรายได้จาก YouTube ก็คาดว่าอยู่ที่ 8,000-12,840 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือ 96,300-1,500,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีกันเลยทีเดียว

อดัม ซาเวจ

พิธีกรทางทีวีและดีไซเนอร์ออกแบบเชิงอุตสาหกรรมที่มีรายการเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อย่าง Mythbusters และ Unchained Reaction โดยช่อง YouTube ของเขาที่มีชื่อว่า Tested มีผู้ติดตามถึง 4.6 ล้านคน โดยคลิปวิดีโอของเขาที่นำเสนอเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับผลงานที่เขาออกแบบเอง วิธีการสร้าง และการทดลองนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ร้านของเขาเอง

ยอดผู้ชมวิดีโอของเขารวมแล้วมากกว่า 800 ล้านครั้ง และมียอดผู้ชมรวมแล้วประมาณ 300,000 ครั้งต่อวัน สามารถทำรายได้จากช่องทางนี้อยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน หรือประมาณ 440,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีจากโฆษณาที่ปรากฏใน YouTube

เชย์ มิทเชลล์

นางแบบและนักแสดงสาวชาวแคนาดา เป็นที่รู้จักจากบท เอมิลี ฟีลด์ ในซีรีส์ Pretty Little Liars ช่อง YouTube ของเธอมีคนติดตาม 4.1 ล้านคน เธอแชร์คอนเทนต์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ วิธีการทำอาหาร เคล็ดลับการแต่งหน้า แต่งตัว และยังรีวิวการท่องเที่ยวด้วย

รายได้จาก YouTube คาดว่าอยู่ที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อวัน หรือ 44,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

ดเวย์น จอห์นสัน

มีคนติดตามในอินสตาแกรม 159 ล้านคน ทำรายได้ต่อการโพสต์โฆษณาลงไอจีได้มากกว่า 304,474-507,456 ดอลลาร์สหรัฐ

หนุ่มล่ำบึ้กที่รู้จักกันในนาม เดอะร็อก ดีกรีแชมป์ WWE 17 สมัย และตอนนี้โด่งดังในฐานะนักแสดง มีความสามารถในการเขียนหนังสือระดับ Best Seller และยังร่วมก่อตั้งบริษัท Seven Bucks Production เขาใช้ช่องยูทูบของตนเองในการแชร์คอนเทนต์ฮาๆ ตามนิสัยของเขา โดยมีผู้ติดตามมากถึง 4.53 ล้านคน

ทำรายได้ต่อปีอยู่ที่ประมาณ 565,886 ดอลลาร์สหรัฐ

รัสเซล แบรนด์

นักแสดงตลกมาดเซอร์ อดีตสามีของนักร้องดังเคที เพอร์รีย์ ที่เคยมีผลงานการแสดงจากเรื่อง Forgetting Sarah Marshall ก็หันมาเอาดีด้านการเป็น YouTuber โชว์ไลฟ์สไตล์ขำๆ หรือการวิจารณ์เสียดสีทั้งการเมืองและวัฒนธรรมแบบสุดโต่ง ซึ่งเขาสามารถทำรายได้อยู่ที่ประมาณ 466,427 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี

Source

]]>
1251499
เป็น YouTuber ไม่รุ่ง “วิคตอเรีย เบคแฮม” เลิกทำแชนแนล หลังทำเงินแค่วันละ 900 บาท https://positioningmag.com/1251454 Tue, 29 Oct 2019 10:30:54 +0000 https://positioningmag.com/?p=1251454 อดีตสมาชิกวง Spice Girls ถึงกับหมดกำลังใจ และเลือกที่จะเลิกทำแชนแนลของตัวเอง หลังลงทุนไปไม่น้อย แต่กลับทำเงินแค่ประมาณ 25 ปอนด์ หรือ 925 บาทต่อวันเท่านั้น

วิคตอเรีย เบคแฮม อาจจะประสบความสำเร็จในแง่ของการทำธุรกิจอย่างสูง แต่เมื่อเธอลองทำแชนแนลเพื่อสื่อสารไปถึงแฟนๆ ผลที่ออกมากลับไม่ค่อยสวยนัก เพราะมีข่าวว่าแชนแนลอย่างเป็นทางการของ วิคตอเรีย ทำเงินได้แค่วันละ 25 ปอนด์ หรือ 925 บาท ต่อวันเท่านั้นเอง

ว่ากันว่าเธอลงทุนกับการทำแชนแนล Youtube ไปไม่น้อย โดยเนื้อหามีทั้งเรื่องงาน และเรื่องในชีวิตแง่ต่างๆ ของเธอ แต่ผลที่ออกมากลับน่าผิดหวัง ถึงตอนนี้มียอดติดตามแค่หลักแสน แต่มีคลิปที่มีคนชมระดับ 6 แสนครั้งเพียง 3 คลิปเท่านั้น คลิปส่วนใหญ่มีตัวเลขผู้ชมแค่หลักหมื่น เทียบไม่ได้เลยกับเหล่ายูทูปเบอร์ในเว็บวิดิโอสตรีมมิงแห่งนี้

โดยคนใกล้ชิดกับ วิคตอเรีย ได้ให้ข่าวกับ The Daily Mail ว่าแชนแนล YouTube ของเธอไม่ทำเงินเอาซะเลย แต่เธอต้องใช้เวลากับการทำคลิปต่างๆ มาพอสมควร สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าเลิกดีกว่าวิคตอเรีย สนุกกับการถ่ายคลิปพวกนี้นะ แต่รายได้ที่กลับมา มันไม่ได้สมดุลกับค่าใช้จ่ายในการทำแชนแนลเลย

อดีตสมาชิกวง Spice Girls เลือกที่จะหันหลังให้กับงานเพลง และหันมาทุ่มเททำงานด้านแฟชั่นอย่างเต็มตัว แต่ระยะหลังธุรกิจของเธอก็มีปัญหาเหมือนกัน ข้อมูลล่าสุดบอกว่าในปี 2017 ธุรกิจของวิคตอเรีย ขาดทุนถึง 10 ล้านปอนด์ มากขึ้นจากปีก่อนหน้านั้นที่ขาดทุน 8 ล้านฯ

นอกจากนั้น ร้านเรือธงใน Mayfair ของเธอก็ทำยอดขายน่าผิดหวัง จนกลุ่มผู้ลงทุนกำลังกดดันให้ วิคตอเรีย ไล่พนักงานออกไปบ้าง จนสร้างความเครียดให้กับบริษัทของเธอไม่น้อย.

Source

]]>
1251454
Kamsing Family พื้นที่สร้างความสุขของครอบครัว “คำสิงห์” https://positioningmag.com/1247927 Sun, 29 Sep 2019 03:07:13 +0000 https://positioningmag.com/?p=1247927 หากพูดถึง “สมรักษ์ คำสิงห์” คงไม่มีใครไม่รู้จัก ฮีโร่เหรียญทองคนแรกจากการแข่งขันมวยสากลสมัครเล่นในโอลิมปิก จากรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2536 และตามข่าวเมื่อปีที่แล้ว “สมรักษ์” ได้ถูกฟ้องล้มละลายจากการประกอบธุรกิจปั๊มน้ำมันที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ปี 2538 

แม้จะต้องเจอกับภาวะวิกฤติเช่นนั้น แต่ครอบครัวคำสิงห์ก็สามารถฟันฝ่าผ่านวิกฤตินั้นมาได้จนถึงวันนี้ และสิ่งสำคัญที่สุดที่ “น้องเบส” รักษ์วนีย์ คำสิงห์ ลูกสาวคนโตวัย 19 ปี ของสมรักษ์ คำสิงห์ ได้เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นหากตนเองไม่ได้ตัดสินใจมาเป็น YouTube Creator ครอบครัวของคงจะไม่สามารถฟันฝ่าช่วงที่ยากลำบากนั้นมาได้เร็วขนาดนี้ 

รักษ์วนีย์ คำสิงห์

น้องเบสพูดอย่างมั่นใจว่าการเข้ามาทำอาชีพ YouTube Creator มันท้าทายและเปิดโอกาสเป็นอย่างมาก เพราะถ้าวันนั้นเธอไม่ได้เริ่มทำ ก็คงจะเป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งไม่เป็นที่รู้จัก และไม่สามารถหาเงินมาช่วยเหลือครอบครัวของเธอได้ แต่ตอนนี้เหมือนว่าเธอได้มีงานทำเป็นอาชีพๆ หนึ่งแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังเรียนไม่จบก็ตาม แต่กลายเป็นว่า ทำแล้วมีความสุขและมีรายได้จากการเป็น YouTube Creator ที่ใครจะเชื่อว่าเธอสามารถมีรายได้มากถึง 6 หลักต่อเดือน

“หนูดีใจมาก ถ้าย้อนกลับไปแล้วหนูไม่ได้ลงมือทำ หรือพ่อมาชวนแล้วหนูไม่เอาด้วย มัวแต่ขี้เกียจ หรือคิดว่าจะไม่ไหว ไม่เอานอนอยู่บ้านดีกว่า ถ้าคิดแบบนั้นจากวันที่โดนข่าวแย่ๆ มา เราอาจจะไม่มีบ้านไม่มีรถ ไม่มีเงินไปโรงเรียน ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม หนูก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นจังหวะที่ดีนะที่เริ่มตั้งแต่ตอนนั้น มันเหมาะเจาะทุกอย่างทั้งเวลาที่เริ่ม และคอนเทนต์ที่ทำมันเข้ากันพอดี”

จุดเริ่มต้นช่อง Kamsing Family

น้องเบส เล่าย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้วว่าจุดเริ่มต้นช่อง Kamsing Family เกิดจากช่วงปิดเทอมว่างไม่มีอะไรทำ แล้วพ่อก็มีเพื่อนที่ทำ YouTube เหมือนกัน วันหนึ่งเขามาแชร์ให้ฟังว่า YouTube ทำรายได้จากยอดวิว พ่อก็เลยมาบอกว่ามันง่ายมาก แค่มียอดวิวก็ทำรายได้ได้ จากนั้นจึงสมัครช่องยูทูบ และทำคลิปโพสต์ไปจนมีคนติดตาม 3 – 4 แสน ถึงเรียนรู้ระบบการสร้างรายได้ 

การทำช่องยูทูบ Kamsing Family น้องเบสเป็นคนหาข้อมูลทั้งหมดโดย search Google ถึงวิธีการสมัคร วิธีการทำ การอัพโหลดคลิป ส่วนพ่อแม่คอยสนับสนุนในช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีรายได้ โดยออกเงินซื้อกล้องสร้างสตูดิโอให้หลังจากเห็นว่ามีคนติดตามเพิ่มขึ้นทุกเดือน คุณพ่อยังมีหน้าที่คอยช่วยดึงดูดคนมาดู ช่อง YouTube อีกด้วย  

Kamsing Family คือความ Real

ตั้งแต่เริ่มทำช่องยูทูบ น้องเบสตั้งเป้าไว้อยู่แล้วว่าจะถ่ายเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว จึงใช้นามสกุลมาเป็นช่อง Kamsing Family คิดว่าคนน่าจะจำได้ด้วย โดยกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นระหว่างสัปดาห์ทุกคนภายในบ้านจะต้องแชร์ว่าจะไปไหนกันบ้าง เพื่อที่จะได้วางแผนว่าจะทำคอนเทนต์อะไร 

เธอพูดอย่างภูมิใจว่า เสน่ห์ของช่อง Kamsing Family คือความ Real และความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นจริงภายในครอบครัว ซึ่งบางครั้งคอนเทนต์ก็ไปซ้ำช่องอื่น ก็ต้องปรับเนื้อหาใหม่ อย่างเช่น น้องโบ๊ท – ภูวรักษ์ คำสิงห์ น้องชายวัย 12 ปี จะไปเตะบอลแล้วมีช่องอื่นทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเตะบอล ก็ต้องดูว่าจะตัดต่อยังไงไม่ให้เหมือนช่องอื่น และต้องดูว่าจะให้อะไรเป็นจุดเด่นของคลิป หรือถ้าตั้งใจจะไปถ่ายฟุตบอลเธอก็ต้องเอานักฟุตบอลดังๆ มาอยู่ในคลิปด้วยให้ได้ ซึ่งช่องอื่นอาจจะไม่กล้าแต่เธอใช้ความเป็นคนตั้งใจทำงานเข้าไปขอพวกพี่ๆ นักบอลมาถ่ายจนได้

คอนเทนต์หลักๆ ของช่อง เป็นเนื้อหาที่น้องเบสเป็นคนคิดและถ่ายเองรวมถึงตัดต่อเองทั้งหมด เหตุผลที่ยอมเสียเวลามาตัดต่อเอง เพราะรู้สึกว่าถ้าให้คนอื่นตัดต่อบางครั้งอาจจะตัดบางช่วงที่เธอต้องการเก็บไว้ออกไปก็ได้ เธอจึงเลือกที่จะตัดต่อเอง ดีกว่าและถูกใจกว่า 

ก็ต้องบอกว่าการตัดต่อในช่วงแรกก็มีปัญหาเป็นธรรมดา แต่มันดีขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ได้ลองผิดลองถูก ตลอดจนฟังคำติชมจากแฟนๆ รวมทั้งอาศัยการต่อยอดจากคณะที่เรียนจากมหาวิทยาลัยมาประยุกต์ใช้จึงทำให้มีคลิปที่พอดูได้ในปัจจุบัน

สำหรับการเรียนเธอลงเรียนอาทิตย์ละ 3 วัน ที่เหลือจะถ่ายคลิป และตัดต่อโดยบังคับตัวเองให้ทำคลิปให้เสร็จก่อนวันจันทร์ ใช้เวลาตัดต่อต่อคลิปประมาณ 3 ชั่วโมง วางแผนไว้ว่าจะลงคลิปอาทิตย์ละ 2 – 3 คลิป เพื่อไม่ให้คนดูลืมช่อง

แฟนคลับหลักเด็กประถม-มัธยม

เมื่อช่องเป็นที่รู้จักและมีผู้ติดตามจำนวนมาก สินค้าและแบรนด์ก็สนใจที่จะมาเป็นสปอนเซอร์ โดยดูจากกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับสินค้า

กลุ่มเป้าหมายของช่อง Kamsing Family คือ เด็กประถม-มัธยม แต่ส่วนใหญ่สินค้าที่เข้ามาจะเป็นแนวครอบครัว คือต้องการให้รีวิวสินค้าแต่เป็นกิจกรรม ครอบครัวไปเที่ยวแล้วมีการนำเอาสินค้าเข้ามา Tie-in ซึ่งช่องก็จะไม่แต่งเรื่องเพื่อขายสินค้า แต่จะอาศัยความ real ในครอบครัวมานำเสนอกันมากกว่า

ปัจจุบันผู้ติดตามใกล้ครบ 2 ล้านแล้ว ถือเป็นช่วงที่ลุ้นมาก ไม่ต่างจากช่วงที่มีสมาชิกครบ 1 ล้าน

ถือเป็นช่วงที่ทุกคนตื่นเต้น ทั้งทีมงานจาก YouTube รวมถึงตัวเธอเอง เพราะยอด Subscribe แต่ละล้านไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

รายได้ที่ช่วยปลดหนี้ให้ครอบครัว

ในมุมมองของน้องเนส กับการเป็น YouTube Creator สิ่งแรกที่ได้มาคือ สามารถมีรายได้หาเงินมาช่วยเหลือครอบครัว และสิ่งที่เธอภูมิใจต่อยอดจากการช่วยครอบครัวปลดหนี้ คือ การได้ซื้อบ้านให้พ่อ-แม่ ย่านเสรีไทย

ที่ผ่านมามีคนมาติดต่อไปเป็นนักแสดงด้วยเหมือนกัน ซึ่งทีแรกก็คิดว่าจะเอาดีด้านการแสดงด้วย แต่ว่าเวลาทำงานที่กองอาจทำให้ไม่มีเวลาเหลือ มาตัดต่อคลิปและการทำคลิปลง YouTube เป็นสิ่งที่มีความสุขและเป็นตัวเองมากกว่า จึงเลือกทำ YouTube อย่างเดียว

“ก่อนหน้านี้ก็เคยเล่นภาพยนตร์ เล่น MV มาแล้วก็รู้สึกว่าสนุกดี แต่พอมาทำ YouTube รู้สึกว่านี่คือความสุขที่แท้จริง อยากทำอะไรก็ได้ เลยรู้สึกว่างานแสดงถ้ามีโอกาสเข้ามาก็ทำได้ แต่ว่าถ้าระหว่างการแสดงกับ YouTube ก็เลือก YouTube อยู่ดี”

มองโอกาสต่อยอดธุรกิจใหม่

แม้ปัจจุบันยังศึกษาอยู่แต่ น้องเบส ก็เริ่มมองโอกาสและช่องทางการเปิดธุรกิจไว้เหมือนกัน โดยดูตัวอย่างจากพี่ๆ Bearhug ที่ต่อยอดลงทุนธุรกิจร้านชานมไข่มุกที่ประสบความสำเร็จ

ตอนนี้มีอยู่ตัวอย่างอยู่ 2 คน ที่อยากเดินตามรอย คือ พี่ Bearhug และพี่บี้ ที่เปิด The ska Film และคิดว่าถ้าโตขึ้นแล้วยังทำ YouTube อยู่ก็อยากจะทำธุรกิจให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย

ส่วนทิศทางของคอนเทนต์ในอนาคตของช่อง Kamsimg Family น้องเบสทิ้งท้ายว่า “ตอนนี้ยังคงยึดเนื้อหาแนวแบบกิจกรรมครอบครัวไปเรื่อยๆ เพราะเธอรู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่ทำแล้วมีรายได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือการได้มีกิจกรรมร่วมกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว ทำให้ทุกคนมีความสุขด้วยกันด้วยความที่่เนื้อหามัน real มากๆ จึงคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีของครอบครัวที่หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน”.

]]>
1247927
อาชีพมาแรง! “ยูทูบเบอร์-บล็อกเกอร์” Sony สบโอกาสจัดทัพกล้องสู้ศึกมือถือ https://positioningmag.com/1243638 Fri, 23 Aug 2019 07:55:16 +0000 https://positioningmag.com/?p=1243638 โลกออนไลน์วันนี้ ได้สร้างโอกาสและอาชีพใหม่ๆ ในสายคอนเทนต์ ยูทูบเบอร์บล็อกเกอร์กลายเป็นอาชีพที่คนรุ่นใหม่สนใจ ใฝ่ฝันเป็นคนดังโซเชียล หากปั้นคลิปปัง ยอดวิวหลักล้าน ก็สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำไม่แพ้งานประจำเช่นกัน เทรนด์นี้ช่วยผลักดันตลาดกล้องอุปกรณ์คู่ใจยูทูบเบอร์โตตาม

ลีลนา เพียรพิริยะ ผู้จัดการอาวุโส แผนกการตลาดผลิตภัณฑ์ดิจิตอล อิมเมจจิ้ง บริษัท โซนี่ ไทย จำกัด กล่าวว่าหากดูภาพรวมตลาดกล้องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาติดลบ 20% แต่ในกลุ่มกล้องพรีเมี่ยม ระดับโปรเฟสชันนอลยังเติบโตได้ดี เพราะกลุ่มนี้มีกำลังซื้อ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจ โซนี่ เติบโตมากกว่าตลาด แม้จะต่ำกว่าปีก่อน

กลยุทธ์ที่นำมาใช้คือเสนอสินค้าระดับบนโดยเฉพาะ กล้องมิลเรอร์เลส ที่เป็นผู้เปิดตลาดเซ็กเม้นท์นี้มากว่า 5 – 6 ปี และเป็นผู้นำมาโดยตลอด และเป็นตลาดที่เติบโตมากที่สุดมีส่วน 30% ของตลาดกล้องทั้งหมด ทำให้เกือบทุกแบรนด์เข้ามาเล่นในตลาดนี้ ล่าสุดปีนี้มีเข้ามอีก 2 – 3 แบรนด์ ครึ่งปีหลังการแข่งขันน่าจะรุนแรงขึ้น

ส่งกล้องเลนส์รุ่นใหม่สู้ศึกมือถือ

ช่วงครึ่งปีหลัง โซนี่ เปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ รุ่น เลนส์ 3 ตัว และอุปกรณ์เสริม ทำให้มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการถ่ายภาพครอบคลุมทุกการใช้งานทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งระดับโปรเฟสชันนอล ในการถ่ายภาพกลางแจ้ง สตูดิโอ เวดดิ้ง แฟชั่น

รวมถึงกลุ่มยูทูบเบอร์และบล็อกเกอร์ อาชีพที่กำลังมาแรง เป็นกลุ่มที่ต้องการสร้างวิดีโอ คอนเทนต์ให้ได้ภาพสวยคมชัด ซึ่งเป็นการทำงานที่เหนือกว่า มือถือราคาแพง และถือเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่โซนี่ จะเข้าไปทำตลาดมากขึ้นในปีนี้

ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา พบว่ามีการสมัครใช้งาน ยูทูบ ยูสเซอร์เพิ่มขึ้นกว่า 70 – 80% กลุ่มนี้ต้องการสร้างวิดีโอที่มีคุณภาพเพื่อเผยแพร่ในสื่อออนไลน์ ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่จะเข้าไปทำการตลาด รวมถึงกลุ่มบล็อกเกอร์ ที่ต้องการนำเสนอคลิปวิดีโอที่คมชัด ซึ่งมือถือไม่สามารถทำได้ แต่กล้องโซนี่ทำได้ ด้วยกล้องพรีเมี่ยมคอมแพค RX100 VII ด้วยราคาเริ่มต้น 17,900 บาท

สินค้ารุ่นใหม่ที่นำมาทำตลาดครึ่งปีหลัง ในกลุ่มดิจิตอล อิมเมจจิ้ง ได้แก่ กล้องอัลฟ่าฟูลเฟรมมิเรอร์เลส รุ่น a7R IV ราคา 114,990 บาท (บอดี้), กล้องพรีเมียมคอมแพ็คท์ RX100 VII ราคา 38,990 บาทเลนส์ รุ่น FE 35mm F1.8 ราคา 22,990 บาทเลนส์ GM รุ่น FE 600mn F4 GM OSS ราคา 459,990 บาทเลนส์ รุ่น FE 200 – 600mm F5.6 – 6.3 G OSS ราคา 69,990บาท และอุปกรณ์เสริมอย่างกริปรุ่นใหม่ VG – C4EM พร้อมแบตเตอรี่ NP – FW50 และ ECM – B1M Shotgun Microphone เป็นต้น โดยมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการถ่ายภาพครอบคลุมทุกการใช้งาน ทุกกลุ่มเป้าหมาย

ชูกลยุทธ์ KOL ทำตลาด

ในส่วนของการทำตลาดนั้น จะใช้ช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ KOL หรือกลุ่มคนที่ใช้งานกล้องจริงเพื่อช่วยเผยแพร่ รวมถึงการใช้อินฟลูเอนเซอร์นำเสนอสินค้า ซึ่งแต่ละปีบริษัทใช้งบการตลาดในส่วนของออนไลน์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกปี แต่ยังเป็นส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับออนกราวด์ และสื่อหลักที่ยังคงใช้ประกอบกัน

จากแผนการนำเสนอสินค้าใหม่ในครึ่งปีหลังนี้ มั่นใจรายได้เติบโตอย่างน้อย 1 หลัก หรือเติบโตมากกว่าตลาด ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ดิจิตอล อิมเมจจิ้ง เป็นกลุ่มที่ทำรายได้ให้บริษัทอยู่ในอันดับ 2 รองจากทีวี ส่วนอันดับ 3 คือ เกมส์ และ อันดับ 4 คือ เครื่องเสียง.

source

]]>
1243638
ไม่อยากเป็นแล้วมนุษย์อวกาศ! ผลสำรวจชี้เด็กอเมริกันยุคนี้ โตขึ้นอยากเป็น “YouTuber” https://positioningmag.com/1239508 Fri, 19 Jul 2019 00:01:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1239508 นีล อาร์มสตรอง คือ ไอดอล ของเด็กๆ อเมริกัน ยุคเมื่อ 50 ปีก่อน เมื่อเขากลายเป็นมนุษย์คนแรกที่เดินบนดวงจันทร์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1969 แต่ในการสำรวจเด็ก อเมริกัน เมื่อไม่นานมานี้ มีแนวโน้มที่จะอยากดังบน YouTube คนต่อไปมากกว่าที่จะเป็นคนต่อไปในอวกาศ 

การสำรวจที่จัดทำโดยแฮร์ริสโพล ในนามของเลโก้พบว่า เด็ก ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ต้องการเป็นผู้ใช้ YouTube หรือผู้ใช้บล็อกเกอร์ ในจำนวนที่มากกว่าอยากเป็นนักบินอวกาศ ถึง 3 เท่า

การสำรวจถามเด็ก 3,000 คนอายุ 8 ถึง 12 ปีให้เลือก 5 อาชีพ ที่ต้องการเป็นเมื่อพวกเขาโตขึ้น : นักบินอวกาศ นักดนตรี นักกีฬาอาชีพ ครูผู้ฝึกสอน หรือ vlogger / YouTuber แม้ว่าตัวเลือกอันดับต้น ของเด็ก ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรคือ vlogger / YouTuber 

แต่เด็ก ในจีน 56% กล่าวว่า พวกเขาต้องการเป็นนักบินอวกาศ

ผลการสำรวจความคิดเห็นของแฮร์ริสโพล นี้เพื่อเป็นเกียรติแก่วันครบรอบ 50 ปีของการลงดวงจันทร์ครั้งแรก แบบสำรวจนี้สำรวจเด็ก 3,000 คนอายุ 8 ถึง 12 ปี โดยแบ่งออกเป็นสองส่วนเท่า กันในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และจีน

แม้ว่าผลการสำรวจไม่สามารถนำไปใช้กับเด็กทุกคนได้ แต่ผลลัพธ์สะท้อนถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้นในกลุ่ม Generation Z ดังที่เห็นได้จาก VidCon ในปีนี้ การประชุมสามวันเกี่ยวกับวิดีโอออนไลน์ ได้มีเด็กวัยรุ่นประมาณ 75,000 คนและพ่อแม่ของพวกเขา เข้าร่วมงานเพื่อพบและฟังการสัมนาจาก YouTubers ที่พวกเขาชื่นชอบ

ทุกครั้งที่ไปโรงเรียน สิ่งที่พูดคุยมากที่สุด ในกลุ่มเด็ก 90% คือฉันอยากเป็น YouTuber’” เดสตอร์ม พาวเวอร์ ยูทูปเบอร์คนหนึ่ง บอกกับ Business Insider “พวกเขาต้องการเป็นดาราโซเชียลมีเดีย”

Source

]]>
1239508
กลยุทธ์อินฟลูเอนเซอร์ฮิต! เรตราคา YouTuber เบอร์ต้นพุ่ง 1.2 ล้านบาทต่อวิดีโอ https://positioningmag.com/1236314 Wed, 26 Jun 2019 06:55:36 +0000 https://positioningmag.com/?p=1236314 มีเดีย แลนด์สเคปที่เปลี่ยนไป จากประชากรไทยเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสัดส่วน 82% กลยุทธ์การตลาดของแบรนด์ต่างๆ จึงมุ่งไปที่ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งเทรนด์ที่มาแรงต้องยกให้ Influencer Marketing จากการขยายตัวจำนวนผู้ใช้โซเชียล มีเดียและบรรดาคอนเทนต์ ครีเอเตอร์” ในทุกแพลตฟอร์ม 

บานิ แทน ผู้อำนวยการประจำภูมิภาค บริษัท พ็อพส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการด้านดิจิทัล เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ผ่าน YouTube และ Social Media Platform กล่าวว่าพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ มีการเสพสื่อจากหลายแพลตฟอร์มและเชื่อถือข้อมูลจาก Influencer และกลุ่มเพื่อนจากการรีวิวสินค้าที่สามารถสร้างการรับรู้และและโน้มน้าวใจไปสู่การตัดสินใจซื้อ

ส่งผลให้กลยุทธ์การตลาดที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ Influencer Marketing หรือการทำตลาดโดยใช้บุคคล เน็ตไอดอล องค์กรดังๆ แฟนเพจที่มีชื่อเสียงและมีความน่าเชื่อถือทางสังคมออนไลน์และมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก เผยแพร่ข้อมูลและสร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Instagram, Facebook และ YouTube

ในปี 2562 เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ผู้ทำเนื้อหา (Content Creator) เผยแพร่ผ่าน YouTube หรือ YouTuber และ Creator บนแพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับปี 2561

บานิ แทน

YouTuber เบอร์ต้นราคาพุ่ง 1.2 ล้านต่อวิดีโอ

สำหรับปัจจัยที่ทำให้ YouTube ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น มาจาก Facebook ได้ลดการเข้าถึง (Reach) ในการมองเห็นโฆษณาและเพจต่างๆ ประกอบกับพฤติกรรมการติดตามและการเข้าชม YouTube Channel ของผู้บริโภคสม่ำเสมอมากกว่า ทำให้ Influencer หลายรายที่มาจาก Social Media Platform อื่นๆ เริ่มเข้ามาใช้ YouTube โดยเฉพาะกลุ่มดาราและนักแสดงที่เคยใช้ Instagram เป็นช่องทางหลักของผู้ติดตาม

กระแสความนิยม Influencer ให้อัตราค่าจ้าง YouTuber มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ YouTuber ที่ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆ (Top–tier YouTuber) มีเรตราคาสูงสุดในตลาด ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านบาทต่อหนึ่ง YouTube Video ขณะที่ YouTuber ที่ได้รับความนิยมรองลงมา (Mid–tier YouTuber) มีการแข่งขันและตัดราคากันอย่างรุนแรง

ข้อมูลของ YouTube ณ วันที่ 6 มี.ค. 2562 พบว่า มี 6 ช่อง (Channel) ที่มีผู้ติดตาม (Subscriber) เกิน 10 ล้านราย มี 200 ช่องที่มีผู้ติดตามเกิน 1 ล้านราย

จากสถิติพบว่าในทุกๆ 3 วันจะมี 1 ช่องที่มีผู้เข้ามากดติดตามทะลุ 1 ล้านราย มี 2,500 ช่องที่มีผู้ติดตามเกิน 1 แสนราย และมี 3 ช่องที่มีผู้เข้ามากดติดตามทะลุ 1 แสนรายในทุกๆ วัน

แม้การทำ Influencer Marketing มีเรตราคาสูงสุดขึ้นเรื่อยๆ แต่ YouTuber ในกลุ่มที่ได้นิยมอันดับต้นๆ (Top–tier YouTuber) ยังคงได้รับความนิยมจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะมีความคุ้มค่า เมื่อพิจารณาจากค่าโฆษณาต่อการชมวิดีโอ (Cost per View) มีเรตที่ต่ำกว่าการทำ Video Production และการซื้อโฆษณาเอง

“แบรนด์” โฟกัสผลลัพธ์ยอดขาย

ปัจจุบันเจ้าของแบรนด์และนักการตลาดจะให้ความสำคัญกับยอดขายจากผู้เข้าชม (Conversion) มากกว่าการเข้าถึง (Reach) และยอดการเข้าชม (Views) ของกลุ่มเป้าหมาย ปัจจัยสำคัญในการทำ Influencer Marketing เพื่อให้เกิดยอดขายคือ การเลือก Influencer ที่มีสามารถสร้างคอนเทนต์และสอดแทรก การโฆษณาแบรนด์ได้อย่างเหมาะสม (Branded Content) รวมถึงการเลือก Influencer ที่มีภาพลักษณ์ตรงกับสิ่งที่แบรนด์ต้องการจะสื่อสาร จำนวนผู้ติดตามที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ และความนิยมของ Influencer

การทำ Influencer Marketing ต้องให้ความสำคัญและระมัดระวัง เรื่องความปลอดภัยของแบรนด์ (Brand Safety) ในการทำโฆษณาออนไลน์ ที่โฆษณานั้นไม่ควรไปอยู่ในเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หรือใกล้กับโฆษณาที่ไม่เหมาะสม รวมถึงความปลอดภัยด้านเนื้อหาสำหรับกลุ่มผู้ชมที่เป็นเด็ก (Kid Safety)

จากเทรนด์การตลาด Influencer ที่ได้รับความนิยม ทำให้พ็อพส์ (ประเทศไทย) เติบโต 3 เท่า จากการทำแคมเปญกว่า 200 แคมเปญกับลูกค้าในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีอัตราการเติบโตสูง (Fast Moving Consumer Goods : FMCG) กลุ่มนักท่องเที่ยว กลุ่มสายการบิน และอื่นๆ ปัจจุบันมี 2 ช่อง คือ  POPS TV Thailand และ POPS Kids Thailand ทาง YouTube Channel และ Facebook

]]>
1236314
“Bearhug” จาก YouTuber ผู้ติดตาม 2.8 ล้าน สู่เจ้าของ “ร้านชาไข่มุก Bearhouse” กับเป้าหมายรายได้ 15 ล้านบาทในปี 2019 และภายใน 2 ปีต้องมี 5 สาขา https://positioningmag.com/1234709 Fri, 14 Jun 2019 12:59:18 +0000 https://positioningmag.com/?p=1234709 จับอาชีพ YouTuber มา 3 ปี จนมีผู้ติดตามกว่า 2.8 ล้าน Subscription สำหรับช่อง “Bearhug” ซึ่งทำคอนเทนต์เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ การท่องเที่ยวและอาหาร หลังจากตะเวนกินมาแล้วทั้งในและต่างประเทศ หนึ่งในเมนูที่ซารต์ปัทมพร ปรีชาวุฒิเดช” ชื่นชอบมากที่สุดคือชานมไข่มุกที่ประเทศไต้หวัน

หลังจากได้กินแล้วเลยมีความคิดว่าทำไมต้องทำชาไข่มุกไต้หวันในไทย ให้คนไทยมาต่อคิว ทำไมไม่ทำของไทยให้คนต่างชาติมาต่อคิวบ้างจึงปรึกษากับกานต์อรรถกร รัตนารมย์และด้วยนิสัยที่อยากทำอะไรต้องทำเลย ไม่อยากรออีกแล้วจึงลุกขึ้นมาทำ ณ ตอนนั้นเลย โดยเริ่มต้นเมื่อราว 1 ปีก่อน

ตอนแรกคิดจะนำแฟรนไชส์จากต่างประเทศเข้ามาก่อน ทั้งคู่จึงเดินทางไปทั้งไปตามที่ต่างๆ ทั้งไต้หวันซึ่งเป็นดินแดนต้นตำหรับของชาไข่มุก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ พร้อมกับภีรภัทร แจ้งยอดสุขที่ปรึกษาการตลาดซึ่งมีประสบการณ์ทั้งยูนิลีเวอร์ ธนาคารกสิกรไทย และปัจจุบันทำงานอยู่ที่เถ้าแก่น้อย เดินทางไปพร้อมกัน

สิ่งที่พบคือนอกจากจะต้องจ่ายเงินค่าแฟรนไชส์หลัก 10 ล้านบาทหากจะนำเข้ามา การเป็นแฟรนไชส์ยังไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้เลย ด้วยตามลักษณะของคนไทย การทำต้นฉบับมา 100% อาจจะไม่ถูกปากจึงต้องปรับกันบ้างอีกทั้งหากต้องการทำเมนูใหม่ๆ ต้องขอบริษัทแม่ก่อนซึ่งบ้างครั้งอาจจะไม่ทันรายอื่นๆ

ในที่สุดจึงลุกขึ้นมาทำเองเมื่อ 6 เดือนก่อนจึงบินไปเรียนการทำไข่มุกที่เชียงใหม่ กับชาวไต้หวันที่มีสูตรการทำไข่มุกของตัวเองอยู่แล้ว หลังจากนั้นจึงนำมาปรับสูตรด้วยตัวเอง ซึ่งกานต์พูดติดตลกว่าถึงทำอาหารไม่เก่ง แต่ชิมเก่งมาก ลองผิดลองถูกมาพักใหญ่จึงออกมาเป็นไข่มุกโมจิ

โดยไข่มุกสูตรเฉพาะที่คิดค้นและทำเองมีแป้งข้าวไทยเป็นส่วนประกอบ มีความหนึบหนับ มีกลิ่นโมจิ มีความไม่กลมและมีขนาดพิเศษ 7mm (เล็กกว่าปกติ) ส่วนสูตรชาก็คิดขึ้นเองทั้งหมด พยายามใช้วัตถุดิบในเมืองไทยเป็นหลัก ยกเว้นบางอย่าง เช่น ชาเขียวที่นำมาจากต่างประเทศ

ทั้งนี้ถึงตลาดชาไข่มุกค่อนข้างแข่งกันรุนแรง แต่ตลาดมูลค่าราว 2,500 ล้านบาท ยังมีโอกาสเติบโต เพราะเมื่อเทียบกับตลาดร้านกาแฟ 17,000 ล้านบาท เล็กกว่าถึง 7 เท่า ซึ่งชาไข่มุกมีโอกาสพัฒนาไปแมสเหมือนกับกาแฟได้ ที่สำคัญเมนูนี้ไม่จำเป็นต้อง Educate ตลาดแล้ว ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี

ทั้งคู่ใช้ชื่อร้านแรกว่า Bearhouse” จับตลาดกลาง – บน ซึ่งเป็นเซ็กเมนต์เดียวกับแบรนด์เช่น KOI Thé ซึ่งแม้ตลาดนี้จะมีคู่แข่งมาก หากแต่ละรายก็มีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน อย่างร้านที่ทำก็เด่นเรื่องไข่มุกทำเอง โดยขายราคาเริ่มต้นรวมไข่มุก 75 บาทไปจนถึงหลักร้อยต้นๆ

เบื้องต้นได้มีการตั้งบริษัทชื่อบริษัท 21 ซันแพสชั่น จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ถือหุ้น 50:50 โดยซารต์อยู่ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และ กานต์เป็นผู้จัดการทั่วไป ใช้งบลงทุนกว่า 8 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าครึ่งถูกไปกับเครื่องจักรสำหรับทำไข่มุก โดยสร้างครัวกลางที่เขตประเวศมีกำลังผลิต 70 – 80 กิโลกรัมต่อวัน

ส่วนที่สองการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ มีทีม 3 คนและสุดท้ายการทำร้านสาขาแรกที่สยามสแควร์ ริมถนนอังรีตูนังต์ ซึ่งเป็นย่านไข่แดงของชาไข่มุก เหตุที่เลือกปักหมุดที่นี่เพราะเป็นย่านที่มีวัยรุ่น นักศึกษา และวัยเริ่มทำงาน หรือกลุ่มเฟิร์สจ๊อบเบอร์อยู่มาก ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักของชาไข่มุก

ตัวร้านได้เริ่ม Soft Opening ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน ปัจจุบีนมียอดขาย 700 – 800 แก้วต่อวัน ซึ่งที่ผ่านมาพบมีการต่อคิวอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ซึ่งปฎิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากกระแสของแฟนคลับที่ติดตามจำนวนมากอยู่แล้ว แต่ทั้งคู่ก็ให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า

การทำร้านชาไข่มุกไม่ได้ทำมาขายให้แฟนคลับอย่างเดียว ถ้าจะทำอย่างนั้นจริงคงเอารูปตัวเองไปทำเป็นโลโก้ของร้านแล้ว แต่ที่ออกมาทำร้านเพราะอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองจริงๆ เป็นแผนที่วางไว้อยู่แล้ว สำหรับ YouTuber จะทำต่อไป แม้ตอนนี้เวลา 70% จะถูกทุ่มให้กับดูแลร้าน ต่อไปจะปรับให้เท่ากัน

วันนี้ (14 มิถุนายน) เป็นเปิดตัวอย่างเป็นทางการ หลังจากนี้ตั้งเป้ายอดขายวันละ 1,000 แก้วคาดปี 2019 มียอดขายรวม 15 ล้านบาท ภายใน 2 ปีตั้งเป้าขยายสาขาในรูปแบบ Full Scale ทั้งหมด 5 สาขา ทั้งสาขาศูนย์การค้าและสแตนอโลน

แม้ตอนนี้มีผู้สนใจติดต่อขอเป็นแฟรนไชส์จำนวนมาก แต่ยังไม่พร้อมเพราะต้องปรับปรุงอีกหลายจุด เช่น การทำชาไข่มุกให้เร็วขึ้น ทุกวันนี้ยังต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ กับร้านอีกมาก ซึ่งหากอยู่ตัวจึงจะเริ่มขยับตัวต่อไป อีกทั้งยังคิดไกลขนาดบุกไปเปิดในต่างประเทศและส่งออกไข่มุกเป็นวัตถุดิบด้วย

ไม่ใช่แค่นั้นยังได้วางแผนต่อยอดไปยังเมนูอื่นๆ ที่อยู่ในเซ็นเมนต์ของหวานเหมือนกัน เร็วๆ นี้เตรียมวางขายไอศกรีมมีทั้งหมด 4 รสชาติ ราคา 79 บาท แม้จะขยายเมนูมากขึ้นแต่ทุกร้านจะใช้ชื่อ “Bearhouse” เหมือนกัน

อย่างไรก็ตามการลุกขึ้นมาเป็นเจ้าของธุรกิจในวัย 26 และ 27 ปี ถือเป็นความท้าทายอยู่ไม่น้อย แต่กานต์ก็เปรียบว่า การทำร้านเหมือนกับการเรียนปริญญาโท และปริญญาเอกแต่ไม่มีใบปริญญา ซึ่งเป็นการเรียนรู้ตัวตนเอง

กลายเป็นว่าการทำร้านกลับจุดไฟให้กับการทำ YouTuber ด้วย เพราะยิ่งทำให้อยากออกไปเจอผู้คนต่างๆ นำแนวคิดกลับมาปรับปรุงร้านของตัวเอง

รูป : Bearhouse

]]>
1234709
ขำไม่ออก! Youtuber ในสเปนอัดคลิปแกล้งชายไร้บ้าน ถูกศาลสั่งจำคุก 15 เดือน – ปรับ 7 แสน – แบน Account 5 ปี https://positioningmag.com/1232675 Tue, 04 Jun 2019 04:59:11 +0000 https://positioningmag.com/?p=1232675 หนึ่งในคอนเทนต์ฮิตที่กำลังเกิดขึ้นกับ Influencer บ้านเราในขณะนี้ คือการให้ทางเลือกกับผู้ติดตามในการให้ตัวเลือกกับ Influencer ทำตามคำสั่ง ซึ่งหากเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองคงไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องไปต้องไปแกล้งผู้อื่นคงต้องคิดให้เยอะสักนิด ไม่งั้นจะเหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นในสเปน

ตอนต้นปี 2017 Youtuber ในสเปนที่ชื่อ Kanghua Ren หรือชื่อที่คนติดตามจะคุ้นมากกว่าคือ ReSet เขาเป็นชาวจีนอายุ 19 ปี แต่อาศัยอยู่ที่บาร์เซโลนามาตั้งแต่เด็ก ได้ทำตามคำขอจากหนึ่งในผู้ติดตามจำนวน 1.2 ล้าน Subscribe ให้นำคุกกี้ที่ไส้ถูกแทนที่ด้วยยาสีฟันไปแกล้งคนอื่น

Ren จึงอัดคลิปที่นำขนมไปให้กับชายไร้บ้าน นอกซูเปอร์มาร์เก็ตพร้อมด้วยเงินจำนวน 20 ยูโร หรือราว 700 บาท หลังจากชายคนนั้นกินถึงกับอาเจียนออกมาหลังจากกินคุกกี้

เมื่อคลิปถูกโพสต์ออกไปเขาได้รับการวิจารณ์อย่างหนัก จึงกลับไปเยี่ยมชายคนนั้นพร้อมให้เงินอีก 20 ยูโร ขณะเดียวกันข้อมูลจากตำรวจได้บอกว่า เขาให้เงินอีก 300 ยูโรแก่ลูกสาวของเหยื่อเพื่อไม่ให้ฟ้อง

สุดท้ายเขาก็ถูกฟ้องอยู่ดี Ren ให้การต่อศาลว่า วิดีโอเป็นเพียงเรื่องตลกที่ไม่ดี ซึ่งเขาได้พยายาม หาทางแก้ไขในภายหลัง “ฉันทำสิ่งต่างๆ เพื่อแสดงโชว์ : ผู้คนชอบสิ่งที่ผิดปกติ” ซึ่งหลังจากนั้นคลิปวิดีโอได้ถูกลบออกไป

แต่ผู้พิพากษา Rosa Aragonés กลับมองว่า ถือเป็นพฤติกรรมที่โหดร้ายที่กระทำต่อผู้ไม่มีทางสู้ Ren จึงถูกตัดสินความผิดฐาน “ละเมิดศีลธรรมจรรยาของชายไร้บ้าน”

ศาลจึงสั่งให้จำคุก 15 เดือน แต่ตามกฎหมายในสเปนความผิดครั้งแรกให้รอลงอาญา 2 ปี ปรับเป็นเงิน 20,000 ยูโร หรือราว 700,000 บาท โดยเงินจำนวนนี้ให้มอบแก่เหยื่อของเขา

หากโทษยังไม่หมดเท่านั้น Ren ยังถูกสั่งให้ปิดช่อง YouTube และ Social Media อื่นๆ เป็นระยะเวลา 5 ปีด้วยกัน

ไม่รู้เหมือนกันว่าในเมืองไทยมีกฎหมายในเรื่องนี้บ้างไหม แต่อย่างน้อยก็ขอให้เป็นกรณีศึกษาให้กับ Youtuber คนอื่นๆ เวลาจะทำตามคำขอของผู้ติดตาม โปรดคิดสักนิดว่าคอนเทนต์ที่ตัวเองได้มา เกิดจากความเดือนร้อนของคนอื่นไหม?

Source

]]>
1232675
ถอดบทเรียน Influencer Marketing วันนี้ “เฟ้อ” หรือยัง? https://positioningmag.com/1230908 Wed, 22 May 2019 01:52:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1230908 เมื่อผู้บริโภคไม่เชื่อสิ่งที่แบรนด์พูด แต่เชื่อในสิ่งที่คนรอบข้างพูดมากกว่า ก่อให้เกิดเครื่องมือการตลาดตัวใหม่ “Influencer Marketing” คนธรรมดาที่ออกมาพูดแทนแบรนด์ และนำมาสู่สูตรการตลาดที่หลายแบรนด์เลือกใช้ จนเห็นเต็ม Social Media ไปหมด และนำมาสู่คำถาม วันนี้เฟ้อหรือยัง?

Influencer ยังมีส่วนแบ่งไม่ถึง 10% จากงบโฆษณาดิจิทัลเกือบ 20,000 ล้าน

เป็นคำถามที่พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยงกรรมการบริหาร บริษัท แคสติ้งเอเชีย จำกัด บอกกับ Positioning ว่ากลัวอยู่เหมือนกันแต่เขาก็อธิบายว่า หากวัดในมุมของแบรนด์ Influencer Marketing ยังไม่เฟ้อ

ด้วยมีอีกหลายแบรนด์ที่ยังไม่ได้ใช้เครื่องมือนี้ Influencer จึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยประเมินจากตัวเลขเม็ดโฆษณาดิจิทัลเกือบ 20,000 ล้าน ยังใช้ไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ

“พันธ์ศักดิ์ ลิ้มวัฒนายิ่งยง” กรรมการบริหาร บริษัท แคสติ้งเอเชีย จำกัด

หากวัดในมุมของ Influencer เอง มีทั้งเฟ้อและไม่เฟ้อ ในส่วนของเฟ้อจะเกิดขึ้นกับ Influencer ระดับตัวท็อป มี Follower หลักล้านขึ้นไป ด้วยกลุ่มนี้ถือว่าชั่วโมงบินสูง

ค่าใช้จ่ายโฆษณาต่อครั้งหลักแสนจึงมีไม่กี่แบรนด์ที่สามารถจ่ายได้ และเมื่อแบรนด์ไม่สามารถจ่ายเท่าที่ Influencer เรียก ก็เลือกที่จะไม่รับ สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้เอง เรื่องนี้มีให้เห็นหลายรายแล้ว

แต่รวมๆ แล้ว Influencer ยังสามารถไปได้อีกเรื่อยๆ เพราะวันนี้แค่มี Follower หลัก 100 คน ก็เป็นได้แล้ว และวันนี้ไม่ใช่แค่คนธรรมดาที่เป็น Influencer เท่านั้นดาราก็หันมาเป็นเช่นกัน

โอ๊ต-ปราโมทย์ เป็นศิลปินอีกหนึ่งคนที่ผันตัวเองมาเป็น YouTuber เปิดช่องชื่อ “โครตคูล”

สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ด้วยกลุ่มดาราไม่อยากรอให้รายการทีวี ละคร หรืออีเวนต์ต่างๆเลือกตัวเองถึงจะมีงานทำ แต่ต้องการกุมชะตาชีวิตตัวเองการเป็น Influencer สามารถทำได้เลยไม่ต้องรอ ที่สำคัญรายได้ยังมีมากกว่า 1 ทาง นอกจากแบรนด์มาลงโฆษณา ถ้าลง Youtube ก็มีส่วนแบ่งจากยอดชม

Influencer ระดับตัวท็อปอาจสร้างรายได้ 40 – 50 ล้านบาทต่อปี

ประเมินคร่าวๆ Influencer ที่มีหลักแสนไปจนถึงหลักล้านมีอยู่ราว 500 คน หากแบรนด์จะลงโฆษณากับกลุ่มนี้อย่างต่ำๆ ต้องใช้เงินหลักแสน

แต่ถ้าต้องการลงกับ Follower หลักล้าน เช่น บี้เดอะสกา เสือร้องไห้ และ เก๋ไก๋สไลเดอร์ เป็นต้น มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 4-5 แสนบาทต่อคลิป พันธ์ศักดิ์เชื่อว่า Influencer ระดับตัวท็อปอาจสร้างรายได้ 40 – 50 ล้านบาทต่อปี

คุ้มค่าเงินหรือไม่? ขึ้นอยู่กับ Objective ของโฆษณานั้นๆ ว่าต้องการ Awareness Conversion หรือ Engagement”

จากประสบการณ์ของพันธ์ศักดิ์ทั้ง Awareness และ Engagement ทุกแพลตฟอร์มทำได้ แต่หากต้องการ Conversion หรือคลิกไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์ Facebook เหมาะสมที่สุด ตามด้วย Instagram ส่วน Youtube ยังไม่ค่อยคลิกต่อเท่าไหร่ ส่วนราคา Youtube แพงที่สุด ตามด้วย Facebook, Instagram และ Twitter

เหตุที่ Youtube แพงที่สุดนอกจากต้องมีโปรดักชั่นที่มากกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆ คอนเทนต์ยังอยู่บนฟีดได้นานกว่า โดยธรรมชาติของ Youtube คอนเทนต์อยู่ที่คนล้วนๆ ส่วนหนึ่งที่ไม่ค่อย Conversion เพราะคนชอบดูเนื้อหาจึงจำสิ่งที่เกิดขึ้นในคลิปได้ แบรนด์จึงต้องวางแผนสอดแทรกให้ดี

ส่วน Facebook เป็นได้ทุกอย่าง แต่มีข้อเสียคือการจะเข้าถึงคนจำนวนมากๆ ต้องใช้วิธี Boost Post เข้าช่วย พึ่ง Organic reach อย่างเดียวไม่ได้อีกแล้ว ส่วน Instagram เน้นรูปสวยๆ

ในขณะที่ Twitter ถึงจะเป็นแพลตฟอร์มที่มาแรง แต่ก็ยังมีข้อระมัดระวังหลายข้อ เพราะคนที่เล่น Twitter เข้าเพื่อ Social จริงๆ แบรนด์เข้าถึงได้ยาก Timeline ไหลเร็วมาก การจะทำให้ติดเทรนด์ต้องใช้เงินมากอีกทั้งอยู่ได้ไม่นาน

สร้างความเข้าใจและราคา” 2 ความท้าทายของแคสติ้งเอเชีย

อย่างไรก็ตาม ถึงจะมี Influencer Marketing เป็นเครื่องมือที่ใช้แล้วได้ผลแต่ด้วยจำนวนที่มากและกระจัดกระจาย แบรนด์และนักการตลาดจึงมีความยากในการค้นหา Influencer ให้เหมาะกับการทำโฆษณา

นี่จึงเป็นโอกาสที่แคสติ้งเอเชีย” (CastingAsia) แพลตฟอร์ม Influencer ภายใต้กลุ่ม AnyMind Group มองเห็นและได้เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยได้ราว 3 ปีแล้ว โดยนำเอาจุดแข็งด้าน Technology เข้ามาช่วยในการเลือก Influencer, การ Run Campaign ตลอดจนการวัดผลลัพธ์ของ Campaign

และยังมีเครือข่ายกว่า 11 ประเทศทั่วเอเชีย จึงทำให้สามารถทำงานในรูปแบบ Regional ได้ รวมไปถึง Marketplace ที่รวม Influencer แบบ Micro และ Nano มากกว่า 10,000 คนในประเทศไทย และอีก 35,000 คนทั่วเอเชีย ในแง่ของรายได้มี 2 ส่วนคือ ส่วนแบ่งรายได้จาก Platform และรายได้จากสปอนเซอร์

ในจำนวนนี้มี Influencer กลุ่มเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น ดีเจเพชรจ้า ดีเจภูมิ แจ๊ส ชวนชื่น น้องอินเตอร์ พอล ภัทรพล เกลือ เป็นต่อ แจนจัง เป็นต้น

กลุ่มนี้จะมีการพัฒนา Influencer อย่างเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ Incubation Program ในการสอนการเป็น Influencer, การพัฒนาให้เกิดการเติบโตมากขึ้น

ล่าสุดแคสติ้งเอเชียได้เข้าไปเซ็นสัญญากับ JKT48 ประเทศอินโดนีเซีย มีสมาชิกราว 70 คน โดยเตรียมเปิด Youtube กว่า 20 ช่องสำหรับทำคอนเทนต์ต่างๆ

พันธ์ศักดิ์มองความท้าทายของแคสติ้งเอเชีย” 2 ข้อคือ ต้องสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่จะมาใช้ Influencer เช่นใช้แล้วไม่สามารถให้ผลตอบแทนทันทีได้ ต้องใช้เวลาและองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วย

อีกเรื่องคือราคาที่ยังไม่คงที่ ด้วย Influencer กำหนดเอง จึงมีทั้งที่แพงไปและถูกไป จึงอยู่ในระหว่างหาเครื่องมือในการกำหนดราคากลางอยู่

]]>
1230908