เมื่อพูดถึง “กรดอะมิโน” หลายคนอาจไม่รู้จัก ส่วนใหญ่จะรู้จักโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อร่างกายในเรื่องของการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ทั้งที่ความจริงแล้ว กรดอะมิโน ก็คือ โปรตีนที่ถูกย่อยให้มีขนาดเล็กที่สุด เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ โดยร่างกายจะดึงกรดอะมิโนมาสร้างเนื้อเยื่อ ฮอร์โมน หรือเอนไซม์ ขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกายแต่ละคน 

 

กรดอะมิโน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ “กรดอะมิโนจำเป็น” มี 8 ชนิด ซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ จึงต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น และ “กรดอะมิโนไม่จำเป็น” มี 12 ชนิด ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ หากได้รับกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน

 

 

ผศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า “ร่างกายของเราต้องการกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 8 ชนิด เพราะแต่ละชนิดมีหน้าที่แตกต่างกัน บางชนิดถ้ารวมกลุ่มกับชนิดอื่นจะยิ่งทำหน้าที่ได้ดีกว่าเดิม เช่น ไอโซลิวซีน (Isoleucine) ลิวซีน (Leucine) วาลีน (Valine) เป็นต้น โดยแต่ละคนมีความต้องการปริมาณของกรดอะมิโนมากน้อยไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอายุและร่างกายว่ากำลังจะสร้างอะไร ยกตัวอย่างคนที่เป็นโรคไต ซึ่งจะถูกจำกัดการบริโภคโปรตีน ทำให้ต้องได้รับกรดอะมิโนจำเป็นบางชนิดมากกว่าคนอื่น”

 

เมื่อกรดอะมิโนจำเป็นมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเราจึงควรรับประทานอาหารที่มีกรดอะมิโนจำเป็นเป็นประจำทุกวัน ที่สำคัญเราควรเลือกรับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย เนื่องจากอาหารแต่ละอย่างมีกรดอะมิโนจำเป็นแต่ละชนิดมากน้อยแตกต่างกัน อาทิ ข้าวมีไลซีน (Lysine) ต่ำ งามีเมไธโอนีน (Methionine) สูง เป็นต้น

 

เราสามารถได้รับกรดอะมิโนจำเป็นจากอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลืองที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนทั้ง 8 ชนิด และมีในปริมาณสูงเมื่อเทียบกับถั่วชนิดอื่น นอกจากนี้ยังมีไขมันไม่อิ่มตัวซึ่งช่วยในการลดคลอเรสเตอรอลอีกด้วย 

 

อย่างไรก็ตาม หากจะรับประทานถั่วเหลืองจากเมล็ดเป็นประจำทุกวันคงไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นเครื่องดื่มในรูป “นมถั่วเหลือง” ที่ผลิตจากถั่วเหลืองคุณภาพดี ผ่านกรรมวิธีการผลิตที่ทันสมัยที่สามารถคงคุณค่าของกรดอะมิโนจำเป็นทั้ง 8 ชนิด จึงเป็นทางเลือกที่ใกล้ตัว สะดวก ประหยัด เหมาะสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติซึ่งไม่สามารถได้รับกรดอะมิโนจากเนื้อสัตว์ได้ และยังตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่และผู้ที่รักสุขภาพได้เป็นอย่างดี

 

 

1. ไอโซลิวซีน (Isoleucine) ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและการทำงานของระบบประสาท ช่วยพัฒนาการเรียนรู้

 

2. ลิวซีน (Leucine) กระตุ้นการทำงานสมอง เพิ่มพลังให้กล้ามเนื้อ เซลล์ประสาทแข็งแรง

 

3. ไลซีน (Lysine) ซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอ เป็นสารตั้งต้นของแอลคาร์นีทีนที่ช่วยเผาผลาญไขมัน ช่วยให้มีสมาธิ และดูดซึมแคลเซียมจึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน

 

4. เมไธโอนีน (Methionine) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ กำจัดสารพิษออกจากร่างกาย และช่วยย่อยสลายไขมัน

 

5. ฟีนีลอะลานีน (Phenylalanine) เพิ่มความตื่นตัวทำให้รู้สึกระฉับกระเฉง เสริมความจำ บรรเทาอาการซึมเศร้า และลดความอยากอาหาร

 

6. ทรีโอนีน (Threonine) ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ช่วยเผาผลาญไขมัน มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร และการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ในร่างกาย

 

7. ทริปโตแฟน (Tryptophan) ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า บรรเทาอาการไมเกรน ช่วยส่งเสริมการนอนหลับอย่างเป็นธรรมชาติ

 

8. วาลีน (Valine) ช่วยกระตุ้นสมรรถนะของสมองและการประสานงานกันของกล้ามเนื้อ

 

 

เมย์เบลลีน นิวยอร์ก แบรนด์เครื่องสำอางอันดับ 1 ของโลก ยังคงเดินหน้าสานต่อคอนเซ็ปต์ #makeithappen เพื่อใช้สื่อสารไปยังผู้หญิงให้ลุกขึ้นไล่ล่าความฝันของตัวเอง เพราะสำหรับผู้หญิงแล้ว ในแต่ละวันของชีวิตนั้นเปรียบเสมือน เกม ที่ต้องพบเจอเรื่องราวหลากหลาย ทั้งเรื่องดีและเรื่องที่ท้าทาย ต้องพร้อมที่จะทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าเกมไหนๆ เมย์เบลลีน นิวยอร์ก คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังช่วยเพิ่มความปังด้วยเมคอัพไอเทมนานาชนิด ผลักดันให้ผู้หญิงออกไปเผชิญเกมชีวิตได้อย่างมั่นใจ 

 

แคมเปญ Make It Happen ได้คัดเลือกหญิงไทย 9 คน จาก 9 สาขาอาชีพ ที่สามารถ Make It Happen เดินตามความฝันของตัวเองได้แล้วที่มหานครแห่งแฟชั่นอย่างนิวยอร์ก มาถ่ายภาพแฟชั่นเซ็ตสุดเก๋สไตล์สาวมั่น พร้อมคลิปวิดีโอสัมภาษณ์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้สาวไทยเกิดความมุ่งมั่น กล้าที่จะทำในสิ่งที่ตนเองใฝ่ฝัน

 

เริ่มกันที่คนแรก ต้อนรับเดือนแห่งความร้อนแรงของอากาศหน้าร้อนเมืองไทย เจ้าของร้านอาหารไทยในนิวยอร์ก คุณ Tanya Beau มาในชุดสไบสะบัดพริ้วกลาง Time Square เป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างเมคอัพแบรนด์ระดับโลก และแฟชั่นความเป็นไทย ที่ใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา 

 

นอกจากนี้ยังมีแฟชั่นเซ็ตจากสาวเก่งอีกหลายคนที่เหลือที่จะทยอยปล่อยออกมาเดือนละครั้ง เดือนหน้าจะเป็นสาวคนไหน จะยกกองไปถ่ายทำที่ไหนในนิวยอร์ก ก็ต้องรอติดตามกันดู

 

แคมเปญนี้นับเป็นการต่อยอดจากแคมเปญที่ผ่านมาที่มีการ ปล่อยคลิปวิดีโอ “ผู้หญิง…ที่โลกหยุดรอ” ที่ได้นำ Brand Ambassador สาวซุปเปอร์สตาร์ชั้นนำของเมืองไทย เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ, เบลล่า ราณี แคมเปน และ ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ Makeithappen ที่สามารถเล่น “เกม” ของชีวิตได้อย่างท้าทาย และเล่นได้ดีที่สุดในทุกวัน ไม่ว่าจะแพ้ หรือ ชนะ ก็พร้อมเผชิญทุกสถานการณ์อย่างมั่นใจ สนุกกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบไม่มีสะดุ­ด

 

 

ทั้งยังเป็นการต่อยอดจากการเปิดตัวเว็บไซต์ www.makeup-myway.com เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของวงการเมคอัพไทย ที่จะมีพื้นที่สำหรับ User ในการสร้างคอนเทนต์ขึ้นเองเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับแบรนด์ โดยที่เว็บไซต์จะดึงภาพจากอินสตาแกรมของ users ที่ติดแฮชแท็กตามที่กำหนด ตัวอย่างเช่น #makeupmyway #makeithappen #makebarbiehappen #maybellinethailand #Hypercurl #มาสคาร่าตัวแม่ ขึ้นมาแสดงผลโดยอัตโนมัติ  ผู้เข้าร่วมกิจกรรมนอกจากจะมีของรางวัลที่ดึงดูดใจให้ในแต่ละเดือนแล้ว ยังได้ลุ้นรางวัลใหญ่เป็นแพคเกจทัวร์นิวยอร์กตอนปลายปีอีกด้วย

 

 

สำหรับผู้ที่สนใจติดตามข่าวสารแคมเปญ Make It Happen และอยากร่วมเป็นหนึ่งในสาว Game On Girl ของเมย์เบลลีน นิวยอร์ก สามารถติดตามได้ที่ 

เฟซบุ๊กเพจ : www.facebook.com/maybellinethailand

อินสตาแกรม : @maybellinethailand

 

ต้องบอกว่าตลาดเบียร์ในประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งตลาดก็มีการเติบโตที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เป็นประจำทุกปี แม้ไม่ต้องพึ่งโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมอะไรให้เป็นที่หวือหวา เพราะด้วยไลฟ์ไตล์ของคนไทยในปัจจุบันยังไงแล้วก็ชอบแฮงก์เอาต์ สังสรรค์พบปะเพื่อนฝูง การดื่มเบียร์ก็เลยกลายเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งยอดนิยม ตลาดเบียร์ก็เลยได้รับอานิสงส์ไปตามๆ กัน

 

ถ้ามองในแง่ของตลาดเบียร์เมื่อปี 2558 ที่ผ่านมามีมูลค่าถึง 140,130 ล้านบาท หรือคิดเป็นปริมาณ 1,503 ล้านลิตร โดยที่ตลาดใหญ่ที่สุดยังคงเป็นเซ็กเมนต์ “เมนสตรีม” มีความแมสมากที่สุด มีมูลค่าตลาดถึง 115,430 ล้านบาท รองลงมาเป็นเซ็กเมนต์พรีเมียมมีมูลค่า 14,886 ล้านบาท และเซ็กเมนต์เซฟวิ่งมูลค่า 4,341 ล้านบาท

 

และด้วยความที่ตลาดเมนสตรีมเป็นตลาดที่มีความหอมหวานอยู่พอสมควร เพราะเป็นตลาดใหญ่ มีราคาที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่าย เป็นเซ็กเมนต์สำคัญที่ช่วยผลักดันให้ตลาดรวมเติบโต ทางกลุ่ม TAP Group หรือ บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด (TAPB) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์ไฮเนเก้น และไทเกอร์ ได้มองเห็นโอกาสอันสำคัญในการบุกตลาดเมนสตรีมอีกครั้ง เพราะในตลาดพรีเมียมแน่นอนว่าไฮเนเก้นเป็นผู้นำในตลาดไปแล้วเรียบร้อย

 

ในการสู้ศึกครั้งนี้ TAP จึงได้เลือกใช้ “เบียร์เชียร์” เป็นพระเอกคนสำคัญในการท้าชนกับ 2 ผู้เล่นรายใหญ่ทั้ง ลีโอ และช้าง โดยที่กลยุทธ์สำคัญก็คือการ “รีลอนช์” ครั้งใหญ่ในรอบ 10 ปี ด้วยคอนเซ็ปต์ “Cheers to the World” ได้ปัดฝุ่น และจับแต่งตัวให้เบียร์เชียร์แบบยกเครื่อง มีการปรับทั้งแพ็กเกจจิ้ง และปรับสูตร รวมทั้งปรับรสชาติให้ถูกปากคนรุ่นใหม่มากขึ้น 

 

ความสำคัญของเบียร์เชียร์ที่ทำให้แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ ในตลาดก็คือเรื่องสตอรี่ของแบรนด์ที่เรียกว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะเป็นเบียร์สัญชาติไทยแท้ แต่คุณภาพคับแก้วระดับสากล เพราะทุกขั้นตอนการผลิตด้วยมาตรฐานระดับโลกของ “ไฮเนเก้น” 

 

ไฮไลต์เด่นอีกอย่างหนึ่งที่ต้องฉายสปอรตไลท์มาอย่างรวดเร็วก็คือ “เชียร์ ซีเลคชั่น ไรซ์เบอร์รี่” เป็นนวัตกรรมใหม่ของการผสมผสานวัตถุดิบพรีเมียม คือ มอล์ทนำเข้า และข้าวไรซ์เบอร์รี่ ผลผลิตชั้นดีในประเทศไทย ถ้าใครเคยดื่มเบียร์นำเข้ารสชาติพิเศษ คงจะต้องฟินไปกับเชียร์ ซีเลคชั่น ไรซ์เบอร์รี่แน่นอน เพราะมีกระบวนการผลิตในระดับเบียร์อิมพอร์ต มาสร้างสีสันใหม่ในตลาดเบียร์บ้านเรา

 

 

ซึ่งซีเลคชั่น ไรซ์เบอร์รี่นี้เป็นสินค้าตัวแรกจากตระกูล Cheers Selection ที่หมายมั่นปั้นมือเป็นไลน์สินค้าในรูปแบบ limited edition ที่เชียร์จะสรรหานวัตกรรมใหม่ๆ มาใส่ให้เป็นเบียร์พิเศษ เอาใจคอเบียร์คนไทยโดยเฉพาะ ที่จะออกมาเป็นช่วงฤดูกาลเท่านั้น

 

การเป็นเบียร์ไทยที่มีกลิ่นอายความเป็นอินเตอร์ของเชียร์นับว่าเป็นการวางตำแหน่งทางการตลาดที่แตกต่างจากเจ้าตลาดในบ้านเรา ทำให้ในตอนนี้สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำแล้วว่า “เชียร์” เป็นเบียร์ที่ยกระดับเบียร์ไทยให้เทียบเท่าระดับสากล ด้วยการส่งเบียร์ limited edition ระดับอินเตอร์สู่ตลาด โดยที่เชียร์ ซีเลคชั่น ไรซ์เบอร์รี่จะจำหน่ายในช่วงหน้าร้อนนี่เท่านั้น เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ที่ 7-11 ทุกสาขาทั่วประเทศ ในราคากระป๋องละ 49 บาท ขนาด 490 มล. 

 

 

– เบียร์เชียร์ (Cheers) เป็นเบียร์สัญชาติไทย คุณภาพระดับสากล จัดจำหน่ายอยู่ในกลุ่มตลาดเมนสตรีม (Mainstream)

 

– คอนเซ็ปต์ของแบรนด์จะมีลักษณะดูสนุกสนาน ร่าเริง ขี้เล่นและสามารถเข้าถึงได้ง่าย 

 

– กลุ่มเป้าหมายของเบียร์เชียร์ คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความก้าวหน้าในชีวิต และเป็นผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จ 

 

– เบียร์เชียร์ เปิดตัวเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 โดยกลุ่มบริษัททีเอพี 

 

– เบียร์เชียร์ได้รับรางวัลเหรียญทอง Monde Selection Gold Award การันตีคุณภาพ ในปี 2550, ปี 2552, 2556

 

– มีการส่งออกไปยังต่างประเทศอีกด้วย ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง มัลดีฟส์ ไต้หวัน ลาว กัมพูชา และพม่า 

 

– พ.ศ. 2552 เปิดตัวเบียร์เชียร์เอ็กซ์ตร้า (Cheers X-Tra) เป็นเพื่อจับตลาดนักดื่มเบียร์แรง โดยมีแอลกอฮอล์ 6.0%

 

– พ.ศ. 2559 นำประสบการณ์การปรุงเบียร์จากไฮเนเก้น เกิดเป็น “เชียร์ ซีเลคชั่น ไรซ์เบอร์รี่” เบียร์สัญชาติไทย ที่ให้รสชาติความรู้สึกแบบเบียร์อิมพอร์ต ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการทำเบียร์ดำแบบยุโรป ซึ่งคัดสรรวัตถุดิบข้าวไรซ์เบอรี่คุณภาพสูงจากเมืองไทย ใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิตด้วยมาตรฐานระดับโลกของ “ไฮเนเก้น” ทำให้ “เชียร์” เป็นเบียร์ที่ยกระดับเบียร์ไทยให้เทียบเท่าระดับสากล ในแบบที่คอเบียร์ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งจำหน่ายในช่วงหน้าร้อน เริ่มปลายเดือนมีนาคม นี้ ที่ 7-11 ทุกสาขา ทั่วประเทศ

 

 

หลายคนที่ได้เคยเดินทางไปต่างประเทศอาจจะต้องเคยประสบปัญหาในเรื่องการโรมมิ่งสัญญาณโทรศัพท์ในต่างแดน บางทีอาจจะเจอปัญหาเรื่องค่าบริการที่ตามมา เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาวุ่นวายใจอีกอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

แต่เป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่ลูกค้าดีแทคจะได้ฟินก่อนใครเพื่อน ด้วยบริการ “VoWIFI” หรือ “Wifi Calling” เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่จะเปลี่ยนทุกสัญญาณไวไฟจากฮอตสปอตจากทั่วทุกมุมโลกให้เป็นสัญญาณโทรศัพท์บน dtac Super 4G

ที่สามารถโทรศัพท์ผ่านสัญญาณ WiFi จากที่ไหนก็ได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะโทรออก หรือรับสายที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ เสมือนว่าใช้งานอยู่ในประเทศไทยอย่างไรอย่างนั้น แม้แต่อยู่บนเครื่องบินที่มีสัญญาณ WiFi ก็ยังใช้ได้

นอกจากการโทรศัพท์ยังสามารถโทร หรือรับสาย Video Call ผ่านการเชื่อมต่อด้วยสัญญาณ WiFi ได้โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์ตามปกติที่บันทึกไว้ในสมุดโทรศัพท์ รับสายก็โชว์เบอร์ ซึ่งจะแตกต่างจากการโทรผ่านแชตแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ที่ต้องใช้ไอดีในการใช้งาน

ที่สำคัญคือมีการคิดค่าบริการตามแพ็กเกจที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ค่าอินเทอร์เน็ต และไม่มีการคิดค่าบริการเพิ่มแต่อย่างใด หมดปัญหาบิลช็อกเมื่อเวลาเดินทางไปต่างประเทศในทันที

นอกจากนั้นยังมีความว้าวของ VoWIFI อีกก็คือ สามารถใช้งานบนซิมเดิม เพียงแค่มีซิมดีแทค ก็สามารถโทรหาเบอร์ใครก็ได้แล้ว ไม่ต้องเปลี่ยนซิมให้ยุ่งวุ่นวาย และในส่วนของคุณภาพของภาพและเสียงก็คมชัดในระดับ HD

แต่บริการ VoWIFI นี้ยังเปิดให้บริการแก่สาวกแอนดรอยด์ก่อนเท่านั้น ซึ่งสมาร์ทโฟนที่รองรับมีทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่ Samsung S6, Samsung S6 Edge, Samsung S6 Edge Plus และ Samsung Note 5

ผู้ใช้สามารถเปิดบริการได้ด้วยตนเอง เพียงกด *444*51# แล้วโทรออก

แต่มีข้อแนะนำในการใช้งานว่าต้องตรวจสอบว่ามีสัญลักษณ์ WiFi Calling แสดงที่หน้าจอโทรศัพท์ก่อนทำการโทรออกหรือรับสายทุกครั้ง มิเช่นนั้นอาจจะเกิดการเชื่อมต่อสัญญาณโทรศัพท์กับผู้ให้บริการรายอื่นในประเทศนั้นๆ และทำให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นมา

ในการเชื่อมต่อนั้น คุณภาพของสัญญาณก็ขึ้นอยู่กับ WiFi ที่ใช้เชื่อมต่อด้วย สำหรับเมื่อใช้งานในประเทศ ตัวเครื่องจะถูกตั้งค่าให้ใช้งานบนเครือข่ายมือถือเป็นหลัก แต่หากอยู่ในบริเวณที่สัญญาณเครือข่ายไม่ดี (สัญญาณประมาณ 1 ขีด) ตัวเครื่องจะเปลี่ยนไปใช้งาน WiFi calling แทน แต่ในส่วนของการใช้งานต่างประเทศ เครื่องจะถูกตั้งค่าให้ใช้งาน WiFi calling เป็นหลัก แต่ในกรณีที่ WiFi บางประเทศ หรือผู้ให้บริการบางราย อาจบล็อก IP ก็ทำให้ไม่สามารถใช้บริการได้เช่นกัน

จากสภาวะโลกร้อนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน อีกทั้งเมืองไทยยังมีอากาศที่ร้อนอบอ้าวอยู่ตลอดทั้งปี เป็นธรรมดาที่มนุษย์อย่างเราๆ จะร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ ซึ่งจะดีแค่ไหนที่จะมีนวัตกรรมที่จะช่วยลดความร้อนนั้นลงไป และคืนความสุขให้เย็นสบายมากขึ้นกว่าเดิม

ความเย็นที่ว่านั้นสามารถเริ่มต้นได้จาก “บ้าน” ของเราเอง เพราะว่ากันว่าอยู่บ้านเย็นหัวใจก็เป็นสุขได้ แต่หาใช่ความเย็นด้วยเครื่องปรับอากาศใดๆ แต่เย็นได้ด้วยสุดยอดนวัตกรรมจาก “สีเบเยอร์คูล”

นอกจากนี้เบเยอร์ยังได้จัดทำคลิปวิดีโอ “109 วิธีลดค่าไฟ” เพื่อเป็นการให้ความรู้ กับผู้บริโภคถึงวิธีการประหยัดค่าไฟในบ้านของตนเอง ซึ่งหารู้ไม่ว่ายังมีวิธีง่ายๆ และใกล้ตัวมากที่สุดก็คือเริ่มจากการ “ทาสีบ้าน” และสีเบเยอร์คูลก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามไปด้วยประการทั้งปวง

เห็นอย่างนี้แล้วอย่าปล่อยให้บ้านของคุณร้อนไปอย่างเปล่าประโยชน์ รีบมาทำให้บ้านเย็นด้วยสีเบเยอร์คูลได้แล้ววันนี้ เพราะเมื่อบ้านคุณเย็น โลกก็เย็น อีกทั้งยังประหยัดเงินในกระเป๋าได้อีกด้วย

แลคตาซอย จัดกิจกรรม “LACTASOY Charity on Cruise 2016” พาผู้ร่วมกิจกรรมกว่า 100 ชีวิต ล่องแม่น้ำเจ้าพระยาทำบุญไหว้พระ เสริมสิริมงคลชีวิตให้ราบรื่นตลอดปี โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากการทำกิจกรรมในครั้งนี้ จะนำไปมอบให้แก่วัดดอนจั่น จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กยากไร้ ให้มีที่พักอาศัยและค่าเล่าเรียน

นอกจากการทำบุญไหว้พระเสริมสิริมงคลแล้ว ในโอกาสที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ปีใหม่ไทย แลคตาซอยได้เชิญ หมอช้าง ทศพร ศรีตุลา มาแนะนำเคล็ดลับการดำเนินชีวิตแก่ผู้ร่วมกิจกรรมอีกด้วย ซึ่ง หมอช้าง กล่าวว่าช่วงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างทั้งด้านดีและไม่ดี ส่งผลให้หลังสงกรานต์ดวงชะตาของทั้ง 12 ราศี จะเกิดการพลิกผันตามไปด้วย โดยหมอช้างได้ทำนายดวงชะตาของแต่ละราศีพร้อมทั้งมีคำแนะนำมาฝากดังนี้

เริ่มที่ราศี เมษ (14 เม.ย.-14 พ.ค.) ปีนี้ดาวมฤตยูเข้าที่ราศีเมษ ซึ่งเป็นดวงดาวแห่งวิวัฒนาการ ดังนั้นจึงควรปรับปรุงบุคลิกตนเองเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าเตรียมตัวให้ดี โอกาสใหม่ในชีวิตจะรออยู่ ส่วน พฤษภ (15 พ.ค.-14 มิ.ย.) ช่วงต้นปีพฤษภอาจรู้สึกเครียด แต่หลังสงกรานต์จะดีขึ้นแต่จะทำงานหนักกว่าเดิมซึ่งจะเป็นเรื่องดีสำหรับผู้ที่ทำอาชีพอิสระ จะมีงานดีๆ เข้ามา และ เมถุน (15 มิ.ย.-16 ก.ค.) มีดวงอยู่ในเกณฑ์ดี ถือเป็นสุดยอดนักขาย นักพูด เจรจาอะไรจะประสบความสำเร็จ และให้เตรียมรับข่าวดีหลังสงกรานต์

ทางด้าน กรกฎ (17 ก.ค.-17 ส.ค.) มีเกณฑ์เสียเงินหลังสงกรานต์ แต่ข่าวดีคือมีเงินมาให้เสีย แนะนำให้แก้เคล็ดด้วยการทำบุญบริจาคเพื่อให้เสียเงินเป็นประจำทุกเดือน สำหรับชาว สิงห์ (17 ส.ค.-16ก.ย.) ปีนี้พระราหูเข้าแต่ไม่ต้องกลัว แนะนำการทำธุรกิจออนไลน์หรือทำงานด้านต่างประเทศ ส่วน กันย์ (17 ก.ย.-17 ต.ค.) เป็นราศีที่ดวงดีที่สุดในปีนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดี สิ่งใหม่ๆ กำลังจะเกิดขึ้น อาจเป็นงานใหม่ บ้านใหม่ รถใหม่

สำหรับ ตุลย์ (18 ต.ค.-16 พ.ย.) ครึ่งปีหลังเหนื่อยพอสมควรเนื่องจากเป็นช่วงของการเตรียมตัวที่จะต้องเจอสิ่งใหม่ แนะนำให้ทำบุญเกี่ยวกับความหนักแน่นมั่นคง เช่น ปิดทองฝังลูกนิมิต พิจิก (16 พ.ย.-15 ธ.ค.) ปีนี้จะโชคดีแต่ระวังเรื่องสุขภาพเพราะมีเกณฑ์ผ่าตัด ให้แก้เคล็ดด้วยการตรวจสุขภาพหรือเจาะเลือด และควรทำบุญที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล ส่วน ธนู (16 ธ.ค.-14 ม.ค.) จะมีโชคเรื่องการเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ให้เน้นลูกค้าที่ติดต่อทางไกล หรือมีโอกาสได้ติดต่อทำงานกับต่างชาติ

อีก 3 ราศีที่เหลือคือ มังกร (15 ม.ค.-12 ก.พ.) หลังสงกรานต์ดวงจะดีขึ้น มีคนรักคนเมตตา มีโอกาสก้าวหน้า และมีโชคเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง ส่วน กุมภ์ (13 ก.พ.-14 มี.ค.) มีพระราหูเป็นดาวประจำราศี ถ้าทำงานที่เกี่ยวกับต่างประเทศ เว็บไซต์ ออนไลน์ จะทำให้ก้าวหน้า ปิดท้ายที่ มีน (15 มี.ค.-13 เม.ย.) เป็นราศีที่ดวงดีอันดับ 2 รองจากกันย์ ปีนี้เด่นเรื่องคู่ ใครที่รอคู่มานานจะมีโอกาสได้พบ อาจไม่ใช่แค่คู่รักแต่รวมถึงการเป็นคู่สัญญา หุ้นส่วน ทำให้เกิดการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ

พร้อมกันนี้ หมอช้างยังได้เผยเคล็ดลับวิธีไหว้พระขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า ก่อนอื่นต้องมีความตั้งใจ ในการไหว้ ตั้งใจที่จะทำบุญ มีสมาธิขณะอธิษฐาน ที่สำคัญคือต้องมีรอยยิ้ม ผ่อนคลาย ไม่เครียด ทำให้จิตใจมีความสุข อย่างไรก็ตาม การทำนายดวงชะตานั้นเป็นเพียงแค่การบอกให้เตรียมตัวตั้งรับกับสิ่งที่กำลังรออยู่ข้างหน้า การทำนายว่าโชคดีก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความสบาย แต่หมายถึงโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น ดังนั้น ควรหมั่นทำบุญไหว้พระเป็นประจำเพื่อให้ชีวิตมีความสุขประสบความสำเร็จ

ผู้ที่สนใจสามารถติดตามความเคลื่อนไหวเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ กับแลคตาซอยในครั้งต่อไปได้ที่ www.facebook.com/lactasoyclub

หลังจากได้มีแผนผุดบิ๊กโปรเจกต์ที่สุดแห่งดินแดนสยาม สำหรับ “ไอคอนสยาม” ก็ได้สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะด้วยโลเคชั่นที่เรียกว่าเป็นสุดยอดทำเลทองติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าจะขึ้นแท่นเป็นเดสติเนชั่นที่ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวจะต้องมาเยือน มาเช็กอินอย่างแน่นอน

 

โครงการนี้เกิดขึ้นโดยพันธมิตรยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 ของประเทศไทย ได้แก่ สยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหาร Mixed-use development ร่วมกับ MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมและโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพระดับลักชัวรี่ และ เครือเจริญโภคภัณฑ์

 

 

เรียกว่าไอคอนสยามจะเป็นโครงการที่จะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งใหม่ของประเทศไทย คาดก่อสร้างเสร็จปลายปี 2560 ด้วยขนาดพื้นที่ 750,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการกว่า 50,000 ล้านบาท ประกอบด้วยอณาจักรศูนย์การค้าแห่งยุค 2 อาคาร คือ ไอคอนสยาม (Main Retail & Entertainment) พื้นที่ 500,000  ตารางเมตร  และ ไอคอนลักซ์ (Luxury Wing)  พื้นที่ 25,000 ตารางเมตร  มีที่จอดรถและสิ่งอำนวยความสะดวกแยกจากกัน แต่เชื่อมต่อการไหลเวียนของลูกค้ากันได้อย่างทั่วถึง

 

และคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 2 อาคาร ที่บริหารงานโดยแมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม และ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ

 

 

โดยที่ล่าสุดได้เพิ่มเงินลงทุนอีก 4,000 ล้านบาท รวมเป็น 54,000 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่โครงการเพิ่มอีก 5 ไร่ ฝั่งตรงข้ามถนนเจริญนคร ในโปรเจกต์นี้ได้รวมปรากฏการณ์ที่เป็นครั้งแรกของทั้งในประเทศไทย และครั้งแรกของโลกไว้ด้วยกันหลายอย่าง

 

ความสำคัญของไอคอนสยามนอกจากจะเป็นโครงการที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทยแล้ว แต่ยังสะท้อนความเป็นไทยให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนได้ด้วย

 

ชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เจ้าของโครงการไอคอนสยาม ได้เปิดเผยว่า “โดยปกติในการทำโครงการอื่นๆ ผู้ประกอบการจะชูประเด็นว่ามีคอนเซ็ปต์ที่มีต้นแบบหรือแรงบันดาลใจจากประเทศต่างๆ แต่ไอคอนสยามต้องการสร้างโครงการที่แตกต่าง และต้องการนำเสนออัตลักษณ์ของประเทศไทยให้ครบทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาไทย สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ ประเพณี วัฒนธรรม ฯลฯ ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทย

 

 

ไอคอนสยามจะเป็นสถานที่ที่บอกเล่ากว่าหนึ่งล้านเรื่องราวที่เป็นความสำเร็จและความภาคภูมิใจของคนไทย จากระดับหมู่บ้าน ตำบล จังหวัด จนถึงระดับชาติ เป็นตัวแทนของจินตนาการแห่งยุคที่จะถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ในหลากหลายรูปแบบ ในสไตล์ไทยล้ำยุคสู่อนาคต คือ ‘ไทยสร้างสรรค์’ ต่อสายตาชาวโลก นับเป็นครั้งแรกของ Mega Project ของไทยที่จะนำเสนอความเป็นไทยร่วมสมัยได้ทุกมิติอย่างครบครัน”  

 

 

 

2 อาณาจักรศูนย์การค้าแห่งยุคของไอคอนสยาม ได้แก่ ไอคอนสยาม และ ไอคอนลักซ์ ได้รับการออกแบบโดยต่อยอดแนวความคิดจากการที่มีที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จึงมีแรงบันดาลใจจากการสักการะบูชาแม่น้ำของคนไทยด้วยเครื่องบรรณาการคือ กระทงและบายศรี ซึ่งเป็นเครื่องบูชาในงานมงคล แปลงเป็นรูปแบบ Abstract ร่วมสมัย โดย อาคารไอคอนสยาม จะมีเส้นสายรอบอาคารจากการพับกระทงและบายศรี ในขณะที่อาคารไอคอนลักซ์จะมีรูปทรงเสมือนกระทงแก้ว 3 อาคาร  มี Façade ทอดยาวริมแม่น้ำถึง 300 เมตร ด้วยกระจกพิเศษจับจีบซ้อนในลักษณะแนวตั้งยาวตลอดซึ่งยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ซึ่งส่วนนี้มีแรงบันดาลใจจาก การห่มสไบที่จีบเรียงทอดยาว เปรียบเสมือนการห่อหุ้มสิ่งที่มีค่าที่สุดของโครงการไว้ เพราะไอคอนลักซ์คือที่สุดแห่งความหรูหราสง่างามของโครงการไอคอนสยาม 

 

 

ICONS within ICON คือการสร้างอาคารเล็กหลายๆ อาคารให้อยู่ภายในอาคารใหญ่ ไอคอนสยามจะนำเสนอกลุ่มอาคารเล็กที่แต่ละอาคารมี Façade 360 องศา เปรียบเสมือนคฤหาสน์ (Mansion) ที่จะนำเสนอที่สุดของแบรนด์สินค้าไทยและที่สุดของ Luxury Brands จากทั่วโลก   

 

 

River Park พื้นที่จัดกิจกรรมริมฝั่งแม่น้ำ เนื้อที่กว่า 10,000 ตารางเมตร จะช่วยให้ผู้มาเยือนเข้าถึงและดื่มด่ำกับความงดงามของบรรยากาศริมฝั่งแม่น้ำได้โดยพื้นที่ส่วนนี้จะรองรับการจัดงานระดับชาติที่ยิ่งใหญ่ และการแสดงโชว์ระดับโลกในสถานที่ที่สวยงามและมีเสน่ห์ที่สุดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา   

 

ระบำสายน้ำผสมผสาน แสง สี เสียง ไฟ และมัลติมีเดีย (Multi-Media Water-and-Fire Feature)มูลค่า 400 ล้านบาท ที่ยิ่งใหญ่ตระการตาริมแม่น้ำเจ้าพระยา ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กว่า 400 เมตร 

 

 

ไอคอนสยามจะรวบรวมสินค้าที่เป็นสุดยอดแบรนด์ไทยในทุกประเภท ตั้งแต่แฟชั่น ศิลปหัตถกรรมต่างๆ ตลอดจนสินค้าของดีของฝากจาก 77 จังหวัดทั่วประเทศมาไว้ในที่นี้ เพื่อให้คนไทยและนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวทั่วไทยได้อย่างครบครันในไอคอนสยาม เป็นปรากฏการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจของตลาดน้ำในร่มแห่งแรก พร้อมการแสดงศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ที่หาชมได้ยาก บนพื้นที่กว่า 8,000 ตารางเมตร

 

 

‘ไอคอนลักซ์’ สัญลักษณ์แห่งความวิจิตร ศูนย์รวมความหรูหราระดับโลก จะเป็นที่สุดของการรวบรวม World Class Brands ดังระดับโลกทุกประเภททั้งสินค้าแฟชั่น เครื่องประดับอัญมณี และนาฬิกาอย่างครบครันที่สุด โดยแต่ละแบรนด์จะนำเสนอร้านในรูปแบบ Global Iconic Store 

 

 

ไอคอนสยาม เฮอริเทจ มิวเซียม (ICONSIAM Heritage Museum) พิพิธภัณฑ์ระดับโลกแห่งแรกของประเทศไทย 8,000 ตารางเมตร ศูนย์รวมมรดกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไทย โดยไอคอนสยามจะทำงานร่วมกับกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม และกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เพื่อจัดแสดงศิลปวัตถุล้ำค่าของไทยในยุคสมัยต่างๆ พร้อมทั้งมีนิทรรศการเคลื่อนที่ (Touring Exhibitions) ที่เป็นสุดยอด Masterpieces จากทั่วโลกผลัดเปลี่ยนกันไป รวมถึงผลงานศิลปะร่วมสมัยของศิลปินไทย นำเสนอด้วยเทคโนโลยีการจัดแสดงที่ทันสมัยที่สุด และได้มาตรฐานทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย และการอนุรักษ์โบราณวัตถุชิ้นสำคัญระดับโลก

 

 

ศูนย์การประชุมระดับโลก (World Class Auditorium) ที่ได้มาตรฐานระดับสากลแห่งแรกในประเทศไทย ขนาด 3,000 ที่นั่ง รองรับการจัดงานประชุมและจัดแสดงโชว์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งจะทำให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการประชุมนานาชาติ อีกทั้งจะดึงดูดการแสดงระดับชั้นนำของโลกให้เข้ามาได้อีกด้วย

 

โรงภาพยนตร์ 10,000 ตารางเมตร จะเป็นปรากฏการณ์ ‘ครั้งแรก’ ด้วยโรงภาพยนตร์ที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าที่สุดในประเทศ ด้วยเครื่องฉายและระบบเสียงเทคโนโลยีล้ำยุครุ่นล่าสุด และคอนเซ็ปต์ที่หรูหราในการวางผังและจัดที่นั่ง 

 

โลกแห่งความสนุกสนานของเด็กและครอบครัว 4,000 ตารางเมตร เป็นครั้งแรกที่เด็กๆ จะได้รับประสบการณ์ที่ตื่นตาตื่นใจ สุดล้ำกับการแจ้งเกิดของสิ่งมหัศจรรย์สำหรับเด็กๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย 

 

 

ไอคอนสยามรวบรวม 500 ร้านค้าประเภทต่างๆ นำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดในอาเซียนและจากทุกมุมโลกมาไว้ที่นี้ ซึ่งกว่า 20% ไม่เคยเปิดให้บริการในประเทศไทย

 

Sport Complex ขนาดใหญ่แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทยที่อยู่บน Roof Top Garden พร้อมสระว่ายน้ำขนาดโอลิมปิคกลางแจ้งและลู่วิ่งที่เห็นวิวสองฝั่งฟ้าของกรุงเทพมหานคร

 

 

ทาคาชิมาย่า ห้างสรรพสินค้าระดับตำนานของญี่ปุ่น สาขาแรกในประเทศไทย 35,000 ตารางเมตร เป็นห้างสรรพสินค้าที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก จำหน่ายสินค้าแบรนด์หรูหราที่ครบครันจากประเทศญี่ปุ่นและแบรนด์แชมเปี้ยนของไทย อาทิ เครื่องสำอาง เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับทั้งบุรุษและสตรี ผลิตภัณฑ์ของใช้ในชีวิตประจำวัน รวมทั้งอาหารและเครื่องดื่มคุณภาพพรีเมี่ยม

 

 

ไอคอนสยามจะนำเสนอสุดยอดภัตตาคารหรูระดับ 3 Michelin Stars เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และรวบรวม 100 ภัตตาคารชื่อดังของเมืองต่างๆ จากทั่วโลกที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทยมาไว้ที่นี้ รวมถึงอาหารสุดยอดจากทุกภาคในประเทศไทย ภายใต้บรรยากาศที่หลากหลายทั้ง Terrace ริมน้ำ พื้นที่สวนสวรรค์ในอาคาร หรือ บน Rooftop ที่จะนำเสนอบาร์ในรูปแบบต่างๆ 

 

 

การนำเสนอเทคโนโลยีด้านการสื่อสารแบบครบวงจร มี Infrastructure สุดล้ำด้วยไฟเบอร์ออฟติกที่เร็วที่สุดในประเทศไทย เป็นสุดยอดนวัตกรรมด้านการสื่อสารยุคใหม่อย่างเต็มรูปแบบ พบกับ Application ที่นำเสนอเรื่องราวกว่า 1 ล้านเรื่องของตำนานที่เป็นที่มาของงานศิลปะและส่วนตกแต่งภายในอาคาร แหล่งที่มาของสินค้า inspiration ของร้านค้าและบริการแก่ลูกค้าได้เข้าใจและร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการบอกเล่าเรื่องราวนั้นๆ ต่อไป นวัตกรรมเหล่านี้จะทำให้เราเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และสามารถบริหารประสบการณ์ของลูกค้า เชื่อมต่อชีวิตให้ง่ายขึ้น และตอบสนองความต้องการทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้ตลอดเวลา

 

 

มหาปรากฏการณ์แห่งยุค เป็นโครงการแรกที่ให้การสนับสนุนการสร้างระบบขนส่งมวลชนรอง (Feeder Line) โครงการรถไฟฟ้าสายสีทองตามนโยบายของกรุงเทพมหานคร บนถนนเจริญนคร ที่จะเชื่อมต่อ รถไฟฟ้าสายสีเขียว สีแดง และสีม่วง เข้าด้วยกันในอนาคต และในพื้นที่โครงการยังสร้างท่าเทียบเรือ 4 ท่า เพื่อรองรับการสัญจรทางน้ำด้วยเรือยอร์ชส่วนตัว เรือสำราญของนักท่องเที่ยว และเรือข้ามฟาก 73 ท่าเรือโดยรอบ ไอคอนสยามจึงจะเป็นจุดเชื่อมโยงการสัญจรทาง รถ ราง เรือ ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประเทศไทย

 

 

จัดงาน “Celebrity Bears Show” ขนทัพหมีระดับซุป’ตาร์ มาให้สัมผัสกันอย่างคับคั่ง

 

ซีคอนสแควร์ ร่วมกับ เมืองไทยประกันชีวิต เนรมิตพื้นที่ลานน้ำพุให้เป็นโลกแห่งดินแดนของเหล่าหมีซุป’ตาร์ ที่มารวมพลเฉพาะกิจ ต้อนรับช่วงเวลาของการปิดเทอม ยกทัพกันมาสร้างความตื่นตาตื่นใจอย่างมากมาย 

 

 

งานนี้นำทีมโดยคุณหมี คุมะมง  ซุป’ตาร์หมีสุดเกรียนจากแดนปลาดิบ เป็นหมีมาสคอตที่รับหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดคุมะโมะโตะ ประเทศญี่ปุ่น, พูห์ วินนี่ ตัวการ์ตูนชื่อดังจากการ์ตูนเรื่องวินนี่ เดอะ พูห์ เป็นหมีที่น่ารัก ชื่นชอบน้ำผึ้งเป็นชีวิตจิตใจ นิสัยอ่อนโยน ผองเพื่อนยกย่องให้พูห์เป็นผู้นำ, ริลัคคุมะ ตัวการ์ตูนหมีเพศผู้ ตัวอวบ สีน้ำตาล ที่มีใบหูสีเหลืองและมีท้องป่อง

 

 

โป กังฟูแพนด้า แพนด้าตัวใหญ่เพศชายตัวละครเอกจากภาพยนตร์เรื่องกังฟูแพนด้า เป็นตัวละครที่มีความฝันว่าจะได้เข้าร่วมชมการประลองเจ้ายุทธจักร และรักวิชากังฟู, คุมะมิโกะ คนทรงหมี หมีจากหนังสือการ์ตูนยอดฮิตในประเทศญี่ปุ่น ที่กำลังจะถูกสร้างเป็นการ์ตูนแอนนิเมชั่น, ล็อทโซ่ ตุ๊กตาหมีกลิ่นสตรอเบอร์รี่ ตัวละครเอก จากภาพยนตร์ Toy Story หมีตัวโตแสนนุ่มตัวสีชมพูสลับขาวจมูกสีม่วง

 

แพดดิงตัน หมีจากภาพยนตร์แนวตลกของประเทศอังกฤษ มีคาแรคเตอร์กวนๆ สนุกสนาน, หมีคู่ใจของมิสเตอร์บีน เป็นหมีสีน้ำตาล หน้าตากวน, หมีครัวซอง หมีฟองดูว์ ที่รังสรรค์โดย Rainflower Blissbearclub by St.Andrews และผองเพื่อนหมีตัวอื่นๆ อีกมากมาย

 

 

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Celebrity Bears Meet&Greet” ให้เหล่าแฟนๆ ได้ใกล้ชิดกับคุณหมีตัวโปรด สนุกสนานไปกับขบวนพาเหรดหมี พร้อมกิจกรรม Hug a Bear เผื่อแผ่  ไออุ่น เพื่อร่วมสมทบทุนสร้างเสื้อเกราะให้กับทหารใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ และยังมีสินค้าน่ารัก สไตล์หมีๆ ให้เลือกช้อปมากมาย ระหว่างวันที่ 11-20 มีนาคม 2559 ณ ลานน้ำพุ ชั้น 1 ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ งานนี้ดูฟรี…!

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2721-8888 หรือ https://www.facebook.com/SeaconSquareFanPage  ติดตามโปรโมชั่นและสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ Line@ : @seaconsquare

 

กลับมาอีกครั้งเป็นปีที่ 4 สำหรับโครงการ dtac accelerate หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการบ่มเพาะสตาร์ทอัพมาอย่างมากมาย ในปีนี้ทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้นด้วยการดึงพาร์ทเนอร์แถวหน้าที่ประสบความสำเร็จจากซิลิคอนวัลเลย์ มาเป็นโค้ชให้กับทีมที่ผ่านการคัดเลือก เพื่อให้สตาร์ทอัพสามารถขับเคลื่อนความฝันทะยานสู่เป้าหมายได้เร็วยิ่งขึ้น ด้วยปัจจัยสนับสนุนในหลายด้านที่พร้อมให้ธุรกิจของสตาร์ทอัพเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง

 

ธุรกิจสตาร์ทอัพ มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2558 มีการลงทุนในกลุ่มสตาร์ทอัพไทยประมาณ 1,260 – 1,440 ล้านบาท ด้วยข้อตกลงในการร่วมลงทุนในธุรกิจกว่า 20 ราย  คาดการณ์มูลค่าในการลงทุนประมาณ 1,800 ล้านบาท ดีแทคมองเห็นความสำคัญในส่วนนี้เป็นอย่างมาก จึงได้พยายามทุ่มเท ยกระดับมาตรฐานของโครงการนี้ให้สูงขึ้น จนประสบความสำเร็จในหลากหลายด้านจากปีที่ผ่านมา ดังเช่น

 

– สตาร์ทอัพภายใต้โครงการ dtac accelerate โตขึ้น 3 – 15 เท่า ด้วยมูลค่าประมาณ 1 พันล้านบาท

 

– สตาร์ทอัพในโครงการ dtac accelerate 70% ได้รับเงินลงทุน ในขณะที่สตาร์ทอัพในตลาดได้รับเงินลงทุนเฉลี่ยเพียง 20%

 

– 3 ใน 6  ทีม dtac accelerate ได้รับการลงทุนจาก VC ในช่วงของการเข้าร่วมบูธแคมป์ตั้งแต่ 4 เดือนแรกที่ร่วมโครงการ

 

– dtac accelerate 4 – 5 ทีม ติดอันดับท็อปเทน จากหลายสื่อ ที่จัดอันดับสตาร์ทอัพที่มีชื่อเสียงในเมืองไทย

 

– เคลมดิ (ClaimDi) ซอฟต์แวร์ที่ปฏิวัติวงการประกันภัยระดับโลก สามารถระดมทุนจากนักลงทุนระดับโลก ในรอบซีรียส์เอ เป็นเงินทั้งสิ้น 2 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่งผลให้มูลค่าของบริษัทสูงถึง 10 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตขึ้น 15 เท่าภายในระยะเวลาแค่ 12 เดือนหลังจบโครงการไปและถือเป็นการลงทุนในระดับซีรียส์เอที่สูงที่สุดในวงการสตาร์ทอัพไทย ที่เป็นบริษัทของคนไทย 100% และล่าสุดได้รับการจัดอันดับให้ติด Top10 InsureTech ของโลก

 

– ทีม GizTix เป็นทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ Winner award และ Z my Home ติด 1 ใน 5 ในงาน เอชลอน ประเทศไทย 2558 (Echelon Thailand 2015) 

 

– Take Me Tour ได้รับการยกย่องจาก e27 ให้ติด 1 ใน 5 แอพ TravelTech ในเอเชีย 

 

 

 

1. ได้รับการอบรมจากกูรูแถวหน้าจาก ซิลิคอน วัลเล่ย์ พร้อมทั้งเรียนรู้แบบตัวต่อตัวจากสตาร์ทอัพตัวจริง

 

2. ได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุน และช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจเชิงพานิชย์

 

3. มีเมนเทอร์สตาร์ทอัพปรมาจารย์ระดับสุดยอด และเป็นที่ยอมรับในวงการสตาร์ทอัพไทยคอยชี้แนะ เช่น 

– คุณอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลน์ ประเทศไทย 

– คุณหมู ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง ookbee 

– คุณป้อม ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอ tarad.com 

– คุณแจ็ค กิตตินันท์ อนุพันธ์ ซีอีโอ และผู้ก่อตั้ง claimdi 

– คุณโบ๊ท ไผท ผดุงถิ่น ซีอีโอ Builk

– คุณทิวา ยอร์ค ซีอีโอ ของ KaiDee 

 

4. ร่วมเป็นพันธมิตรกับ ดิจิ มาเลเซีย และเทเลนอร์ เมียนมา โดยเปิดโอกาสให้ทีมจากดิจิ และ เทเลเนอร์ เมียนมาเข้าร่วม อบรมบูธแคมป์ในประเทศไทยตลอด 4 เดือน ผลที่คาดว่าจะได้จากความร่วมมือทั้ง 2 ประเทศในครั้งนี้ จะทำให้สตาร์ทอัพสามารถทำตลาดไปในลูกค้าของทั้งสองประเทศได้ ในขณะที่สตาร์ทอัพไทยสามารถขยายตลาดได้อย่างรวดเร็ว และทีมจากดิจิ และเทเลนอร์ เมียนมา ก็ได้เรียนรู้จากสตาร์ทอัพไทยด้วย

 

5. เป็นพันธมิตรกับ Disrupt University ซึ่งเป็นเอ็กซ์คลูซีฟพาร์ทเนอร์ ของ 500 สตาร์ทอัพจากซิลิคอน วัลเล่ย์ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของสตาร์ทอัพแคมป์ระดับโลก

 

6. เป็นพันธมิตรกับ แบล็คบ็อกซ์ BlackBox ซึ่งเป็นบูธแคมป์ที่ได้รับความนิยมท๊อป 5 สูงสุดจากสตาร์ทอัพทั่วโลก  ที่ต้องการรับความรู้และประสบการณ์การทำธุรกิจสตาร์ทอัพโดยตรงที่ซิลิคอน วัลเล่ย์ โดยส่งทีมที่ชนะเลิศ ที่มีความสามารถเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ และมีไอเดียที่ดีที่สุดจากประเทศไทยไปเรียนรู้ และได้ทำความรู้จักกับ เจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และนักลงทุนผู้มากด้วยประสบการณ์ และแหล่งของทรัพยากรที่จะเร่งให้ประสบความสำเร็จขยายต่อไปในระดับโลก

 

7. เป็นพันธมิตรกับ เทเลนอร์ ดิจิทัล วินเนอร์ ซึ่งเป็นโอกาสของสตาร์ทอัพที่จะได้ไปนำเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนใหญ่ระดับโลก เช่น อินเทล เว็นเจอร์ แคปปิตอล ในนอร์เวย์”

 

dtac accelerate ปีที่ 4 เปิดรับสมัครผลงานตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม – 17 เมษายน 2559 ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดและกรอกใบสมัครได้ที่  http://accelerate.dtac.co.th/

 

หลังจากที่มีปัจจัยหนุนจากทางภาครัฐในการออกมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วโดยสนับสนุนให้ผู้ที่มีรายได้สุทธิไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน สามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ ในวงเงินที่สูงขึ้น ทั้งยังมีการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนและจำนองอสังหาริมทรัพย์ เหลือเพียงร้อยละ 0.01 มีผลบังคับใช้ ถึงวันที่ 28 เมษายน 2559 นี้

 

สำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการตัดสินใจเลือกหาที่อยู่อาศัย ที่สอดคล้องกับความต้องการของตนเองนั้น ช่วงนี้ถือเป็น “โค้งสุดท้าย” ที่จะใช้สิทธิจากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของทางภาครัฐ พฤกษาเรียลเอสเตท จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายภายใต้แคมเปญ “พฤกษา best buy moment” ขึ้นเพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ที่ยังคงลังเลได้ตัดสินใจง่ายขึ้น

 

แคมเปญนี้จัดมาอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ปีที่ 3 แล้ว ครอบคลุมโครงการพร้อมโอนของพฤกษาทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดรวมกว่า 160 โครงการ ตัวอย่างแบรนด์ที่เข้าร่วมเช่น Plum Condo, Chapter One, The Plant, Passorn, The Reserve, บ้านพฤกษา, พฤกษาวิลล์ ฯลฯ 

 

 

ชั้นที่ 1 รับสิทธิพิเศษตามเงื่อนไขแต่ละโครงการที่มีอยู่เดิม เช่น ส่วนลดโครงการสูงสุดถึง 1 ล้านบาท 

 

ชั้นที่ 2 รับส่วนลดเพิ่ม 2% 

 

ชั้นที่ 3 ทุกๆ 5 แสนบาทหลังหักส่วนลด รับคูปองชิงโชค 1 ใบเพื่อลุ้นรถ Mercedes Benz CLA 250 และทองคำหนักสูงสุด 50 บาท 10 บาท และ 5 บาท รวมกว่า 50 รางวัล  มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท จับสลากวันที่ 27 พ.ค. 2559 ประกาศรายชื่อผู้โชคดี 6 มิ.ย. 2559

 

 

1. ธนาคารไทยพาณิชย์ มอบตั๋วเครื่องบิน / สร้อยคอทองคำ  สำหรับวงเงินกู้ 2 ล้านบาทขึ้นไป

 

2. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มอบอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.75%

ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 0.50%

ปีที่ 2  อัตราดอกเบี้ย = MLR-2.70%

ปีที่ 3 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย = MLR-2.45%

 

3. ธนาคารกสิกรไทย มอบดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.90% 

อัตราการผ่อนชำระพิเศษล้านละ 1,000 บาท/เดือน ในช่วง 1 ปีแรก

– วงเงินกู้ 1.00 – 2.99  ล้านบาท รับ Voucher Central มูลค่า 1,000 บาท 

– วงเงินกู้ 3.00 – 4.99  ล้านบาท รับ Voucher Central มูลค่า มูลค่า 2,000 บาท 

– วงเงินกู้ 5.00 ล้านบาทขึ้นไป รับ Voucher Central มูลค่า มูลค่า 4,000 บาท

 

4. ธนาคารกรุงเทพ มอบอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.75%

 

5. ธนาคารทหารไทย มอบดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี = 3.65% 

 

6. ธนาคารกรุงไทย มอบดอกเบี้ย 0% : 1 ปี (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 4.33%)

 

7. ธนาคารยูโอบี มอบดอกเบี้ย 0% : 9 เดือน และดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี = 3% (อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 4%)

 

8.  ธนาคารออมสิน มอบอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% คงที่ 10 เดือน 

เดือนที่ 1-10 = 0% 

เดือนที่ 11-12 = 1.25%

ปีที่ 2 เป็นต้นไป = MRR -1.50%

อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 4.05%

 

9. ธนาคารธนชาต มอบอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.90% เครื่องดูดฝุ่น Electrolux รุ่น ZS-321 ขนาด 800 วัตต์ จำนวน  50 เครื่อง (สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป)

 

10. ธนาคารซีไอเอ็มบี มอบอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.90%

 

11. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ อยู่ในระหว่างพิจารณาอัตราดอกเบี้ย

 

หากต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม โทร.1739 หรือ คลิก www.pruksa.com/BestBuyMoment