อาจจะดูแปลกไปหน่อยสำหรับ Apple ที่ยอมปลดล็อกบริการสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง Apple TV ให้กับคู่แข่งอย่าง Android อย่างไรก็ตาม การจะขยายฐานผู้ใช้ใหม่ ๆ จะอาศัยแค่การเติบโตของยอดขายอุปกรณ์คงไม่พอ
เพราะแม้ว่าในสหรัฐฯ จำนวนผู้ใช้งาน iPhone จะมีมากกว่าผู้ใช้มือถือ Android แต่ทั่วโลกตามข้อมูลของ Statcounter ระบุว่า สัดส่วนผู้ใช้ Android มีถึง 72% ดังนั้น การเปิดตัวแอป Android ขยายตลาดของ Apple อย่างมีนัยสําคัญ
ดังนั้น การเปิดให้มือถือ Android สามารถใช้งานบริการ Apple TV ได้ ถือเป็นสัญญาณว่า Apple จะไม่จํากัดศักยภาพการเติบโตของแผนกบริการ จากเดิมที่เก็บค่าบริการ Apple TV จากเฉพาะแค่กับอุปกรณ์ของตัวเองเท่านั้น
ที่ผ่านมา ธุรกิจบริการของ Apple สามารถทำรายได้ มากสุดเป็นอันดับ 2 โดยเป็นรองแค่ยอดขาย iPhone และบริการมีอัตรารายได้ 100,000 ล้านดอลลาร์ ในปีที่แล้ว นอกจากการสมัครสมาชิกเช่น iCloud แล้ว ธุรกิจบริการยังรวมถึงรายได้จากการขายโฆษณา ข้อตกลงกับกูเกิล, การรับประกันของ AppleCare และค่าธรรมเนียมการชําระเงินจาก Apple Pay และ Apple TV+
ซึ่ง Apple TV ถือเป็นหนึ่งในบริการยอดนิยมของ Apple และมีหลายรายการที่โด่งดังจนเป็นที่รู้จัก เช่น รายการ “Ted Lasso” และ “Severance” นอกจากนี้ Apple TV ยังออกอากาศเกมเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ และเมเจอร์ลีกเบสบอล อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่เคยเปิดเผยถึงจํานวนผู้ชมของ Apple TV+ แต่ Nielsen ประเมินว่าคิดเป็นส่วนเล็ก ๆ ของการดูทีวีชาวอเมริกันทั้งหมด คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อเดือนในสหรัฐอเมริกา และรวมอยู่ในหลายชุดพร้อมกับพื้นที่เก็บข้อมูล iCloud, Apple Music และการสมัครสมาชิกอื่น ๆ
สำหรับแอปพลิเคชัน Apple TV+ สามารถดาวน์โหลดผ่านแอปสโตร์ Google Play ได้ตั้งแต่วันนี้ ครอบคลุมทุกอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเล็ต และอุปกรณ์จอพับ โดยผู้ใช้จะสามารถชําระเงินด้วยบัญชี Google ของตนได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งาน Android จะไม่สามารถใช้งาน iTunes Store ได้ ดังนั้น ผู้ใช้งาน Android จะไม่สามารถเช่าหรือซื้อคอนเทนต์ใด ๆ จากสโตร์ของ Apple ได้
]]>นับตั้งแต่โลกรู้จักกับ ChatGPT ในปี 2022 บริษัทยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีหลายรายต่างทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในโครงการ AI โดยมุ่งขยายศูนย์ข้อมูลด้วยหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia จำนวนมาก และพัฒนาโมเดลต่าง ๆ ของตนเอง
แต่การมาของ DeepSeek ก็มาทำให้เกิดคำถามว่า บริษัทยักษ์ใหญ่จำเป็นต้องลงทุนมหาศาลขนาดนั้นไหม เพราะ DeepSeek ใช้เงินลงทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้หุ้นของผู้ผลิตชิป AI อย่าง Nvidia และ Broadcom ลดลงรวมกัน 800,000 ล้านดอลลาร์ ในวันเดียว
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการมาของ DeepSeek จะไม่ได้ทำให้การลงทุนด้าน AI ของเหล่าบิ๊กเทคนั้นลดลง โดยเมื่อรวมเม็ดเงินการลงทุนของ Meta, Amazon, Alphabet และ Microsoft มีมูลค่าสูงถึง 320,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 230,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีที่ผ่านมา หรือมากกว่าปีก่อนถึงเกือบ 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับ Amazon บริษัทเทคโนโลยีและอีคอมเมิร์ซของสหรัฐฯ ประกาศว่าปีนี้จะลงทุน มากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่ใช้เงินลงทุน 83,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย Andy Jassy ซีอีโอ กล่าวว่า เงินส่วนใหญ่จะใช้กับ AI ในส่วนของ Amazon Web Services
เมื่อเดือนที่แล้ว Microsoft เปิดเผยว่าจะจัดสรรเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 สำหรับการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลที่สามารถรองรับการประมวลผล AI โดย แบรด สมิธ ซีอีโอ กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายมากกว่าครึ่งหนึ่งจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา
Alphabet ตั้งเป้าการใช้ลงทุนด้าน AI ปีนี้ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคาดว่าจะมีการใช้จ่าย 16,000 – 18,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในไตรมาสแรก โดย Anat Ashkenazi หัวหน้าฝ่ายการเงินกล่าวในการรายงานผลประกอบการว่า การใช้จ่ายส่วนใหญ่จะใช้กับ โครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิค โดยส่วนใหญ่จะใช้กับเซิร์ฟเวอร์ รองลงมาคือ ศูนย์ข้อมูลและระบบเครือข่าย
ส่วน มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ได้กำหนดงบประมาณด้านการลงทุนด้าน AI ของบริษัทไว้ที่ 60,000 – 65,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับระบุว่า ปี 2025 จะเป็นปีแห่งการกำหนดทิศทางของ AI และการเคลื่อนไหวครั้งนี้จะช่วย ปลดล็อกนวัตกรรมทางประวัติศาสตร์และขยายความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของอเมริกา
สำหรับ Apple อาจจะประเมินได้ค่อนข้างยากว่ามีการใช้งบลงทุนด้าน AI มากน้อยแค่ไหน เพราะงบส่วนใหญ่จะปรากฏในค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน เนื่องจากบริษัท ใช้ความสามารถในการฝึกอบรมจากผู้ให้บริการระบบคลาวด์ เช่น โมเดลที่รองรับปัญญาประดิษฐ์ของ Apple นั้นได้รับการฝึกฝนจาก Google Cloud นอกจากนี้ Apple ยังใช้ความสามารถในการฝึกอบรมระบบคลาวด์จาก AWS และ Azure อีกด้วย
ขณะเดียวกัน Tim Cook ซีอีโอ กล่าวว่า Apple ใช้แนวทางแบบผสมผสานในการลงทุน โดยมีสิ่งที่พัฒนาภายใน แต่ก็มีพันธมิตรบางรายที่ทำธุรกิจด้วยภายนอก ซึ่งการลงทุนนั้นจะปรากฏอยู่ในธุรกิจของพวกเขา
ด้าน Tesla ได้เคยเปิดเผยในปี 2024 ว่า ค่าใช้จ่ายด้านทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทคาดว่าค่าใช้จ่ายด้าน AI จะคงที่เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยปัจจุบัน Tesla ได้สร้างคลัสเตอร์การฝึกอบรมที่เรียกว่า Cortex ในโรงงานในรัฐเท็กซัส เพื่อใช้สำหรับการฝึกอบรมโมเดลเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ของบริษัทที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
จะเห็นว่าแต่ละบริษัทอัดงบลงทุนกับ AI มหาศาล แต่นั่นก็ไม่ใช่การตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะอย่าง Amazon, Google และ Microsoft ที่แม้จะลงทุนเยอะ แต่จะยิ่งส่งผลดีอย่างมากต่อธุรกิจคลาวด์ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ต่างก็ต้องการเครื่องมือประมวลผล AI เพิ่มเติม และพวกเขาวางแผนที่จะรันเวิร์กโหลดที่ใหญ่ขึ้นในคลาวด์
]]>
หนึ่งในนั้น คือ ‘การจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ ต้องรักในสิ่งที่ทำ’ โดยจ็อบส์ได้ถ่ายทอดบทเรียนนี้ผ่านสุนทรพจน์ในงานรับปริญญาของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อปี 2005 ซึ่งเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์อันโด่งดังของจ็อบส์ ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาในช่วงโดนไล่ออกจาก Apple บริษัทของตัวเอง และนั่นทำให้เขาสูญเสียสิ่งที่รักไป
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเรื่องดีต่อชีวิตของจ็อบส์ เพราะถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาบอกว่า คงไม่ได้สร้าง NeXt บริษัทผู้สร้างระบบปฏิบัติการ Operating System ที่เหนือชั้นอย่าง NeXTStep และ Pixar บริษัทแอนิเมชั่นชั้นนำของโลกขึ้นมา
“บางครั้งชีวิตของคุณจะเจอเรื่องแย่ ๆ จงอย่าเสื่อมศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเดินต่อได้คือการที่รักในสิ่งที่ทำ คุณต้องค้นหาสิ่งที่รักให้เจอ และจริงใจกับงานให้เหมือนกับความจริงใจที่มีให้คนรัก งานของคุณจะเติมเต็มชีวิตส่วนใหญ่ของคุณ และทางเดียวที่จะทำให้ตัวคุณพอใจกับการใช้ชีวิตคือทำในสิ่งที่เชื่อว่าดีที่สุด และหนทางเดียวที่จะสร้างผลงานยอดเยี่ยมได้ คือการรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณหามันไม่เจอ ก็หามันต่อไป อย่าหยุด และเมื่อคุณหามันเจอ หัวใจจะบอกคุณเองว่า นี่แหละใช่เลย”
แล้วบรรดาแฟน ๆ ของ Positioning ล่ะ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักเจอหรือยัง และได้ลงมือทำอย่างเต็มที่แล้วหรือไม่ ?
]]>กระทรวงอุตสาหกรรมของ อินโดนีเซีย ได้สั่งห้ามจำหน่าย iPhone 16 Series รวมถึงสินค้าที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง Apple Watch Series 10 โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจาก Apple ยังลงทุนไม่ครบตามที่ได้ตกลงไว้
โดย Apple ได้ลงทุนไปเพียง 1.5 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งต่ำกว่าที่ตกลงไว้ว่าจะลงทุน 1.7 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถ้า Apple จะกลับมาขายสินค้าอีกครั้งก็ต่อเมื่อ Apple ลงทุนครบตามจำนวนที่เคยระบุไว้ ซึ่งรวมถึงการสร้างสถาบัน Apple Academy สำหรับวิจัยพัฒนา
แม้ว่ารัฐบาลจะสั่งแบนการขายในประเทศ แต่กรณีที่ iPhone 16 ถูกส่งมาจากต่างประเทศ จะไม่ถูกนับ เพราะไม่ได้เกิดการขายในประเทศ และในส่วนของนักท่องเที่ยวที่มี iPhone 16 ก็ไม่ต้องกังวล โดยสามารถนำ iPhone 16 ที่เปิดการใช้งานแล้วเข้าประเทศได้ แต่ต้องไม่เกินคนละสองเครื่อง อย่างไรก็ตาม หากพบว่านำไปขายต่อ ก็จะมีความผิดตามกฎหมายทันที อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมี iPhone 16 ประมาณ 9,000 เครื่อง ได้เข้าสู่อินโดนีเซียแล้ว
ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาด 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวนประชากรมากถึง 270 ล้านคน มากสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก ในขณะที่จำนวนสมาร์ทโฟนในประเทศมีสูงถึง 350 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศอย่างมาก
]]>แม้จะมีข่าวลือว่า Apple ได้พับโครงการ Smart Ring ไปแล้ว แต่ตามรายงานของ CCS Insight ที่ติดตามเทคโนโลยีด้านสุขภาพของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ มองว่า Apple จะเปิดตัว Smart Ring ภายในปี 2026 และ Smart Ring จะเป็นมรดกสำคัญในส่วนของสินค้าสุขภาพของ Tim Cook ก่อนจะเกษียณ
“สินค้าสุขภาพได้กลายเป็นเสาหลักของ Apple และผมคิดว่า Smart Ring จะเป็นหนึ่งในมรดกสําคัญของเขาจาก Apple ในกลุ่มสินค้าสุขภาพ เมื่อพิจารณาจากการลงทุนและความสนใจส่วนตัวของ Tim Cook ดังนั้น Smart Ring จะเป็นส่วนขยายที่เติมเต็ม Apple อย่างมาก” Ben Wood หัวหน้านักวิเคราะห์ของ CCS Insight กล่าว
ที่ผ่านมา Tim Cook ได้มุ่งเน้นในการพัฒนาให้สินค้ามีฟังก์ชันด้านสุขภาพ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์อย่าง Apple Watch ไปจนถึงหูฟัง AirPods Pro 2 รุ่นล่าสุดที่สามารถ เปลี่ยนเป็นเครื่องช่วยฟังได้ ดังนั้น การมาของ Smart Ring ก็จะเป็นสินค้าอีกชิ้นที่จะใช้เพื่อติดตามตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ
ปัจจุบัน ในตลาด Smart Ring มีผู้เล่นอยู่หลายราย อาทิ Oura Ring, Evering และผู้เล่นรายใหญ่อย่าง ซัมซุง (Samsung) ที่เพิ่งเปิดตัว Galaxy Ring ไปเมื่อช่วงต้นปี โดยหวังว่าจะผลักดันสินค้าด้านสุขภาพให้ใหญ่ขึ้น และการเพิ่มสินค้าประเภทอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ใช้อยู่กับ อีโคซิสเต็มส์ของแบรนด์ เพื่อรักษาฐานลูกค้า เหมือนกับกลยุทธ์ที่ Apple ใช้
อย่างไรก็ตาม Smart Ring ถือเป็นสินค้าที่มีความซับซ้อนในการจะเข้าสู่ตลาด เนื่องจากคนมีขนาดนิ้วต่างกัน อย่าง Samsung เองก็ต้องให้ผู้ใช้ได้ลองเพื่อเลือกขนาดและสีก่อนจะสั่งซื้อ แต่ในจุดนี้อาจเป็นข้อได้เปรียบของ Apple
เนื่องจาก แหวนยังเป็นสินค้าแฟชั่น ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ Apple ยังคงมีเสน่ห์ในสายตาผู้ใช้ และถือเป็นตลาดแบรนด์ที่ได้รับการยกย่องในแง่ของการเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนภูมิใจที่มี และมั่นใจว่าแหวนที่ออกแบบจาก Apple จะมีความสวยงาม และอาจเป็นหนึ่งสินค้าที่ใช้บ่งบอก สถานะ
]]>อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน Apple จะยังไม่สมหวังกับยอดขายของ iPhone 16 โดย Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ของ Apple จาก TF International Securities เปิดเผยว่า Apple ขาย iPhone 16 ได้เพียงประมาณ 37 ล้านเครื่อง ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการจำหน่ายล่วงหน้า ซึ่ง ลดลงมากกว่า 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เช่นเดียวกันกับ แดน ไอฟส์ นักวิเคราะห์ของ Wedbush คาดว่า ยอดขายล่วงหน้าจะอยู่ที่ราว 40 ล้านเครื่อง ใกล้เคียงกับที่ Ming-Chi Kuo คาดไว้ ขณะที่ แองเจโล ซิโน นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีของ CFRA Research เปิดเผยไปในทิศทางเดียวกันว่า ยอดพรีออเดอร์ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของ iPhone 16 ลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปี
ที่น่าสนใจคือ ความต้องการ iPhone 16 Pro นั้นลดลงอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก iPhone 16 และ 16 Plus นั้น อาจจะดีเกินไป ทำให้แนวโน้มของผู้บริโภคจะเอียงไปทาง iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ที่มีราคาถูกกว่ารุ่น Pro และ Pro Max ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาขายเฉลี่ยและรายได้จากการขาย iPhone โดยรวมอีกด้วย
ตามข้อมูลจาก Ming-Chi Kuo ระบุว่า ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการพรีออเดอร์ Apple สามารถขาย iPhone 16 Pro ได้ 9.8 ล้านเครื่อง และ iPhone 16 Pro Max ได้ 17.1 ล้านเครื่อง ซึ่งลดลง 27% และ 16% ตามลำดับเมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนยอดขาย iPhone 16 รุ่นมาตรฐานและ iPhone Plus เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ iPhone 15
“iPhone 16 มียอดขายมากกว่ารุ่น Pro เพราะเมื่อดูอุปกรณ์มาตรฐานแล้ว จะเห็นว่า iPhone 16 ได้รับการอัปเกรดที่ยอดเยี่ยมมากในแง่ของกล้องและโปรเซสเซอร์ภายใน”
อีกปัจจัยที่ทำให้ยอดขายในช่วงเริ่มต้นของ iPhone 16 ยังไม่ปังอาจเป็นเพราะฟีเจอร์ Apple Intelligence หรือฟีเจอร์ AI ของ Apple ก็ยังไม่มีให้ใช้งาน ดังนั้น Apple อาจต้องรอให้ฟีเจอร์ดังกล่าวถูกใช้ จนเกิดการบอก ปากต่อปาก จากกลุ่มผู้ใช้ เพราะว่าแค่การอัปเดตซอฟต์แวร์ การปรับคุณภาพกล้อง และขนาดหน้าจอ ยังไม่ทำให้ ผู้บริโภครู้สึกว่า คุ้มค่าต่อการอัปเกรด
“คุณต้องรอให้กระแสบอกเล่าแบบปากต่อปากจากฐานผู้บริโภคภายในสองสามไตรมาสถัดไป” ก่อนที่ผู้บริโภคจะเห็นคุณค่าของเทคโนโลยีใหม่” แองเจโล ซิโน กล่าว
แม้ว่านักวิเคราะห์จะออกมาบอกว่า iPhone 16 เปิดตัวได้ไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทางด้าน Mike Sievert ซีอีโอของ T-Mobile กล่าวกับ CNBC หลังจากสัปดาห์แรกของการพรีออเดอร์ว่า ยอดขาย iPhone 16 มากกว่า iPhone 15 เมื่อปีที่แล้ว และ Apple จะไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับยอดขาย iPhone จนกว่าจะรายงานผลประกอบการในเดือนหน้า และจนกว่าจะถึงตอนนั้น ข้อมูลก็จะรวมเฉพาะยอดขายล่วงหน้า 7 วันและยอดขายปกติ 10 วันเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่า iPhone 16 จะเป็นผู้ชนะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้ว่าจะเริ่มต้นได้ช้า โดยเฉพาะในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด
]]>แม้ว่า หัวเว่ย (Huawei) วางแผนจะเปิดตัว Huawei Mate XT อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 ก.ย. เวลา 14.30 น. ตามเวลาปักกิ่ง ซึ่งจะชนกับ Apple Event เปิดตัว iPhone 16 แต่บริษัทก็ชิง เปิดจอง ไปเมื่อวันเสาร์ที่ 7 ก.ย. และภายใน 3 วัน หัวเว่ยก็สามารถกวาดยอดจองไปได้ 2.7 ล้านเครื่อง ก่อนจะวางจำหน่ายจริงในวันที่ 20 ก.ย.นี้
สำหรับจุดเด่นของ Huawei Mate XT คือจะเป็นสมาร์ทโฟน จอพับสามทบ รายแรกของตลาด ตัดหน้า ซัมซุง (Samsung) ที่เป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมจอพับ ไม่เพียงแค่สามารถพับได้สามทบ แต่หัวเว่ยยังทำได้ บางกว่า และในไตรมาส 1 หัวเว่ยยังสามารถแซงหน้าซัมซุงขึ้นเป็น เบอร์ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนจอพับด้วยส่วนแบ่งตลาด 35% เติบโตถึง +257%
ที่ผ่านมา หัวเว่ยสามารถกลับมาผงาดในตลาดสมาร์ทโฟนได้อีกครั้งด้วยการเปิดตัว Mate 60 Pro ที่สามารถรองรับ 5G ได้ โดยในไตรมาส 2/2024 ที่ผ่านมา หัวเว่ยยังคงรักษา อันดับ 4 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 15% มียอดจัดส่ง 10.6 ล้านเครื่อง
ขณะที่ Apple กลับหลุดจากตำแหน่ง Top 5 ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่เหลือ 14% ลดลงจาก 15% ในไตรมาสแรก โดยคาดว่ามียอดจัดส่งอยู่ที่ 9.7 ล้านเครื่อง ตามการคํานวณของ CNBC
ก็คงต้องรอดูว่า iPhone 16 ที่กำลังจะเปิดตัวในคืนนี้ จะสามารถช่วยให้ Apple กลับมาผงาดในตลาดจีนอีกครั้งได้หรือไม่ เพราะในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Top 5 ของตลาดสมาร์ทโฟนของจีนถูกครองโดยผู้เล่นจีนทั้งหมด
]]>ตามข้อมูลเบื้องต้นจาก International Data Corporation (IDC) เปิดเผยว่า การจัดส่งสมาร์ทโฟนของจีนในช่วง Q2/2024 เพิ่มขึ้น +8.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) เป็น 71.6 ล้านเครื่อง ถือเป็นการเติบโตสามไตรมาสติดต่อกัน ส่งผลให้มีการจัดส่งสมาร์ทโฟนในช่วงครึ่งปีแรกรวม 140.8 ล้านเครื่อง เติบโต +7.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ที่น่าสนใจคือ Apple หลุดจากตำแหน่ง Top 5 แบรนด์ที่มียอดขายในตลาด นับเป็น ครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ ลดลง -2 ขณะที่ยอดขาย ลดลง -3.1% เนื่องจากถูก เสียวหมี่ (Xiaomi) เบียดแซงขึ้นตำแหน่ง Top 5 โดย Canalys มองว่า ที่ยอดขายสมาร์ทโฟนของ Xiaomi พุ่งขึ้น เป็นผลมาจาก ข่าวลือเกี่ยวกับการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก SU7 โดย Top 5 สมาร์ทโฟนในช่วง Q2/2024 ได้แก่
นักวิเคราะห์มองว่า Apple ต้องเผชิญกับ การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจาก Huawei ซึ่งจับกลุ่มพรีเมียมแบบเดียวกับ Apple นอกจากนี้ Apple ยังเจอกับปัญหาการ แบน iPhone ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม หาก Huawei อยากจะสู้ในกลุ่ม พรีเมียม ก็จำเป็นจะต้องเปิดตัว AI ในเร็ว ๆ นี้ เพราะ Apple เองเพิ่งจะเปิดตัว Apple Intelligence หรือ AI ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
โดยนักลงทุนจะจับตาดูสัญญาณของยอดขาย iPhone ทั่วโลกที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Apple มีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ที่จะมาช่วย เพิ่มยอดขายในปี 2025 โดยนักวิเคราะห์ต่างก็มองว่า ผู้ที่ใช้ iPhone จะ อัปเกรด เครื่องใหม่เนื่องจากการมาของ AI และ iPhone ก็ถือเป็นแบรนด์ที่ขับเคลื่อนโดยฐานผู้ใช้เดิมจํานวนมาก
ทั้งนี้ แนวโน้มของตลาดสมาร์ทโฟนจีนกำลังมุ่งไปที่กลุ่มพรีเมียม เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ช้าลง ซึ่งส่งผลให้ส่วนแบ่งการจัดส่งของสมาร์ทโฟนที่มีราคามากกว่า 600 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 22,000 บาท) เป็นสัดส่วนเกือบ 26% ในไตรมาส 2/2024 จากประมาณ 23% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
]]>The Information สื่อสายไอที ได้รายงานข่าว โดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องถึง 5 รายด้วยกันว่า Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone ได้ง่ายขึ้น และเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นจะอยู่ใน iPhone ในรุ่นถัดๆ ไป ซึ่งอาจเปิดตัวได้เร็วสุดคือ iPhone 16 หรือรุ่นหลังจากนั้น
เทคโนโลยีที่ Apple นำมาใช้ใน iPhone รุ่นใหม่หลังจากนี้คือการลอกกาวด้วยไฟฟ้าเพื่อที่จะทำให้แบตเตอรี่หลุดออกมาได้ ซึ่งปกติแล้ว iPhone นั้นจะมีกาวที่ผนึกตัวแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างแน่นหนา ทำให้ผู้ที่ต้องการที่จะเปลี่ยนสามารถทำได้ยาก
ปกติแล้วการเปลี่ยนแบตเตอรี่ของ iPhone นั้นผู้ใช้งานมักจะให้ศูนย์บริการที่ Apple รับรองการบริการนั้นเปลี่ยนนแบตเตอรี่ให้ ซึ่งราคานั้นจะแตกต่างกันไป
การที่ Apple ต้องพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเนื่องจากกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่ออกมาในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นบังคับให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจะต้องสามารถทำให้มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่ายขึ้น หรือไม่แล้วก็ต้องทำให้แบตเตอรี่มีคุณภาพทนทานมากขึ้น เช่น รักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ 83% หลังจากชาร์จเต็ม 500 ครั้ง และ 80% หลังจากชาร์จเต็ม 1,000 ครั้ง เป็นต้น
ซึ่งคาดว่า Apple เองอาจได้รับข้อยกเว้นในส่วนหลัง เนื่องจาก iPhone รุ่นใหม่นั้นมีประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ที่ดีมากขึ้น เมื่อเทียบกับอดีต
ในช่วงที่ผ่านมากฎระเบียบเกี่ยวกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของ EU นั้นเข้มงวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากจะต้องขายสินค้าในทวีปยุโรป ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้โทรศัพท์มือถือใช้พอร์ต USB-C ซึ่งปกติก่อนหน้านี้ Apple ได้ใช้พอร์ตประเภท Ligtning ซึ่งแตกต่างกับผู้ผลิตรายอื่น จนทำให้มีข้อกำหนดออกมาบีบให้ผู้ผลิต iPhone ต้องทำตาม
ที่มา – Macrumours, 9to5Mac
]]>Wall Street Journal รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Meta เจ้าของ Social Network อย่าง Facebook และ Instagram ได้มีการพูดคุยกับ Apple เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทเข้าผนวกกับระบบ Apple Intelligence
Meta ที่กำลังพัฒนาโมเดล AI อย่าง Llama ซึ่งแข่งขันกับคู่แข่งจากบริษัทเทคโนโลยีหลายราย ได้พยายามที่จะใช้ความได้เปรียบของจำนวนผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple เพื่อที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ จึงทำให้มีการพูดคุยในเรื่องดังกล่าวขึ้น
ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ Apple ได้เปิดตัว Apple Intelligence ขึ้น โดยมีการผนวก AI จาก OpenAI ซึ่งถือว่าเป็น AI ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในเวลานี้ ซึ่งดีลดังกล่าวนั้น ผู้ผลิต iPhone ไม่ได้มีการจ่ายเงินให้กับเจ้าของ ChatGPT แต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้สำหรับ Meta และ Apple เองเคยมีกรณีกระทบกระทั่งระหว่างกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของความเป็นส่วนตัว และผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวทำให้เจ้าของ Facebook และ Instagram นั้นมีรายได้ลดลงจากเรื่องดังกล่าวมาแล้ว
กรณีการกระทบกระทั่งกันนั้นทำให้หัวเรือใหญ่อย่าง Mark Zuckerberg นั้นเคยออกมาวิจารณ์การกระทำของ Apple หลายครั้ง หรือแม้แต่ Tim Cook เองก็ได้กล่าวย้ำถึงความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทมาโดยตลอด และมีการวิจารณ์ในเรื่องของการเก็บข้อมูลของยักษ์ใหญ่เจ้าของเครือข่ายสังคมด้วย (แม้ไม่ได้พาดพิงตรงๆ ก็ตาม)
โมเดลธุรกิจระหว่าง Apple กับ OpenAI ที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาผนวกใน Apple Intelligence นั้นทำให้ Meta เองมองเห็นถึงโอกาส จึงทำให้เกิดการพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่ายในเรื่องดังกล่าว
อย่างไรก็ดี สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานล่าสุดว่า Apple ได้ยกเลิกการพูดคุยกับทาง Meta โดยยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต iPhone นั้นมีความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวของโมเดล AI ดังกล่าว และชี้ว่าการพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่ายนั้นเป็นเพียงเริ่มต้น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม
ที่มา – Bloomberg, Wall Street Journal
]]>