apple – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 17 Dec 2024 02:15:51 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 สตีฟ จ็อบส์ ‘หนทางเดียวที่จะสร้างผลงานยอดเยี่ยมได้ คือการรักในสิ่งที่คุณทำ’ https://positioningmag.com/1503679 Mon, 16 Dec 2024 12:03:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1503679 สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) คือ ‘อัจฉริยะผู้เปลี่ยนโลก’ ซึ่งเป็นตำนานทั้งในฐานะ ‘นักคิด’ และ ‘ผู้นำ’ ที่สร้างความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ และเรื่องราว รวมไปถึงประสบการณ์ชีวิตของเขาได้ถูกถ่ายทอดนำมาเป็นบทเรียนให้กับใครหลายคน

 

หนึ่งในนั้น คือ ‘การจะสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมได้ ต้องรักในสิ่งที่ทำ’ โดยจ็อบส์ได้ถ่ายทอดบทเรียนนี้ผ่านสุนทรพจน์ในงานรับปริญญาของนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อปี 2005 ซึ่งเป็นหนึ่งในสุนทรพจน์อันโด่งดังของจ็อบส์ ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเขาในช่วงโดนไล่ออกจาก Apple บริษัทของตัวเอง และนั่นทำให้เขาสูญเสียสิ่งที่รักไป

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นเรื่องดีต่อชีวิตของจ็อบส์ เพราะถ้าไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้น เขาบอกว่า คงไม่ได้สร้าง NeXt บริษัทผู้สร้างระบบปฏิบัติการ Operating System ที่เหนือชั้นอย่าง NeXTStep และ Pixar บริษัทแอนิเมชั่นชั้นนำของโลกขึ้นมา

 

“บางครั้งชีวิตของคุณจะเจอเรื่องแย่ ๆ จงอย่าเสื่อมศรัทธา ผมเชื่อว่าสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเดินต่อได้คือการที่รักในสิ่งที่ทำ คุณต้องค้นหาสิ่งที่รักให้เจอ และจริงใจกับงานให้เหมือนกับความจริงใจที่มีให้คนรัก งานของคุณจะเติมเต็มชีวิตส่วนใหญ่ของคุณ และทางเดียวที่จะทำให้ตัวคุณพอใจกับการใช้ชีวิตคือทำในสิ่งที่เชื่อว่าดีที่สุด และหนทางเดียวที่จะสร้างผลงานยอดเยี่ยมได้ คือการรักในสิ่งที่คุณทำ ถ้าคุณหามันไม่เจอ ก็หามันต่อไป อย่าหยุด และเมื่อคุณหามันเจอ หัวใจจะบอกคุณเองว่า นี่แหละใช่เลย” 

แล้วบรรดาแฟน ๆ ของ Positioning ล่ะ ค้นหาสิ่งที่ตัวเองรักเจอหรือยัง และได้ลงมือทำอย่างเต็มที่แล้วหรือไม่ ?

]]>
1503679
ผิดสัญญาก็ไม่ต้องขาย! ‘อินโดนีเซีย’ แบนห้ามขาย ‘iPhone 16’ หลัง ‘Apple’ ไม่ลงทุนครบตามที่ระบุ https://positioningmag.com/1495854 Mon, 28 Oct 2024 08:02:29 +0000 https://positioningmag.com/?p=1495854 เรียกว่างานเข้า Apple เลยทีเดียว หลังจากประเทศที่มีจำนวนประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลกอย่าง อินโดนีเซีย สั่งห้ามไม่ให้นำเข้า iPhone 16 ทุกรุ่น รวมถึงสินค้าใหม่ ๆ ที่เพิ่งเปิดตัวมาจำหน่ายในประเทศ เนื่องจากบริษัทลงทุนไม่ถึงตามที่สัญญาไว้

กระทรวงอุตสาหกรรมของ อินโดนีเซีย ได้สั่งห้ามจำหน่าย iPhone 16 Series รวมถึงสินค้าที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง Apple Watch Series 10 โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจาก Apple ยังลงทุนไม่ครบตามที่ได้ตกลงไว้

โดย Apple ได้ลงทุนไปเพียง 1.5 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งต่ำกว่าที่ตกลงไว้ว่าจะลงทุน 1.7 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 108 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถ้า Apple จะกลับมาขายสินค้าอีกครั้งก็ต่อเมื่อ Apple ลงทุนครบตามจำนวนที่เคยระบุไว้ ซึ่งรวมถึงการสร้างสถาบัน Apple Academy สำหรับวิจัยพัฒนา 

แม้ว่ารัฐบาลจะสั่งแบนการขายในประเทศ แต่กรณีที่ iPhone 16 ถูกส่งมาจากต่างประเทศ จะไม่ถูกนับ เพราะไม่ได้เกิดการขายในประเทศ และในส่วนของนักท่องเที่ยวที่มี iPhone 16 ก็ไม่ต้องกังวล โดยสามารถนำ iPhone 16 ที่เปิดการใช้งานแล้วเข้าประเทศได้ แต่ต้องไม่เกินคนละสองเครื่อง อย่างไรก็ตาม หากพบว่านำไปขายต่อ ก็จะมีความผิดตามกฎหมายทันที อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมี iPhone 16 ประมาณ 9,000 เครื่อง ได้เข้าสู่อินโดนีเซียแล้ว 

ทั้งนี้ อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาด 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวนประชากรมากถึง 270 ล้านคน มากสุดเป็นอันดับ 4 ของโลก ในขณะที่จำนวนสมาร์ทโฟนในประเทศมีสูงถึง 350 ล้านเครื่อง ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรทั้งประเทศอย่างมาก

Source

]]>
1495854
สาวกรอหน่อย! นักวิเคราะห์คาด ‘Apple’ จะเปิดตัว ‘แหวนอัจฉริยะ’ มาแข่งกับ ‘ซัมซุง’ ภายในปี 2026 https://positioningmag.com/1493275 Tue, 08 Oct 2024 07:30:55 +0000 https://positioningmag.com/?p=1493275 นอกจาก นาฬิกาอัจฉริยะ (Smart Watch) แล้ว อีกเทรนด์สำคัญในโลกเทคโนโลยีก็คือ แหวนอัจฉริยะ (Smart Ring) ซึ่งปัจจุบันก็เริ่มเห็นหลายแบรนด์ผลิตออกมาทำตลาดมากขึ้น และสำหรับ Apple คาดว่าจะได้เห็นภายในปี 2026

แม้จะมีข่าวลือว่า Apple ได้พับโครงการ Smart Ring ไปแล้ว แต่ตามรายงานของ CCS Insight ที่ติดตามเทคโนโลยีด้านสุขภาพของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ มองว่า Apple จะเปิดตัว Smart Ring ภายในปี 2026 และ Smart Ring จะเป็นมรดกสำคัญในส่วนของสินค้าสุขภาพของ Tim Cook ก่อนจะเกษียณ

“สินค้าสุขภาพได้กลายเป็นเสาหลักของ Apple และผมคิดว่า Smart Ring จะเป็นหนึ่งในมรดกสําคัญของเขาจาก Apple ในกลุ่มสินค้าสุขภาพ เมื่อพิจารณาจากการลงทุนและความสนใจส่วนตัวของ Tim Cook ดังนั้น  Smart Ring จะเป็นส่วนขยายที่เติมเต็ม Apple อย่างมาก” Ben Wood หัวหน้านักวิเคราะห์ของ CCS Insight กล่าว

ที่ผ่านมา Tim Cook ได้มุ่งเน้นในการพัฒนาให้สินค้ามีฟังก์ชันด้านสุขภาพ ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์อย่าง Apple Watch ไปจนถึงหูฟัง AirPods Pro 2 รุ่นล่าสุดที่สามารถ เปลี่ยนเป็นเครื่องช่วยฟังได้ ดังนั้น การมาของ Smart Ring ก็จะเป็นสินค้าอีกชิ้นที่จะใช้เพื่อติดตามตัวชี้วัดสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ

ปัจจุบัน ในตลาด Smart Ring มีผู้เล่นอยู่หลายราย อาทิ Oura Ring, Evering และผู้เล่นรายใหญ่อย่าง ซัมซุง (Samsung) ที่เพิ่งเปิดตัว Galaxy Ring ไปเมื่อช่วงต้นปี โดยหวังว่าจะผลักดันสินค้าด้านสุขภาพให้ใหญ่ขึ้น และการเพิ่มสินค้าประเภทอุปกรณ์เสริมเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้ใช้อยู่กับ อีโคซิสเต็มส์ของแบรนด์ เพื่อรักษาฐานลูกค้า เหมือนกับกลยุทธ์ที่ Apple ใช้

อย่างไรก็ตาม Smart Ring ถือเป็นสินค้าที่มีความซับซ้อนในการจะเข้าสู่ตลาด เนื่องจากคนมีขนาดนิ้วต่างกัน อย่าง Samsung เองก็ต้องให้ผู้ใช้ได้ลองเพื่อเลือกขนาดและสีก่อนจะสั่งซื้อ แต่ในจุดนี้อาจเป็นข้อได้เปรียบของ Apple

เนื่องจาก แหวนยังเป็นสินค้าแฟชั่น ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ Apple ยังคงมีเสน่ห์ในสายตาผู้ใช้ และถือเป็นตลาดแบรนด์ที่ได้รับการยกย่องในแง่ของการเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ผู้คนภูมิใจที่มี และมั่นใจว่าแหวนที่ออกแบบจาก Apple จะมีความสวยงาม และอาจเป็นหนึ่งสินค้าที่ใช้บ่งบอก สถานะ

Source

]]>
1493275
ไม่ปังอย่างที่หวัง! ยอดขาย ‘iPhone 16’ ช่วงเปิดตัวทำได้น้อยกว่าที่ Apple หวัง นักวิเคราะห์ชี้อาจต้องรอฟีเจอร์ ‘Apple Intelligence’ https://positioningmag.com/1492378 Tue, 01 Oct 2024 08:22:47 +0000 https://positioningmag.com/?p=1492378 Apple มีความหวังให้ยอดขาย iPhone 16 กลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้งด้วย AI หลังจากที่กระแสซบเซามาหลายปี ทำให้เริ่มไม่ค่อยจะเห็นแฟนพันธุ์แท้ของ Apple ต่อแถวเพื่อเปลี่ยนเครื่องใหม่ทุกปี เนื่องจากทางบริษัทยังไม่มีนวัตกรรมอะไรที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องอัปเกรดเครื่อง นับตั้งแต่เพิ่มการเชื่อมต่อ 5G ใน iPhone 12

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน Apple จะยังไม่สมหวังกับยอดขายของ iPhone 16 โดย Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ของ Apple จาก TF International Securities เปิดเผยว่า Apple ขาย iPhone 16 ได้เพียงประมาณ 37 ล้านเครื่อง ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการจำหน่ายล่วงหน้า ซึ่ง ลดลงมากกว่า 12% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

เช่นเดียวกันกับ แดน ไอฟส์ นักวิเคราะห์ของ Wedbush คาดว่า ยอดขายล่วงหน้าจะอยู่ที่ราว 40 ล้านเครื่อง ใกล้เคียงกับที่ Ming-Chi Kuo คาดไว้ ขณะที่ แองเจโล ซิโน นักวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีของ CFRA Research เปิดเผยไปในทิศทางเดียวกันว่า ยอดพรีออเดอร์ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของ iPhone 16 ลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่น่าสนใจคือ ความต้องการ iPhone 16 Pro นั้นลดลงอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก iPhone 16 และ 16 Plus นั้น อาจจะดีเกินไป ทำให้แนวโน้มของผู้บริโภคจะเอียงไปทาง iPhone 16 และ iPhone 16 Plus ที่มีราคาถูกกว่ารุ่น Pro และ Pro Max ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาขายเฉลี่ยและรายได้จากการขาย iPhone โดยรวมอีกด้วย

ตามข้อมูลจาก Ming-Chi Kuo ระบุว่า ในช่วงสุดสัปดาห์แรกของการพรีออเดอร์ Apple สามารถขาย iPhone 16 Pro ได้ 9.8 ล้านเครื่อง และ iPhone 16 Pro Max ได้ 17.1 ล้านเครื่อง ซึ่งลดลง 27% และ 16% ตามลำดับเมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนยอดขาย iPhone 16 รุ่นมาตรฐานและ iPhone Plus เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ iPhone 15

“iPhone 16 มียอดขายมากกว่ารุ่น Pro เพราะเมื่อดูอุปกรณ์มาตรฐานแล้ว จะเห็นว่า iPhone 16 ได้รับการอัปเกรดที่ยอดเยี่ยมมากในแง่ของกล้องและโปรเซสเซอร์ภายใน”

อีกปัจจัยที่ทำให้ยอดขายในช่วงเริ่มต้นของ iPhone 16 ยังไม่ปังอาจเป็นเพราะฟีเจอร์ Apple Intelligence หรือฟีเจอร์ AI ของ Apple ก็ยังไม่มีให้ใช้งาน ดังนั้น Apple อาจต้องรอให้ฟีเจอร์ดังกล่าวถูกใช้ จนเกิดการบอก ปากต่อปาก จากกลุ่มผู้ใช้ เพราะว่าแค่การอัปเดตซอฟต์แวร์ การปรับคุณภาพกล้อง และขนาดหน้าจอ ยังไม่ทำให้  ผู้บริโภครู้สึกว่า คุ้มค่าต่อการอัปเกรด

คุณต้องรอให้กระแสบอกเล่าแบบปากต่อปากจากฐานผู้บริโภคภายในสองสามไตรมาสถัดไป” ก่อนที่ผู้บริโภคจะเห็นคุณค่าของเทคโนโลยีใหม่” แองเจโล ซิโน กล่าว

แม้ว่านักวิเคราะห์จะออกมาบอกว่า iPhone 16 เปิดตัวได้ไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทางด้าน Mike Sievert ซีอีโอของ T-Mobile กล่าวกับ CNBC หลังจากสัปดาห์แรกของการพรีออเดอร์ว่า ยอดขาย iPhone 16 มากกว่า iPhone 15 เมื่อปีที่แล้ว และ Apple จะไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ เกี่ยวกับยอดขาย iPhone จนกว่าจะรายงานผลประกอบการในเดือนหน้า และจนกว่าจะถึงตอนนั้น ข้อมูลก็จะรวมเฉพาะยอดขายล่วงหน้า 7 วันและยอดขายปกติ 10 วันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่า iPhone 16 จะเป็นผู้ชนะในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แม้ว่าจะเริ่มต้นได้ช้า โดยเฉพาะในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปีซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด

Source

]]>
1492378
เปิดก่อนได้เปรียบ! ‘หัวเว่ย’ โชว์ยอดจอง ‘Mate XT’ มือถือจอพับ 3 ทบ ทะลุ 2.7 ล้านเครื่อง ก่อนที่ Apple จะเปิดตัว iPhone 16 https://positioningmag.com/1489295 Mon, 09 Sep 2024 10:59:27 +0000 https://positioningmag.com/?p=1489295 สาวก Apple น่าจะรอคอยการเปิดตัว iPhone 16 ในคืนวันที่ 10 ก.ย. ตามเวลาไทย แต่ หัวเว่ย (Huawei) คู่แข่งหลักในตลาดจีน ก็ชิงตัดหน้าเปิดให้จอง Huawei Mate XT สมาร์ทโฟนเรือธงรุ่นล่าสุดที่ พับจอได้สามทบ

แม้ว่า หัวเว่ย (Huawei) วางแผนจะเปิดตัว Huawei Mate XT อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 ก.ย. เวลา 14.30 น. ตามเวลาปักกิ่ง ซึ่งจะชนกับ Apple Event เปิดตัว iPhone 16 แต่บริษัทก็ชิง เปิดจอง ไปเมื่อวันเสาร์ที่ 7 ก.ย. และภายใน 3 วัน หัวเว่ยก็สามารถกวาดยอดจองไปได้ 2.7 ล้านเครื่อง ก่อนจะวางจำหน่ายจริงในวันที่ 20 ก.ย.นี้

สำหรับจุดเด่นของ Huawei Mate XT คือจะเป็นสมาร์ทโฟน จอพับสามทบ รายแรกของตลาด ตัดหน้า ซัมซุง (Samsung) ที่เป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมจอพับ ไม่เพียงแค่สามารถพับได้สามทบ แต่หัวเว่ยยังทำได้ บางกว่า และในไตรมาส 1 หัวเว่ยยังสามารถแซงหน้าซัมซุงขึ้นเป็น เบอร์ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟนจอพับด้วยส่วนแบ่งตลาด 35% เติบโตถึง +257%

ที่ผ่านมา หัวเว่ยสามารถกลับมาผงาดในตลาดสมาร์ทโฟนได้อีกครั้งด้วยการเปิดตัว Mate 60 Pro ที่สามารถรองรับ 5G ได้ โดยในไตรมาส 2/2024 ที่ผ่านมา หัวเว่ยยังคงรักษา อันดับ 4 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 15% มียอดจัดส่ง 10.6 ล้านเครื่อง 

ขณะที่ Apple กลับหลุดจากตำแหน่ง Top 5 ด้วยส่วนแบ่งตลาดที่เหลือ 14% ลดลงจาก 15% ในไตรมาสแรก โดยคาดว่ามียอดจัดส่งอยู่ที่ 9.7 ล้านเครื่อง ตามการคํานวณของ CNBC

ก็คงต้องรอดูว่า iPhone 16 ที่กำลังจะเปิดตัวในคืนนี้ จะสามารถช่วยให้ Apple กลับมาผงาดในตลาดจีนอีกครั้งได้หรือไม่ เพราะในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Top 5 ของตลาดสมาร์ทโฟนของจีนถูกครองโดยผู้เล่นจีนทั้งหมด 

Source

]]>
1489295
‘Apple’ หลุด Top 5 ใน ‘ตลาดสมาร์ทโฟนจีน’ เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังโดน ‘Xiaomi’ เบียดแซง https://positioningmag.com/1484376 Mon, 29 Jul 2024 05:52:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1484376 ดูเหมือนว่า iPhone ของ Apple จะเสื่อมความนิยมลงในตลาด จีน ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญของแบรนด์ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการกลับมาของ Huawei สมาร์ทโฟนแบรนด์จีนที่กลับมาทำตลาดอีกครั้ง

ตามข้อมูลเบื้องต้นจาก International Data Corporation (IDC) เปิดเผยว่า การจัดส่งสมาร์ทโฟนของจีนในช่วง Q2/2024 เพิ่มขึ้น +8.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี (YoY) เป็น 71.6 ล้านเครื่อง ถือเป็นการเติบโตสามไตรมาสติดต่อกัน ส่งผลให้มีการจัดส่งสมาร์ทโฟนในช่วงครึ่งปีแรกรวม 140.8 ล้านเครื่อง เติบโต +7.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี

ที่น่าสนใจคือ Apple หลุดจากตำแหน่ง Top 5 แบรนด์ที่มียอดขายในตลาด นับเป็น ครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยส่วนแบ่งตลาดของแบรนด์ ลดลง -2 ขณะที่ยอดขาย ลดลง -3.1% เนื่องจากถูก เสียวหมี่ (Xiaomi) เบียดแซงขึ้นตำแหน่ง Top 5 โดย Canalys มองว่า ที่ยอดขายสมาร์ทโฟนของ Xiaomi พุ่งขึ้น เป็นผลมาจาก ข่าวลือเกี่ยวกับการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าคันแรก SU7 โดย Top 5 สมาร์ทโฟนในช่วง Q2/2024 ได้แก่

  • Vivo (+17.1%) ส่วนแบ่งตลาด 18.5%
  • Huawei (+50.2%) ส่วนแบ่งตลาด 18.1%
  • Oppo (-2.8%) ส่วนแบ่งตลาด 15.7%
  • Honor (-3.7%) ส่วนแบ่งตลาด 14.5%
  • Xiaomi (+16.5%) ส่วนแบ่งตลาด 14.0%

นักวิเคราะห์มองว่า Apple ต้องเผชิญกับ การแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจาก Huawei ซึ่งจับกลุ่มพรีเมียมแบบเดียวกับ Apple นอกจากนี้ Apple ยังเจอกับปัญหาการ แบน iPhone ของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม หาก Huawei อยากจะสู้ในกลุ่ม พรีเมียม ก็จำเป็นจะต้องเปิดตัว AI ในเร็ว ๆ นี้ เพราะ Apple เองเพิ่งจะเปิดตัว Apple Intelligence หรือ AI ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

โดยนักลงทุนจะจับตาดูสัญญาณของยอดขาย iPhone ทั่วโลกที่จะเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ทิม คุก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Apple มีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์ที่จะมาช่วย เพิ่มยอดขายในปี 2025 โดยนักวิเคราะห์ต่างก็มองว่า ผู้ที่ใช้ iPhone จะ อัปเกรด เครื่องใหม่เนื่องจากการมาของ AI และ iPhone ก็ถือเป็นแบรนด์ที่ขับเคลื่อนโดยฐานผู้ใช้เดิมจํานวนมาก

ทั้งนี้ แนวโน้มของตลาดสมาร์ทโฟนจีนกำลังมุ่งไปที่กลุ่มพรีเมียม เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ช้าลง ซึ่งส่งผลให้ส่วนแบ่งการจัดส่งของสมาร์ทโฟนที่มีราคามากกว่า 600 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 22,000 บาท) เป็นสัดส่วนเกือบ 26% ในไตรมาส 2/2024 จากประมาณ 23% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว

IDC / Financial Times

]]>
1484376
Apple พัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone ได้ง่ายขึ้นในรุ่นถัดๆ ไป เนื่องจากข้อกำหนดของสหภาพยุโรป https://positioningmag.com/1480397 Mon, 01 Jul 2024 02:21:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1480397 แอปเปิล (Apple) ได้พัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone ให้ง่ายขึ้นมากกว่าเดิม จากเหตุผลกฎระเบียบจากสหภาพยุโรป ที่ต้องการให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสามารถซ่อมแซมได้ง่ายขึ้น ซึ่งคาดว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นอาจเปิดตัวได้เร็วสุดคือ iPhone 16 หรือรุ่นหลังจากนั้น

The Information สื่อสายไอที ได้รายงานข่าว โดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องถึง 5 รายด้วยกันว่า Apple กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนแบตเตอรี่ iPhone ได้ง่ายขึ้น และเทคโนโลยีดังกล่าวนั้นจะอยู่ใน iPhone ในรุ่นถัดๆ ไป ซึ่งอาจเปิดตัวได้เร็วสุดคือ iPhone 16 หรือรุ่นหลังจากนั้น

เทคโนโลยีที่ Apple นำมาใช้ใน iPhone รุ่นใหม่หลังจากนี้คือการลอกกาวด้วยไฟฟ้าเพื่อที่จะทำให้แบตเตอรี่หลุดออกมาได้ ซึ่งปกติแล้ว iPhone นั้นจะมีกาวที่ผนึกตัวแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างแน่นหนา ทำให้ผู้ที่ต้องการที่จะเปลี่ยนสามารถทำได้ยาก

ปกติแล้วการเปลี่ยนแบตเตอรี่ของ iPhone นั้นผู้ใช้งานมักจะให้ศูนย์บริการที่ Apple รับรองการบริการนั้นเปลี่ยนนแบตเตอรี่ให้ ซึ่งราคานั้นจะแตกต่างกันไป

การที่ Apple ต้องพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวเนื่องจากกฎระเบียบของสหภาพยุโรปที่ออกมาในปี 2023 ที่ผ่านมานั้นบังคับให้ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือจะต้องสามารถทำให้มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่ายขึ้น หรือไม่แล้วก็ต้องทำให้แบตเตอรี่มีคุณภาพทนทานมากขึ้น เช่น รักษาความจุแบตเตอรี่ไว้ 83% หลังจากชาร์จเต็ม 500 ครั้ง และ 80% หลังจากชาร์จเต็ม 1,000 ครั้ง เป็นต้น

ซึ่งคาดว่า Apple เองอาจได้รับข้อยกเว้นในส่วนหลัง เนื่องจาก iPhone รุ่นใหม่นั้นมีประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ที่ดีมากขึ้น เมื่อเทียบกับอดีต

ในช่วงที่ผ่านมากฎระเบียบเกี่ยวกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของ EU นั้นเข้มงวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าหากจะต้องขายสินค้าในทวีปยุโรป ไม่ว่าจะเป็นการบังคับให้โทรศัพท์มือถือใช้พอร์ต USB-C ซึ่งปกติก่อนหน้านี้ Apple ได้ใช้พอร์ตประเภท Ligtning ซึ่งแตกต่างกับผู้ผลิตรายอื่น จนทำให้มีข้อกำหนดออกมาบีบให้ผู้ผลิต iPhone ต้องทำตาม

ที่มา – Macrumours, 9to5Mac

]]>
1480397
จากศัตรูสู่มิตร! Meta พูดคุยกับ Apple ถึงความเป็นไปได้ในการเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ https://positioningmag.com/1479480 Tue, 25 Jun 2024 05:05:04 +0000 https://positioningmag.com/?p=1479480 ยักษ์ใหญ่ Social Network อย่าง Meta ได้มีการพูดคุยกับ Apple เพื่อหารือถึงความเป็นไปได้ในการเป็นพันธมิตรด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายเคยมีความขัดแย้งระหว่างกันมาแล้ว อย่างไรก็ดีในฝั่งของผู้ผลิต iPhone มีึความกังวลในเรื่องของความเป็นส่วนตัวของโมเดลปัญญาประดิษฐ์ของ Meta

Wall Street Journal รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Meta เจ้าของ Social Network อย่าง Facebook และ Instagram ได้มีการพูดคุยกับ Apple เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของบริษัทเข้าผนวกกับระบบ Apple Intelligence

Meta ที่กำลังพัฒนาโมเดล AI อย่าง Llama ซึ่งแข่งขันกับคู่แข่งจากบริษัทเทคโนโลยีหลายราย ได้พยายามที่จะใช้ความได้เปรียบของจำนวนผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple เพื่อที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ จึงทำให้มีการพูดคุยในเรื่องดังกล่าวขึ้น

ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ Apple ได้เปิดตัว Apple Intelligence ขึ้น โดยมีการผนวก AI จาก OpenAI ซึ่งถือว่าเป็น AI ที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในเวลานี้ ซึ่งดีลดังกล่าวนั้น ผู้ผลิต iPhone ไม่ได้มีการจ่ายเงินให้กับเจ้าของ ChatGPT แต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้สำหรับ Meta และ Apple เองเคยมีกรณีกระทบกระทั่งระหว่างกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของความเป็นส่วนตัว และผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวทำให้เจ้าของ Facebook และ Instagram นั้นมีรายได้ลดลงจากเรื่องดังกล่าวมาแล้ว

กรณีการกระทบกระทั่งกันนั้นทำให้หัวเรือใหญ่อย่าง Mark Zuckerberg นั้นเคยออกมาวิจารณ์การกระทำของ Apple หลายครั้ง หรือแม้แต่ Tim Cook เองก็ได้กล่าวย้ำถึงความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทมาโดยตลอด และมีการวิจารณ์ในเรื่องของการเก็บข้อมูลของยักษ์ใหญ่เจ้าของเครือข่ายสังคมด้วย (แม้ไม่ได้พาดพิงตรงๆ ก็ตาม)

โมเดลธุรกิจระหว่าง Apple กับ OpenAI ที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาผนวกใน Apple Intelligence นั้นทำให้ Meta เองมองเห็นถึงโอกาส จึงทำให้เกิดการพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่ายในเรื่องดังกล่าว

อย่างไรก็ดี สำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานล่าสุดว่า Apple ได้ยกเลิกการพูดคุยกับทาง Meta โดยยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต iPhone นั้นมีความกังวลในเรื่องความเป็นส่วนตัวของโมเดล AI ดังกล่าว และชี้ว่าการพูดคุยของทั้ง 2 ฝ่ายนั้นเป็นเพียงเริ่มต้น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม

ที่มา – Bloomberg, Wall Street Journal

]]>
1479480
“Apple” ปวดหัวจัด! เพราะตลาด “จีน” แบนการใช้ “ChatGPT” พลังเบื้องหลังฟีเจอร์ใหม่ใน iPhone https://positioningmag.com/1479283 Sat, 22 Jun 2024 08:21:48 +0000 https://positioningmag.com/?p=1479283 “Apple” เพิ่งเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ “AI” หรือ “Apple Intelligence” ที่จะผนวกเข้ากับ iPhone รุ่นใหม่ แต่ปัญหากำลังจะเกิดกับตลาดใหญ่ของบริษัทนั่นคือ “จีน” เพราะรัฐบาลจีนแบนไม่ให้ใช้งาน “ChatGPT” ภายในประเทศ ทำให้บริษัทต้องเร่งหาพันธมิตร AI จีนมาสนับสนุน iPhone ที่จะขายในแดนมังกร

เมื่อต้นเดือนนี้เอง “Apple” ประกาศฟีเจอร์ใหม่ “Apple Intelligence” โดยร่วมกับพันธมิตรคือ “OpenAI” เจ้าของเครื่องมือ “ChatGPT” เป็นผู้สนับสนุนการพัฒนาฟีเจอร์ดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม Apple อาจจะต้องเผชิญปัญหากับตลาด “จีน” เพราะจีนเป็นประเทศแรกๆ ในโลกนี้ที่มีการวางกฎระเบียบควบคุมการใช้เทคโนโลยี Generative AI

เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สำนักงานกำกับดูแลโลกไซเบอร์ของจีน ซึ่งเป็นผู้ดูแลอินเทอร์เน็ตระดับสูงสุดของประเทศ ได้ออกแนวปฏิบัติใหม่สำหรับอุตสาหกรรมนี้ว่า บริษัทใดก็ตามที่ต้องการทดลองใช้งาน Generative AI จะต้องขออนุญาตจากทางการก่อนเท่านั้น ที่ผ่านมาสำนักงานฯ ดังกล่าวได้ให้อนุญาตโมเดล AI ไปแล้วมากกว่า 100 โมเดล ซึ่งทั้งหมดเป็น AI จากบริษัทจีน

สำนักข่าว Wall Street Journal รายงานเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมาว่า Apple กำลังมองหาบริษัทผู้พัฒนา AI จากจีนเพื่อเป็นพันธมิตรร่วมกัน ก่อนที่ iPhone รุ่นใหม่จะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ แต่ปัจจุบันทางบริษัทยังไม่สรุปดีลกับใคร

Apple จำเป็นต้องหาพันธมิตรในจีนอย่างรวดเร็ว เพราะยอดขายสมาร์ทโฟนของ Apple ทั่วโลกตกลงถึง 10% ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ตามข้อมูลของ IDC Research บริษัทวิจัยตลาด เหตุผลหลักเกิดจากยอดขายที่ตกลงแรงในประเทศจีน ซึ่งเป็นเพราะความรู้สึกชาตินิยมที่เกิดขึ้นในประเทศ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจตกต่ำและการแข่งขันที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ตลาดจีนถือเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของ Apple

ข้อมูลจากบริษัทวิจัย Counterpoint Research พบว่า ยอดขายสมาร์ทโฟนแบรนด์ Huawei เติบโตพุ่งถึง 70% ในจีนเมื่อไตรมาสแรกที่ผ่านมา ซึ่งถ้าหาก iPhone ยังไม่มีอะไรใหม่อย่างการใส่ฟีเจอร์ AI ลงมาอย่างสมบูรณ์ ลูกค้าก็อาจจะรอไปก่อนและยังไม่ซื้อรุ่นนี้

“Apple มีโอกาสสูงมากที่จะได้พันธมิตรท้องถิ่นในจีนเพื่อมาแทนที่ OpenAI เพราะพูดง่ายๆ ก็คือ บริษัทจำเป็นต้องมีให้ได้” นาบิล่า โพพาล ผู้อำนวยการอาวุโสที่ IDC Research กล่าว “ผู้บริโภคจีนย่อมคาดหวังว่าโทรศัพท์ระดับพรีเมียมของพวกเขาจะมีฟังก์ชัน AI ทันสมัยที่สุด และน่าจะลังเลการใช้จ่ายเงินมากกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐไปกับอุปกรณ์ที่ไม่มี AI”

ในขณะเดียวกัน รีซ เฮย์เดน นักวิเคราะห์จาก ABI Research มองว่า บริษัท AI ในจีนก็อาจจะพุ่งเป้าผู้บริโภคชาวจีนได้ดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะบริษัทเหล่านี้มีการศึกษาโมเดล AI ที่แยกย่อยภาษาถิ่นของคนจีนด้วย

หาก Apple มีพันธมิตรบริษัทจีนก็จะไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะบริษัทสมาร์ทโฟนต่างชาติรายแรกที่มีการจับมือกับบริษัทจีนคือ “Samsung” พวกเขาจับมือกับ “Baidu” บิ๊กเทคจีน ไปก่อนหน้านี้แล้ว และนำโมเดล AI ของ Baidu มาสนับสนุนการบริการแปลภาษาในเครื่อง รวมถึงมีการจับมือ “Meitu” เพื่อใช้ AI ตัดต่อตกแต่งรูปภาพ ซึ่งถือเป็นการทำงานเฉพาะให้กับตลาดจีน เพราะในมือถือเครื่องอื่นในโลกนี้ Samsung ใช้ AI โมเดล “Gemini” ของ “Google” มาสนับสนุนฟีเจอร์ และแน่นอนว่า Gemini ถูกแบนในจีน

นอกจากจีนแล้ว Apple อาจจะเผชิญปัญหากับสหภาพยุโรปในแบบเดียวกัน ตามรายงานข่าวของ CNN พบว่า ฟีเจอร์ Apple Intelligence อาจจะยังไม่พร้อมใช้งานในยุโรปภายในปีนี้ เนื่องจากกฎระเบียบในกฎหมายการตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act: DMA) ของอียู ซึ่งทางบริษัท Apple ก็พร้อมจะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการยุโรปเพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหาเพื่อตอบสนองลูกค้าในอียูต่อไป

Source

]]>
1479283
10 แบรนด์มูลค่าสูงที่สุดในโลก Apple ครองอันดับ 1 ต่อเนื่อง 3 ปีติด มูลค่าแบรนด์แตะ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ https://positioningmag.com/1477841 Wed, 12 Jun 2024 14:48:10 +0000 https://positioningmag.com/?p=1477841 Kantar BrandZ ได้มีการจัดอันดับแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุดในโลก ซึ่งอันดับ 1 ในปีนี้ได้แก่ Apple ซึ่งครองแชมป์ 3 ปีติดต่อกัน นอกจากนี้ผู้ผลิต iPhone ยังเป็นแบรนด์แรกของโลกที่มึมูลค่าแบรนด์แตะระดับ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย

Kantar BrandZ ได้ออกรายงานฉบับล่าสุด โดยจัดอันดับแบรนด์ชื่อดังทั่วโลก ซึ่ง Apple เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าแตะ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 36 ล้านล้านบาท) เป็นรายแรก และยังครองแชมป์ดังกล่าวติดต่อกันมาเป็นระยะเวลา 3 ปีแล้ว

ขณะเดียวกันแบรนด์ระดับโลกอันดับ 1-10 นั้นส่วนใหญ่ยังเป็นบริษัทเทคโนโลยีแทบทั้งสิ้น มีบริษัทที่ไม่ใช่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง Visa และ McDonald’s ที่ติดอันดับมาเท่านั้น

สำหรับการจัดอันดับแบรนด์ระดับโลกของ Kantar BrandZ แบรนด์ต่างๆ จะต้องเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือโดยบริษัทเอกชนที่มีข้อมูลทางการเงินเป็นสาธารณะ ขณะเดียวกันก็จะมีการคิดคำนวณมูลค่าของแบรนด์ เช่น การรับรู้ของผู้บริโภค และคุณค่าของแบรนด์ เป็นต้น

รายชื่อ 10 แบรนด์ระดับโลกจัดอันดับโดย Kantar BrandZ

  1. Apple มีมูลค่าแบรนด์ 1.0159 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
  2. Google มีมูลค่าแบรนด์ 753,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
  3. Microsoft มีมูลค่าแบรนด์ 713,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
  4. Amazon มีมูลค่าแบรนด์ 576,662 ล้านเหรียญสหรัฐ
  5. McDonald’s มีมูลค่าแบรนด์ 221,902 ล้านเหรียญสหรัฐ
  6. Nvidia มีมูลค่าแบรนด์ 201,840 ล้านเหรียญสหรัฐ
  7. Visa มีมูลค่าแบรนด์ 188,929 ล้านเหรียญสหรัฐ
  8. Facebook มีมูลค่าแบรนด์ 166,751 ล้านเหรียญสหรัฐ
  9. Oracle มีมูลค่าแบรนด์ 145,498 ล้านเหรียญสหรัฐ
  10. Tencent มีมูลค่าแบรนด์ 135,215 ล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับแบรนด์จีนที่ติดอันดับสูงที่สุดคือ Tencent ซึ่งอยู่อันดับ 10 รองลงมาคือเหมาไถ (Moutai) ผู้ผลิตสุรารายใหญ่จากแดนมังกร อยู่ที่อันดับ 18 ขณะที่บริษัทรองๆ ลงมา เช่น Alibaba อยู่ในอันดับที่ 28 และ TikTok ที่อยู่ในอันดับ 35

ในขณะที่แบรนด์จากต่างประเทศรายอื่นๆ ที่น่าสนใจคือ Aramco ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของซาอุดิอาระเบียติดอันดับที่ 14 ทางด้านแบรนด์หรูแฟชั่นที่ติดอันดับสูงสุดคือ Louis Vuitton ซึ่งอยู่อันดับที่ 12 แซงหน้า Hermer ที่อยู่อันดับ 17 และ Chanel ที่อยู่อันดับที่ 36

ทางด้านแบรนด์ที่มูลค่าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดจนน่าตกใจในปีนี้ก็คือ Nvidia ซึ่งอยู่อันดับที่ 6 นั้นมีมูลค่าแบรนด์เพิ่มขึ้นจากการจัดอันดับในปี 2023 ที่ผ่านมามากถึง 3 เท่า ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากบริษัทได้สร้างผลิตภัณฑ์อย่างชิปเร่งประมวลผลด้านปัญญาประดิษฐ์ จนทำให้บริษัทมีกำไรเติบโตในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง

]]>
1477841