ก่อนหน้านี้ ฟอร์ด ต้องปิดโรงงานผลิตรถ SUV ใน Louisville รัฐ Kentucky เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเนื่องจากขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ล่าสุด ได้สั่งปิดการทำงานของโรงงานตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนชิปและความต้องการรถที่ลดลง โดยโรงงานแห่งนี้มีพนักงานประมาณ 5,000 คน โดยรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของ Ford ในยุโรปคือ Ford Focus
“เรากำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและปรับตารางการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อพนักงาน ซัพพลายเออร์ ลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วยุโรป อย่างไรก็ตาม เรายังไม่มีแผนที่จะหยุดการผลิตในโรงงานอื่น ๆ ในยุโรปของเรา” โฆษกของฟอร์ดกล่าว
การปิดตัวลงของโรงงานฟอร์ดในเยอรมนีชี้ให้เห็นว่าปัญหาขาดแคลนชิปกำลังส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก อย่าง Volkswagen กล่าวในแถลงการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า จะต้องปรับการผลิตที่โรงงานในจีน, อเมริกาเหนือ และยุโรปในไตรมาสนี้ และ Audi ได้ปลดพนักงาน 10,000 คนเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนชิป โดยต้องเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับผลกระทบที่โรงงานในเยอรมนีและเม็กซิโก นอกจากนี้แบรนด์ยักษ์ใหญ่อย่าง Toyota, Nissan, Honda ต่างก็กำลังปรับการผลิตเพื่อตอบสนองต่อปัญหาการขาดแคลน รวมถึงแบรนด์อย่าง Hyundai ก็มีการปรับด้วย
การขาดแคลนชิปในช่วงนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์ เนื่องจากบริษัทวิจัย Bernstein ประเมินว่ายอดขายรถยนต์ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 9% ในปี 2564 หลังจากที่คาดว่าจะลดลง 15% ในปีที่แล้ว แต่ปัญหาการขาดแคลนชิปทำให้การฟื้นตัวมีความเสี่ยง ตามที่นักวิเคราะห์ของ UBS ระบุว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจสูญเสียการผลิต 100,000 คันในช่วง 3 เดือนแรกของปีหรือประมาณ 4% ของผลผลิตรายไตรมาสทั่วโลกอันเป็นผลมาจากการขาดแคลนส่วนประกอบ
ปัจจุบันรถ 1 คันจะต้องใช้ชิปประมาณ 50-150 ชิ้น เนื่องจากแอปพลิเคชันที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ อาทิ ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ และการควบคุมการนำทาง
]]>Audi ระบุว่า เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปจึงต้องมีการปรับลดพนักงานในส่วนที่ไม่จำเป็น โดยจะเพิ่มการจ้างงานในส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 2,000 อัตรา เพื่อทำให้องค์กรคล่องตัวขึ้น ตามเป้าหมาย “become lean and fit for the future” อย่างไรก็ตาม บริษัทยืนยันว่าการลดจำนวนพนักงานครั้งนี้จะไม่มีการปลดออกกะทันหัน แต่จะเกิดขึ้นตามการหมุนเวียนของพนักงาน โดยจะมีทั้งการลาออกและการเกษียณก่อนกำหนด
เมื่อประหยัดงบได้กว่า 6 พันล้านยูโรเเล้ว การลงทุนในโครงการแห่งอนาคตที่จะให้ความสำคัญในอีก 10 ปีต่อจากนี้ก็คือ เทคโนโลยีดิจิทัลและรถยนต์ไฟฟ้า โดยปัจจุบัน Audi มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารุ่น e-Tron ซึ่งใช้พนักงานในการประกอบน้อยกว่ารถยนต์พลังงานปกติที่มีหลายชิ้นส่วนมากกว่า
นอกจากนี้ยังจะไปลงทุนกับการปรับปรุงโรงงานที่เมือง Neckarsulm และ Ingolstadt ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่เพื่อผลิตรถยนต์รวมกัน 675,000 คันต่อปี
Volkswagen ยังเป็นเจ้าของแบรนด์รถยนต์หรูชื่อดัง เช่น Porsche, Bugatti, Skoda และ Lamborghini โดยได้ลงทุนหลายสิบล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนารถแบบไฮบริดที่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ เเละมีแผนจะเปิดตัวโมเดลใหม่ 70 แบบภายในปี 2028
ค่ายรถยนต์ทั่วโลกต่างพยายามปรับตัวเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ขณะที่อุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกกำลังชะลอตัว รวมไปถึงในจีนเเละยุโรป ซึ่งมีการกดดันจากนโยบายควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงต้องมีการปรับโครงสร้างบริษัทเพื่อพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะถูกนำมาใช้เเทนรถยนต์เเบบเดิมที่ใช้น้ำมันเบนซินเเละดีเซล
เเต่การเปลี่ยนเเปลงนี้ ต้องใช้ทุนจำนวนมหาศาล ค่ายรถยนต์จำเป็นต้องหาพันธมิตร โดยเมื่อเดือนที่แล้ว Fiat Chrysler ได้ประกาศควบรวมกิจการกับ Groupe PSA ซึ่งมีรถเเบรนด์ดังอย่าง Peugeot อีกทั้ง BMW และ Daimler ก็ได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่จะพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับ รวมไปถึง Honda และ General Motors (GM) ก็ร่วมมือพัฒนารถยนต์ไร้คนขับเช่นเดียวกัน
การเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางยอดขายรถยนต์ตกต่ำ เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังชะลอตัวลงเเละมีเเนวโน้มจะเลวร้ายลงอีก โดย Fitch Ratings ประเมินว่า ยอดขายรถยนต์ทั่วโลกจะลดลงราว 3.1 ล้านคันในปีนี้ ซึ่งนับเป็นระดับที่ต่ำกว่าปี 2008 ที่ตอนนั้นโลกเผชิญกับวิกฤตทางการเงิน
ที่มา : CNN , theguardian
]]>กลุ่มสื่อจีนรายงาน วันศุกร์ (21 ก.ค.) เมื่อไม่นานมานี้ โฆษณารถมือสองชุดใหม่ของ “ออดี้” ค่ายรถยนต์หรูจากเยอรมนี ความยาว 34 วินาที ก่อให้เกิดกระแสเดือดดาลบนโลกโซเชียลจีน
รายงานระบุว่า โฆษณาดังกล่าวฉายภาพในพิธีแต่งงานของบ่าวสาวคู่หนึ่ง ที่แม่ของเจ้าบ่าวได้ขัดจังหวะพิธีเพื่อทำการสำรวจอวัยวะต่างๆ ของของว่าที่ลูกสะใภ้ราวกับเป็นปศุสัตว์ พร้อมกับคำบรรยายว่า การตัดสินใจที่สำคัญจะต้องทำด้วยความระมัดระวัง พร้อมนำเสนอว่ารถมือสองของออดี้ได้รับการรับรองโดยช่างผู้ชำนาญการ
ชาวเน็ตจีนจำนวนมากพากันแสดงความไม่พอใจต่อชุดโฆษณาดังกล่าวบนโลกโซเชียล บ้างก็วิจารณ์ว่าโฆษณาชุดนี้มีเนื้อหาดูหมิ่นศักดิ์ศรีของผู้หญิง บ้างก็ถามว่า ออดี้มองว่าผู้หญิงเป็นเหมือนรถยนต์มือสองหรือไร
ล่าสุด ทางด้านออดี้ก็ได้ระงับการแผยแพร่โฆษณาชุดนี้ พร้อมทั้งออกแถลงการขอโทษ โดยระบุว่าบริษัทฯ จะใช้ความระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
ที่มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9600000074745
]]>กฤษฎา ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด หรือ ออดี้ ไทยแลนด์ กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจาก ออดี้ เอจี ประเทศเยอรมนี ให้เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ ออดี้ ในประเทศไทย เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว บัดนี้พร้อมเปิดตัวบริษัทฯ และโชว์รูมแห่งแรกอย่างเป็นทางการ
สำหรับแผนการดำเนินงานของออดี้ ไทยแลนด์ในปีแรกนี้จะใช้งบลงทุนประมาณ 1,400 ล้านบาท ครอบคลุมทุกส่วนทั้งในการบริหารงาน โชว์รูม รวมถึงการพัฒนาบุคลากรและเครื่องมือต่างๆ เพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้าที่ใช้รถยนต์ออดี้ทุกรายไม่ว่าจะซื้อมาจากที่ใดก็ตาม
“เรารับเซอร์วิสรถยนต์ออดี้ทุกคันโดยจะมีค่าแรกเข้าเริ่มต้นที่ 10,000 บาทและขยับขึ้นตามมูลค่าของรถที่นำเข้ามาเซอร์วิส ในส่วนของโชว์รูมแห่งใหม่และสำนักงานใหญ่นั้นจะลงทุนราว 600 ล้านบาท เป็นโชว์รูมที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของเอเชีย รองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการได้มากถึง 1,000 คนต่อเดือน เพียงพอสำหรับการดำเนินการช่วงแรก” กฤษฎากล่าว
สำหรับรถยนต์ออดี้ที่บริษัทฯ จำหน่ายทุกคัน จะเป็นรถนำเข้าสำเร็จรูปจากประเทศเยอรมนี โดยมีแผนการเปิดตัวจำนวนทั้งสิ้น 23 รุ่นในปีนี้ ล็อตแรกที่เปิดจำหน่ายได้แก่รุ่น เอ4, เอ5, เอ6, คิว2, คิว3, คิว5, คิว7, ทีที และอาร์8 หลังจากนี้จะมีการทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในงานมอเตอร์โชว์ที่จะถึงนี้ ออดี้จะเข้าไปจัดแสดงครบทุกโมเดล และจะเริ่มส่งมอบให้ลูกค้าที่สั่งจองได้ตั้งแต่กลางเดือนเมษายนเป็นต้นไป
ปีแรกของการทำตลาดตั้งเป้าจำหน่ายไว้ที่ 600 คัน โดยรับประกัน 5 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนแผนต่อไปคือการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการ ซึ่งจะมีในกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 6 แห่ง และต่างจังหวัด 4 แห่ง ครอบคลุมทั่วทุกภาคของไทยภายใน2 ปี และจะมีการเปิดรับดีลเลอร์เร็วๆ นี้
สำหรับสัดส่วนของการถือหุ้นนั้น กฤษฎา ล่ำซำ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 30% และน้องสาวคือ นวลพรรณ ล่ำซำ หรือมาดามแป้ง ถือ 10% ขณะที่หุ้นส่วนที่เหลือจะเป็นกลุ่มเพื่อนที่ชักชวนกันมาลงทุนถือในสัดส่วนแต่ละคนประมาณ 5% ดังนั้นการเข้ามาดำเนินกิจการครั้งนี้จึงมั่นใจได้ในแง่ของเงินทุน
ทั้งนี้ในด้านของ เยอรมัน มอเตอร์เวิร์ค (ตระกูลลีนุตพงษ์) ตัวแทนจำหน่ายรายเดิมรถยนต์ออดี้ จะยุติการทำตลาดและสิ้นสุดสัญญาในสิ้นปีนี้ ซึ่งลูกค้าที่ซื้อรถไปจะไม่ได้รับผลกระทบแต่ประการใด ทางออดี้ ไทยแลนด์ จะรับช่วงต่อในแง่ของการรับประกัน หากยังมีเหลืออยู่
การเปลี่ยนตัวแทนจำหน่ายรอบนี้ของออดี้ มาเป็นของตระกูลล่ำซำในรอบนี้ มีข้อได้เปรียบในเรื่องของการสร้างแบรนด์ ส่วนในเรื่องงานบริหารหลังการขาย และศูนย์บริการที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ หากทำได้ดี โอกาสแจ้งเกิดมีสูง
http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9600000029547
]]>