Beauty Standard – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Tue, 23 Apr 2024 09:52:35 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์” รีแบรนด์ใหญ่ในรอบ 18 ปี สู่ “เซ็ปเป้ บิวติ” ผู้นำเทรนด์การสื่อสาร Beauty Standard ใหม่ ที่มองว่า “ความหลากหลาย” คือ “ความสวย” https://positioningmag.com/1470674 Tue, 23 Apr 2024 09:00:07 +0000 https://positioningmag.com/?p=1470674

ตลาดเครื่องดื่มในประเทศไทยมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดมากขึ้นทุกปี เนื่องจากมีผู้เล่นรายใหม่ๆ ในตลาด อีกทั้งยังแข่งขันเรื่องโปรโมชั่นกันอย่างรุนแรง ผู้เล่นในตลาดจึงต้องแข่งขันกันด้วยเรื่องของแบรนด์ดิ้ง รวมไปถึงชูเรื่องฟังก์ชันนอลของสินค้า เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น

แต่ถ้าพูดถึงตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล ดริ้งค์ จะไม่พูดถึง “เซ็ปเป้” หรือบริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) เลยคงไม่ได้ เพราะเป็นหนึ่งในผู้นำตลาด และเป็นผู้สร้างกระแสเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล ดริ้งค์ในประเทศไทย ซึ่งแบรนด์ได้ทำตลาดมา 18 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 2558 และครองใจผู้บริโภคมาแล้วหลายเจนเนอเรชั่น

ในปีนี้เซ็ปเป้ถือโอกาสฉลองครบรอบ 18 ปี ด้วยการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ จาก “เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์” (Sappe Beauti Drink) สู่ “เซ็ปเป้ บิวติ” (Sappe Beauti) นับเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ในการเปลี่ยนทั้งชื่อแบรนด์, Brand Mission และแพ็คเกจจิ้ง เพื่อต้องการสร้างอาณาจักรบิวติที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เครื่องดื่มอีกต่อไป

อีกทั้งเซ็ปเป้ บิวติ ยังต้องการเป็น Trend Setter ในการสื่อสารเรื่อง Beauty Standard แบบใหม่ ว่าความหลากหลายคือ ความสวยที่แท้จริง ซึ่งไม่จำเป็นต้องสวยตาม Beauty Standard ของสังคมที่จะต้องขาว ผอม หุ่นดี แต่ทุกคนสวยได้ในแบบของตัวเอง โดยได้อินไซต์จากผู้บริโภคในยุคนี้ที่รักตัวเองในแบบที่เป็นตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องสวยตามแบบมาตรฐานของคนทั่วไป โดยที่เซ็ปเป้จะเป็นผู้สนับสนุนความสวยนั้นเอง

นางสาวปิยจิต รักอริยะพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE กล่าวว่า

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เซ็ปเป้เดินหน้าคิดค้นและพัฒนาสูตรเครื่องดื่มเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความแตกต่างด้วยการใส่นวัตกรรมรูปแบบใหม่ๆ ในเครื่องดื่ม เพิ่มคุณประโยชน์ที่หลากหลาย ในรสชาติที่อร่อย ผสานความสดชื่นอย่างลงตัว เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด จึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง และยังครองความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความสวยมายาวนานต่อเนื่อง 18 ปี

ในปีนี้เซ็ปเป้ก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่เข้าใจผู้บริโภค Gen Z ด้วยการปรับโฉมรีแบรนด์ครั้งสำคัญจาก เซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์ สู่การเป็น “เซ็ปเป้ บิวติ” อย่างเป็นทางการ พร้อมต่อยอดสู่การเป็นแบรนด์เพื่อสุขภาพและความสวยที่จะตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้นในหลากมิติ โดยออกสตาร์ทด้วยแคมเปญ สวยเรา ไม่ต้องสวยใคร”

แคมเปญ “สวยเรา ไม่ต้องสวยใคร” เป็นแคมเปญทางการตลาดที่สื่อสารเพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Z โดยหยิบยกประเด็นร้อนในสังคมอย่างเรื่องมาตรฐานความสวย (Beauty Standard) มาบอกเล่าในมุมมองใหม่ ผ่านโปรเจค The Rejected Casts ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงของกลุ่ม Gen Z หลากหลายเพศ จำนวน 7 แคสต์ ผ่านการให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์ตรงและเหตุผลที่ไม่ผ่านแคสต์ติ้งงานโฆษณา

ซึ่งล้วนเป็นเพราะรูปร่าง สีผิว ใบหน้า ดวงตา และรอยยิ้มที่ไม่ตรงตามพิมพ์นิยม ก่อนจะเฉลยว่าทุกคนผ่านการแคสต์งานในครั้งนี้ และได้ร่วมเป็นตัวแทนความสวยในแบบฉบับของตัวเองที่ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับใครของแบรนด์เซ็ปเป้ บิวติ เพื่อสื่อถึงการให้คุณค่ากับทุกความสวย พร้อมฉีกค่านิยมความสวยในกรอบเดิมๆ ของสังคม ด้วยการให้โอกาสนักแสดงที่เคยถูกปฏิเสธงานมามากมาย เพียงเพราะพวกเขาสวยไม่ตรงตามมาตรฐานความสวยที่คนส่วนใหญ่ชื่นชอบ

นางสาวปิยจิต เสริมอีกว่า “แต่เดิมเซ็ปเป้ บิวติ ดริ้งค์วางจุดยืนเป็นเครื่องดื่มฟังก์ชันนอล ดริ้งค์ที่ขายฟังก์ชันนอลเป็นหลัก เช่น สูตรที่ดื่มแล้วขาวอมชมพู สูตรที่ดื่มแล้วสวย สูตรที่ดื่มแล้วหุ่นดี แต่ตอนนี้เราเข้าใจผู้บริโภค และ Beauty Standard ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย”

และเพื่อให้โดนใจกลุ่ม Gen Z มากยิ่งขึ้น เซ็ปเป้ บิวติ ยังเปิดตัวบรรจุภัณฑ์ดีไซน์ใหม่ล่าสุด ซึ่งได้นักออกแบบชื่อดังที่กวาดรางวัลด้านการออกแบบบรรจุภัณฑ์มาแล้วทั่วโลก มารับหน้าที่ดีไซน์ฉลากบรรจุภัณฑ์ใหม่ทั้ง 4 รสชาติ ในคอนเซ็ปต์ “โอบกอดตัวเอง (Embrace Yourself)” ที่นำดอกไม้ที่มีความหมายสื่อถึงความรักที่ให้กับตัวเอง มาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการออกแบบ ได้แก่

  • สูตรคอลลาสกิน (Collaskin) ขวดสีชมพู ใช้ดอกคาเนชั่นแทนสัญลักษณ์ของความรักอย่างบริสุทธิ์ใจ
  • สูตรเอส-ลิม (S-lim) ขวดสีเขียวอ่อน ใช้ดอกลิลลี่แทนสัญลักษณ์ของความรักอย่างอ่อนหวาน อ่อนโยน
  • สูตรบิวติท็อกซ์ (Beautitox) ขวดสีเขียวเข้ม ใช้ดอกทานตะวันแทนสัญลักษณ์แห่งความรักที่ให้กำลังใจ
  • สูตรบิวติ อายส์ (Beauti Eyes) ขวดสีแดง ใช้ดอกเบญจมาศแทนสัญลักษณ์ของความรักที่มีชีวิตชีวา สดใส

ซึ่งช่วยสะท้อนตัวตน และความชื่นชอบของกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในแต่ละลายจะมีการสอดแทรกรูปการ์ตูนของคนที่มีความหลากหลายทั้งรูปร่าง เพศ และสีผิวเอาไว้บนฉลาก เพื่อให้สอดคล้องกับภาพรวมของแคมเปญอีกด้วย

“เพราะความสวยคือความหลากหลาย เซ็ปเป้ บิวติ จึงอยากจุดประกายมุมมองเรื่องความสวยในรูปแบบใหม่ พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคม เพื่อให้คนรุ่นใหม่มีความมั่นใจในตัวเอง มีความรักตัวเอง (Self-Love) ตลอดจนกล้าที่จะเป็นตัวเองให้เต็มที่ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนสามารถเปล่งประกายความสวยในแบบของตัวเองได้อย่างเท่าเทียมกัน” นางสาวปิยจิต กล่าวเพิ่มเติม

สัมผัสกับเครื่องดื่ม เซ็ปเป้ บิวติ โฉมใหม่ ทั้ง 4 รสชาติ ได้แล้ววันนี้ที่ร้านสะดวกซื้อ 7-11 ทุกสาขา และร้านค้าทั่วไปทั่วประเทศ ในราคา 20 บาท หรือสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ Line: @sappeonline และShopee: Sappe Official Store หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: Sappe Beauti Drink และ Tiktok: Sappeonline

]]>
1470674
“มิสทิน” เปิดหน้าสื่อสารกับชาว Gen Z ตอกย้ำความ “มั่นหน้า” เพราะทุกคนสวยในแบบของตัวเอง https://positioningmag.com/1360468 Tue, 09 Nov 2021 04:00:28 +0000 https://positioningmag.com/?p=1360468

มิสทิน แบรนด์เครื่องสำอางขวัญใจสาวไทย เดินหน้าปรับกลยุทธ์ในการสื่อสารกับกลุ่ม Gen Z มากขึ้น เปิดแคมเปญใหญ่แห่งปี I’M PERFECTLY ME “ฉันมั่นหน้า” ตอกย้ำถึงความมั่นใจในการสวยในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ต้องสวยแบบพิมพ์นิยม พร้อมเดินหน้าก้าวสู่แบรนด์เครื่องสำอางระดับโลกในอนาคต


เปิดตำนานเครื่องสำอางสาวเซเลบ

ต้องบอกว่าสาวไทยในวัยที่เริ่มรักสวยรักงามขึ้นแล้วนั้น ต้องรู้จักแบรนด์ MISTINE (มิสทิน) อย่างแน่นอน เป็นอีกหนึ่งแบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติไทยที่ประสบความสำเร็จ เป็นแบรนด์ต้นๆ ที่บุกเบิกตลาดเครื่องสำอางในไทย จนกลายเป็นที่รู้จัก และเป็นขวัญใจของสาวไทยทุกช่วงวัยไปในที่สุด

ในปีนี้มิสทินมีอายุ 32 ปีแล้ว เทียบกับคนก็อยู่ในวัยสาวเต็มตัว ในยุคแรกที่มิสทินเริ่มทำตลาดนั้น ตอนนั้นสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง เป็นสินค้าราคาแพง หาซื้อได้ยาก และส่วนใหญ่จะมีการนำเข้ามาจากต่างประเทศ มิสทินเองต้องการให้คนไทยทุกคนเข้าถึงเครื่องสำอางได้ง่าย ด้วยช่องทางการหาซื้อที่ง่าย และราคาที่เหมาะสม

มิสทินจึงถูกสร้างขึ้นมาด้วยการค้าขายแบบธุรกิจขายตรง และใช้วิธีการสื่อสารผ่านโฆษณาทีวีเพื่อสร้างการรับรู้ในฐานะเครื่องสำอางคนไทยเจ้าแรกในตลาดที่ทุกคนเข้าถึงสินค้าได้ง่ายในทุกระดับ จนถูกเรียกว่าเป็นเครื่องสำอางของสาวโรงงาน ซึ่งในตอนนั้นทีมงานภูมิใจมาก เพราะเป็นการบ่งบอกว่าแบรนด์สินค้าเราเป็นที่ยอมรับของผู้หญิงส่วนใหญ่ของประเทศ

ในยุดถัดมาที่เริ่มมีแบรนด์สินค้าเครื่องสำอางมากขึ้น การแข่งขันในตลาดก็ดุเดือดมากขึ้น มีทั้งแบรนด์ไทย และแบรนด์ต่างประเทศเข้ามาตีตลาด ธุรกิจเครื่องสำอางจึงกลายเป็นสินค้า Fashion Lifestyle ไปโดยปริยาย

มิสทินจึงปรับการสื่อสาร เพราะอยากให้สาวๆ รู้สึกว่าการใช้มิสทินเป็นการเลือกเครื่องสำอางของผู้หญิงที่สวยเก่ง และฉลาดในการการเลือกใช้สินค้า จึงเลือกวิธีการสื่อสารแบรนด์ผ่านความสวย และเก่งของดาราชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นดาราตัวแม่ของวงการทั้งสิ้น ได้แก่ อั้ม พัชราภา, ชมพู่ อารยา, ญาญ่า อุรัสยา, แพนเค้ก เขมนิจ, พลอย เฌอมาลย์, ใบเฟิร์น พิมชนก, มิ้นต์ ชาลิดา, ปู ไปรยา, มีน พีชญา, คิมเบอร์รี่ และเบลล่า ราณี ไม่ว่าใครที่กำลังโด่งดัง หรือเป็นกระแสในตอนนั้น มิสทินก็พร้อมที่จะคว้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกันได้เสมอ

ซึ่งก็พบว่ากลยุทธ์นี้ได้ผลมากเลยทีเดียว จากการสำรวจตลาดพบว่ามิสทินได้รับการยอมรับมากขึ้นกว่าในยุคเริ่มต้น โดยเฉพาะผู้หญิงในกลุ่มคนเมือง และมิสทินมาพร้อมกับภาพจำของแบรนด์เครื่องสำอางที่มีตัวแทนเป็นดาราชั้นนำของเมืองไทยเพื่อบ่งบอกถึงรสนิยม และภาพลักษณ์ผู้หญิงของมิสทินนั่นเอง


เดินหน้าสื่อสารกับชาว Gen Z

จากกลยุทธ์ในการดึงดาราตัวแม่ของวงการมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ สามารถสร้างการรับรู้ได้มากก็จริง แต่เมื่อยุคสมัยมีการเปลี่ยนไป กลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน แถมยังเป็นผู้มีอิทธิพลหลักในการจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้นด้วย ทำให้มิสทินต้องปรับกลยุทธ์การสื่อสารครั้งใหญ่ โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่ม Gen Z คนรุ่นใหม่มากขึ้น

จุดเริ่มต้นในการปรับกลยุทธ์ในครั้งนี้ มาจากเกือบ 2 ปีที่แล้ว จะมีการทำ Brand Health Check อยู่ตลอด หนึ่งในหัวข้อของครั้งนั้นเป็นการทำผลสำรวจแบบโฟกัสกรุ้ปกับกลุ่ม Gen Z ว่าคนกลุ่มนี้มองมิสทินอย่างไร โดยข้อสรุปแล้วทุกคนรู้จักมิสทินโดยจดจำภาพของแบรนด์ผ่านความสวยของดาราชั้นนำของประเทศ โดยเฉพาะถ้าถามว่าใครเป็นพรีเซ็นเตอร์ของมิสทิน ก็จะได้รับคำตอบว่า “อั้ม พัชราภา” อยู่เสมอ

แต่ก็พบว่ากลุ่มคน Gen Z ส่วนใหญ่จะไม่ใช้สินค้ามิสทิน ซึ่งถือว่าเป็นความท้ายทายใหม่ของแบรนด์ที่อยากจะเข้าใจ Gen Z มากขึ้น

ทำให้ก้าวย่างใหม่ของมิสทินนั้น ต้องทำความเข้าในการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคมากขึ้น การที่โลกดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญ จากโจทย์นี้ทางมิสทินได้เก็บข้อมูลทำความเข้าใจ Gen Z และหาทีมงานที่จะมาร่วมสร้างการเปลี่ยนแปลง จนเข้าใจนิยามความสวยของ Gen Z ว่าหมายถึงความสวยที่แต่ละคนมีความต่างที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ซึ่งต่างจากค่านิยมความสวยเดิมๆ

มิสทินได้ทำงานร่วมกับเอเยนซี่ Dentsu One และ Youngster ในการที่จะปรับกลยุทธ์ และการสื่อสารให้เข้ากับ Gen Z โดยเริ่มจากการเข้าใจคนกลุ่มนี้ หัวใจสำคัญของคนกลุ่มนี้คือ ความเป็นปัจเจก มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความเชื่อมั่น แตกต่างกับคนกลุ่มอื่นอย่างมาก

นิยามความสวยของคนกลุ่มนี้ไม่เหมือนคนเจนอื่นโดย Beauty Standard แบบเดิมนั้นสำหรับคนยุคหนึ่งมองว่าความสวยของผู้หญิงนั้นต้องเป็นแบบอุดมคตินิยม ที่ผู้หญิงจะต้องมีความสวยที่เป็นความสวยสมบูรณ์แบบเหมือนที่เราเห็นจากทีวี มิสทินจึงดึงดาราชั้นนำมาเป็นพรีเซ้นเตอร์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้สาวๆ แต่ Beauty Standard ของคน Gen Z นั้น เปลี่ยนเป็นปัจเจกนิยมที่แต่ละคนสวยในแบบของตัวเอง รักในทุกส่วนของใบหน้า ในขณะที่เคารพในสิ่งที่คนอื่นเป็น


I’M PERFECTLY ME ฉันมั่นหน้าสวยแบบตัวเอง!

จากมุมมองนี้เอง ทำให้มิสทินได้นิยามความเชื่อในเรื่องความสวยออกมาเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ของแบรนด์ว่า I’M PERFECTLY ME และสะท้อนความเชื่อนั้นผ่านแคมเปญ “ฉันมั่นหน้า” เป็นความสวยในแบบของตัวเอง มั่นใจในแบบของตัวเอง โดยที่ไม่สนคำพูดของคนอื่น

มิสทินเลือกหยิบวลีคำว่า “มั่นหน้า” มาใช้ ซึ่งคำนี้มักจะเคยได้ยินกันบ่อยๆ ในกลุ่มวัยรุ่น “มั่นหน้าจังเลยเนอะ” ส่วนใหญ่จะเป็นคำที่รู้สึกในแง่ลบ เหมือนเป็นคำนินทาให้ร้ายคนอื่นเสียมากกว่า แต่ในทางกลับกันถ้าเรามองกระจก และพูดว่า “ฉันมั่นหน้า” กับตัวเองมันกลับทำให้เรารู้สึกมีพลังบวกมากขึ้น สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองได้อย่างดี

มิสทินจึงเปิดแคมเปญ พร้อมกับคลิปวิดีโอ “ฉันมั่นหน้า” I’M PERFECTLY ME ภายในวิดีโอมีเนื้อหาประมาณว่า มีสาวๆ ที่มีความหลากหลากในรูปร่างหน้าตา ทั้งปากใหญ่, คิ้วบาง, ตาชั้นเดียว และโหนกแก้มใหญ่ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ของสาวๆ หลายคน บางคนบอกให้ไปเสริม ไปทำให้ดีขึ้นตามแบบฉบับพิมพ์นิยม แต่สาวๆ กลุ่มนี้กลับมองมั่นใจในหน้าของตัวเอง มั่นใจในความสวยแบบนี้ของตัวเองด้วยซ้ำ

แคมเปญนี้เป็นเหมือนการที่มิสทินได้แสดงจุดยืนของคำว่า I’M PERFECTLY ME สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่มีความมั่นใจ รักและภูมิใจในใบหน้าของตนเอง เพราะความสวยนั้นเราเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่สังคม ยากให้ทุกคนได้ลองมองตัวเองในกระจกแล้วพูดกับตัวเองดูว่า “ฉันมั่นหน้า”

ไม่เพียงแค่แคมเปญฉันมั่นหน้าที่ทำการสื่อสารแล้ว มิสทินทำการปรับภาพลักษณ์ใหม่ทั้งหมดทั้งในส่วนของช่องทางการขายที่ทำการปรับปรุง Mistine Beauty Shop ให้ดูทันสมัย และเข้ากับกลุ่มวัยรุ่นยังรวมถึงการออกสินค้าใหม่ที่ถูกพัฒนาจากนักการตลาด Gen Z เพื่อให้เข้าใจความต้องการที่แท้จริง


สยายปีกสู่ Global Cosmetics Brand

ถึงแม้ว่ามิสทินจะเป็นแบรนด์เป็นเครื่องสำอางมีจุดเริ่มต้นจากประเทศไทย แต่ปัจจุบันมีการทำตลาดอยู่ในหลายประเทศ ตอนนี้มีสำนักงานที่ประเทศพม่า, ลาว, กัมพูชา และจีน โดยเฉพาะในตลาดประเทศจีน มิสทินมีสำนักงานถึง 3 แห่ง พร้อมทีมงานที่เป็นคนรุ่นใหม่กว่า 200 คน ที่กำลังลุยตลาดจีนอยู่

ในการทำคอนเซ็ปต์ของแบรนด์ใหม่ในครั้งนี้ จึงคิดแค่ภายในประเทศไม่ได้ ได้มีการแต่งตั้งบริษัท BETC ซึ่งเป็นเอเยนซี่ชั้นนำจากฝรั่งเศสเข้ามาช่วยทำในเรื่องภาพลักษณ์ของแบรนด์ในตลาดภาพรวมของมิสทินทั้งในประเทศ และต่างประเทศ จากนั้นทีมงานการตลาดในแต่ละประเทศจะนำไปปรับให้เข้ากับผู้บริโภคในแต่ละประเทศ

อย่างที่ประเทศจีนการสื่อสารจะเป็นการทำโดยใช้ KOL เป็นคนนำตลาด และด้วยความเป็นแบรนด์ไทยจึงใช้การผสมผสานระหว่าง KOL และดาราดังของจีนกับดาราชั้นนำของไทย เช่น ไมค์ พิรัชต์, ใบเฟิร์น พิมชนก, กลัฟ, เตนิว และออฟกัน เป็นต้น

แน่นอนว่ามิสทินไม่หยุดแค่การเป็นแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำในไทยเพียงย่างเดียว แต่จากนี้ไปอีก 5 ปีมิสทินตั้งเป้าที่จะเป็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ได้ชื่อว่าเป็นแบรนด์ไทยที่ได้รับการยอมรับในตลาดโลก ด้วยวิธีการทำการตลาดร่วมกับประเทศจีน และเตรียมที่จะเปิดตัวก้าวสำคัญของมิสทินในฐานะเครื่องสำอางของคนไทยภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่นี้ที่งานแสดงสินค้าเครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดของโลกปี 2022 กับงาน COSMOPROF WORLDWIDE BOLOGNA เพื่อให้มิสทินขยายตัวเข้าไปในตลาดโลกอย่างเต็มที่ โดยภาพความสำเร็จคือ การเป็น Global Cosmetics Brand

“ฉันมั่นหน้า” ในวันนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเส้นทางใหม่ที่มิสทินจะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z อีกทั้งเพื่อเป็นการเดินทางสู่เส้นทางที่ท้าทายของการแข่งขันในตลาดโลก ด้วยการเป็นมิสทินมั่นหน้าผ่านแคมเปญ “ฉันมั่นหน้า”


]]>
1360468