Black Friday – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sun, 26 Nov 2023 12:03:47 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ‘Black Friday’ ในสหรัฐฯ ยังไม่เสื่อมมนต์ขลัง เฉพาะ ‘อีคอมเมิร์ซ’ ยอดใช้จ่ายแตะ 1 หมื่นล้านเหรียญ https://positioningmag.com/1453381 Sun, 26 Nov 2023 12:02:56 +0000 https://positioningmag.com/?p=1453381 ดูเหมือนเทศกาล Black Friday ในสหรัฐอเมริกายังคงไม่เสื่อมมนต์ขลัง โดยเฉพาะบนอีคอมเมิร์ซที่สามารถเติบโตได้ถึง 7.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ต่างจากวันคนโสด 11.11 ในจีน ที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการตอบรับเท่าที่ควร

ตามรายงานของ Adobe Analytics เปิดเผยว่า การจับจ่ายบนอีคอมเมิร์ซของสหรัฐอเมริกาในวัน Black Friday พุ่งขึ้น 7.5% จากปีก่อนหน้า โดยแตะระดับ 9.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้เพิ่มเติมว่า ผู้บริโภคที่คํานึงถึงราคาต้องการใช้จ่าย และต้องการ ข้อเสนอที่ดีที่สุด และกําลังตามล่าดีลเหล่านั้นทางออนไลน์

“เราได้เห็นผู้บริโภคที่มีกลยุทธ์มากเกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาซึ่งพวกเขากําลังพยายามใช้ประโยชน์จากวันนี้จริง ๆ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับส่วนลดสูงสุด” Vivek Pandya หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Adobe Digital Insights กล่าว

Pandya มองว่า เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำการโฆษณาบนโซเชียลมีเดีย มีบทบาทเป็นแรงกระตุ้นสำคัญในวัน Black Friday เนื่องจากยอดขายออนไลน์มูลค่า 5.3 พันล้านดอลลาร์มาจากการช็อปปิ้งบนมือถือ ซึ่งช่วยให้เห็นดีลดี ๆ และใช้จ่ายบนมือถือได้ง่าย

อีกปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นยอดขายก็คือ โปรโมชั่น ใช้ก่อนจ่ายทีหลัง โดยยอดขายถึง 79 ล้านดอลลาร์ มาจากผู้บริโภคที่เลือกวิธีการชําระเงินแบบดังกล่าว ซึ่งเพิ่มขึ้น 47% จากปีที่แล้ว สำหรับหมวดหมู่สินค้าที่ขายดีที่สุดของ Black Friday คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทวอทช์และโทรทัศน์ พร้อมด้วยของเล่นและเกม 

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์ของ Mastercard เกี่ยวกับยอดขาย Black Friday ในปีนี้พบว่า ยอดขาย in-store เพิ่มขึ้นเพียง 1% เมื่อเทียบกับยอดขายออนไลน์ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

“ฉันคิดว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วง Black Friday ได้เปลี่ยนไปตามประสบการณ์ ที่ผ่านมา การช้อปในร้านค้า ต้องแย่งชิง และมีคิวยาว แต่การซื้อออนไลน์มันง่ายกว่า ทั้งการเปรียบเทียบราคาและการหาราคาที่ดีกว่า” Pandya กล่าวทิ้งท้าย

Source

]]>
1453381
คาดการณ์โค้งสุดท้าย ‘อีคอมเมิร์ซโลก’ ช้อปทะลุ 30 ล้านล้านบาท ‘ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง’ ยังเป็นเทรนด์แรง https://positioningmag.com/1362358 Tue, 16 Nov 2021 07:21:02 +0000 https://positioningmag.com/?p=1362358 หากจะพูดถึงช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี ก็ถือว่าเป็นเวลาทองของการช้อปปิ้ง เพราะมีทั้งแคมเปญ ‘11.11’ หรือ ‘วันคนโสด’ ในฝั่งของเอเชีย ส่วนฝั่งยุโรปก็มี ‘Black Friday’ รวมถึงงานเทศกาลอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวันคริสต์มาส, วันส่งท้ายปี ซึ่งทาง ‘อะโดบี’ ก็ได้คาดการณ์เกี่ยวกับช้อปปิ้งออนไลน์ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายนี้ว่าจะมีมูลค่ามากน้อยแค่ไหน

2 เดือนสุดท้ายช้อปทะลุ 30 ล้านล้านบาท

อะโดบีคาดการณ์ยอดขายสินค้าออนไลน์ในสหรัฐฯ ช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปีระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคมจะแตะ 207 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.8 ล้านล้านบาท) ซึ่งนับเป็นสถิติใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2020 แสดงให้เห็นว่าหลังผ่านวิกฤต COVID-19 มา 1 ปี อีคอมเมิร์ซกลายเป็นเซอร์วิสที่มีความจำเป็นต่อผู้บริโภค

ขณะที่ยอด ใช้จ่ายออนไลน์ทั่วโลก อาจแตะ 910 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 30 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว นอกจากนี้ อะโดบีคาดการณ์ว่ายอดใช้จ่ายทั่วโลกตลอดปี 2021 อยู่ที่ประมาณ 4.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 133 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นสถิติใหม่สำหรับตลาดอีคอมเมิร์ซ

แม้อีคอมเมิร์ซได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นในสหรัฐฯ แต่ความสนใจช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลหลัก ๆ ได้รับความนิยมน้อยลง อย่างช่วงสัปดาห์ Cyber Week (ช่วงวันขอบคุณพระเจ้าถึงวัน Cyber Monday) คาดว่าจะมียอดใช้จ่ายออนไลน์ 36 พันล้านดอลลาร์ คิดเป็น 17% ตลอดเทศกาล โดยอัตราการเติบโตลดลงอยู่ที่เพียง 5% สำหรับช่วงระยะเวลา 5 วัน

ขณะที่ช่วง Black Friday คาดว่าจะมียอดใช้จ่ายอยู่ที่ 9.5 พันล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 5% และ วันขอบคุณพระเจ้า มียอดใช้จ่ายอยู่ที่ 5.4 พันล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 6% โดยวันช้อปปิ้งหลัก ๆ ทั้ง 3 วันดังกล่าวมีอัตราการเติบโตน้อยกว่าเทศกาลโดยรวม

(Photo by Rob Stothard/Getty Images)

ปัญหาด้านซัพพลายเชนกระทบเทศกาลช้อปปิ้ง

ความต้องการช้อปปิ้งออนไลน์ของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ผู้ค้าปลีกกำลังประสบปัญหาต่าง ๆ ในด้านซัพพลายเชน เช่น ปัญหาความหนาแน่นของสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์ของท่าเรือ การขนส่งที่ล่าช้า และการผลิตสินค้าในต่างประเทศที่หยุดชะงัก ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเมื่อเทียบกับช่วงมกราคม 2020 ที่ยังไม่เกิดการระบาดของ COVID-19 พบข้อความแจ้งเตือนว่า สินค้าหมดสต็อกมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 172%

ทั้งนี้ อะโดบีคาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับนี้ต่อไป และอาจเพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าบางรายการตลอดช่วงเทศกาล และจากสินค้า 18 หมวดหมู่ที่ทำการตรวจสอบพบว่า สินค้าประเภท เครื่องแต่งกาย เป็นสินค้าที่ หมดสต็อกมากที่สุด ตามด้วย อุปกรณ์กีฬา ผลิตภัณฑ์สำหรับทารก และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

ขณะที่ปัญหาซัพพลายเชนก็ส่งผลให้ ราคาสินค้าออนไลน์ปรับสูงขึ้น โดยคาดว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะต้อง จ่ายเงินเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 9% ในช่วง Cyber Week ของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจาก ส่วนลดที่น้อยลง โดยคาดว่าส่วนลดจะอยู่ที่ 5-25% เทียบกับส่วนลดโดยเฉลี่ย 10-30% ในปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากสถานการณ์ เงินเฟ้อ อีกด้วย ทำให้ราคาสินค้าออนไลน์เพิ่มสูงขึ้นราว 3.3%

ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง เทรนด์แรงต่อเนื่อง

สำหรับรูปแบบการชำระเงินนั้นพบว่า ผู้บริโภคมีแนวโน้มจะใช้บริการ ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later – BNPL) เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการจับจ่ายใช้สอยช่วงเทศกาลปลายปี โดยมีการใช้งานเพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปี 2019

นอกจากนี้มีแนวโน้มการใช้บริการแบบ ไดรฟ์ทรู มากขึ้น หลังจากที่สามารถเดินทางไปหน้าร้านได้ โดยคิดเป็นสัดส่วน 25% ของคำสั่งซื้อออนไลน์ทั้งหมด เนื่องจากผู้บริโภคกังวลเรื่องการจัดส่งที่ล่าช้า ทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการนี้เพิ่มมากขึ้น โดยจากผลการสำรวจของอะโดบี ชี้ว่า 65% ของผู้บริโภคมีความกังวลใจเกี่ยวกับความล่าช้าในการจัดส่งสินค้า

ของขวัญสะท้อนการใช้ชีวิตอยู่แต่บ้าน

จากผลการสำรวจของอะโดบีพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม 51% มีแผนที่จะซื้อสินค้าที่จับต้องได้เป็นของขวัญให้แก่คนอื่น ๆ ในช่วงเทศกาลปลายปีนี้ ขณะที่ 17% มีแผนที่จะให้ของขวัญในรูปแบบของ ประสบการณ์ แทน อาทิ บริการสปา ทรีตเมนต์, ตั๋วคอนเสิร์ต, ตั๋วชมการแข่งขันกีฬา, ตั๋วเครื่องบิน และคอร์สเรียนทำอาหาร

ขณะที่ของขวัญยอดนิยม อาทิ ของเล่น, เครื่องเกม, Airpods Max, ถ้วยกาแฟอัจฉริยะ, หม้ออเนกประสงค์ Instant Pot, หม้อทอดไร้น้ำมัน, กระบอกน้ำอัจฉริยะ, โดรน และเครื่องเล่นแผ่นเสียง สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันผู้บริโภคใช้เวลาอยู่บ้านและทำงานหน้าแล็ปท็อปมากขึ้น

]]>
1362358
วันหยุดดันยอดค้าปลีกสหรัฐฯ พุ่ง 3% ของตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์ขายดีสุด https://positioningmag.com/1312359 Mon, 28 Dec 2020 11:45:15 +0000 https://positioningmag.com/?p=1312359 เป็นธรรมดาที่เมื่อเราต้องติดอยู่ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปี เราอาจจะเบื่อที่จะจ้องมองโซฟาตัวเดิม ๆ และเฟอร์นิเจอร์เดิม ๆ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมช่วงคลายล็อกดาวน์ของไทย จึงมีคนแห่ไป ‘อิเกีย’ กัน เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ในช่วงวันหยุดปลายปีนี้ที่ทำให้เฟอร์นิเจอร์และสินค้าปรับปรุงบ้านเป็นสินค้าขายดีจนช่วยดันยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3%

เทศกาลช้อปปิ้งช่วงวันหยุดที่ขยายตัวในปีนี้ตามรายงานของ Mastercard (MA) SpendingPulse โดยระบุว่ายอดขายสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 49% ระหว่างวันที่ 11 ตุลาคมถึง 24 ธันวาคม ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าการระบาดของโรค COVID-19 ได้เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อไปแล้ว

ภาพจาก : https://www.theguardian.com/business/2014/sep/02/online-shopping-mobiles-overtakes-desktop

โดยในช่วงเทศกาลวันหยุดที่ยาวนาน ซึ่งเริ่มต้นด้วย Amazon Prime Day ที่มาช้ากว่าเดิม ทำให้มีผู้ค้าปลีกหลายรายเสนอข้อเสนอพิเศษและโปรโมชันเพื่อจูงใจให้ลูกค้าทำการซื้อเพื่อรับประกันว่าสินค้าจะถึงตรงเวลาในช่วงวันหยุด อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของโปรโมชันในการช้อปปิ้งและการจัดส่งของร้านค้าทำให้ผู้ซื้อในนาทีสุดท้ายลดลงจากปีก่อน รายงานพบว่ายอดขายการช้อปปิ้งออนไลน์คิดเป็น 19.7% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด และ Black Friday ถือเป็นวันที่มีการใช้จ่ายสูงสุดของฤดูกาล

“ยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นข้อพิสูจน์ถึงช่วงเทศกาลวันหยุดและความแข็งแกร่งของร้านค้าปลีกและผู้บริโภค” Steve Sadove ที่ปรึกษาอาวุโสของ Mastercard และอดีตซีอีโอและประธานของ Saks Incorporated กล่าว

ยอดขายอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้น โดยยอดขายเครื่องแต่งกายพุ่งขึ้น 15.7% ยอดขายเฟอร์นิเจอร์และเครื่องตกแต่งเพิ่มขึ้น 6.2% ในขณะที่การใช้จ่ายในการปรับปรุงบ้านเพิ่มขึ้น 14.1% ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าตามมาด้วย โดยเพิ่มขึ้น 6% ในขณะเดียวกันห้างสรรพสินค้าและแบรนด์เครื่องแต่งกายมียอดขายลดลง 10.2% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากการจับจ่ายที่เปลี่ยนไปจากการระบาดของโรค ซึ่งทำให้ร้านค้าจำนวนมากมีหนี้สินจำนวนมาก

การจับจ่ายในช่วงวันหยุดเน้นย้ำว่าผลกระทบของการระบาดของ COVID-19 ได้ส่งต่อผลกิจกรรมภายนอก โดยได้ผลักดันให้ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อสินค้าที่เหมาะสมกับภายในและใช้เวลาที่บ้านมากขึ้นอย่างไรบ้าง

Source

]]>
1312359
อีกหนึ่งด้านมืดของ Black Friday เทศกาลช้อปปิ้งที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเกือบครึ่งล้านตัน! https://positioningmag.com/1309816 Sat, 12 Dec 2020 06:55:39 +0000 https://positioningmag.com/?p=1309816 บทความโดย ธัญญรัศม์ ริลินเกอร์ Arabesque S-Ray

ช่วงเวลานี้ของปีก็มาถึงอีกครั้งในการเตรียมความพร้อมสำหรับเทศกาลคริสต์มาสกับ “Black Friday” วันที่ร้านค้าและแบรนด์ต่างๆ ต่างลดราคาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยอย่างบ้าคลั่ง ในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน

ด้วยความตระหนักที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เราหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันเฉลิมฉลองของลัทธิบริโภคนิยมนี้ แต่กลับเป็นอีกปีหนึ่ง…ที่เหมือนเดิม

เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาของสหราชอาณาจักร Money.co.uk ได้ออกรายงานเมื่อเร็วๆ นี้ว่า Black Friday นับเป็นภัยคุกคามต่อสภาพภูมิอากาศของโลก จากผลการศึกษาพบว่า 85% ของผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรมีการวางแผนที่จะช้อปปิ้งออนไลน์ในวัน Black Friday นี้ แต่กลับมีผู้บริโภคเพียง 1 ใน 10 เท่านั้นที่จะพิจารณาถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการจัดส่งสินค้าจากการช้อปปิ้งออนไลน์ของพวกเขา!

รายงานคาดการณ์ว่าการจัดส่งสินค้าซื้อขายออนไลน์ในวัน Black Friday ปีนี้ จะมีปล่อยก๊าซคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศราว 429,000 ตัน ซึ่งเทียบได้กับเที่ยวบินทั้งไปและกลับระหว่างลอนดอนและนิวยอร์ก 435 เที่ยว หรือมีน้ำหนักเท่ากับช้าง 61,308 เชือกเลยทีเดียว!!!

Photo : Shutterstock

ที่แย่ไปกว่านั้น ตัวเลขการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เหล่านี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2019 เช่น กรณีของเว็บไซต์อเมซอนซึ่งมีธุรกรรมการซื้อขายในวัน Black Friday ของปี 2019 จำนวน 4.4 ล้านรายการ

เมื่อพิจารณาจำนวนพัสดุเฉลี่ยที่มีการส่งมอบ และการคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายออนไลน์ที่เกิดขึ้นในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 14% เว็บไซต์อเมซอนจะมีธุรกรรมการซื้อขายออนไลน์ถึง 5.1 ล้านรายการ ในปี 2020 นี้ รายงานประมาณการว่าการช้อปปิ้งออนไลน์ในวัน Black Friday เฉพาะที่มาจากเว็บไซต์อเมซอนเพียงที่เดียวนี้ สามารถเพิ่มก๊าซ CO2 ไปสู่ชั้นบรรยากาศเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 18,854 ตันเลยทีเดียว

Black Friday วันศุกร์ที่แสนสกปรก!?

สิ่งที่เราต้องการจะสื่อก็คือ ภาพในความเป็นจริงมันแย่กว่าที่เห็น เนื่องจากรายงานข้างต้นพูดถึงการปล่อยมลพิษจากการส่งมอบสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้คำนึงถึงการปล่อยมลพิษที่เกิดจากการผลิตสินค้าเหล่านั้น ตลอดจนจากการใช้งานไปจนถึงการกำจัดสินค้าในที่สุดด้วย

โดยเฉพาะจากสมมุติฐานที่ว่า สินค้าจากการช้อปปิ้งในช่วง Black Friday ซึ่งอาจจะสูงถึง 80% นั้นจะถูกทิ้งไปหลังจากการใช้งานเพียงครั้งเดียวหรืออาจจะไม่ได้ใช้เลย การมองภาพใหญ่จึงให้ภาพการปล่อยมลพิษที่ดีกว่า

Photo : Pixabay

ด้วยเหตุนี้ เราจึงได้พิจารณาการปล่อยมลพิษจากเว็บไซต์ช้อปปิ้งออนไลน์ยอดนิยมจากสหราชอาณาจักร ได้แก่ Asos, Bohoo และ Zalando ซึ่งแน่นอนภาพที่เห็นนั้นไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่ดีเลย

โดยข้อมูล ณ วันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา พบว่าทั้ง Asos และ Bohoo มีคะแนนการปล่อยมลพิษ (Emission Score by Arabesque S-Ray) จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน อยู่ที่ 41.67 และ 35.26 ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าจุดตรงกลางที่ 50 คะแนน Zalando เป็นบริษัทเดียวที่สามารถจัดการกับการปล่อยมลพิษได้ โดยมีคะแนนอยู่ 62.80 จาก 100 คะแนน

ทั้งนี้ Emission Score ดังกล่าวจะพิจารณามลพิษที่หลากหลายนอกเหนือจาก C02 เช่น มลพิษทางอากาศ NOx เป็นต้น รวมถึงพิจารณานโยบายเกี่ยวกับการรายงานและการลดการปล่อยมลพิษร่วมด้วย

อย่างไรก็ดี หากเราเน้นเฉพาะการปล่อยก๊าซที่เทียบเท่ากับ C02 พบว่า Zalando เป็นเพียงบริษัทเดียวที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) และยังมีเป้าหมายที่ได้รับการอนุมัติโดย Science Based Target Initiative (SBTi) ซึ่งเป็นองค์กรกลางระดับโลกในการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับข้อตกลงปารีส

Photo : Pixabay

ในขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่าง Bohoo ไม่มีการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ที่เพียงพอทำให้เราไม่สามารถประเมินผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศดังกล่าวได้

แม้ว่าการดำเนินการเพื่อเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะยากแต่ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์… การระบาดของโรค COVID-19 ทำให้เห็นว่าผู้คนยังคงมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ และยังทำให้เห็นว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องกลับไปสู่สภาพแวดล้อมเดิมที่เคยอยู่ จะเห็นว่าในระหว่างการล็อกดาวน์ ผู้คนกลับพยายามมากขึ้นในการหลีกเลี่ยงอาหารเหลือทิ้ง พยายามรีไซเคิล และซื้อของที่ใช้แล้วทิ้งให้น้อยลง

ดังนั้น หากเราต้องการก้าวต่อไปสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืนมากขึ้น เราต้องถามตัวเองด้วยคำถามเก่าที่มีมานานแล้ว แต่มีความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิมว่า สินค้านี้ทำให้เรามีความสุขหรือไม่ เราต้องการทุกอย่างที่เราซื้อหรือไม่ เอ็มม่า วัตสัน นักแสดงชื่อดังระดับโลก กล่าวว่า “ในฐานะผู้บริโภค เรามีอำนาจมากมายในการเปลี่ยนแปลงโลกด้วยการระมัดระวังในสิ่งที่เราซื้อ”

Source

]]>
1309816
แจกแล้วแจกอีก ‘Amazon’ อัดฉีด ‘โบนัส’ แก่พนักงานช่วงคริสต์มาสอีกคนละ 300 ดอลลาร์ https://positioningmag.com/1308168 Sun, 29 Nov 2020 07:28:25 +0000 https://positioningmag.com/?p=1308168 ถือเป็นปีทอง ‘Amazon’ อีคอมเมิร์ซรายใหญ่ของโลกที่ได้อานิสงส์ COVID-19 ดันยอดใช้งานพุ่งกระฉูดจนต้องเปิดรับพนักงงานเพิ่มอีกมหาศาล พร้อมทั้งขึ้นค่าแรงและโบนัสกระจายตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรก และในช่วงปลายปีที่มี ‘วันขอบคุณพระเจ้า’ และ ‘วันคริสต์มาส’ ที่เป็นวันหยุดแถมยังเป็นช่วงช้อปปิ้งของชาวอเมริกัน Amazon เลยต้องอัดฉีดเพิ่มสักหน่อย

เพราะ COVID-19 ทำให้ผู้บริโภคหลีกเลี่ยงการไปห้าง Amazon ก็เลยเลื่อนวันจัดโปรโมชัน ‘Amazon Prime Day’ วันช้อปปิ้งลดราคาครั้งใหญ่ประจำปีจากเดือนกรกฎาคมเป็น 13-14 ตุลาคมที่ผ่านมาแทน และเพื่อเป็นการขอบคุณพนักงานที่ต้องทำงานในช่วงวันหยุด โดย Dave Clark รองประธานอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการค้าปลีกของ Amazon กล่าวว่า พนักงานปฏิบัติงานเต็มเวลาที่ทำงานกับบริษัทตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคมถึงวันที่ 31 ธันวาคม จะได้รับโบนัส 300 ดอลลาร์ (ราว 9,300 บาท) ส่วนพนักงานพาร์ตไทม์ที่ทำงานในช่วงเวลาเดียวกันจะได้รับโบนัส 150 ดอลลาร์ (ราว 4,650 บาท)

“ฉันอยู่ที่ Amazon มา 22 ช่วงเทศกาลวันหยุดและเทศกาลครั้งนี้ไม่เหมือนใครอย่างแน่นอน ฉันรู้สึกขอบคุณทีมของเราที่ยังคงมีบทบาทสำคัญในการรับใช้ชุมชนของพวกเขา” Clark กล่าว

(Photo by Sean Gallup/Getty Images)

ในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา Amazon ได้เคยอนุมัติงบ 500 ล้านดอลลาร์ให้เป็นโบนัสแก่พนักงานระดับแนวหน้าที่ยังคงทำงานต่อไปท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19  นอกจากนี้ บริษัทยังใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนมีนาคมในการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการลดการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในการทำงาน ซึ่งรวมถึงการขึ้นค่าจ้างอุปกรณ์ความปลอดภัยและมาตรการทำความสะอาดที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจ่ายค่าจ้างชั่วคราวและจ่ายค่าล่วงเวลาเป็นสองเท่าในช่วงที่เกิดการระบาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ Amazon แต่ร้านค้าปลีกอื่น ๆ อาทิ  Walmart และ Target ได้จ่ายโบนัสให้กับคนงานของพวกเขาเมื่อช่วงเทศกาลช้อปปิ้งในช่วงวันหยุดเริ่มขึ้นเช่นกัน

Source

]]>
1308168
ค้าปลีกวันหยุดท้ายปีสหรัฐฯ ยังสดใส คาดอาจเติบโต 5.2% เหตุ ‘วัคซีน’ สร้างความหวัง https://positioningmag.com/1307512 Wed, 25 Nov 2020 01:06:40 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307512 แม้ผลการศึกษาของ Deloitte เกี่ยวกับการจับจ่ายซื้อของในร้านค้าช่วงวันหยุดพบว่า ผู้บริโภค 57% ระบุว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับการซื้อของในร้านค้าเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 แต่ผู้บริโภคจำนวน 61% วางแผนที่จะซื้อสินค้าออนไลน์ในวัน Black Friday มากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น ‘สหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติ’ (National Retail Federation: NRF) คาดว่ายอดขายช่วงวันหยุดอเมริกาจะยังเติบโต

สหพันธ์การค้าปลีกแห่งชาติ คาดว่า ยอดขายช่วงวันหยุดในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 3.6% – 5.2% เมื่อเทียบเป็นรายปีซึ่งมีมูลค่าระหว่าง 755,300 ล้านดอลลาร์ – 766,700 ล้านดอลลาร์ ส่วนปีที่แล้วยอดขายในช่วงวันหยุดเพิ่มขึ้น 4% เป็น 729,100 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ ยอดขายในช่วงวันหยุดโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

(Photo by Epics/Getty Images)

อย่างไรก็ตาม NRF ระบุว่า ยอดขายออนไลน์และอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ร้านค้าคาดว่าจะเติบโตขึ้น 20% เป็น 30% ซึ่งมีมูลค่าระหว่าง 202,500 ล้านดอลลาร์ – 218,400 ล้านดอลลาร์ เทียบกับ 168,700 ล้านดอลลาร์ในปี 2562

“แนวโน้มสำหรับช่วงเทศกาลวันหยุดนั้นสดใสมาก เราได้เห็นผู้บริโภคมีส่วนร่วมอย่างมากและมองหาโอกาสในการเฉลิมฉลอง” Matt Shay ประธานและซีอีโอของ NRF กล่าว

แม้การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาได้สร้างความว้าวุ่นใจให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะในช่วงที่ยังคงมีการนับคะแนน ส่งผลให้ยอดค้าปลีกในสหรัฐอเมริกาในเดือนตุลาคมเติบโตน้อยกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่ยอดขายอาจได้รับผลกระทบมากขึ้นจากการติดเชื้อ COVID-19 และการเสียชีวิตนับตั้งแต่วันเลือกตั้ง นอกจากนี้ การว่างงานยังคงเพิ่มสูงขึ้น และบางรัฐได้เริ่มระงับการรับประทานอาหารในร้านอีกครั้ง และเปิดข้อจำกัดอื่น ๆ ที่อาจส่งผลให้มีการเลิกจ้างหรือปลดพนักงานเพิ่มเติม

Photo : Shutterstock

อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นปัจจัยลบมากมาย เเต่ความหวังเกี่ยวกับวัคซีน COVID-19 ที่มีประสิทธิภาพได้จุดประกายให้เกิดการมองโลกในแง่ดีขึ้น ทำให้ก่อนการคาดการณ์ของ NRF ในวันจันทร์ หุ้นของ Gap, Express, Nordstrom, Macy’s, Kohl’s และ Simon Property Group ซึ่งเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าก็พุ่งสูงขึ้น

การคาดการณ์ดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดการเติบโตขึ้นอีก เช่น หุ้นของ Macy เพิ่มขึ้น 15% ในขณะที่หุ้นของ Kohl และ Abercrombie & Fitch เพิ่มขึ้น 7% เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าผู้บริโภคจะสะดวกสบายมากขึ้นในการกลับไปที่ห้างสรรพสินค้า และใช้เงินกับเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับมากขึ้น

Jeff Gennette ซีอีโอของ Macy กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เครือห้างสรรพสินค้ากำลังวางแผนที่จะปรับปรุงธุรกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 โดย “ขึ้นอยู่กับการฉีดวัคซีนว่ามีศักยภาพแค่ไหน”

Source

]]>
1307512
สงสัยจะมืดสมชื่อหลังคนอเมริกันหมดอารมณ์ช้อปวัน ‘Black Friday’ เพราะ COVID-19 ระบาดรอบ 2 https://positioningmag.com/1307198 Mon, 23 Nov 2020 09:32:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1307198 ถ้าหากฝั่งเอเชียอย่างเรามี ‘วันคนโสด’ หรือ ‘11.11’ ทางฝั่งอเมริกาก็มี ‘Black Friday’ หรือวันศุกร์สัปดาห์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนทุก ๆ ปี ที่จะมีการลดราคาสินค้ากระจุยกระจาย นับเป็นเทศกาลลดราคาที่ชาวอเมริกันตั้งหน้าตั้งตารอคอย อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายนสหรัฐอเมริกามีการบันทึกการติดเชื้อ COVID-19 รายใหม่มากกว่า 100,000 รายต่อวัน ขณะที่ผู้เสียชีวิตก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ผู้บริโภคยอมรับว่ามีความกังวลที่จะช้อปปิ้งในวัน Black Friday

วัน ‘Black Friday’ ใกล้จะมาถึงแล้ว แต่ความวิตกกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับการจับจ่ายในร้านค้าและห้างสรรพสินค้านั้นทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ของอเมริกากำลังทวีความรุนแรงขึ้นทั่วประเทศ ทำให้มีผู้คนจำนวนที่ไปกางเต็นท์รอช้อปปิ้งในวันนี้ลดลง

บรรยากาศ Black Friday ปี 2018

จากการสำรวจของ Deloitte เกี่ยวกับการจับจ่ายซื้อของในร้านค้าช่วงวันหยุดพบว่าผู้บริโภค 57% ระบุว่าพวกเขากังวลเกี่ยวกับการซื้อของในร้านค้าเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดือยกันยายนที่มี 51% ขณะที่ผู้บริโภคจำนวน 61% วางแผนที่จะซื้อสินค้าออนไลน์ในวัน Black Friday มากกว่าร้านค้าที่ 54% นอกจากนี้ 61% ระบุว่าพวกเขา ‘ไม่แน่ใจ’ หรือ ‘ไม่มีแผน’ ที่จะซื้อของกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ในสัปดาห์วันขอบคุณพระเจ้า ขณะที่ปีก่อนอยู่ที่ 48%

ฉันเดาว่าตอนนี้เปอร์เซ็นต์น่าจะสูงกว่านี้ เนื่องจากการระบาดของโรคให้ผู้คนหันไปช้อปออนไลน์ นี่คือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป” Rod Sides รองประธานและผู้นำด้านการค้าปลีกการค้าส่งและการจัดจำหน่ายของสหรัฐฯ กล่าว

Jeff Gennette ซีอีโอของ Macy ยอมรับความจริงดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยบอกกับนักวิเคราะห์ในระหว่างการประชุมทางโทรศัพท์ว่า “เราคาดว่าปริมาณการใช้งานจะลดลงในช่วง Black Friday” ส่วนร้านค้าปลีกอื่น ๆ รวมถึง Macy’s, Walmart, Target และ Dick’s Sporting Goods ได้เสนอโปรโมชัน Black Friday ล่วงหน้า ก่อนวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้าโดยหวังว่าจะดึงความต้องการของนักช้อปไปข้างหน้าและหลีกเลี่ยงร้านค้าที่แออัด นอกจากนี้ยังเตรียมความพร้อมของคลังสินค้าเพื่อรองรับการซื้อขายผ่านออนไลน์

Source

]]>
1307198
เปิดสถิติ “Black Friday” ชาวอเมริกันเลือกช้อปออนไลน์มากกว่าสโตร์ สะพัด 7,000 ล้านดอลลาร์ https://positioningmag.com/1255448 Sun, 01 Dec 2019 07:31:37 +0000 https://positioningmag.com/?p=1255448 เทศกาลช้อปปิ้ง Black Friday ของสหรัฐฯ ในปีนี้พบว่า นักจับจ่ายชาวอเมริกันเลือกที่จะใช้เงินกับการซื้อสินค้าที่มีราคาลดสูงสุดประจำปีผ่านทางออนไลน์มากกว่าที่จะเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปรอต่อคิวเข้าแถวซื้อตามร้าน ส่งผลทำให้เงินสะพัดทางออนไลน์พุ่งกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์

รอยเตอร์รายงานว่า ถือเป็นปีแรกในรอบไม่กี่ปีมานี้ที่ประชาชนต่างออกไปจับจ่ายเทศกาลแบล็กฟรายเดย์เร็วขึ้นเนื่องมาจากบรรดาห้างร้านยักษ์ใหญ่ เป็นต้นว่า วอลมาร์ท ต่างพากันเปิดประตูให้ขาช้อปแห่เข้าห้างเพื่อจับจ่ายเร็วขึ้น โดยเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 28 พฤศจิกายน ซึ่งยังถือเป็นวันขอบคุณพระเจ้ากันเลยทีเดียว

แต่อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์ชี้ว่า ไม่จำเป็นอีกต่อไปที่บรรดาขาช้อปต้องอดหลับอดนอรอปักเต็นท์เข้าคิวเพื่อได้โอกาสซื้อสิ้นค้าในราคาเปิดประตู เพราะมีทางเลือกสามารถจับจ่ายผ่านทางออนไลน์ในราคาลดจุใจได้

ในช่วงเทศกาลแบล็กฟรายเดย์ในปีนี้ที่จะยังคงลากยาวตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน ต่อไปถึงวันไซเบอร์มันเดย์ (Cyber Monday)ในวันที่ 2 ธันวาคม พบว่า การจับจ่ายในเทศกาลแบล็กฟรายเดย์มียอดการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 19.6% หรือ 17,400 ล้านดอลลาร์สำหรับวันที่ 29 พฤศจิกายน ห่างจากจำนวน 736 พันล้านดอลลาร์ไปเล็กน้อย อ้างอิงตัวเลขจาก Adobe Analytics ที่ได้ติดตามธุรกรรมการเงินของธุรกิจค้าปลีกอมริกัน 80 จากทั้งหมด 100 แห่งของจากลิสต์

สำหรับเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า พบว่ามีการประมาณการตัวเลขการขายเพิ่มขึ้น 14.5% มาอยู่ที่ 4,200 ล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม เมื่อดูจำนวนนักช้อปที่เดินเข้ามาซื้อภายในร้านรวมกันทั้งวันขอบคุณพระเจ้าและวันแบล็กฟรายเดย์ พบว่าตกลงไป 3% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2018 อ้างอิงตัวเลขจาก Sensormatic Solutions

และจำนวนนักช้อปช่วงค่ำวันขอบคุณพระเจ้า พบว่าเพิ่มขึ้น 2.3% เมื่อเทียบกับปีต่อปีแต่ถูกทำให้ลดลงเนื่องด้วยเทศกาลแบล็กฟรายเดย์ที่ตกลงไป 6.2% จากปีก่อน

ไบรอัน ฟิลด์ (Brian Field) ผู้อำนวยการอาวุโสประจำ ShopperTrak ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาการค้าปลีกทั่วโลกได้แสดงความเห็นว่า ลักษณะการเดินทางไปต่อคิวเข้าแถวเพื่อรอเวลาการเปิดประตูสำหรับเข้าซื้อสินค้าวันแบล็กฟรายเดย์เหมือนแต่เดิมมานั้น นอกจากที่จะมีคู่แข่งจากการจับจ่ายทางออนไลน์แล้ว พบว่าในปัจจุบันนี้ ยังมีข้อเสนอมาล่อใจขาช้อปที่ว่า สั่งซื้ออนไลน์แต่สามารถไปรับสินค้าที่ร้านได้อีกด้วย ทำให้ดูเหมือนตัวเลขผู้ที่เข้ามาจับจ่ายสินค้าภายในร้านในวันแบล็กฟรายเดย์ดูตกลงไป

เขากล่าวต่อว่า ความสำคัญในเวลานี้คือ นักช้อปต้องทำการจับจ่ายจริงและยังคงซื่อสัตย์อยู่กับแบรนด์มากกว่าว่า การซื้อของจะเกิดขึ้นที่ไหน

ข้อมูลเบื้องต้นออกมาจากบริษัทวิเคราะห์ RetailNext แสดงให้เห็นว่า การจับจ่ายที่ร้านค้าซึ่งมีที่ตั้งในวันแบล็กฟรายเดย์ตกลงไป 1.6% แต่ตัวเลขการจับจ่ายที่แท้จริงยังไม่สามารถระบุได้ในเวลานี้

สมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งชาติสหรัฐฯ (The National Retail Federation) ได้คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายของ 2 เดือนสุดท้ายประจำปี 2019 จะเพิ่มขึ้นระหว่าง 3.8% – 4.2% จากปีก่อนหน้า สำหรับทั้งหมดของ 727,900 ล้านดอลลาร์ ไปอยู่ที่ 730,700 ล้านดอลลาร์ เปรียบเทียบกับตัวเลขการเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประจำปี 3.7% ตลอดช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา

Source

]]>
1255448