‘สิงห์ปาร์ค เชียงราย’ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยขนาดพื้นที่กว่า 8,600 ไร่ถือเป็น 1 ในแลนด์มาร์คสำคัญที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของเชียงรายตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา และนอกจากได้พัฒนาพื้นที่เป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดแล้ว ยังเป็นพื้นที่สำคัญในการจัด Big Event อย่าง ‘ฟาร์ม เฟสติวัล ออน เดอะ ฮิลล์’ มหกรรมคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ และ ‘เทศกาลบอลลูนนานาชาติ’ ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมทั้งกิจกรรมกีฬาต่าง ๆ แต่ด้วยการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยว แน่นอนว่าคำถามสำคัญจากนี้คือ ทิศทางของสิงห์ปาร์คจะเป็นอย่างไรต่อไป
คุณพงษ์รัตน์ เหลืองธำรงเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิงห์ปาร์ค เชียงราย จำกัด เล่าย้อนไปถึงเมื่อปี 2526 ในตอนนั้นยังคงใช้ชื่อว่า ‘ไร่บุญรอด’ ถือเป็นพื้นที่ทำการเกษตรขนาดใหญ่ ด้วยนโยบายของรัฐบาลในสมัยนั้นขอความร่วมมือบริษัทฯ ใหญ่ลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ จึงทำให้สิงห์ปาร์คได้จัดหาพื้นที่สำหรับใช้ปลูกข้าวบาร์เลย์ เพื่อลดการนำเข้า แต่อย่างไรก็ดีโครงการที่ว่านี้ ได้ยุติไปด้วยสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกวัตถุดิบดังกล่าว
จนเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา คุณสันติ ภิรมย์ภักดี เล็งเห็นว่าควรพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ ประกอบกับจังหวัดเชียงรายมีความโดดเด่นในเรื่องของธรรมชาติ ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดี สวยงาม อากาศดี อีกทั้งวิถีชีวิตของผู้คนที่มีความเรียบง่าย มีศิลปวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ และรวมถึงต้องการให้ความสําคัญกับการพัฒนาชุมชนในเขตพื้นที่โดยรอบ ควบคู่กันไปกับการช่วยสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในพื้นที่ จึงเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” จนถึงในปัจจุบันได้กลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวภายในจังหวัดเชียงราย
ก่อนหน้าที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สิงห์ปาร์คมีแผนที่จะยกระดับงาน Big Event ให้เป็นระดับ World Class Destination แต่ด้วยสถานการณ์ที่ความไม่แน่นอน Big Event อย่าง “ฟาร์ม เฟสติวัล ออน เดอะ ฮิลล์” และ “เทศกาลบอลลูนนานาชาติ” ที่ปกติมีคนมาร่วมงานหลักหมื่นคนก็ต้องชะลอไปก่อน
ด้วยความที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นสถานที่เปิดโล่ง ปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก บนพื้นที่ขนาดกว่า 8,600 ไร่ ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายที่สามารถเที่ยวได้อย่างปลอดภัยและอุ่นใจ ดังนั้นหนึ่งในแผนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสิงห์ปาร์คในปีนี้จะเน้นไปทางกลุ่มครอบครัว Family Occasion และท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติมากขึ้น
โดยมีกิจกรรม อาทิ Singha Park Camping ที่พักแบบเต็นท์แคมป์ และลานกางเต็นท์ ให้ได้สัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิด ล่าสุดกับ Cargo Bar-B-Q ลานกิจกรรม outdoor ท่ามกลางบรรยากาศขุนเขา พร้อมด้วยอาหาร เครื่องดื่ม และวงดนตรีสดจากศิลปินท้องถิ่น หมุนเวียนประจำสัปดาห์ รวมถึงเปิดโซนกิจกรรมใหม่ ๆ อย่างเช่น จุดเบลนชา “Blend Your Own Tea” สวนสัตว์ “Mini Zoo Touching and Feeding” เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น มีกิจกรรมครบครันสำหรับทุกเพศทุกวัย
“เราเป็นภาคเอกชนที่ยังจัดกิจกรรม เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในจังหวัด เพราะหน้าหนาวเป็นช่วงไฮซีซั่น ถ้าเราไม่จัด ผู้ประกอบการคนอื่น ๆ เขาเองก็อยู่ไม่ได้ เพราะเขาต้องปิดมาทั้งปีแล้ว”
ด้วยความที่สิงห์ปาร์ค เชียงราย เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ มีพื้นที่ทำการเกษตรขนาดใหญ่ การพลิกให้ภาคเกษตร เป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้และสามารถเอื้อประโยชน์ต่อเกษตรกรท้องถิ่น จึงเป็นสิ่งที่อยู่ในแผนการทำงานอยู่แล้ว ดังนั้น สิงห์ปาร์ค จึงจะมุ่ง สร้างแบรนด์ผลไม้พรีเมียมภายใน 5 ปี โดยจะเน้นความพิเศษทั้งเรื่องของคุณภาพและความปลอดภัย รวมถึงควบคุมการปลูกในพื้นที่จำกัด เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี จำหน่ายถึงมือผู้บริโภค ที่ผ่านมา สิงห์ปาร์คได้มีการพัฒนาสินค้าเกษตรเป็นสิ่งที่สิงห์ปาร์คทำมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันผลผลิตทางการเกษตรเด่น ๆ มีมากมาย อาทิ กล้วยหอมทอง, พุทราซื่อหมี่, เมล่อนญี่ปุ่น, ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, ข้าวโพดเพียวไวท์ฮอกไกโด, แมคาเดเมีย และผักสลัดออร์แกนิค เป็นต้น
ล่าสุดผลไม้ที่สามารถทำตลาดในต่างประเทศได้ อย่าง “กล้วยหอมทอง” ที่ได้รับมาตรฐาน JGAP เป็นรายแรกของประเทศไทย ซึ่ง JGAP เป็นมาตรฐานที่เข้มงวดและดีที่สุดในด้านการจัดการฟาร์มเพื่อให้เกิดความปลอดภัยด้านอาหารและความยั่งยืนทางเกษตรกรรมของญี่ปุ่น สามารถซื้อไปรับประทานได้อย่างมั่นใจ และมีคุณภาพระดับนำไปวางขายที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นได้ โดยมีแผนการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นภายในปี 2565
“พุทราซื่อหมี่” พันธุ์นำเข้ามาจากต่างประเทศ ได้นำมาปรับปรุงพันธุ์ จนเป็นสายพันธุ์พิเศษเฉพาะที่สิงห์ปาร์ค มีผลขนาดใหญ่ เนื้อแน่น กรอบ หวาน โดยจะออกผลผลิตช่วงฤดูหนาวเพียงปีละหนึ่งครั้ง ในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์
อีกหนึ่งสินค้าขึ้นชื่อที่เรียกได้ว่าเป็น Product Champion ของสิงห์ปาร์ค นั่นก็คือ “เมลอนญี่ปุ่น” สายพันธุ์โมมิจิ (เนื้อสีส้ม) และสายพันธุ์คิโมจิ (เนื้อสีเขียว) ความพิเศษของสายพันธุ์ดังกล่าว คือ เป็นสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้ ประกอบกับวิธีการปลูกตามแบบฉบับของญี่ปุ่น ที่ได้ผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่น ให้คำแนะนำและ Know Howในการปลูก ทำให้ผลผลิตที่ได้มีรสชาติใกล้เคียงกับต้นฉบับ รสชาติหวาน ฉ่ำ เนื้อแน่นเนียน กึ่งนุ่มกรอบมีความละมุน กลิ่นหอมติดปาก ด้วยความพร้อมทั้งในเรื่องของโรงเรือนเมล่อนที่ได้มาตรฐานและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทำให้สิงห์ปาร์ค เชียงราย สามารถปลูกเมลอนได้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ยังมี “ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” ที่ในประเทศไทยยังมีการปลูกไม่มากนัก เริ่มต้นด้วยการนำสายพันธุ์มาจากออสเตรเลีย ทั้งหมด 2 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ Biloxi ที่มีรสเปรี้ยวอมหวาน และพันธุ์ Sharp blue ที่ปลูกยากแต่ให้ผลดก ได้นำมาพัฒนาต่อยอดเพาะพันธุ์เพิ่ม ได้แก่ บลูเบอร์รี่, ราสเบอร์รี่ และแบล็คเบอร์รี่ ทำให้ได้ผลขนาดใหญ่ รสสัมผัสเข้มข้น โดยผลไม้ตามฤดูกาลต่างๆ เปิดให้สั่งจองผ่านทาง Line Official Account @SinghaParkShop มีบริการจัดส่งทั่วประเทศ
ทั้งพุทราซื่อหมี่ เมลอน และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ของสิงห์ปาร์ค เชียงราย การันตีด้วย ThaiGAP และ GAP การรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารที่มีคุณภาพและความปลอดภัย ได้รับการยอมรับในหลายประเทศ เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้สำหรับฟาร์มหรือแหล่งปลูกที่ดําเนินการตามการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม
“ผลผลิตจากสิงห์ปาร์ค เราปลูกในพื้นที่จำกัด เพื่อควบคุมคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานเจาะตลาดพรีเมียม เพราะเราไม่ต้องการไปแข่งขันกับผู้เล่นในท้องถิ่น โดยเราพยายามส่งต่อองค์ความรู้ให้ชาวบ้านเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพเช่นกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลชุมชนรอบข้าง”
อีกหนึ่งในผลผลิตทางการเกษตรที่โดดเด่นคือ ชา โดยสิงห์ปาร์คมีพื้นที่ใช้ทำการเกษตรอยู่ที่ประมาณ 3,055 ไร่ เป็นพื้นที่การเกษตรที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีไร่ชาครอบคลุมพื้นที่กว่า 600 ไร่
โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นโครงการ ได้แก่
1. สำหรับผลิตชาภายใต้แบรนด์ “สิงห์ปาร์ค เชียงราย” มีทั้งชาอู่หลง, ชาไทย, ชาอัสสัมและชาผลไม้ ผ่านกระบวนการปลูก การผลิต แปรรูป อย่างพิถีพิถันโดยผู้เชี่ยวชาญการเกษตรในด้านชา และทีมงานมืออาชีพที่เชี่ยวชาญธุรกิจชามายาวนานกว่า 30 ปี
2. สำหรับผลิตเป็นชาเขียวมัทฉะและชาเขียวญี่ปุ่น ภายใต้แบรนด์ “มารุเซ็น” ที่ได้รับความร่วมมือจากผู้ผลิตชาเขียวรายใหญ่ จากประเทศญี่ปุ่น ผลิตชาเขียวเกรดพรีเมี่ยมในกระบวนการวิธีการผลิตแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ถือเป็นบริษัทที่ผลิตชาเขียวมาตรฐานญี่ปุ่นแห่งแรกในประเทศไทยและแห่งเดียวในอาเซียน
ด้วยพื้นที่เพาะปลูกและความอุดมสมบูรณ์ของดิน ปัจจัยการผลิตที่ครบครัน มีโรงงานผลิตและแปรรูปที่ได้มาตรฐานระดับนานาชาติ ทำให้สิงห์ปาร์คเชียงราย วางเป้าหมายสู่การยกระดับมาตรฐานและสร้างอัตลักษณ์ชาไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
“ต่างชาติเขามีอัตลักษณ์ชาของตัวเอง อย่างชาซีลอน ชาอู่หลง ส่วนไทยมีชาสีส้ม ๆ ซึ่งต่างชาติยังไม่ยอมรับ ดังนั้นเราเองก็ต้องสร้างอัตลักษณ์ของตัวเอง และกระบวนการยกระดับก็คือ การแปรรูป” พงษ์รัตน์เสริม
สุดท้าย เรามองว่าจังหวัดเชียงรายนอกจากจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และสร้างรายให้กับจังหวัดเป็นจำนวนมากแล้ว การพัฒนาพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลไม้เกรดพรีเมี่ยมคุณภาพดีน่าจะเป็นอีกสิ่งที่สร้างรายได้และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับพี่น้องจังหวัดเชียงรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งเราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการเติมคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพี่น้องชาวจังหวัดเชียงราย…
#เชียงราย #สิงห์ปาร์ค #สิงห์ปาร์คเชียงราย #ผลไม้พรีเมียม #กล้วยหอมทอง #พุทราซื่อหมี่ #เมลอน #เบอร์รี่
]]>