BNN Restaurant Group – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Wed, 17 Sep 2025 12:31:26 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ทำไมสุกี้ตี๋น้อยต้องชู “พี่เฟิร์น” ถอดรหัส “โลโก้มีชีวิต” เพิ่มความสนิทกับ FC ด้วย Personal Branding https://positioningmag.com/1534114 Mon, 18 Aug 2025 07:52:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1534114 ไม่ว่าจะ “พี่เฟิร์นป่วย งดไลฟ์”, “พี่เฟิร์น OK ลูกค้าพกน้ำจิ้มมาเอง” หรือ “ตี๋น้อยชวนพี่เฟิร์นไปสาขาอุดร” ทุกคอนเทนต์พี่เฟิร์นคือปรากฏการณ์ Personal Branding บนสื่อโซเชียลที่มีแรงส่งช่วยผลักดันแบรนด์สุกี้ขวัญใจมหาชนอย่าง “สุกี้ตี๋น้อย” ให้สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างแตกต่าง จนล่าสุด ยอดผู้ติดตามเพจสุกี้ตี๋น้อยบนเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นทะลุ 1.1 ล้านฟอลโลเวอร์ไปแล้วเมื่อ 16 ก.ค. 68 หลังจากที่มีโพสต์ระบุว่า “ตี๋น้อยโดนพี่เฟิร์นดุ” โทษฐานยอด FC ติดตามไม่ถึง 1 ล้านคนทั้งที่เปิดร้านมาแล้ว 8 ปี

ถามว่าทำไมจึงต้องมี พี่เฟิร์น” เหตุผลที่สุกี้ตี๋น้อยหยิบชื่อเล่นของ “นัทธมน พิศาลกิจวนิช” ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ BNN Restaurant Group Co., Ltd. บริษัทแม่ของร้านสุกี้ตี๋น้อย มาเล่นเพื่อสื่อสารกับเฟนคลับหลักล้านคน เป็นเพราะการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคล หรือ Personal Branding มีพลังตอบโจทย์การตลาดในยุคดิจิทัล เนื่องจากผู้คนในยุคนี้ต้องการความใกล้ชิดจากแบรนด์มากขึ้น และการใช้ชื่อเล่นของบุคคลจริง นั้นมีมนต์ขลังเรื่องสื่อสารได้ดีกว่าการใช้โลโก้ธรรมดา ที่อาจดูเย็นชาไร้ชีวิตจิตใจ

Personal Branding ยังสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ผ่านบุคลิกภาพของบุคคลนั้น สำหรับลุคของพี่เฟิร์นที่เป็น นักธุรกิจรุ่นใหม่มากฝีมือ” นั้นทำให้แบรนด์สุกี้ตี๋น้อยดูมีชีวิตชีวาและน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งในอนาคตพี่เฟิร์นอาจจะช่วยให้สุกี้ตี๋น้อยลดต้นทุนการโฆษณาได้ด้วย เพราะแทนที่จะจ้างดาราโฆษณา พี่เฟิร์นสามารถเป็นพรีเซ็นเตอร์ของแบรนด์ตัวเอง ไม่ต่างกับผู้พันแซนเดอร์ หรือ Colonel Sanders ของ KFC ผู้ก่อตั้งที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ไก่ทอดชื่อดัง รวมถึง Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple ที่กลายเป็นหน้าตาของแบรนด์แม้ในเวลาที่เสียชีวิตไปแล้ว และยังมี Elon Musk ของ Tesla ผู้ใช้ Personal Brand ขับเคลื่อนแบรนด์องค์กร

ภาพจาก Shutterstock

แต่ที่แตกต่างคือพี่เฟิร์นถูกชูขึ้นมาในสไตล์ที่เป็นกันเองและใกล้ชิดกับลูกค้า ทำให้พี่เฟิร์นของตี๋น้อยเป็นอีกกรณีศึกษาเรื่อง Personal Branding ที่ทำได้ดีจนสามารถสร้างความแตกต่าง และความผูกพันที่แข็งแกร่งได้

ถอดรหัสพลังพี่เฟิร์น

ท่ามกลางสมรภูมิธุรกิจร้านอาหารประเภทชาบู-สุกี้ที่มีการแข่งขันร้อนระอุในประเทศไทย แบรนด์สุกี้ตี๋น้อยประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วและกลายเป็น Top of Mind ในตลาดหม้อไฟราคาประหยัด เบื้องหลังความสำเร็จนี้คือ เฟิร์น-นัทธมน พิศาลกิจวนิช” ผู้บริหารหญิงรุ่นใหม่ที่มองธุรกิจอาหารอย่างจริงจังในระดับอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ ร้านบุฟเฟต์ที่ทำราคาให้ใครก็เข้าถึงได้

ก่อนที่เฟิร์นจะเริ่มต้นธุรกิจสุกี้ตี๋น้อยในปี 2561 สาวน้อยวัย 22 ปีได้ทำงานออฟฟิศเต็มตัว 3 ปี หลังจบการศึกษาปริญญาตรีและโทจากต่างประเทศ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เส้นทางของตัวเอง และไม่อยากเป็นแบบหัวหน้าในอนาคต เธอจึงตัดสินใจ “ลาออก” ในวัย 25 ปี เพื่อมาเปิดร้านอาหารของตัวเอง โดยใช้ความรู้เรื่องอาหารที่สะสมมาตั้งแต่เด็ก ผนวกกับการเรียนรู้ระบบร้านจากคุณพ่อที่เคยทำธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็กมาก่อน

สาขาแรกของสุกี้ตี๋น้อยมีเพียง 1 คูหา 15 โต๊ะในย่านบางเขน ช่วงแรกคนแทบไม่รู้จัก แต่พี่เฟิร์นเรียนรู้การทำธุรกิจจากหน้างานจริง ทำทุกอย่างเองตั้งแต่เสิร์ฟ ล้างจาน และบริการต่าง ๆ ตรงนี้สาวเฟิร์นเคยบอกว่างานที่ชอบมากที่สุดคือการเสิร์ฟ เพราะได้พูดคุยรู้จักกับลูกค้ามากมาย ได้เรียนรู้ความต้องการ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งนี่คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้พี่เฟิร์นเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง และเป็นรากฐานของความสำเร็จในเวลาต่อมา

ความยิ่งใหญ่ของสุกี้ตี๋น้อยในมือเฟิร์น สะท้อนชัดเจนจากการที่สุกี้ตี๋น้อยเติบโตจากร้านเล็ก ๆ สู่ธุรกิจร้านอาหารที่มียอดขายแตะ 7,000 ล้านบาทในปี 2567 ในเวลาเพียง 8 ปี แบรนด์ตี๋น้อยมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียกว่า 1 ล้านคน และฐานลูกค้าสมาชิกกว่า 700,000 ราย และมีสาขาทั้งหมดถึง 86 สาขาในปัจจุบัน และสุกี้ตี๋น้อย บาร์บีคิวอีก 4 สาขา

ด้วยเป้าหมายสร้างรายได้ทะลุ 10,000 ล้านบาทในปี 2569 และแผนขยายสาขา 21 สาขาในปี 2568 รวมถึง 32 สาขาในปี 2569 ล้วนชี้ว่าสุกี้ตี๋น้อยจะขยายไปยังจังหวัดที่มีกำลังซื้อสูงทั่วเมืองไทย ทั้งชลบุรี เชียงใหม่ สุรินทร์ เชียงราย และอุบลราชธานี ซึ่งการสื่อสารแบรนด์ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศเช่นนี้จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ และการวิเคราะห์กลยุทธ์คอนเทนต์โซเชียลมีเดียของสุกี้ตี๋น้อย และ Personal Branding ของพี่เฟิร์นพบว่าสุกี้ตี๋น้อยมีการใช้พี่เฟิร์นเป็นองค์ประกอบหลักของแบรนด์ที่สื่อสารกับลูกค้าโดยตรง ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สร้างความผูกพันและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างยอดเยี่ยม

พี่เฟิร์น กระหึ่มเพจ “สุกี้ตี๋น้อย”

จากหลายโพสต์บนช่องโซเชียลมีเดียของสุกี้ตี๋น้อย บางคอนเทนต์มีการโปรโมตสาขาและเล่าเรื่องการขยายธุรกิจผ่านพี่เฟิร์น เช่น โพสต์ที่ว่า “ตี๋น้อยชวน พี่เฟิร์นไป สาขา บางจากเดินเพลิน อุดรฯ วันเสาร์ที่ 12 ก.ค. 68” แสดงให้เห็นว่าพี่เฟิร์นเป็นผู้ที่ลงพื้นที่และพบปะลูกค้าด้วยตัวเอง ซึ่งไม่ใช่แค่การประกาศเปิดร้าน แต่เป็นการสร้างโอกาสให้ลูกค้าได้พบเจอ และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บริหารอย่างพี่เฟิร์นที่ทุกคนรู้จักดี

นอกจากนี้ยังมีการเชิญชวนให้ “FC ตี้น้อยช่วยแนะนำ 1. ร้านอาหารอร่อย 2. ของดีประจำจังหวัด ซึ่งสร้างการมีส่วนร่วม (Engagement) และความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้ (Community Building) ให้กับลูกค้าได้อีกด้วย”

หลายโพสต์บนเพจสุกี้ตี๋น้อยยังใช้พี่เฟิร์นเน้นเรื่องทำให้แบรนด์ดู “เป็นมนุษย์” และ “เข้าถึงง่าย” เช่น โพสต์ที่บอกว่า “พี่เฟิร์นป่วย งด Live สด คิดถึง FC นำคูปองกินฟรี! จำนวน 100 รางวัล มาแจก” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวของพี่เฟิร์นเล็กน้อย ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์มีความจริงใจและมีชีวิตชีวา ซึ่งสร้างความผูกพันทางอารมณ์กับลูกค้าได้ดีมาก โดยใช้โอกาสนี้แจกรางวัลเพื่อตอบแทนลูกค้า และกระตุ้นการมีส่วนร่วม ในขณะเดียวกันก็ยังคง “Gamification” ด้วยการถามคำถามและจำกัดเวลาตอบ

สำหรับบางโพสต์ สุกี้ตี๋น้อยใช้พี่เฟิร์นสร้างปฏิสัมพันธ์และสร้างความคาดหวัง เช่น โพสต์ที่บอกว่า “FC ไม่ถามอาการป่วย พี่เฟิร์น เลย ตั้งใจเล่นเกมส์มาก ดูทรง ติดตาม 2 ล้าน Follows คงไม่เกินปลายปี 69 พี่เฟิร์น Thank You Party # 2 แจก 2 ล้านนะ จัดที่จังหวัดไหนดี” ข้อความนี้แสดงให้เห็นถึง ปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างแบรนด์ (ผ่านพี่เฟิร์น) กับแฟนคลับ แถมยังมีการแซวกลับที่น่ารักและเป็นกันเอง ซึ่งยิ่งเสริมสร้าง ภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรด้วย

นอกจากนี้ พี่เฟิร์นยังเป็นแกนในการวางแผนกิจกรรมในอนาคต และสร้างความคาดหวังให้กับแฟนคลับล่วงหน้า โดยใช้เป้าหมายผู้ติดตาม 2 ล้านคนเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญ

Personal Branding ที่แข็งแกร่ง ทำให้แบรนด์มีตัวตน มีเรื่องราว

สรุปแล้ว สุกี้ตี๋น้อยใช้พี่เฟิร์นเป็นแกนหลักในการสร้าง Personal Branding ที่แข็งแกร่ง ทำให้แบรนด์ไม่เพียงมีตัวตน มีเรื่องราว แต่ยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับลูกค้ามากกว่าการเป็นเพียงแค่ร้านอาหารบุฟเฟต์ทั่วไป

การทำ Personal Branding พี่เฟิร์นของสุกี้ตี๋น้อย อาจคล้ายกับกรณีในประเทศไทยที่เจ้าของร้านอาหารชื่อดังบางราย ได้ออกสื่อด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ แต่กรณีของพี่เฟิร์น ถือเป็นกรณีศึกษายอดเยี่ยมที่สร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างให้สุกี้ตี๋น้อยได้ดีมาก เนื่องจากการมีผู้บริหารที่มีเรื่องราวและภาพลักษณ์ที่ชัดเจนมาเป็นตัวแทนของแบรนด์ ช่วยให้แบรนด์โดดเด่นและสร้างความจดจำได้ดีกว่าแค่ “ราคา” และ “รสชาติ”

การรวมกันของการสื่อสารที่โปร่งใส เป็นกันเอง และการมีส่วนร่วมโดยตรงกับลูกค้า ย่อมนำไปสู่ความผูกพันและความภักดีของลูกค้าที่จะขยับเข้มข้นขึ้นตามไปด้วย ทำให้ลูกค้าไม่เพียงเป็นแค่ผู้บริโภค แต่เป็น “แฟนคลับ” ที่มีความผูกพันทางอารมณ์กับแบรนด์ โยงไปสู่ความภักดีในระยะยาว

จุดที่ต้องระวังหากแบรนด์อื่นจะนำเคสพี่เฟิร์นไปปรับใช้บ้าง คือการพึ่งพาบุคคลมากเกินไป เนื่องจากหากแบรนด์ผูกติดกับผู้บริหารมากเกินไป ก็อาจกลายเป็นจุดอ่อนได้ในกรณีที่ผู้บริหารคนนั้นมีเรื่องเสื่อมเสียที่อาจส่งผลกระทบอย่าง รุนแรงต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นของแบรนด์ได้

นอกจากนี้ Personal Branding จะประสบความสำเร็จได้ยังต้องอาศัย ความจริงใจและตัวตนที่สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ หากแบรนด์ใดพยายามสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ได้มาจากตัวตนที่แท้จริงของผู้บริหาร ก็อาจถูกจับได้และสูญเสียความน่าเชื่อถือไป ในอีกด้าน เมื่อผู้บริหารกลายเป็นบุคคลสาธารณะ การกระทำทุกอย่างจะถูกจับตามองและส่งผลต่อแบรนด์โดยตรง จึงต้องระมัดระวังในการสื่อสารและการวางตัว ไม่เช่นนั้นก็อาจเกิดดราม่าทัวร์ลงตามมา

ที่สุดแล้ว กรณีศึกษาของสุกี้ตี๋น้อยและพี่เฟิร์น ได้แสดงให้เห็นว่าการสร้างแบรนด์ในยุคที่ตลาดแข่งขันกันอย่างดุเดือด นั้นจะไม่ได้หยุดอยู่แค่รสชาติหรือราคา แต่ยังสามารถสร้างความแตกต่างและผูกใจลูกค้าได้ด้วยความจริงใจ ความสนิทใจของลูกค้า รวมถึง Personal Branding ที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือ

ที่มา : https://www.facebook.com/sukiteenoithailand

]]>
1534114