เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยักษ์ใหญ่วงการไอทีของโลกอย่าง Microsoft และ LinkedIn ได้เปิดเผยรายงาน 2024 Work Trend Index Annual Report โดยระบุว่า ปีนี้ถือเป็นปีแห่งการใช้งาน AI ให้เกิดผลลัพธ์ในการทำงานอย่างแท้จริง (The Year AI at Work Gets Real) โดยพบว่า จากการสำรวจความเห็นพนักงาน 31,000 คน ใน 31 ประเทศ พวกเขามีความตื่นตัวต่อการใช้งาน AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยใช้งานหลายครั้งต่อสัปดาห์ ช่วยประหยัดเวลาในการทำงานอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน ที่สำคัญ AI ช่วยเพิ่มศักยภาพ-ขยายเพดานการประกอบอาชีพ
เช่นเดียวกับ สถานการณ์ที่ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” กับเป้าหมาย Telco-Tech Company ขับเคลื่อนผ่านกลยุทธ์ AI-First Organization โดยภายในงาน AI Gets Real ได้มีการเปิดเผยถึง ความก้าวหน้าและพัฒนาการในการใช้ AI ในงานบริการลูกค้าผ่านผู้ช่วยบริการลูกค้า “มะลิ” (Mari) ซึ่งเป็นการทำงานแบบ Cross-Functional นำโดย ปิยะพันธุ์ นาคะโยธิน หัวหน้าสายงานด้านบริการลูกค้า และ บัณฑิต แพงป้อง หัวหน้าสายงานด้านไอทีและความปลอดภัย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ปิยะพันธุ์ อธิบายว่า ด้วยเป้าหมายสู่การเป็น Telco-Tech Company โดยหนึ่งในกลยุทธ์หลักคือ Customer Centricity ทรู จึงมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า ที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัวระบบบริการลูกค้าผ่านผู้ช่วยออนไลน์ “มะลิ” ตั้งแต่ปี 2557 และพัฒนาต่อเนื่อง ขยายขีดความสามารถมาเป็นรูปแบบแชทที่่มีเทคโนโลยี AI อยู่เบื้องหลัง
บัณฑิต เผยเบื้องหลังการพัฒนามะลิว่า ด้วยการพัฒนาของ AI ที่ล้ำหน้าอย่างมาก โดยเฉพาะ Generative AI ในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้มะลิ 3.0 มีศักยภาพที่สูงขึ้น การตอบโต้-ปฏิสัมพันธ์ใกล้เคียงพนักงานที่เป็นมนุษย์มากขึ้น ครอบคลุมทั้งระบบแชท (chatbot) และระบบเสียง (voicebot) ทำให้มะลิเวอร์ชั่นใหม่นี้มีความสามารถในการแสดงผลข้อมูลให้เข้าใจโดยง่ายผ่านทาง “เสียงและตัวหนังสือ” ตัวอย่างเช่น การแสดงผลข้อมูลเปรียบเทียบดีไวซ์ (Devices) หรือแพ็คเกจ มะลิจะแสดงผลผ่านรูปแบบตัวหนังสือและตารางทาง chatbot ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นข้อมูลแบบองค์รวม และตัดสินใจง่ายขึ้น
“มะลิเวอร์ชั่นใหม่มีความใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น เข้าใจบริบททางภาษาที่ซับซ้อนมากขึ้น ฉลาดและแม่นยำ นำเสนอบริการได้อย่างถูกต้องมากขึ้น” ปิยะพันธุ์ กล่าว พร้อมเล่าเสริมว่า เดิมที ทีมคอลเซ็นเตอร์มีการใช้ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ IVR (Interactive Voice Response) ในการสนองตอบคำขอของลูกค้าผ่านการกด “เลขหมาย” บนโทรศัพท์ แต่ระบบยังกล่าวมีข้อจำกัดทางด้านการนำเสนอความหลากหลายของบริการ รวมถึงระยะเวลาที่ใช้ในการทำธุรกรรมที่ค่อนข้างนาน ซึ่งมะลิได้เข้ามาทลายข้อจำกัดดังกล่าว พร้อมขยายขีดความสามารถการบริหารจัดการความต้องการของลูกค้าได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วมากขึ้น
ความก้าวหน้าของมะลิ 3.0 สอดรับกับเทรนด์การตลาดในปัจจุบันที่ลูกค้ามีความต้องการมากขึ้น ขณะเดียวกัน การแบ่งกลุ่มลูกค้าก็มีลักษณะแยกย่อยลงไปในระดับ nano-segmentation จนถึง hyper-personalization ที่ตอบสนองความต้องการในระดับปัจเจกบุคคล
แม้ Gen AI ได้เข้ามาปฏิวัติการทำงาน ขยายขีดความสามารถ แต่หัวหน้าสายงานด้านไอทีและความปลอดภัยของทรู ก็ระบุถึงข้อควรระวังในการพัฒนา ดังนี้
บัณฑิต ยอมรับว่า วิวัฒนาการและบทบาทที่มากขึ้นของ AI ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานของคนในสายงานบริการลูกค้าอย่างมีนัยสำคัญ โดย “มะลิ” อยู่ในทุกกระบวนการทำงาน เกิดเป็น “กระบวนการภายใน” (internal process) ที่ทุกแผนกมีส่วนร่วมในการพัฒนา โดยแผนกบริการลูกค้าเป็นแม่งานในการออกแบบระบบ แผนกการตลาดใช้ประโยชน์จากมะลิในการทำ personalization แผนกไอทีคอยป้อนข้อมูลให้มะลิได้เรียนรู้และเก่งขึ้นทุกๆวัน แผนกโครงข่ายนำ AI มาช่วยต่อยอดโครงข่ายอัจฉริยะ โดยมีจุดประสงค์สำคัญเพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์สูงสุด
เพราะทรูเห็นความสำคัญของเทคโนโลยี AI จึงได้ลงทุนนำ ChatGPT Enterprise มาให้พนักงานได้ทดลองใช้และเรียนรู้ตั้งแต่เวอร์ชั่นแรกๆ มีการอัพเกรดโปรแกรมต่างๆ ให้เป็น AI-powered version พร้อมทั้งลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานและประมวลผล AI
ปิยะพันธุ์ กล่าวเสริมว่า อิทธิพลของ AI ต่อฟังก์ชั่นการทำงานที่มีมากขึ้น ทำให้พนักงานต้องรีสกิล (reskill) ดังเช่น กรณีพนักงานบริการลูกค้าที่จะเปลี่ยนบทบาทสู่ผู้พัฒนามะลิให้สามารถดูแลและเข้าใจลูกค้าได้ดีขึั้น อย่างไรก็ตาม ยังคงมีลูกค้าอีกหลายเซ็กเม้นท์ (segment) ที่ยังต้องการพนักงานที่เป็นมนุษย์ในการดูแลอยู่
“หากพิจารณาให้ดี หน้าที่ที่แท้จริงของมะลิคือการเป็น ‘ผู้ช่วย’ หรือ co-pilot ในการให้คำแนะนำแก่พนักงาน แทนที่การเข้าหาระบบที่ซับซ้อน ช่วยลดระยะเวลาในการให้บริการ มีมาตรฐาน และลด human errors (ความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์)” ปิยะพันธุ์ อธิบาย
“เพราะลูกค้ามีความต้องการไม่เหมือนกัน ทรูจึงมีแผนในการพัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น เช่น ในกลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุที่ต้องปรับให้มีการใช้คำที่ง่ายขึ้น เสียงนุ่มนวลน่าฟัง พูดช้าลง โดยมะลิจะปรับวิธีการสื่อสารกับลูกค้าแต่ละกลุ่มด้วยตัวเอง ถือเป็นกระบวนการ Self-Learning ประเภทหนึ่งของ AI” ปิยะพันธุ์ เผย
ด้านบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากความต้องการที่ให้มะลิเก่งเรื่องบริการลูกค้าแล้ว ทีมยังต้องการให้มะลิมีความรู้ความเข้าใจด้านโครงข่าย โดยมีแผนที่จะอินทิเกรต AI 2 ชุดที่มีข้อมูลลูกค้าและข้อมูลโครงข่ายเป็นฐานให้มะลิได้เข้าถึง เรียนรู้ และพัฒนา ซึ่งภายหลังข้อมูลจาก AI 2 ชุดดังกล่าวได้ทำงานร่วมกัน ก็จะทำให้เเกิดบริการใหม่ๆ และมะลิก็จะเข้าใจ ตอบคำถาม และแก้ไขปัญหาโครงข่ายให้ลูกค้าได้อีกด้วย
“โดยปกติ เมื่อลูกค้าสอบถามถึงความปกติการใช้งานโครงข่าย พนักงานจะทำหน้าที่ในการตรวจสอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากต่อการสืบทราบถึงปัญหาที่แท้จริงในระยะเวลาที่จำกัด แต่เมื่่อมีการรวม AI 2 ชุด มะลิจะนำเอาข้อมูลจากหลายแหล่งมาวิเคราะห์ ระบุถึงต้นตอปัญหา พร้อมวิธีการแก้ไข ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว” บัณฑิต ระบุ
ปิยะพันธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ท่ามกลางความต้องการลูกค้าที่มีมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มะลิจะช่วยให้ลูกค้าจะมีประสบการณ์ที่ดีมากขึ้น เข้าใจปัญหา พร้อมหาทางแก้ไขภายใต้ระยะเวลาที่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงความต้องการแบบ personalization
ทั้งนี้ มะลิ 3.0 นี้ได้เริ่มทยอยทดลองใช้งานกับลูกค้ากลุ่มที่คุ้นเคยและใช้งานมะลิอยู่แล้ว และกำลังจะขยายผลต่อไป
]]>Financial Times รายงานข่าวโดยอ้างอิงแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องว่า Meta เจ้าของ Social Network ไม่ว่าจะเป็น Facebook Instagram ได้เตรียมที่จะเปิดตัวแชทบอท AI ในช่วงเดือนกันยายน โดยบริษัทคาดหวังถึงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้น
แหล่งข่าวของสื่อรายดังกล่าวได้รายงานว่า แชทบอท AI ของ Meta มีรูปแบบของบุคลิกที่แตกต่างกัน โดยบริษัทได้เตรียมที่จะเปิดตัวแชทบอทที่มีบุคลิกเหมือนอับราฮัม ลินคอล์น และอีกบุคลิกที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับตัวเลือกการเดินทางในสไตล์ของนักโต้คลื่น เป็นต้น
จุดประสงค์ของ Meta ที่นำแชทบอท AI เข้ามาอีกประเด็นคือเพื่อให้มีฟังก์ชันการค้นหาและเสนอคำแนะนำในรูปแบบใหม่ รวมถึงต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้ผู้ใช้รู้สึกสนุกสนานในการใช้งานมากขึ้น
นอกเหนือจากการส่งเสริมการมีส่วนร่วมแล้ว แชทบอทดังกล่าวยังสามารถรวบรวมข้อมูลใหม่จำนวนมหาศาลตามความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งสามารถช่วย Meta กำหนดเป้าหมายผู้ใช้ได้ดีขึ้นด้วยเนื้อหาและโฆษณาที่เกี่ยวข้องมากขึ้น ในช่วงที่ผ่านมารายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทหลักหลายแสนล้านเหรียญต่อปีมาจากโฆษณาต่างๆ
ขณะเดียวกันการนำแชทบอทดังกล่าวเข้ามาให้บริการนั้นส่วนหนึ่งมาจากความสามารถของแชทบอท AI อย่าง ChatGPT ของคู่ OpenAI ที่ปัจจุบันผนวกกับ Bing ของ Microsoft ขณะเดียวกัน Alphabet บริษัทแม่ของ Google ก็ได้เตรียมส่ง Bard ออกมาสู้ศึกดังกล่าว ทำให้ Meta เองต้องส่งแชทบอทออกมาสู้เช่นกัน
โดยผลการดำเนินงานของ Meta ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวมที่ 31,999 ล้านเหรียญสหรัฐ มีกำไรทั้งสิ้น 7,788 ล้านเหรียญสหรัฐ และปัจจุบันมีผู้ใช้งานในแพลตฟอร์มรวมเกือบ 4,000 ล้านคน
อย่างไรก็ดีก็มีความกังวลถึงผู้เชี่ยวชาญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บข้อมูลของแชทบอท AI ของบริษัทนั้นอาจกระทบกับความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน
]]>ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนจำนวนมากได้มุ่งลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา AI อาทิ หุ้น Microsoft ที่ปรับตัวขึ้น 40% ในปีนี้ เนื่องจากบริษัทได้เข้าไปลงทุนใน OpenAI ซึ่งเป็นผู้พัฒนา ChatGPT ดังนั้น นักลงทุนจึงหวังว่าจะส่งผลต่อกำไรในอนาคตของบริษัท ด้วยเหตุนี้เอง หุ้นที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี AI จึงเติบโตอย่างมาก
Emad Mostaque CEO ของ Stability AI บริษัทที่อยู่เบื้องหลัง Stable Diffusion แพลตฟอร์ม AI ที่ช่วยให้ผู้ใช้สร้างภาพเหมือนจริงได้ด้วยการป้อนข้อความ ปัจจุบันมีผู้ใช้มากกว่าล้านคนและระดมทุนได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ โดยเขาได้ประเมินว่า จำนวนเงินลงทุนทั้งหมดในเทคโนโลยี AI นั้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เนื่องจากเทคโนโลยี AI มันมีความ สำคัญมากกว่า 5G ในฐานะโครงสร้างพื้นฐานสำหรับความรู้
“AI มีมานานแล้ว โดยตอนนี้เทคโนโลยีนี้เป็นคุณลักษณะทั่วไปของการใช้งานออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการเสิร์ช, แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย นอกเหนือจากการใช้งานของผู้บริโภคแล้ว เทคโนโลยีนี้ยังถูกนำไปใช้ในทางการแพทย์ การขนส่ง หุ่นยนต์ วิทยาศาสตร์ การศึกษา การเงิน การป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมอื่น ๆ”
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี AI ยังอยู่ในช่วง เริ่มต้น ของการพัฒนา และ ยังไม่พร้อม ที่จะนำไปปรับใช้ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น บริการทางการเงิน ดังนั้น AI อาจเป็น “ฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดตลอดกาล” หากบริษัทไม่ใช้เทคโนโลยี AI อย่างเหมาะสมในธุรกิจของตนจะถูก ลงโทษ โดยตลาดหุ้น
อย่าง Google ต้อง สูญเงินกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ ในวันเดียว หลังจากแชทบอท Bard AI ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ในวิดีโอเปิดตัวการใช้งาน โดยตอนนั้น Google ต้องเร่งเข็น Bard AI ออกมาเพื่อแข่งกับ Microsoft ในการสร้างเครื่องมือ AI ที่เหนือกว่า
]]>รัฐบาลท้องถิ่นกรุงโตเกียว ได้ประกาศว่า จะเริ่มใช้ ChatGPT สำหรับเขียนข้อความงานเอกสาร และดำเนินงานด้านธุรการอื่น ๆ ภายในสำนักงานทั้งหมด เช่น การเตรียมเอกสารในรูปแบบถาม-ตอบ รวมถึงจะสอบถามความเห็นข้าราชการของกรุงโตเกียวว่าควรจะนำ Generative AI ไปใช้ทำอะไรต่อไป โดยหน่วยงานจะเริ่มนำ ChatGPT มาใช้ตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป
“ChatGPT มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงวิธีการบริหารราชการแผ่นดินอย่างมาก การกำกับดูแลเมืองที่ดีขึ้น” สามารถทำได้โดยการประเมินด้านบวกและด้านลบของบริการ AI” ยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าการกรุงโตเกียว กล่าว
เพื่อลดความกังวลเรื่องข้อมูลรั่วไหลของข้อมูลที่เป็นความลับ ดังนั้น หน่วยงานได้จัดตั้งทีมงานโครงการเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของ ChatGPT และสร้างแนวทางสำหรับการใช้งานเพื่อไม่ให้ข้อมูลสำคัญรั่วไหลออกไปภายนอก
จริง ๆ แล้วหน่วยงานของกรุงโตเกียวไม่ใช่เมืองแรกที่นำ ChatGPT มาใช้ แต่ในเมือง โยโกซูกะ จังหวัด คานากาวะ ได้เริ่มทดลองใช้งานตั้งแต่เดือนเมษายน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ChatGPT เข้ามาช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานเอกสารต่าง ๆ เช่น ช่วยในการเรียบเรียงข้อความ และจากการทดลองใช้พบว่า ChatGPT ช่วยให้ลดเวลาในการทำงานอย่างน้อย 10 นาที/วัน
]]>หลายคนน่าจะได้ลองสัมผัสพลังของ ChatGPT ที่สามารถทำได้ตั้งแต่การเขียนเรียงความ การเขียนโค้ด ไปจนถึงการสนทนาที่ลื่นไหลเหมือนพูดคุยกับมนุษย์ด้วยกัน และนอกจาก ChatGPT ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีหลายรายก็มีการเปิดตัว AI Chatbot ของตัวเอง อาทิ Alibaba และ Baidu
แม้ว่า AI Chatbot จะฉลาดแค่ไหนก็ตาม แต่ Narayana Murthy ผู้ก่อตั้ง Infosys ยักษ์ใหญ่ด้านบริการซอฟต์แวร์สัญชาติอินเดีย มองว่า ไม่มีอะไรสามารถเอาชนะจิตใจมนุษย์ได้ โดยเฉพาะ จินตนาการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทรงพลังที่สุดของมนุษย์
Murthy อธิบายว่า ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงหรือใช้งาน ChatGPT ได้เหมือกันหมด แต่จิตใจของมนุษย์เป็นสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งอื่น หากมีการแข่งขันระหว่างคน 2 คน โดยมี ChatGPT เป็นฐาน สิ่งที่จะสร้างความแตกต่างก็คือ ความสร้างสรรค์ของคนนั้น ๆ
“ChatGPT เป็นส่วนเสริมที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความรู้ ในการทำงานบางอย่าง เช่น การเขียนเรียงความ แต่อย่าลืมว่าทั้งคุณและฉันสามารถเข้าถึง ChatGPT เดียวกันได้ ซึ่งสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ จิตใจของมนุษย์” Murthy กล่าว
ดังนั้น เขามองว่า คนควรจะใช้ ChatGPT เป็นเครื่องมือ เป็นผู้ช่วยในการผลิตงานและผลงานที่มีคุณภาพดีขึ้น แต่ไม่ใช่ใช้แทนมนุษย์
“ท้ายที่สุดแล้ว ผมเชื่อในทฤษฎีที่ว่าจิตใจของมนุษย์คือ จินตนาการที่ทรงพลังที่สุด ดังนั้น ไม่มีอะไรเอาชนะจิตใจมนุษย์ได้”
สำหรับ Narayana Murthy นั้นเริ่มก่อตั้งบริษัท Infosys ตั้งแต่ปี 1981 โดยเขาร่วมกับวิศวกรอีก 6 คนก่อตั้งบริษัทด้วยเงินทุนเพียง 250 ดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะบริษัทผู้ให้คำปรึกษาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ และบริการเอาท์ซอร์ส
ปัจจุบัน บริษัทได้เติบโตเป็นแบรนด์เป็นอันดับ 3 ของโลกโดยมีมูลค่าแบรนด์ 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์ รองจาก Accenture และ Tata Consultancy Services และมีพนักงานมากกว่า 346,000 คนทั่วโลก ตั้งแต่เอเชียแปซิฟิก อเมริกาเหนือ ไปจนถึงยุโรปและตะวันออกกลาง และถือเป็นบริษัทอินเดียแห่งแรกที่จดทะเบียนใน Nasdaq
]]>ภายในงาน Alibaba Cloud Summit ปี 2023 อาลีบาบา ได้เปิดตัว ถงอี้ เฉียนเหวิน (Tongyi Qianwen) เอไอ แชทบอท ที่มีความสามารถเข้าใจทั้งภาษาจีนและอังกฤษ โดยบริษัทมีแผนจะใช้เอไอดังกล่าวในผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของอาลีบาบาตั้งแต่การสื่อสารระดับองค์กรไปจนถึงอีคอมเมิร์ซ
เบื้องต้น จะเริ่มใช้งานใน DingTalk ซอฟต์แวร์สื่อสารในที่ทำงานของ Alibaba และ Tmall Genie ผู้ให้บริการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัจฉริยะ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่ได้ระบุถึงช่วงเวลาที่ชัดเจน โดยบอกเพียงว่าจะนำไปใช้ใน อนาคตอันใกล้
“เราอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI และคลาวด์คอมพิวติ้ง” แดเนียล จาง ประธานและซีอีโอของอาลีบาบา กรุ๊ป และซีอีโอของอาลีบาบา คลาวด์ กล่าว
ไม่ใช่แค่ใช้ในองค์กรของตัวเอง แต่สำหรับลูกค้าของอาลีบาบาคลาวด์ก็จะสามารถเข้าถึง Tongyi Qianwen บนคลาวด์ได้ และช่วยให้ลูกค้าสามารถสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่เพื่อสร้าง แชทบอทของตัวเอง โดยสามารถปรับแต่งได้อย่างละเอียดตามต้องการ ด้วยข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวลูกค้าเอง ซึ่งช่วยลดทรัพยากรและค่าใช้จ่ายสำหรับลูกค้าที่ต้องการพัฒนาเอไอแชทบอทของตัวเอง
“เราหวังว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจจากทุกอุตสาหกรรมด้วยการเปลี่ยนแปลงด้านข่าวกรอง และท้ายที่สุด จะช่วยเพิ่มผลผลิตทางธุรกิจ ขยายความเชี่ยวชาญและความสามารถของพวกเขา ในขณะที่ปลดล็อกโอกาสที่น่าตื่นเต้นผ่านนวัตกรรม”
ทั้งนี้ อาลีบาบาถือเป็นบริษัทโทคโนโลยีจีนรายล่าสุดที่เปิดตัวเอไอ แชทบอท หลังจาก Baidu เปิดตัว Ernie Bot ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ก็มี NetEase ได้ ประกาศความ ตั้งใจที่จะเปิดตัวเอไอแชทบอทที่มีรูปแบบ ChatGPT ซึ่งหลังจากที่อาลีบาบาเปิดตัว Tongyi Qianwen หุ้นของบริษัทก็พุ่งขึ้นกว่า 3% ส่วนหุ้นของ Baidu ลดลง 6%
สำหรับ อาลีบาบาในตลาดคลาวด์ ปัจจุบันถือเป็น อันดับ 3 ของโลก และเป็นผู้ให้บริการ IaaS อันดับ 3 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย IDC และ Gartner
]]>Sundar Pichai ซึ่งเป็น CEO ของ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ผู้ให้บริการค้นหาข้อมูล ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ The Wall Street Journal ว่าบริษัทเตรียมที่จะนำแชทบอท AI มาผนวกเข้ากับบริการค้นหาข้อมูล หลังจากที่ ChatGPT ได้สร้างแรงกดดันให้กับบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมา
เขาได้ชี้ว่าความก้าวหน้าของ AI จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของ Google ในการตอบคำถามค้นหาต่างๆ ซึ่งทาง Alphabet ได้พัฒนา AI ขึ้นมาในชื่อ Bard โดยสร้างขึ้นจากเทคโนโลยี LaMDA ของ Google โดยจะฝึกฝนเจ้าแชทบอทด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ โดยโมเดลเหล่านี้ได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อมูลในโลกออนไลน์จำนวนมากเพื่อสร้างการตอบสนองต่อผู้ใช้งาน
ในช่วงที่ผ่านมา Google กำลังเผชิญความเสี่ยงอย่างหนัก โดยเฉพาะอย่ายิ่งธุรกิจค้นหาข้อมูล หลังจาก ChatGPT ของ OpenAI สร้างความฮือฮาในการตอบคำถาม และผลลัพธ์ต่างๆ ในการใช้งานที่น่าทึ่ง ขณะเดียวกันคู่แข่งอย่าง Microsoft เองก็ไม่รอช้าที่จะนำระบบแชทบอทดังกล่าวเข้ามาผนวกกับบริการค้นหาของ Bing
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการมาของ ChatGPT ทำให้ Alphabet ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างเร่งด่วน ในการพัฒนาระบบ AI ขึ้นมาเพื่อที่จะไม่ให้บริษัทสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ซึ่ง Google ครองส่วนแบ่งธุรกิจค้นหาข้อมูลมากกว่า 90% ในปัจจุบัน
นอกจากนี้เขายังกล่าวว่า Google วางแผนที่จะอนุญาตให้ผู้ใช้โต้ตอบโดยตรงกับแชทบอท AI ของบริษัทผ่านบริการค้นหา ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจยกระดับประสบการณ์การค้นหาที่โชว์ลิงก์ต่างๆ ในแบบเดิมที่เป็นมาตรฐานของการค้นมากว่า 20 ปีนี้ด้วย
อย่างไรก็ดีหัวเรือใหญ่ของ Alphabet ไม่ได้กล่าวถึงช่วงเวลาที่จะนำระบบแชทบอทดังกล่าวให้บริการกับผู้ใช้งานในช่วงเวลาใด แต่เขาได้กล่าวว่าตอนนี้บริษัทกำลังทดสอบบริการดังกล่าวในหลายรูปแบบอยู่ในตอนนี้
]]>Microsoft ได้เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของ ChatGPT มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของโปรแกรมตระกูล Microsoft Office ไม่ว่าจะเป็น Outlook, PowerPoint, Excel และ Word โดยมั่นใจว่าจะช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงานของคนนับล้านในแต่ละวัน
ผู้ใช้ Microsoft 365 จะสามารถใช้ AI ‘Co-pilot’ ฟีเจอร์ใหม่ที่สร้างขึ้นบนเทคโนโลยีเดียวกันกับที่พัฒนา ChatGPT ซึ่งจะช่วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน อาทิ
ปัจจุบัน ฟีเจอร์ดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบกับลูกค้าเพียง 20 ราย เท่านั้น ทั้งนี้ การประกาศฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft มีขึ้นหนึ่งเดือนหลังจากนำคุณสมบัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่คล้ายกันมาสู่ Bing หรืออย่าง Google ก็ได้ประกาศว่าจะนำ AI มาสู่เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพเช่น Gmail, Sheets และ Docs แสดงให้เห็นว่าในปัจจุบัน AI ได้กลายเป็นอาวุธใหม่ ของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
สำหรับ ChatGPT ถือเป็นแพลตฟอร์ม AI Chatbot ที่ได้เปิดตัวในช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยภายใน 2 เดือนหลังจากเปิดตัวก็มีผู้ใช้มากถึง 100 ล้านคน และในเดือนนี้ ChatGPT กำลังจะออก ChatGPT 4 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ ซึ่งจะเพิ่มความสามารถในการโต้ตอบกับผู้ใช้ที่ป้อนข้อมูลเป็นภาพได้ ในขณะที่รุ่นก่อน ๆ สามารถโต้ตอบได้ในรูปแบบข้อความเท่านั้น
]]>LLM เป็นรูปแบบโมเดล AI สร้างข้อความที่ถูกนำมาใช้ในแชทบอทที่เป็นกระแสในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, Bing Chat หรือ Bard ของ Google อย่างไรก็ตาม LLM ก็ต้องการทรัพยากรประมวลที่ใหญ่มาก ทำให้หลายองค์กรไม่มีโอกาสเข้าถึง แต่ LLaMA (Large Language Model Meta AI) ของ Meta จะใช้ทรัพยากรน้อยกว่า แต่ยังคงมีประสิทธิภาพไม่ด้อยกว่าโมเดลภาษา GPT-3 ที่ใช้ใน ChatGPT
โดยโมเดลภาษา GPT-3 จะมีขนาดชุดข้อมูลประมาณ 1.75 แสนล้าพารามิเตอร์ ในขณะที่ LLaMA จะมีหลายขนาดชุดข้อมูล ตั้งแต่ 7 พันล้านพารามิเตอร์ จนถึงชุด 6.5 หมื่นล้านพารามิเตอร์ ซึ่งหากโมเดลภาษามีพารามิเตอร์เพิ่มขึ้นกำลังในการประมวลผลของอุปกรณ์ที่ใช้งานก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการแสดงผล
Mark Zuckerberg ซีอีโอ Meta ได้ระบุว่า LLaMA ได้ถูกพัฒนาโดยทีมงาน Fundamental AI Research (FAIR) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรสำรวจการใช้งานสำหรับ AI เช่น การตอบคำถามและการสรุปเอกสาร โดยบริษัทพร้อมจะเปิดให้นักวิจัยที่ต้องการนำโมเดลภาษาไปใช้งานต่อได้ใช้ LLaMA แบบสาธารณะ ซึ่งต่างจากโมเดล LaMDA ที่ไม่เปิดต่อสาธารณะ
“LLMs ได้แสดงให้เห็นความสามารถมากมายในการสร้างข้อความ การสนทนา การสรุปเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร และงานที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การแก้ทฤษฎีบททางคณิตศาสตร์หรือการทำนายโครงสร้างโปรตีน”
]]>สื่อจีนอย่าง Securities Times ได้รายงานข่าวว่าผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของจีนอย่าง Geely เตรียมนำระบบแชทบอท AI ของยักษ์ใหญ่ไอทีจีนอย่าง Baidu มาใส่ในรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัท ซึ่งตัวแชทบอทดังกล่าวนี้คล้ายคลึงกับ ChatGPT ที่สร้างชื่อเสียงอยู่ในตอนนี้
การที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่จากจีนได้นำแชทบอท AI มาใส่ในรถยนต์นั้นเนื่องจากต้องการให้ตัวของรถยนต์มีการตอบสนองกับผู้ใช้งานได้ดีมากขึ้น และทำให้ประสบการณ์ในการเดินทางดีมากยิ่งขึ้น
โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ Geely จะนำแชทบอท AI เข้ามาใส่ก็คือรุ่น Galaxy L7 ซึ่งบริษัทจะมีการเปิดตัวในภายหลัง นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมนำระบบแชทบอท AI มาใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าในรุ่นที่มีราคากลางค่อนสูงขึ้นไป
สำหรับ AI ของ Baidu เตรียมที่จะเปิดตัวในเดือนมีนาคม หลังจากบริษัทกำลังทดลองแชทบอทดังกล่าวเป็นการภายใน และจะนำระบบดังกล่าวเข้ามาผนวกกับระบบค้นหาเว็บไซต์ของบริษัทในภายหลังด้วย ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวตามมาจาก ChatGPT ของ OpenAI ที่สร้างความฮือฮาในการตอบคำถามยากๆ ได้
ไม่ใช่แค่ Geely เท่านั้นที่นำแชทบอทดังกล่าวมาใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า แล้วยังมีบริษัทรถยนต์ในจีนหลายรายที่เตรียมจะทำแชทบอท AI ของ Baidu มาใส่ภายในรถยนต์ไฟฟ้าด้วย ไม่ว่าจะเป็น Great Wall Auto หรือแม้แต่ Dongfeng Nissan เป็นต้น
]]>