Co-generation power plant – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 14 May 2021 04:43:37 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 อ่านเกม “สิงห์ เอสเตท” ลุยนิคมฯ เต็มตัว เข้าซื้อ “เวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์” เติมเต็มธุรกิจโรงไฟฟ้า https://positioningmag.com/1332060 Fri, 14 May 2021 10:00:06 +0000 https://positioningmag.com/?p=1332060

การทำธุรกิจในยุคสมัยนี้ การสยายปีกสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ถือว่าเป็นโอกาสทองในการสร้างการเจริญเติบโตเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงเมื่ออีกอุตสาหกรรมมีการเติบโตน้อยลงด้วย ช่วยสร้างความสมดุลให้พอร์ตได้อย่างดี

เมื่อไม่นานมานี้ จึงได้เห็นการเคลื่อนไหวสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ “สิงห์ เอสเตท” ผู้พัฒนา และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ได้ใช้งบลงทุนกว่าพันล้าน ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ 3 แห่ง

มูฟเมนต์นี้ถือเป็นการขยายธุรกิจสู่กลุ่มที่ 4 กลุ่มพลังงาน นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเต็มตัว และคาดการณ์ว่าจะทำให้มีรายได้ปีละ 20,000 ล้านภายใน 3 ปี เป็นการหาน่านน้ำใหม่

สิงห์ เอสเตทไม่หยุดแต่เพียงเท่านี้ ล่าสุดได้ลงนามในข้อตกลงเข้าซื้อหุ้น 100% ของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด จากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด โดยบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด เป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ ซึ่งมีเนื้อที่ 1,790 ไร่ ตั้งอยู่ใน จ.อ่างทอง

ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,421 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 510 ล้านบาท เป็นเงินที่จ่ายเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรีในราคาพาร์ ส่วนอีก 1,726 ล้านบาท เป็นเงินที่จะใช้ในการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งการโอนหุ้นระหว่างกันคาดว่าจะแล้วเสร็จ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564

จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า

“การซื้อนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับโรงไฟฟ้าสามแห่งที่เราเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนที่มากพอสมควรนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่ง ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของเราที่จะสร้างจุดแข็งที่ทรงพลังให้กับธุรกิจ จากการส่งเสริมซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่หลากหลายของสิงห์ เอสเตท เพื่อทำให้เรามีความแข็งแกร่งในการแข่งขัน และทำให้ธุรกิจของเรามีความเป็น Resilient Business”

ทางด้าน ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า

“การผสานธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า จะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของเรา ทั้งในด้านการเงิน และการดำเนินงาน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วนิคมอุตสาหกรรมคือหนึ่งในผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด การดำเนินกิจการในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ทำให้เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งของเรา

และการที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ เน้นสินค้าอาหารโดยเฉพาะ ทำให้มีความต้องการใช้ไอน้ำจากผู้ประกอบการแปรรูปอาหารต่างๆ ในนิคมฯ ซึ่งโรงไฟฟ้าของเรา ก็เป็นผู้ผลิตไอน้ำที่ใช้ได้ในอุตสาหกรรมอาหารด้วย นอกจากนั้น กิจการโรงไฟฟ้ายังช่วยให้เรามีรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดจากการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม”

การที่มีนิคมอุตสาหกรรมในมือนั้น นอกจากความลงตัวในเชิงกลยุทธ์แล้ว ต้องบอกว่าธุรกิจนิคมฯ ยังมีอนาคตที่สดใสมากเลยทีเดียว นิคมตั้งอยู่ในจ.อ่างทองซึ่งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย

ถ้าดูจากสถิติโดยรวมของอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของทั้งประเทศนั้น เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80% ณ ช่วงสิ้นปี 2563 ในขณะที่ภาคกลางของประเทศไทย มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมในระดับสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 89% จึงเป็นโอกาสทองอย่างมากในการลงทุนครั้งนี้

ฐิติมากล่าวเพิ่มเติมว่า “นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ยังมีความสำคัญตามนโยบายการขับเคลื่อนประเทศที่มุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นครัวของโลก และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก โดยทำเลที่ตั้งของนิคมฯ แห่งนี้ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางห่วงโซ่อุปทานอาหาร และวัตถุดิบของประเทศ ทั้งแหล่งสำคัญในการผลิตข้าว ผลิตภัณฑ์จากนม และสัตว์ปีก นอกจากนี้ ยังมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา”

รัฐบาลไทยได้ให้การสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายระยะยาว โดยข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พบว่า อุตสาหกรรมการเกษตร และอาหาร เป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาในอัตราที่เติบโตรวดเร็วที่สุด โดยภาคกลางของประเทศไทยมีสัดส่วนของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนประมาณครึ่งหนึ่งของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมดในปี 2563 อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่า ความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น เมื่อมีการผ่อนปรนมาตรการความเข้มงวดในการเดินทางหลังการคลี่คลายของวิกฤต COVID-19

ทั้งนี้สิงห์ เอสเตท ได้จัดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 23 เมษายน ซึ่งในการประชุมดังกล่าว ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการซื้อหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้า 3 แห่งที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ โดยคิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

โดยที่โรงไฟฟ้าแห่งแรกเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ดำเนินการผลิตอยู่แล้วขนาด 123 เมกะวัตต์ ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่ 2 และ 3 เป็นโรงไฟฟ้าใหม่ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยมีกำหนดจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2566 มีกำลังการผลิตแห่งละ 140 เมกะวัตต์

เมื่อเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่าบริษัทมีเป้าหมายดันรายได้ต่อปีให้เพิ่มขึ้น 3 เท่า กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี และมีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี

 

]]>
1332060
“สิงห์ เอสเตท” เสริมแกร่ง ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% โรงงานผลิตไฟฟ้า 3 แห่ง สยายปีกจากอสังหาฯ สู่พลังงาน https://positioningmag.com/1325374 Tue, 30 Mar 2021 03:00:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1325374
กลายเป็นการขยายธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ แต่เดิม “สิงห์ เอสเตท” ดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือ “สิงห์ คอร์เปอเรชั่น” ใช้งบลงทุนกว่าพันล้าน ได้สิทธิ์ซื้อหุ้น 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Co-generation power plant) ขนาดใหญ่ 3 แห่ง ถือเป็นการขยายธุรกิจสู่กลุ่มที่ 4 กลุ่มพลังงาน นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเต็มตัว คาดจะทำให้มีรายได้ปีละ 20,000 ล้านภายใน 3 ปี

อัดงบพันล้าน ซื้อหุ้น 30% ในโรงผลิตไฟฟ้า 3 แห่ง

ก่อนหน้านี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหมวดไหน ย่อมเป็นธุรกิจขาขึ้นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงาน หรือที่อยู่อาศัย แต่ในช่วงที่หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจนี้มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งเร่งปฏิกิริยาความไม่แน่นอนของธุรกิจให้มากขึ้นด้วย

การขยายธุรกิจเพื่อหาโอกาสใหม่ๆ จึงเป็นคำตอบที่สำคัญของยุคนี้ เพื่อเป็นการหาน่านน้ำใหม่ด้วย และกระจายความเสี่ยง เพื่อให้ธุรกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงได้เห็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจอย่างมาก เมื่อ “สิงห์ เอสเตท” ผู้พัฒนา และลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในเครือของสิงห์คอร์เปอเรชั่น ได้ประกาศว่าได้รับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเข้าซื้อหุ้นสามัญ 30% ในโรงงานผลิตไฟฟ้า และความร้อนร่วม (Co-Generation Power Plant) ขนาดใหญ่ จำนวน 3 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวมกัน 400 เมกะวัตต์ โดยเป็นสิทธิ์ซื้อที่ราคาพาร์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

สำหรับโรงงานแห่งแรก เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้า และพลังงานความร้อนร่วม ของ บริษัท อ่างทอง เพาเวอร์ จำกัด ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ จังหวัดอ่างทอง ดำเนินการผลิตอยู่แล้ว ด้วยกำลังการผลิตอยู่ที่ 123 เมกะวัตต์

ส่วนแห่งที่ 2 และ 3 เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 1 จำกัด และบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ราชบุรี) 2 จำกัด เป็นเจ้าของใบอนุญาต ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู๊ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ มีกำหนดเปิดดำเนินการในปี พ.ศ. 2566 มีกำลังการผลิตอยู่ที่โรงงานละ 140 เมกะวัตต์

การเข้าซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่งจะเริ่มขึ้นเมื่อได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของบมจ. สิงห์ เอสเตท ซึ่งมีกำหนดจัดการประชุมสามัญประจำปีในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ. สิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า

“เราได้สิทธิ์ซื้อหุ้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง ถือเป็นหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะทำให้สิงห์ เอสเตท ก้าวไปสู่การเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผลิตกระแสไฟฟ้า และให้บริการด้านวิศวกรรมอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งในการเดินหน้าขยายธุรกิจของเราให้ใหญ่ขึ้น 3 เท่า เป็นบริษัทที่มีรายได้ 20,000 ล้านบาทต่อปี ภายในระยะเวลา 3 ปี”

เสริมแกร่งธุรกิจกลุ่มที่ 4

แรกเริ่มเดิมทีนั้น สิงห์ เอสเตทประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจที่เป็นแกนหลัก ประกอบไปด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม

– ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงาน และพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2563

– โรงแรม และรีสอร์ต 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ มีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 24% ของรายได้ทั้งหมด

– โครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี The ESSE และแบรนด์อื่นๆ สร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ ประมาณ 57% ของรายได้ทั้งหมด

ทราย ลากูน มัลดีฟส์ CURIO COLLECTION BY HILTON

แต่ในปี 2564 สิงห์ เอสเตทเตรียมก้าวสู่เฟสใหม่ของการพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มธุรกิจที่ 4 เข้ามา เป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน สามารถเสริมศักยภาพซึ่งกันและกันภายในเครือได้ อีกทั้งสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดา ทั้งในประเทศและทั่วโลก

โดยกลุ่มธุรกิจที่ 4 ของสิงห์ เอสเตท เป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็ม และส่งเสริมซึ่งกันและกันกับธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจบริการนวัตกรรมอื่นๆ

“เราต้องการสร้างธุรกิจนี้ให้ยิ่งใหญ่ อย่างมั่นคง และมีผลตอบแทนที่แน่นอนสม่ำเสมอ พร้อมๆ กับการสร้างโอกาสใหม่ๆ ในการเติบโต โดยที่เราจะใช้ประโยชน์จากการผนึกกำลังกันของ 4 กลุ่มธุรกิจของสิงห์ เอสเตท มาเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน” นายจุตินันท์กล่าว

สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส

สร้างรายได้มั่นคงในระยะยาว

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการเข้าซื้อหุ้นในโรงไฟฟ้าในครั้งนี้ของสิงห์ เอสเตทก็คือ ธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังไม่ต้องเริ่มธุรกิจจากศูนย์ด้วย โดยที่ไฟฟ้าเกือบ 70% ได้ถูกขายล่วงหน้าแล้ว เรียกว่าการันตีรายได้ได้อย่างแน่นอน

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า

“ใบอนุญาตโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีขนาดกำลังการผลิตระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกยินดีมากเป็นพิเศษ ที่ได้รับสิทธิ์ในการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นในโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าที่สำคัญถึง 3 แห่ง ในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก ซึ่งจะทำให้เรามีฐานธุรกิจที่มั่นคงในอุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้าได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์”

“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สิทธิ์ในการเข้าซื้อหุ้นที่เราได้รับนั้นน่าดึงดูดใจเป็นอย่างมาก คือ การที่ไฟฟ้าจำนวน 270 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นเกือบ 70% ของกระแสไฟฟ้าที่ทั้ง 3 โรงไฟฟ้านี้จะผลิตได้รวมกันนั้น ขายได้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว และจะเป็นราคาตามที่ตกลงกันแล้วด้วย ซึ่งทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราจะสร้างรายได้เข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง และยั่งยืน เสริมศักยภาพให้กับสิงห์ เอสเตท ในการเป็นธุรกิจที่จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ (Resilient Business)”

อ่างทอง เพาเวอร์ เป็นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าเพียงแห่งเดียวในประเทศไทย ที่ทำกำไรได้โดยไม่จำเป็นต้องขายไฟให้กับผู้ใช้ทั่วไป และกระแสไฟฟ้าจำนวน 75% ของกระแสไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้ ได้ถูกทำสัญญาซื้อโดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 25 ปี การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไรจนสูงขึ้นกว่าอัตราที่ประเมินไว้ในขั้นต้น

ทางสิงห์ เอสเตทคาดการณ์ว่า โรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง จะสร้างรายได้ราว 7,500 ล้านบาท ในปี 2567 เมื่อมีธุรกิจใหม่เข้ามา สามารถติดสปีดการเติบโตให้บริษัทถึง 3 เท่า สามารถมีรายได้ถึง 20,000 ล้านบาทได้ภายใน 3 ปี

]]>
1325374