แม้จะยังไม่เป็นที่รู้จักกันมากนักสำหรับนักนิยมแฟชั่นในแถบเอเชีย แต่ในระดับโลกแล้ว เวทีมาดริด ในนามของ Cibeles น่าจะมาเป็นอันดับ 5 รองจากนิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน มิลาน ในปีนี้ได้จัดเป็นครั้งที่ 43 และกำลังไต่ระดับความนิยมมาอย่างน่าสนใจทีเดียว เนื่องจากว่าแฟชั่นสเปนจะมีเสน่ห์อยู่ในตัวเอง สวมใส่ง่าย สีสันสดใส มีการปรับเปลี่ยนคอลเลกชั่นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือมีคุณภาพสมราคา

งานนี้มีความหมายมากสำหรับดีไซเนอร์ของสเปน เพราะเป็นงานที่จัดมานาน เป็นที่ยอมรับสูงสุดในระดับประเทศ และเป็นที่รู้จักดีในระดับนานาชาติ ฉะนั้นดีไซเนอร์ชั้นนำของสเปนจะไม่พลาดงานนี้อย่างเด็ดขาด เพราะการเข้าร่วมแสดงในเวทีนี้ เท่ากับเป็นการนำเสนอคอลเลกชั่นใหม่ๆ สู่ตลาดแฟชั่นนานาชาติอย่างเป็นทางการ และเป็นการแจ้งเกิดอย่างแท้จริง สำหรับนักดีไซเนอร์หน้าใหม่

การจัดงานแต่ละครั้งก็จะเห็นพัฒนาการและพลังแห่งการรังสรรค์ไอเดียใหม่ๆ ของดีไซเนอร์สเปน จนในปัจจุบันมีดีไซเนอร์จากดินแดนแห่งนี้หลายคนได้กลายเป็นแบรนด์ดังระดับโลกไปแล้ว ตัวอย่างดีไซเนอร์ชั้นนำและดีไซเนอร์ที่มาแรง อาทิ
?GATHA RUIZ DE LA PRADA, ANDR?S SARD?, DEVOTA Y LOMBA, FRANCIS MONTESINOS, JES?S DEL POZO, LYDIA DELGADO MIGUEL PALACIO ROBERTO TORRETTA, VICTORIO&LUCCHINO เป็นต้น

สำหรับตัวเลขด้านการตลาดนั้น ตลาดแฟชั่นของสเปนมีค่าราว 10 % ของมูลค่าตลาดรวมของสหภาพยุโรปเลยทีเดียว

ผ่านไปแล้วสำหรับมหกรรมการท่องเที่ยวนานาชาติซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองมาดริด ในระหว่างวันที่ 25-29 มกราคม มี 26 ประเทศได้เข้าร่วมจัดนิทรรศการ ประเทศไทยก็ร่วมงานด้วย โดยการจัดบูธขนาดใหญ่โชว์ นวดไทย อาหารไทย และการจัดดอกไม้ ได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานเป็นอย่างมาก

ในโซนของประเทศแถบเอเชียจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ อาทิ บูธของประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น ซึ่งงานนี้ได้ใช้หนังเรื่อง Memoirs of a Geisha ช่วยในการโปรโมตการท่องเที่ยวด้วย

ไม่น้อยหน้าสำหรับเจ้าภาพสเปน ได้จับจองพื้นที่นิทรรศการใหญ่สุด มากันทุกแคว้น นำเสนอในรูปแบบที่หลากหลายมากตามลักษณะภูมิประเทศของแต่ละแห่ง เพื่อจะบูมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งของประเทศ

Corte Ingles (คอร์เต้ อิงก์เลส) มีความหมายนัยเดียวกับคำว่า “ห้าง” ที่คนไทยเข้าใจกัน แต่ความจริงนั้นเป็นเพียงชื่อๆ หนึ่งของห้าง ที่เก่าแก่ของสเปน โดยก่อตั้งเมื่อปี 1934 และมีอยู่ทุกเมืองทั่วประเทศ ทำให้เข้าใจรวมๆ กันว่า ชื่อนี้หมายถึงห้างสรรพสินค้า

Corte Ingles จะอยู่ในจุดที่ดีที่สุดของเมืองนั้นๆ จะเป็นอาคารขนาดใหญ่ บรรจุสินค้าไว้ทุกรูปแบบ แต่ราคานั้นไม่ได้ตอบสนองลูกค้าทุกระดับ ฉะนั้นแม้จะเป็นที่รู้จัก แม้จะไม่มีคู่แข่ง แต่ผู้คนก็ไม่ได้หนาแน่นมากมาย เพราะราคาไม่ถูกเลย และอีกประการหนึ่งคนสเปนก็ยังไม่นิยมเดินห้างมากนัก

แต่อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของ Corte Ingles ได้เติบโตไปมาก มียอดขายกว่า 15,000 ล้านยูโร (750,000 ล้านบาท) จาก 14 บริษัทในเครือ ที่ปัจจุบันครอบคลุมไปถึงซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดกลางและขนาดใหญ่ การสื่อสาร คอมพิวเตอร์ ท่องเที่ยว ประกันภัย สำนักพิมพ์ และแฟชั่น

แม้ว่าอาจมีคู่แข่งเกิดขึ้นมาในอนาคต แต่ Corte Ingles ได้ก้าวไกลไปมากกว่าความเป็นห้างแล้ว ฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดที่ใครจะมาแข่ง หรือที่จะกลัวคู่แข่ง

ที่บริเวณจุดศูนย์กลางของกรุงมาดริด หรือที่รู้จักกันในชื่อ Puerta del sol (ปวยรต้า เดล ซอล) เป็นจุดเริ่มต้นของถนนทุกสาย หมายความว่า กม. 0 อยู่ตรงนี้นั่นเอง จะเป็นบริเวณที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาทั้งวันและคืน มีผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ เหมือนว่าจะมีเทศกาลอะไรๆ อยู่ทุกวัน แม้บางทีไม่มีอะไรเลย และเช่นเดียวกัน จะมีกลุ่มผู้ประท้วงให้เห็นทุกครั้งที่ได้ผ่านไปบริเวณนั้น ตั้งแต่ประท้วงย่อย ไปจนถึงประท้วงใหญ่

พื้นที่ตรงนี้จึงถูกเลือกไว้จัดงานสำคัญๆ ประจำปี โดยเฉพาะงานคริสต์มาสและงานปีใหม่ ในคืนวันที่ 31 ธันวาคม ทีวีทุกช่องก็จะมาปักหลักรายงานสดกันตรงนี้เพื่อ “เคานต์ดาวน์” 12 ครั้ง ใน 12 วินาทีสุดท้ายก่อนขึ้นปีใหม่ พร้อมๆ กับการกินองุ่น 12 ลูก

แม้จะไม่ได้เป็นพื้นที่สวยงามที่สุดของกรุงมาดริด แต่มันเป็นเรื่องของสัญลักษณ์ เพราะจุดกลางมีเพียงจุดเดียว

ใน Metro หรือรถไฟฟ้าใต้ดิน 12 สายของกรุงมาดริด นับเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีความยาวถึง 226.9 กิโลเมตร ในแต่ละวันมีผู้คนสัญจรไปมา 1.6 ล้านคน หรือปีละกว่า 600 ล้านคน ตัวเลขนี้หมายถึง สายตา 1.6 ล้านคู่ต้องมองไปยังมุมใดมุมหนึ่งของ Metro ในแต่ละวัน สำหรับนักโฆษณาแล้ว ตัวเลขอย่างนี้ย่อมเป็นที่ดึงดูดใจยิ่งนัก

สำหรับบางคนที่เคยเดินไปในจุดที่มีผู้คนสัญจรไปมาเยอะๆ ในกรุงเทพฯ หันสายตาไปทางไหนก็เจอแต่ป้ายโฆษณา ก็คงจะอดคิดไม่ได้ว่าในเมโทรมาดริดจะเจอสภาพเดียวกัน

ความเป็นจริงไม่เป็นอย่างนั้นเลย ที่นี่มีเพียงป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่ถูกจัดวางไว้เป็นสัดส่วนที่บริเวณสถานีและทางเดินเท่านั้น โดยจะมีการเปลี่ยนเนื้อหาโฆษณาสัปดาห์ละครั้ง ในตัวรถไม่มีป้ายโฆษณาเลย ในสถานีใหญ่ก็จะมีจอโปรเจกเตอร์ขนาดใหญ่และจอทีวีเพิ่มขึ้นมา ที่นำเสนอทั้งข่าวสารและโฆษณา แต่ในบางสถานีก็ไม่มีแผ่นป้ายโฆษณาเลย เป็นเพียงผนังเรียบๆ

สรุปได้ว่ามีโฆษณาแต่ “พอดี” ไม่หวังประโยชน์จากลูกค้า-ผู้โดยสาร จนเกินไป

เปิดตัวมาแล้วสำหรับผู้รายงานข่าวพยากรณ์อากาศแบบอัตโนมัติ หรือผู้ประกาศข่าวแอนิเมชั่น 3D ทางทีมงานผู้พัฒนาบอกว่า Sam เป็นผู้รายงานข่าวพยากรณ์อากาศแบบเสมือนคนแรกของโลก แซมถูกพัฒนาขึ้นมาโดย La Corporaci? Catalana de R?dio i Televisi? หรือองค์การวิทยุและโทรทัศน์ของแคว้นคาตาลุนญ่า ประเทศสเปน โดยความร่วมมือของสองมหาวิทยาลัย Universidad Pompeu Fabra และ Universidad Ramon Llull แซมเป็นผู้ชายวัยกลางคน ตาสีฟ้า ท่าทางใจดี แต่งตัวสุภาพ ใส่สูทผูกเนกไท เขามีชุดสูทอยู่หลายสีเพื่อปรับเข้ากับฉากแบบต่างๆ

แซมถูกพัฒนาขึ้นจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านแอนิเมชั่นและทีมโปรแกรมเมอร์ เป้าหมายของเขาอยู่ที่การเคลื่อนไหวและน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติ และที่สำคัญที่สุดคือ การทำงานแบบอัตโนมัติ แม้แต่ประโยคที่พูด ก็ประมวลผลมาจากฐานข้อมูลสภาพอากาศที่ถูกป้อนเข้าไปในแต่ละวัน แซมได้เริ่มทำงานจริงแล้วกับช่อง Canal+ เขาจะทำงานแบบอัตโนมัติตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากในทีวีแล้ว เขายังทำงานบนอินเทอร์เน็ตและบนโทรศัพท์มือถือด้วย รู้จักกับแซมเพิ่มเติมได้ที่ www.meteosam.com

เริ่มมาตั้งแต่ในช่วงต้นปี เดินมุมไหน ก็จะเจอ M มันจะอยู่ในทุกที่ มันแทรกมาในข้อความต่างๆ อาทิ comunicaMe, sigaMe, llamaMe besaMe seduceme, buscaMe นี่คือการทำ re-branding ของ Movistar บริษัทมือถือรายใหญ่ของสุดสเปน ในเครือ Telefonica ยักษ์ใหญ่ในวงการโทรคมนาคม แม้จะเป็นเจ้าของตลาดมานาน แต่ภาพลักษณ์ยังไม่ชัดเจน จากที่เคยเป็นรัฐวิสาหกิจมาก่อน ปัจจุบัน Movistar เป็นบริษัทมหาชน ที่มียอดขายถึง 4,000 ล้านยูโรต่อปี จากลูกค้า 81 ล้านคนใน 15 ประเทศ
พวกเขาให้คอนเซ็ปต์กับแบรนด์ใหม่ว่า Tecnologia Humanista คือเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารที่ให้ผู้คนได้ติดต่อกัน ที่ไหนก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ มันหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ใช้อักษร M เพียงตัวเดียวเป็นแบรนด์ M ที่มาจากคำว่า Movistar ก็ได้ หรือ Movil (มือถือ) ก็ได้ เขาต้องการให้มันสื่อถึง Innovacion (นวัตกรรม), Humanidad (เพื่อมนุษย์), Alegria (สนุกสนานบันเทิง), Claridad (เรียบง่ายแต่ชัดเจน), Liderazgo (ตอกย้ำความเป็นผู้นำ) จึงทำตัว M ออกมาตัวใหญ่ๆ สีโทนเขียว ฟ้า น้ำเงิน สดใส โค้งมน ไร้เหลี่ยม ไร้มุม ดูเหมือนมีชีวิต

ในช่วงครึ่งแรกของปี 2005 ยอดนักท่องเที่ยวของสเปนเพิ่มเป็น 5% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ถือว่าเป็นตัวเลขประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่ปี 1999 แค่เดือนมิถุนายนเดือนเดียว มีนักท่องเที่ยวเข้ามาถึง 5.2 ล้านคน รวมในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน มีจำนวนถึง 24 ล้านคน จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ยอดคาดการณ์นักท่องเที่ยวสิ้นปีสูงถึง 55 ล้านคน

ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น น้ำมันก็มีราคาสูงขึ้น ข่าวการวางระเบิดก็ยังมีอยู่ตลอด แต่ยอดนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้น ก็ตอบว่า เป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์กันในรายละเอียดต่อไป แต่ถ้าถามว่าประเทศสเปนมีอะไรที่เป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวเหล่านี้ ตอบได้เลยว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันหนึ่ง สิ่งนั้นก็คือดวงอาทิตย์ หรือว่าแสงแดดนั่นเอง จนคนยุโรปด้วยกันพูดกันติดปากในประโยคที่ว่า Espa?a vende el sol para vivir คือ สเปนขายดวงอาทิตย์เพื่อเลี้ยงชีพ

ช่วงนี้ดูเหมือนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเริ่มคึกคักอีกแล้วในเมืองไทย มีโครงการใหม่ๆ ผุดเต็มไปหมด ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่ในฉบับนี้เราจะมาดูกันเรื่องการดีไซน์บ้าน เท่าที่พบเห็นบ้านตามโครงการในเมืองไทย ส่วนใหญ่จะเป็นการดีไซน์แบบตะวันตกเกือบทั้งสิ้น แน่นอนว่าอาจจะมีการประยุกต์บ้าง แต่เค้าโครงและรูปทรงยังเป็นแบบตะวันตกอยู่ดี

หลายคนเคยได้ยินคำว่า บ้านทรงสเปน แต่ก่อนจะดูรูปแบบบ้านทรงสเปนกันจริงๆ ก็อยากจะเปิดเผยความจริงว่า คนสเปนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีบ้าน อย่างที่เราเข้าใจกัน ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านคู่หรือบ้านแฝด ส่วนใหญ่จะอยู่กันในเมืองบนตึกสูง 7-10 ชั้น ในนั้นก็แบ่งเป็นห้องชุดที่มี 2-3 ห้องนอน ที่เรียกกันติดปากว่า Piso ปิโซ่ และคำว่าบ้าน ในความหมายของพวกเขาก็คืออันนี้แหละ

ส่วนบ้านเดี่ยวอย่างที่เราเข้าใจกันนั้น จะเรียกกันว่า Chalet มักใช้เป็นบ้านพักตากอากาศ หรือเป็นบ้านพักอาศัยสำหรับคนรวยจริงๆ หรือไม่ก็เป็นเศรษฐีต่างชาติ เข้าใจว่าคงเป็นบ้านเดี่ยวแบบนี้อย่างที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ บ้านทรงสเปน

หน้าร้อนของประเทศสเปน แม้จะเป็นช่วงสั้นๆ เพียงสามเดือน แต่ก็มีสีสันไม่น้อย เรื่องราวของแฟชั่นหน้าร้อนเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสาวๆ สเปน ทุกคนใช้เวลาช่วงหน้าหนาวที่ผ่านมาในการปรับปรุงรูปร่างและเสริมสร้างบุคลิกภาพ การเข้าฟิตเนสทุกวันเป็นกิจกรรมที่นิยมกันมาก และรอหน้าร้อน ที่จะเป็นเสมือนเวทีกลางเพื่อจะแสดงผลงาน และความภูมิใจที่ได้อดทนทำมาตลอดฤดูหนาว

เวทีกลางที่พูดถึงก็คือ ถนนคนเดิน หรือที่เรียกว่า peat?n (เปอาทอล) ในฤดูร้อน กลางวันจะยาวกว่ากลางคืน โดยเฉพาะช่วงเวลาเย็นๆ ค่ำๆ จะเป็นช่วงเวลาที่มีบรรยากาศดีที่สุด peat?n จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

ที่นำมาเสนอนี้เป็นภาพแฟชั่นหน้าร้อนของบรรดาเหล่านักศึกษา บนถนนในเมืองซาลามังก้า ที่มีมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศสเปน (เป็นแฟชั่นจริงๆ ไม่ใช่ในหนังสือ หรือในตู้โชว์)