FutureTales Lab by MQDC – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Mon, 20 Sep 2021 15:33:22 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่อง 7 เมกะเทรนด์ ฉายภาพอนาคตกรุงเทพฯ ในปี 2050 อีก 30 ปี จะพัฒนาอย่างไรบ้าง? https://positioningmag.com/1352537 Mon, 20 Sep 2021 08:43:43 +0000 https://positioningmag.com/?p=1352537 ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ ร่วมมือกับศูนย์วิจัย Arup Foresight and Innovation ประเทศออสเตรเลีย ทำการศึกษาแนวโน้มเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ในอีก 30 ปีข้างหน้า หรือปี 2050 ที่เป็นตัวกำหนดอนาคตของความเป็นเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และเมืองใกล้เคียง หรือเรียกว่า Greater Bangkok ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางด้านทิศตะวันออกไป 150 กม.

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและวิสัยทัศน์อันหลากหลายที่จะเป็นแนวทางเปลี่ยนแปลงให้ Greater Bangkok พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ไปสู่เมืองที่มีน่าอยู่ ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ผู้อำนวยการบริหารฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab by MQDC) บอกว่า

“ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เปลี่ยนจากสังคมชนบท ที่มีอัตราการพัฒนาความเป็นเมืองต่ำกว่า 30% เพิ่มเป็นมากกว่า 50% อย่างในทุกวันนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ประชากรของกรุงเทพมหานครเพิ่มเป็น 2 เท่า จนกลายเป็นมหานครที่เต็มไปด้วยผู้คนมากกว่า 10.5 ล้านคน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสู่ความเป็นเมืองที่ขาดการวางแผนและการเกิดขึ้นของ COVID-19 นับเป็นเครื่องเตือนใจถึงความเป็นเมืองที่เปราะบางและส่งผลกระทบต่อประชาชน วิกฤตนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลต่อความเป็นเมือง

ยังมีปัจจัยบวกต่อการพัฒนา อาทิ เทคโนโลยีที่กำลังเฟื่องฟู ระบบพลังงานที่เปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียนและการขนส่งที่เริ่มใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ กำลังขยายขอบเขตใหม่ของการเชื่อมต่อทางสังคม ซึ่งล้วนเปลี่ยนแปลงและการขยายเมืองไปในทางที่ดีขึ้น” 

ดร.ภัณณิน สุมนะเศรษฐกุล ผู้อำนวยการวิจัยด้านการคาดการณ์อนาคต ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า Greater Bangkok จะเกิดการพัฒนาไปสู่ 7 เมกะเทรนด์ที่สำคัญ ดังนี้

1. ความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคน (Wellbeing for all)

ปัญหาสุขภาพของมนุษย์ และสิ่งแวดล้อมของเมืองที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วกำลังถาโถมใส่คนกรุงเทพฯ ความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะมลพิษทางอากาศ เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้คนประมาณ 1 ใน 4 และก่อให้เกิดโรคต่อเนื่อง จนทำให้มีผู้เสียชีวิตคิดเป็น 13 ล้านคนทั่วโลกต่อปี

จากผลสำรวจผู้บริโภคมากกว่า 15,000 คน พบว่า ประเด็นด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม จัดเป็นความกังวลอันดับ 1 และอันดับ 2 ตามลำดับ และสอดคล้องกับความเห็นของผู้บริโภค 3 ใน 5 ที่เชื่อว่า สุขภาพของพวกเขาได้รับผลกระทบจากปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว และสะท้อนในผลสำรวจของนักเรียนมัธยมศึกษาไทยมากกว่า 1,000 คน พบว่า 92% ของทั้งหมด เชื่อว่า ทุกชีวิตมีค่าที่จะรักษาและให้ความสำคัญการสร้างสมดุลระหว่างการใช้ชีวิตและการทำงาน เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีสำหรับทุกคน

2. ประเทศชาญฉลาด (Wise nation)

คนไทยมีอายุยืนยาวมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2025 การคาดการณ์อายุขัยของคน จะยังเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉลี่ย 72.6 ปี (เพศชาย) และ 78.1 ปี (เพศหญิง) และมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรไทยจะมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปีภายในปี 2050

ส่งผลให้อัตราการเติบโตเฉลี่ยของของ GDP ของประเทศไทยอาจลดลง 0.75% ในช่วง 30 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่ารายจ่ายด้านสวัสดิการสุขภาพของผู้สูงวัยไทย จะเพิ่มขึ้นเป็น 4 เท่าระหว่างปี 2019 – 2022  

ขณะเดียวกันยังส่งผลให้เกิดโอกาสแรงงานสูงวัยเช่นกัน โดยเฉพาะการส่งต่อประสบการณ์ให้กับคนรุ่นใหม่ จากการวิจัยพบว่าคนงานอายุมากกว่ามีผลงานดีกว่าคนงานคนรุ่นใหม่ในงานด้าน Soft Skills (ทักษะการจัดการ ทักษะทางสังคม และความภักดี) ซึ่งเราสามารถใช้ประโยชน์จากส่วนนี้เพื่อสร้างการเรียนรู้ตลอดชีวิต นำไปสู่ประเทศชาญฉลาด

3. การครอบงำด้วยข้อมูล (Data dominance)

Internet of Thing (IoT) ได้ส่งผลให้ระบบของเมืองอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัทด้านเทคโนโลยีขนาดใหญ่ไม่กี่ราย โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว โดย 7 ใน 10 บริษัทชั้นนำทั่วโลกตามมูลค่าตลาดคือบริษัทด้านเทคโนโลยี

เช่นเดียวกับ 7 ใน 10 อันดับแรกของผู้ลงทุนด้านการวิจัย และพัฒนามากที่สุดก็คือบริษัทด้านเทคโนโลยีเช่นกัน สะท้อนว่า ภาคเทคโนโลยีใช้จ่ายด้านการวิจัย และพัฒนามากกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาเมืองอัจฉริยะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตได้

โดย McKinsey and Co ประมาณการแอปพลิเคชันที่นำมาใช้พัฒนาเมืองอัจฉริยะในอาเซียนว่า สามารถลดการแพร่มลพิษได้ 260-270 กิโลตัน หลีกเลี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ 5,000 คน สร้างงานใหม่ 1.2-1.5 ล้านตำแหน่ง และประหยัดค่าครองชีพได้ 9-16 พันล้านดอลลาร์

4. ความโปร่งใสในทุกแพลตฟอร์ม (Platform transparency)

การลุกขึ้นมาเรียกร้องของประชาชนไทย และทั่วโลกเพิ่มขึ้น 11.5% ระหว่างปี 2009-2019 ทำให้เกิดสาธารณูปโภคพื้นฐานระบบดิจิทัลที่สามารถส่งเสริมการมีส่วนร่วม และการศึกษาภาครัฐมากขึ้น อันดับดัชนีความพร้อมทางด้านเครือข่ายของไทยเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จนอยู่ที่อันดับ 56 ในปี 2019 จากอันดับ 67 ในปี 2015

การเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และการใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์เป็นจุดแข็งที่สำคัญของคนที่อยู่อาศัยใน Greater Bangkok ซึ่งจะช่วยผลักดันให้นโยบายและการวางแผน จัดทำขึ้นสอดคล้องกับความต้องการของประชนชนมากขึ้น

5. จากขยะสู่อาชีพ (Waste to jobs)

ภายในปี 2025 คาดการณ์กันว่า ประเทศไทยจะมีขยะพลาสติกที่ขาดการจัดการกว่า 3.16% ของพลาสติกทั่วโลก ถือเป็นประเทศที่่ก่อมลภาวะพลาสติกมากเป็นอันดับ 6 ของโลก ในทางตรงกันข้ามเทคโนโลยีที่เข้ามาในหลากหลายอุตสาหกรรมนี้ จะสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนและงานใหม่ๆ

สถาบันวิจัยเศรษฐกิจอาเซียน และเอเชียตะวันออกพบว่า การนำหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ อาจส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตได้มากถึง 324 พันล้านดอลลาร์ และสร้างงานในเมืองใหญ่ต่างๆ ของเอเชียได้มากกว่า 1.5 ล้านตำแหน่ง ภายในปี 2042 รวมทั้งการแปรรูปพลาสติกให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่และการใช้ซ้ำ พลิกสถานการณ์ของไทยกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ได้

6. วันหยุดเพื่อสุขภาพ (Health holidays)

โดยในช่วงผ่านมา ประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างหนักหน่วง ได้ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศกลายเป็นภาคที่มีส่วนต่อการสร้างการเติบโตของ GDP ให้กับประเทศ เห็นได้จากเฉพาะการท่องเที่ยวภาคเดียวมีส่วนต่อการเติบโตของ GDP คิดเป็น 21.6% ของ GDP ทั้งประเทศในปี 2018

และได้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางชั้นนำของโลกสำหรับคนวัยเกษียณ และนักท่องเที่ยวที่แสวงหาการดูแลสุขภาพ ผ่านอุตสาหกรรมความเป็นอยู่ที่และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-Wellbeing Industry) จนเป็นจุดหมายวันหยุดเพื่อสุขภาพ

7. ความกลมกลืนของชุมชนเมือง (Village harmony)

คนไทยสูงวัยกำลังต่อสู้กับค่าครองชีพ และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มสูงขึ้น และเริ่มกังวลกับปัญหา “เมืองใหญ่” โดยเฉพาะปัญหามลพิษทางอากาศเพิ่มขึ้นจากความหนาแน่นของประชากร จากการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้ พบความสัมพันธ์ของการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจ โดยมีแนวโน้มว่า ความเป็นอยู่ที่ดีระหว่างประชากรในชนบทและในเมืองจะแตกต่างกันมาก ดังนั้น

จึงมีคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ที่แสวงหาการใช้ชีวิตในหมู่บ้านที่สงบสุข โดยให้คุณค่ากับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของพวกเขามากขึ้น การนำความก้าวหน้าในเมืองไปสู่ชนบท ด้วยการขนส่งทางไกลราคาถูก จะช่วยเปิดทางให้การพัฒนาเศรษฐกิจกระจายออกไป จนสามารถให้ความน่าอยู่ที่มากขึ้น โดยมีปัญหาความแออัดน้อยกว่า ผ่านการขนส่งสาธารณะที่ราคาถูกและการใช้ยานพาหนะร่วมกัน (Shared Mobility) ที่จะเติบโตควบคู่ค่านิยมในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสุขภาพส่วนบุคคล

ข้อมูลอ้างอิง : งานวิจัย Megatrends for Urbanisation of Greater Bangkok

]]>
1352537
เปิด 4 เทรนด์อนาคตแห่ง “การอยู่อาศัย” จากงานวิจัยถ่ายทอดแนวคิดสู่โครงการอสังหาฯ ของ MQDC ภายใต้แนวทาง ‘For All Well-Being’ https://positioningmag.com/1288003 Thu, 16 Jul 2020 10:00:08 +0000 https://positioningmag.com/?p=1288003

FutureTales Lab และ RISC สองศูนย์วิจัยในเครือ MQDC วิจัยพบ 4 เทรนด์การอยู่อาศัยที่สำคัญและส่งผลต่ออสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ความต้องการพื้นที่มากกว่าความสะดวก, เศรษฐกิจติดบ้าน, ประชากรเพื่อโลกอนาคต และ แนวคิดผู้สูงวัยในถิ่นที่อยู่อาศัย สู่การออกแบบที่ตอบโจทย์ในทุกโครงการที่อยู่อาศัยของ MQDC พร้อมเปิดอาณาจักร “เดอะ ฟอเรสเทียส์” (THE FORESTIAS) โครงการบนถนนบางนา กม.7สร้างขึ้นเพื่อความยั่งยืน

“วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า บริษัทได้จัดตั้งศูนย์วิจัยขึ้นมา 2 แห่ง เพื่อศึกษาพฤติกรรม ความต้องการ และการตัดสินใจเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยในระยะยาวของผู้บริโภค สำหรับนำไปเป็นฐานคิดก่อนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ตามแนวทาง ‘For All Well-Being’ สร้างคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีให้กับสรรพสิ่งบนโลกอย่างยั่งยืน

โดยศูนย์วิจัย 2 แห่งดังกล่าว ได้แก่ ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ (FutureTales Lab) ทำการวิจัยเกี่ยวกับเทรนด์อนาคตเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต และนำข้อมูลที่ได้ซึ่งเป็นประโยชน์เผยแพร่สู่สาธารณะ ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือ ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Research & Innovation for Sustainability Center – RISC) ทำงานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่สร้างสุขภาวะที่ดีให้กับลูกค้า ตามคอนเซ็ปต์ For All Well-Being เช่น วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสุขภาวะและสิ่งแวดล้อม

4 เทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคต

ดร.การดี เลียวไพโรจน์ หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษา ฟิวเจอร์เทลส์ แล็บ บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (FutureTales Lab by MQDC) เปิดเผยถึงผลวิจัยของ FutureTales Lab พบว่า แนวความคิดของผู้บริโภคในการตัดสินใจซื้อบ้านในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้

1) Prioritizing Space Over Convenience คนเราจะใส่ใจกับพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น มากกว่าความสะดวกในการเดินทาง เพราะสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะส่งผลต่อการทำงานในอนาคต คนเราสามารถทำงานที่บ้านได้ ดังนั้น การตัดสินใจเลือกที่อยู่อาศัยจึงไม่จำเป็นต้องอยู่กลางใจเมือง อาจจะเปลี่ยนจากการเลือกคอนโดมิเนียมขนาดเล็กใกล้รถไฟฟ้า มาเป็นบ้านนอกเมืองที่มีพื้นที่มากขึ้น มีสวนหย่อม ไปจนถึงการเลือกเปลี่ยนบ้านพักตากอากาศมาเป็นที่อยู่อาศัยประจำ

2) Everything at Home หรือ เศรษฐกิจติดบ้าน จากปัจจัยเดียวกันคือ ‘โรคระบาด’ ทำให้ผู้คนเคยชินกับการ Work From Home และทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน ความเคยชินนี้ส่งผลในทางเดียวกับข้อแรกคือคนต้องการพื้นที่ในบ้านสูงขึ้น แม้แต่คอนโดฯ ก็อาจจะเน้นให้มีขนาดใหญ่ขึ้นหรือมีพื้นที่ส่วนกลางเพียงพอ สามารถทำกิจกรรมบางอย่างได้เหมาะสม เช่น ทำอาหาร ออกกำลังกาย

3) Citizen of The Future ประชากรกลุ่มเจนเนอเรชัน Z (ผู้ที่เกิดระหว่างปี 1997-2012) จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลกับวิถีของโลก ลักษณะสำคัญของประชากรกลุ่มนี้คือ ใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีตลอดเวลา และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ต้องการช่วยปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ ดังนั้น คนกลุ่มเจนฯ Z จะนิยมผลิตภัณฑ์ที่ทำให้สิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ดีขึ้น

4) Age-In-Place ผู้สูงวัยในถิ่นที่อยู่อาศัย นอกจากมีประชากรเจนฯ ใหม่แล้ว ประชากรผู้สูงวัยก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น และวัตถุประสงค์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัยคือต้องการการดูแลทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพอารมณ์ ดังนั้นต้องมีการช่วยเหลือดูแลที่เหมาะสมตามวัย และได้อยู่ร่วมกับครอบครัว เพื่อน และชุมชนที่จะเป็นรากฐานทำให้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ

จากเทรนด์การอยู่อาศัยเหล่านี้ เชื่อมโยงมาสู่การสร้างสรรค์เทคโนโลยีให้ตอบโจทย์ นำโดย “รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต” หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ยกตัวอย่างเทรนด์การดูแลสิ่งแวดล้อมของโลกนั้น RISC ได้พัฒนาการออกแบบโครงการเพื่อให้ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่าที่สุด เป็นที่มาของ MQDC Standard การออกแบบที่ช่วยป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมนุษย์ในระยะยาว โดยหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุบางอย่างอย่างเด็ดขาดเพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการออกแบบก่อสร้างตามหลัก Sustainovation

หรืออีกตัวอย่างหนึ่งคือการดูแลเรื่องคุณภาพอากาศที่มีผลต่อสุขภาพมนุษย์ ทำให้ทุกโครงการของ MQDC ตั้งแต่ปี 2561 จะมีการติดตั้งเครื่อง ERV หรือ Energy Recovery Ventilation ช่วยถ่ายเทหมุนเวียนอากาศดีเข้ามาในที่อยู่อาศัยและเพิ่มปริมาณออกซิเจน ซึ่งเมื่อเกิดวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ก็สามารถติดตั้งแผ่นกรอง PM 2.5 เพิ่มเข้าไปได้

นำไปใช้ในทุกโครงการของ MQDC

วิสิษฐ์กล่าวต่อว่า จากการค้นคว้าของศูนย์วิจัยในเครือ MQDC ทำให้บริษัทสามารถนำแนวคิดเหล่านี้ไปพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” (THE FORESTIAS) โดยโครงการนี้เป็นโครงการที่มีป่าธรรมชาติ 30 ไร่อยู่ภายใน พร้อมพื้นที่สีเขียวปกคลุมมากกว่า 70% ของโครงการ ช่วยลดความเครียดและสร้างสุขภาวะที่ดี

เดอะ ฟอเรสเทียส์ยังมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม ทั้งคอนโดฯ วิสซ์ดอม (Whizdom) สำหรับคนวัยทำงาน บ้านเดี่ยวแบบคลัสเตอร์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ (Mulberry Grove) และคอนโดฯ ดิ แอสเพน ทรี (The Aspen Tree) ที่รองรับผู้สูงวัยได้ตลอดชีวิต

โปรเจ็กต์นี้ไม่ได้มีเพียงแต่ MQDC เท่านั้น บริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกอีกหลายรายในการพัฒนาเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ ซิกส์เซนส์ (Six Senses) แบรนด์ผู้เชี่ยวชาญที่พักระยะสั้นและระยะยาว F & P (Thailand) เป็นที่ปรึกษาและร่วมออกแบบโครงการ ITEC Entertainment ผู้ออกแบบไลฟ์สไตล์ด้านสันทนาการและประสบการณ์เพื่อผู้อยู่อาศัย Atelier Ten ร่วมวางแผนการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน รวมถึง Huawei ซึ่งจะช่วยสร้างแพลตฟอร์มสมาร์ท ซิตี้ให้เกิดขึ้นบนโครงการนี้

ปัจจุบัน MQDC มีการพัฒนาโครงการไปแล้ว 24 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3 แสนล้านบาท มีโครงการที่สร้างเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์แล้ว เช่น แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม และ เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ตลอดจนคอนโดฯ แบรนด์วิสซ์ดอมอีกหลายทำเล นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ ของบริษัท อาทิ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว, วิสซ์ดอม สเตชัน รัชดา-ท่าพระ, วิสซ์ดอม คอนเนค สุขุมวิท, วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์ สุขุมวิท, วิสซ์ดอม อินสปาย สุขุมวิท ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและระหว่างขาย ได้แก่ เดอะ ฟอเรสเทียส์ , เดอะ สแตรนด์ และมัลเบอร์รี่ โกรฟ สุขุมวิท พร้อมกับโครงการอีก 3-5 โครงการที่อยู่ระหว่างศึกษา

แต่ไม่ว่าจะเป็นโครงการไหน บริษัทจะยังคงคอนเซ็ปต์ ‘For All Well-Being’ เสมอ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยมีสุขภาพกายใจที่ดี โดยเฉพาะในโลกหลัง COVID-19 เช่นนี้

]]>
1288003