โรงเรียนกวดวิชา “วาเซดะ” ในญี่ปุ่น เผยแพร่โฆษณาที่เรียกน้ำตาจากบรรดาพ่อแม่ โดยเตือนสติว่า พฤติกรรมแปลกๆของลูกน้อยอาจคือความฝันอันยิ่งใหญ่ของเขา

เนื้อหาของโฆษณาบอกเล่าเรื่องราวของคุณแม่ของเด็กชายทากาชิ ซึ่งกังวลกับพฤติกรรมแปลกๆ ของลูกชายในวัยเรียนชั้นประถม 3 เป็นต้นว่า ชอบซ่อนตัวในที่แคบๆ, ปีนป่ายและกระโดดลงจากที่สูง, เหม่อมองท้องฟ้า, เก็บทรายใส่ในกระเป๋ากางเกง, กินของของคนอื่นโดยไม่บอกกล่าว,  เอาหมวกกันน็อคของแม่ไปใช้ , ชอบอยู่ในที่มืดๆ

พฤติกรรมของทากาชิ ทำให้คนเป็นแม่กังวลมากว่าลูกชายจะผิดแปลกจากเด็กทั่วๆไป และไม่เข้าใจว่าทำไมลูกชายจึงทำเรื่องแปลกๆเหล่านี้ จนกระทั่งวันหนึ่ง เด็กชายทากาชิ เดินมาบอกกับแม่ว่า “ผมจะไปโรงเรียนกวดวิชา เพราะอยากเป็นนักบินอวกาศ”

ความฝันอันยิ่งใหญ่ของลูกชายตัวเล็ก ทำให้คุณแม่เริ่มเข้าใจว่าทำไมลูกชายถึงมีพฤติกรรมแปลกๆในช่วงหลังของโฆษณา ได้เฉลยว่าทุกๆพฤติกรรมแปลกของทากาชิคิ ความจริงแล้วสะท้อนความฝันอันยิ่งใหญ่ของเขา
      
ทากาชิวาดฝันว่าตู้มืดคือห้องของนักของนักบินอวกาศ, เขาสนใจดวงจันทร์มากกว่าลูกเบสบอล, สนใจดวงดาวมากกว่าการบ้าน, ทรายที่เก็บใส่ในกระเป๋าเป็นทรายจากนอกโลก, เครื่องดื่มของพี่สาวที่แอบกินเป็นเหมือนอาหารของนักบินอวกาศ , หมวกกันน็อคของแม่เป็นเหมือนหมวกของนักบินอวกาศ, ก้าวกระโดดเล็กๆจากบันไดไม่กี่ขั้น แต่เป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่ของเด็กน้อย

เดิมทีคุณแม่เพียงแต่ต้องการให้ลูกชายเป็นเหมือนเด็กทั่วๆไป ที่ทำการบ้าน, เล่นกีฬา หรือทำตัวเหมือนเด็กคนอื่นๆ หากแต่เมื่อได้รับรู้ความฝันอันยิ่งใหญ่ของลูกชาย ที่คุณแม่ถึงแม้จะไม่เข้าใจ แต่ก็พร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ เหมือนกับที่โฆษณาจบท้ายด้วยข้อความว่า “หากมีความมุ่งมั่นแล้ว โลกก็เปลี่ยนแปลงได้”.

เอเอฟพี/รอยเตอร์ – ไฮเนเก้น บริษัทผู้ผลิตเบียร์ยักษ์ใหญ่จากเนเธอร์แลนด์ ประกาศเมื่อวันจันทร์ (13) ว่า บริษัทได้เปิดโรงงานผลิตมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ในพม่า ในความมุ่งหวังที่จะเข้ามาช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดที่เติบโตสูงแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชีย

       
“ไฮเนเก้นได้เปิดโรงงานผลิตมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์ ในพม่า ที่มีกำลังการผลิต 33 ล้านลิตรต่อปี และจะจ้างงานคนท้องถิ่นมากกว่า 200 ตำแหน่ง การเปิดโรงงานผลิตแห่งใหม่เป็นการขยายการเข้าถึงของบริษัทต่อตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูง” ส่วนหนึ่งในคำแถลงของบริษัท ระบุ
       
พม่า เพิ่งหลุดพ้นจากการโดดเดี่ยวประเทศนานหลายทศวรรษจากการปกครองของรัฐบาลเผด็จการทหาร และเป็นหนึ่งในประเทศที่มีจำนวนประชากรมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยจำนวนมากกว่า 53 ล้านคน
       
บริษัทไฮเนเก้น อ้างรายงานของธนาคารพัฒนาเอเชีย ที่ระบุว่า พม่าในเวลานี้อยู่ในระหว่างการขยายตัวของชุมชนเมือง และการขยายตัวของฐานผู้บริโภคชนชั้นกลางของประเทศอย่างรวดเร็ว
       
ไฮเนเก้น ระบุว่า อัตราการเติบโตของจีดีพีของพม่าอยู่ที่ 7.7% ในปี 2557 นับจนถึงสิ้นสุดเดือนมี.ค.2558 และมีเป้าหมายที่จะขยายเพิ่มที่ 8.3% ในปีงบประมาณที่จะถึง
       
“จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และจำนวนประชากรเหล่านี้ได้ช่วยผลักดันการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติถึง 8,010 ล้านดอลลาร์ ในปี 2558” บริษัทไฮเนเก้นระบุ
       
โรงผลิตเบียร์แห่งใหม่ตั้งอยู่ที่เมืองมอบี ชานนครย่างกุ้ง และจะผลิตเบียร์ไฮเนเก้นรองรับตลาดระดับพรีเมียม และเบียร์ท้องถิ่นแบรนด์ใหม่ชื่อ “Regal Seven” ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับตลาดพม่า
       
Regal Seven ของไฮเนเก้น ถูกกำหนดให้เป็นคู่แข่งกับเบียร์ Tuborg และ Yoma ของบริษัทคาร์สเบิร์ก ที่เป็นบริษัทผู้ผลิตเบียร์ต่างชาติรายแรกที่เข้ามาตั้งกิจการในพม่า หลังพม่าหลุดพ้นจากการปกครองของรัฐบาลทหาร
       
อุตสาหกรรมเบียร์ของพม่าถูกครอบครองโดยบริษัท Myanmar Brewery ที่รัฐให้การสนับสนุน ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดของประเทศถึง 80% และอัตราการบริโภคเบียร์ของพม่าถือว่าอยู่ในกลุ่มต่ำสุดของภูมิภาคเอเชีย ที่มีอัตราการบริโภคอยู่ที่ 3.2 ลิตรต่อคน ในปี 2556 ตามข้อมูลของบริษัทวิจัย Euromonitor International ซึ่งต่ำกว่าอัตราการบริโภคในประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย ที่ 31 ลิตรต่อคน
       
แต่การใช้จ่ายของผู้บริโภคคาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นตามการปฏิรูปเศรษฐกิจ ที่ผู้ผลิตเบียร์ต่างชาติหวังว่าชาวพม่าจะต้องการบริโภคเบียร์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแบรนด์ต่างชาติเช่นนี้ Euromonitor ยังคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดเบียร์ของพม่าจะเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ที่ 675 ดอลลาร์ ในระยะเวลาอีก 3 ปี จาก 375 ล้านดอลลาร์ในปีนี้
       
บริษัทไฮเนเก้น เป็นผู้ผลิตเบียร์อันดับ 1 ของยุโรป และเป็นผู้ผลิตรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก โดยผลิต และจำหน่ายเบียร์ และไซเดอร์มากกว่า 200 แบรนด์ และมีอัตราการจ้างพนักงานเกือบ 70,000 คนทั่วโลก.
       

ไฮเนเก้นตั้งโรงงานบุกตลาดเบียร์พม่า
Reuters/Soe Zeya Tun

ที่มา : http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9580000079401
 

 บริษัทนินเทนโดออกแถลงการณ์แจ้งข่าวว่าประธานคนปัจจุบัน “ซาโตรุ อิวาตะ” ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัย 55 ปี สาเหตุจากเนื้องอกบริเวณท่อน้ำดี
      
เอกสารแจ้งข่าวระบุว่าประธานอิวาตะได้จากไปเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม โดยทางบริษัทจะแต่งตั้ง “เกนโย ทาเคดะ” และ “ชิเงรุ มิยาโมโตะ” ผู้อำนวยการอาวุโสสองคนขึ้นมาทำหน้าที่เป็นตัวแทนก่อนในขณะนี้
      
ซาโตรุ อิวาตะเกิดเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 1959 ในเมืองซัปโปโรประเทศญี่ปุ่น โดยเขาได้แสดงความสนใจด้านการพัฒนาวีดีโอเกมตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมปลาย และหลังจบจากมหาวิทยาลัยก็เข้าทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์ที่บริษัท HAL Laboratory ผู้ทำหน้าที่สนับสนุนพัฒนาเกมให้กับนินเทนโดโดยเฉพาะ
      
ในปี 2000 อิวาตะได้เข้าร่วมบริษัทนินเทนโดในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวางแผน จนในปี 2002 อดีตประธานนินเทนโด “ฮิโรชิ ยามาอุจิ” ก็ได้ประกาศเกษียนตนเองและเลือกอิวาตะขึ้นมาสืบทอดตำแหน่งต่อจนถึงปัจจุบัน โดยในปี 2013 เขายังได้รับตำแหน่งซีอีโอของนินเทนโดสาขาอเมริกาเพิ่มอีกด้วย
      
ผลงานการสร้างวีดีโอเกมที่เด่นชัดของอิวาตะก็ได้แก่เกมแอคชัน “บอลลูนไฟท์” อาร์พีจีซีรีส์ “มาเธอร์” และยังมีส่วนร่วมอย่างมากในการให้กำเนิดแฟรนไชส์ “โปเกมอน” ขึ้นมา โดยเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์อัจฉริยะคนหนึ่งที่เคยกอบกู้หลายโครงการที่ประสบปัญหาระหว่างพัฒนาให้กลับมาวางจำหน่ายได้
      
สำหรับด้านฮาร์ดแวร์ อิวาตะก็เป็นผู้ผลักดันเครื่องพกพา NDS ที่มาพร้อมแนวคิดใหม่ใช้สองหน้าจอแบบสัมผัสได้ และเครื่องคอนโซล Wii กับจอยรีโมทระบบจับการเคลื่อนไหว กลายเป็นสองแพลตฟอร์มที่ทำสถิติขายดีที่สุดตลอดกาลของนินเทนโดในแต่ละประเภท
      
นอกจากนี้ อิวาตะยังเป็นผู้ริเริ่มรายการ “นินเทนโดไดเรคต์” ลงไปนำเสนอข่าวสารผลงานใหม่ถึงผู้เล่นด้วยตนเองและเป็นรูปแบบที่ทางค่ายใช้มาจนถึงปัจจุบัน แถมยังทำคอลัมน์ “อิวาตะอาสค์” สัมภาษณ์เหล่านักพัฒนาเกมเผยแพร่ลงเว็บไซต์อีกด้วย
      
ในปี 2014 ทางนินเทนโดได้แจ้งข่าวว่าอิวาตะจะไม่เข้าร่วมงาน E3 เนื่องจากปัญหาสุขภาพ จนในภายหลังก็เปิดเผยมาว่าเขาต้องเข้ารับการผ่าตัดรักษาเนื้องอกในท่อน้ำดี และกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตในที่สุด
      
อิวาตะเคยกล่าวไว้ในงาน GDC 2005 ว่า “บนนามบัตร ผมเป็นประธานบริษัท ในความคิด ผมคือนักพัฒนาเกม แต่ในหัวใจ ผมคือเกมเมอร์”
 

โตโยต้าสร้างสีสันในตลาดบ้านตัวเอง เปิดตัวมินิแวนไซส์เล็กรุ่นใหม่ที่ชื่อว่าเซียนตา เพื่อเป็นคู่ปรับโดยตรงของฮอนด้า ฟรีด โดยนำเสนอความอเนกประสงค์แบบ 7 ที่นั่งบนตัวถังที่พัฒนามาจากรถยนต์ระดับซับคอมแพ็กต์

สำหรับเครื่องยนต์ที่มีขายในญี่ปุ่นจะมีทั้งเบนซินและไฮบริด โดยอิงพื้นฐานของเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,500 ซีซี ซึ่งแบบแรกเป็นรหัส 2NR-FKE จะมีกำลังอยู่ที่ 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.9 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที มีขายเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้า มาพร้อมกับระบบ VVT-iE และ Auto Strat&Stop ซึ่งเครื่องยนต์จะดับเมื่อจอดติดอยู่กับที่ และจะกลับมาสตาร์ทอีกครั้งเมื่อต้องการออกตัว
      
 แต่ถ้าเป็นรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อจะเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ 1NZ-FE ที่มีกำลังสูงสุด 103 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 13.5 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบ/นาที ทั้ง 2 รุ่นนี้ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT รุ่นใหม่ Super CVT-i

ส่วนไฮบริดจะเป็นเครื่องยนต์ 1NZ-FXE ที่มีกำลัง 74 แรงม้า ที่ 4,800 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 11.3 กก-ม. ที่ 3,600-4,400 รอบ/นาที จับคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลัง 61 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 17.2 กก.-ม. ให้ความประหยัดในระดับ 27.2 กิโลเมตร/ลิตร ตามการทดสอบในโหมดใหม่ JC08
      
 ในแง่ของมิติตัวถัง จะมากับตัวถังทรง 5 ประตู ซึ่งประตูบานหลังสามารถสไลด์ออกทางด้านหลัง พื้นห้องโดยสารสูงจากพื้นถนนเพียง 330 มิลลิเมตร เพื่อความสะดวกในการขึ้น-ลงจากห้องโดยสาร โดยตัวถังมีความยาว 4,235 มิลลิเมตร กว้าง 1,695 มิลลิเมตร และสูง 1,675 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อค่อนข้างยาวเมื่อดูจากไซส์ของตัวรถที่พัฒนามาจาก B-Car โดยมีความยาวถึง 2,750 มิลลิเมตร

สำหรับรุ่นที่ทำตลาดจะมีให้เลือกทั้งแบบ 5, 6 และ 7 ที่นั่ง โดยเมื่อพับเบาะแถวที่ 3 ลง ห้องโดยสารจะสามารถรองรับกับสัมภาระที่มีความยาวในระดับ 1,430 มิลลิเมตรได้     
โตโยต้าส่งเซียนตาวางขายในญี่ปุ่นแล้ว โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1,689,790 เยน หรือประมาณ 473,000 บาท