Health & Wellness – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 09 Dec 2022 04:23:32 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 “The Aspen Tree” ร่วม “สถาบันปัญญาภิวัฒน์” เปิดอบรม “นักบริบาล” ผู้ดูแล “วัยอิสระ” ระดับโลก https://positioningmag.com/1411573 Fri, 09 Dec 2022 10:00:22 +0000 https://positioningmag.com/?p=1411573

โครงการ “The Aspen Tree The Forestias” ผู้ดำเนินธุรกิจดูแลวัยอิสระแบบครบวงจร จับมือ “สถาบันปัญญาภิวัฒน์” เปิดหลักสูตร “Care Angel Program” เทรนนิ่ง “นักบริบาล” ร่วมพัฒนาหลักสูตรโดย “Baycrest” ผู้นำการดูแลวัยอิสระ ด้วยมาตรฐานระดับโลก เพื่อสร้างบุคลากรคุณภาพเข้ามาดูแลและให้การบริการ “วัยอิสระ” ภายในโครงการ The Aspen Tree The Forestias

ภายในโครงการเมืองในป่า The Forestias (เดอะ ฟอเรสเทียส์) บนพื้นที่ 398 ไร่ ริมถนนบางนา-ตราด เป็นที่ตั้งของโครงการดูแลวัยอิสระ แบบครบวงจร “The Aspen Tree The Forestias ” (ดิ แอสเพน ทรี เดอะ ฟอเรสเทียส์) พัฒนาโดย MQDC บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โครงการนี้มีเป้าหมายให้ผู้อยู่อาศัย สามารถใช้ชีวิตในโครงการได้อย่างอิสระและปลอดภัย แวดล้อมด้วยสังคมและธรรมชาติที่สมดุล และมีการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร

เป็นที่มาให้เกิดความร่วมมือระหว่าง The Aspen Tree The Forestias สถาบันปัญญาภิวัฒน์ และ Baycrest ประเทศแคนาดา เพื่อเปิดหลักสูตรการฝึกอบรมเพื่อสร้างบุคลากร นักบริบาล ที่ได้มาตรฐานระดับโลก เตรียมเข้ามาดูแลและบริการผู้พักอาศัยในโครงการ The Aspen Tree The Forestias ในอนาคต

 

นางสาว เฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการ โครงการ The Aspen Tree The Forestias กล่าวว่า โครงการมีเป้าหมายเป็นผู้นำอันดับต้นๆ ทั้งในไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในด้านการให้บริการดูแล “วัยอิสระ” แบบ Holistic Lifetime Care จึงมีการจับมือกับ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (PIM) และ Baycrest (เบย์เครสต์) ผู้นำระดับโลกในด้านการดูแลสุขภาพ ที่พักอาศัย งานวิจัย นวัตกรรม และสุขภาวะสมองสำหรับวัยอิสระจากประเทศแคนาดา เพื่อเปิดตัวหลักสูตร Care Angel Program ขึ้น

หลักสูตรดังกล่าว จะเปิดในระดับประกาศนียบัตรการบริการสุขภาพและการบริบาลขั้นสูง เพื่อสร้างบุคลากรที่ให้บริการได้เหนือระดับมาร่วมงานใน The Aspen Tree The Forestias

มิส เฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการ โครงการ The Aspen Tree The Forestias

“Care Angel Program เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ ดิ แอสเพน ทรี ไปยังเป้าหมายในการเป็นผู้นำด้าน Holistic Lifetime Care ระดับประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อให้ลูกบ้านของโครงการ The Aspen Tree มั่นใจได้ว่าจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ไปจนถึงการมองเห็นคุณค่าของชีวิตอีกด้วย” เฮ จูน พาร์ค กล่าว

ด้าน Dr. Anna Ballon รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท Baycrest Global Solutions กล่าวว่า การผนึกกำลังกันครั้งนี้ของทั้งสามหน่วยงาน จะช่วยให้เกิดการผลิตบุคลากร ‘Care Angel’ ที่มีความสามารถ เปิดโอกาสด้านการจ้างงาน และพัฒนาการบริการบริบาลวัยอิสระในอนาคตให้ดียิ่งขึ้น

Dr. Ballon บอกด้วยว่า หลักสูตรนี้ทาง PIM มีการทำงานร่วมกับ Baycrest อย่างจริงจังเพื่อทำให้หลักสูตรครอบคลุมทุกความต้องการของผู้ใช้บริการ ผลิตบุคลากรที่มีทักษะจำเป็นได้อย่างครบวงจร

Dr.Anna Ballon รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท Baycrest Global Solutions

ขณะที่ “ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิภาดา คุณาวิกติกุล” รองอธิการบดี ฝ่ายวิทยาศาสตร์สุขภาพ และรักษาการคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ กล่าวเสริมว่า ในปัจจุบัน หลายประเทศมีการเพิ่มขึ้นของประชากรกลุ่ม “วัยอิสระ” อย่างรวดเร็ว ปัจจัยหลักมาจากผู้คนมีอายุยืนยาวขึ้น จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองว่าต่อไประบบเศรษฐกิจทั่วโลกจะถูกขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจวัยอิสระ (Silver Economy)

ดังนั้น ภาคบริการจึงต้องอาศัยความเข้าใจพฤติกรรมของวัยดังกล่าวในด้านต่างๆ เช่น ด้านอาหาร การท่องเที่ยว ด้านการใช้จ่าย Health & Wellness และอื่นๆ รวมถึงสถาบันการศึกษาเองก็จะต้องเร่งขานรับ สร้างบุคลากรตอบรับกับความต้องการของเศรษฐกิจวัยอิสระที่จะยิ่งทวีความสำคัญขึ้นในอนาคต

“ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.วิภาดา คุณาวิกติกุล” รองอธิการบดี ฝ่ายวิทยาศาสตร์สุขภาพ และรักษาการคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์

สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์

หลักสูตร Care Angel Program เปิดรับสมัครผู้เข้าร่วมโครงการจำนวน 42 คนต่อรุ่น โดยมีรายละเอียด ดังนี้

· ระยะเวลาการรับสมัคร ตั้งแต่ 1 ธันวาคม 2565 ถึง 24 มีนาคม 2566

· กำหนดการอบรม วันที่ 12 มิถุนายน 2566 ถึง 8 ธันวาคม 2566

· ระยะเวลาการอบรม 830 ชั่วโมง ประกอบไปด้วย การอบรมภาคทฤษฎีเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพวัยอิสระ การอบรมภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลวัยอิสระขั้นพื้นฐาน และการอบรมทักษะเสริมพิเศษเพื่อความเป็นมืออาชีพในการบริการ

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมหลักสูตรจะมีโอกาสมากมายที่ได้จากการร่วมเป็นหนึ่ง ใน Care Angel โดยจะได้รับทุนการศึกษาสำหรับการเข้าอบรมตลอดหลักสูตร และทุนสนับสนุนค่าครองชีพเพิ่มเติมจากผู้สนับสนุนทุนการศึกษา รวมไปถึงโอกาสในการร่วมงานกับบริษัทชั้นนำด้านอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ระดับโลก โครงการ The Aspen Tree The Forestias และการต่อยอดพัฒนาตนเอง โดยมีโอกาสร่วมอบรมโปรแกรม Residency Training กับ Baycrest ประเทศแคนาดา อีกด้วย

]]>
1411573
“บู๊ทส์” ตอกย้ำผู้นำด้านสุขภาพครบวงจร ให้คำปรึกษาเรื่องยา เวชภัณฑ์แบบ ONE-STOP SERVICE https://positioningmag.com/1358782 Fri, 05 Nov 2021 04:00:58 +0000 https://positioningmag.com/?p=1358782

ต้องบอกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ คนไทยมีการดูแลสุขภาพร่างกายเพิ่มมากขึ้น เห็นได้จากเทรนด์การออกกำลังกาย การทานอาหารที่มีประโยชน์ อีกทั้งผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ก็ต่างพากันออกสูตรใหม่ที่ลดน้ำตาล เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย รวมไปถึงการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้คนไทยตื่นตัวที่จะดูแลตัวเองมากขึ้นไปอีกหลายระดับ นอกจากดูแลแล้ว ยังไปถึงระดับปกป้อง และสร้างภูมิคุ้มกันมากขึ้นด้วย

ทำให้บู๊ทส์เห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ยา เวชภัณฑ์ อาหารเสริม รวมไปถึงร้านค้าปลีก และโรงพยาบาลต่างๆ

เมื่อไม่นานมานี้ “บู๊ทส์ ประเทศไทย” ได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ รับเทรนด์การดูแลสุขภาพของคนไทย ได้ประกาศปรับ Brand Value ใหม่สู่การเป็น “Health & Wellness Solutions Provider” โดยชูจุดเด่นด้วยบริการ New Medicine Service อัปเกรดการให้คำปรึกษาเรื่องยา และเวชภัณฑ์ แบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย เรียกว่าดูแลแบบ ONE-STOP SERVICE พร้อมดูแลคนไทยให้สุขภาพดีครบวงจร


คนไทยกังวลทั้งสุขภาพกาย และใจ

เหตุผลที่ธุรกิจด้าน Health & Wellness มีการเติบโต และเป็นที่สนใจมากขึ้นในประเทศไทย หรือแม้กระทั่งทั่วโลกเลยก็ตาม เพราะผู้บริโภคมีความกังวลเรื่องสุขภาพมากขึ้น สุขภาพในที่นี้มีทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพใจนั่นเอง

ในเรื่องของสุขภาพกายนั้น พบว่าคนไทยมีปัญหาด้านสุขภาพ ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค เผยว่า 5 อันดับโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของคนไทยในยุคปัจจุบัน ได้แก่ 1. โรคความดันโลหิตสูง 2. โรคเบาหวาน 3. โรคหลอดเลือดสมอง 4. โรคหลอดเลือดหัวใจ และ 5. โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

โรคต่างๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวันที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไลฟ์สไตล์ อาหารการกิน การดูแลตัวเอง อาจมีกรรมพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เมื่อสะสมมากขึ้นก็กลายเป็นภัยเงียบและปัญหาโรคเรื้อรังในที่สุด

นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คนไทยมีการค้นหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ อ้วน ไต และซึมเศร้ามากที่สุด(ข้อมูลจาก Google trends, Thailand Disease concerns, 1-30 August 2021) สะท้อนได้ว่าในช่วงล็อกดาวน์ คนไทยมีความกังวลใจเรื่องอ้วน และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น เนื่องจากการกักตัวอยู่บ้าน แล้วกินอาหารมากขึ้น รวมถึงการกินอาหารไม่เป็นเวลา

ประกอบกับในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้น นอกจากจะส่งผลกระทบในด้านร่างกายอย่างหนักหน่วง แต่ก็ส่งผลกระทบทางด้านจิตใจไม่แพ้กัน หลายคนได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม บางคนต้องตกงาน เพราะผู้ประกอบการแบกภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว เกิดความไม่แน่นอนทางการเงิน เกิดความเครียดจนนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าอีกด้วย

อย่างไรก็ดี การขอคำปรึกษาบางแห่งมีค่าบริการสูง หรือต้องจองคิวนาน แต่สำหรับบู๊ทส์สามารถให้คำปรึกษาได้แบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย โดยปัญหาสุขภาพหลักๆ ที่คนมาปรึกษากับเภสัชกรบู๊ทส์ ได้แก่ ข้อมูลโรค COVID-19, ปัญหา Office Syndrome หรือ Work From Home Syndrome, ความเครียดจากการทำงาน และเรื่องการซื้อยาที่ตัวเองใช้ประจำเพื่อรักษาอาการของโรคเรื้อรัง รวมไปจนถึงปรึกษาเกี่ยวกับยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ ปัญหาทางด้านการเงินก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนไทยเข้าถึงบริการทางด้าน Health & Wellness ได้ยากขึ้น


Telemedicine ทางเลือกใหม่ในยุค 4.0

การมาของเทคโนโลยี 5G ยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในหลายๆ อุตสาหกรรม ที่ต้องปรับตัวเพื่อให้เท่าทันต่อเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ในวงการการแพทย์เองก็ได้เกิดเทคโนโลยีที่เรียกว่า Telemedicine ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกในการพบแพทย์ และปรึกษาด้านสุขภาพ

ยิ่งในช่วงล็อกดาวน์ ยิ่งต้องมีการรักษาระยะห่างกันมากขึ้น เทคโนโลยีนี้จึงเข้ามาตอบโจทย์ได้อย่างตรงจุด ที่ผ่านมาจะได้เห็นหลายเจ้าที่ลงมาพัฒนา Telemedicine อย่างจริงจัง ทั้งผู้เล่นโอเปอเรเตอร์ โรงพยาบาล และแอปพลิเคชั่นต่างๆ ซึ่งแต่ละรายก็จะมีลักษณะของบริการที่แตกต่างกันไป รวมถึงค่าบริการด้วย

ทางด้านบู๊ทส์เองได้เปิดตัว Boots Mobile App แอปสุขภาพครบวงจรตั้งแต่ปี 2563 และเมื่อไม่นานมานี้ได้เปิดฟีเจอร์ใหม่ ‘Talk to Pharmacist’ เพื่อยกระดับคุณภาพการดูแลสุขภาพของคนไทยให้ดียิ่งขึ้น ที่สำคัญคือ สามารถใช้บริการได้ฟรีอีกด้วย

‘Talk to Pharmacist’ คือบริการให้คำปรึกษาด้านการดูแลสุขภาพที่เชื่อถือได้จากเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจากบู๊ทส์ พร้อมดูแลสุขภาพคนไทยแบบ O2O (Online to Offline) เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ปัจจุบัน บู๊ทส์มีจำนวน 240 สาขาทั่วประเทศ มีเภสัชกรของบู๊ทส์จำนวน 288 คน ที่พร้อมให้คำปรึกษาเรื่องสุขภาพ และตอบปัญหาแบบส่วนตัว ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับ COVID-19 โรคประจำตัว ความกังวลใจเรื่องสุขภาพ ผิวพรรณ รวมไปถึงการดูแลสุขภาพต่างๆ

เภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจากบู๊ทส์ ได้ผ่านการอบรมความรู้ด้านสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ทำให้มั่นใจได้เลยว่า เภสัชกรบู๊ทส์สามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับความกังวลใจด้านสุขภาพที่เกี่ยวเนื่องกับ COVID-19 วัคซีน และการดูแลตนเอง โดยพร้อมให้บริการคนไทยครบครันทุกช่องทาง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย


ปรับลุคสู่ Health & Wellness Solutions Provider

เนื่องจากบู๊ทส์ประเทศไทยมีพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญระดับโลก คือ วอลกรีนส์บู๊ทส์อลิอันซ์ (หรือดับเบิ้ลยูบีเอ) กิจการระดับโลกแห่งแรกที่ดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีชั้นนำ จึงได้นำมาตรฐานระดับโลกมาดูแลให้คนไทยทั้งประเทศเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ง่าย พร้อมมีสุขภาพกายและใจที่ดียิ่งขึ้น

บู๊ทส์จึงได้ประกาศปรับ Brand Value ใหม่สู่การเป็น “Health & Wellness Solutions Provider” อัปเกรดบริการการให้คำปรึกษาเรื่องยาและเวชภัณฑ์แบบไม่มีค่าใช้จ่าย #มั่นใจ ONE-STOP SERVICE เรื่องยากับเภสัชกรบู๊ทส์ปรึกษาเรื่องสุขภาพฟรี! เพื่อดูแลสุขภาพคนไทยแบบครบวงจร

อรพรรณ พงศ์พานิช Head of Customer Experience บู๊ทส์ รีเทล ประเทศไทย เผยว่า

“เพื่อสานต่อพันธกิจ ‘บู๊ทส์มีความมุ่งมั่นในการเพิ่มการเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีโดยใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญของเราให้คนไทยทุกคน’ เราพร้อมนำเสนอโซลูชั่นการดูแลสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นใน 3 มิติได้แก่ 1. การสรรหาหรือเลือกสรรสินค้าที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานมาให้ลูกค้าทุกคน 2. การมีเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจากบู๊ทส์คอยดูแลคุณในทุกๆ เรื่องที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ 3. บริการแบบครบวงจรที่ทำให้สินค้าและบริการเกี่ยวกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี สามารถเข้าถึงได้สะดวกและง่ายมากขึ้น พร้อมความรู้ความเชี่ยวชาญระดับมืออาชีพที่มั่นใจได้


ดูแลครบ จบแบบ ONE-STOP SERVICE

หลายคนต้องการปรึกษาด้านสุขภาพ แต่ไม่ต้องการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่เมื่อค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตก็พบว่า มีการวินิจฉัยโรคที่แตกต่างกันไป ซึ่งได้สร้างความตื่นตระหนกอย่างมาก การเปิดบริการใหม่ของบู๊ทส์จึงเรียกว่าตอบโจทย์ยุค New Normal อย่างเต็มตัว

ในแง่ของการให้บริการคำปรึกษานั้น บู๊ทส์พร้อมดูแลแบบครบวงจรด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ พร้อมยาและเวชภัณฑ์กว่า 3,000 รายการ ที่ได้มาตรฐานครบครันที่สุด ให้ลูกค้าทุกคนอุ่นใจเรื่องยาเพียงปรึกษากับเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญจากบู๊ทส์ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวน 288 คน ที่พร้อมให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล

การให้คำปรึกษานั้นจะผ่านทั้งทางหน้าร้านบู๊ทส์ 240 สาขาทั่วประเทศ, Boots Mobile App: Talk to Pharmacist ที่ให้บริการตั้งแต่ 9.00-21.00 น.ทุกวัน รวมไปถึง LINE Chat & Shop ของร้านบู๊ทส์แต่ละสาขา

แค่การให้คำปรึกษาอย่างเดียวไม่พอ บู๊ทส์ยังดูแลครบวงจรแบบ Omnichannel โดยที่ลูกค้าสามารถสั่งซื้อยาและเวชภัณฑ์ได้ในทันที ทางร้านก็ได้จัดเตรียมสินค้า มอบความสะดวกสบายให้ลูกค้ามากยิ่งขึ้นด้วยการนัดมารับที่หน้าร้าน นอกจากนี้ ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บู๊ทส์ก็ยังมีตัวช่วยให้คนไทยเข้าถึงบริการได้อย่างมั่นใจ กับบริการผ่าน Grab และเซอร์วิสอื่นๆ มาเสริมในการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องเดินทางออกจากบ้านเพื่อเจอกับความเสี่ยงรอบตัว

จะเห็นได้ว่าบริการ #มั่นใจ ONE-STOP SERVICE เรื่องยากับเภสัชกรบู๊ทส์ ครบวงจรแบบ Omnichannel เป็นการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ยุค New Normal จริงๆ เป็นการพัฒนาจากการเข้าใจอินไซต์ของลูกค้าว่าต้องการอะไร มี Pain Point อย่างไรบ้าง สามารถตัดความกังวลในการเข้าถึงบริการเรื่อง Health & Wellness ไปได้

มายกระดับการดูแลสุขภาพของคุณกับบู๊ทส์ประเทศไทย ที่ร้านบู๊ทส์ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือผ่าน Boots Mobile App แอปพลิเคชันเพื่อสุขภาพครบวงจร ดาวน์โหลดได้ที่ https://bit.ly/3wbObtD

หรือปรึกษาเรื่องอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ LINE Chat & Shop: http://bit.ly/3qgm9KY

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/bootsthailand

นับตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา เป็นเวลา 24 ปีแล้ว ที่บู๊ทส์ ประเทศไทย ได้ดูแลสุขภาพของคนไทย และยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะคอยอยู่เคียงข้าง พร้อมนำเสนอโซลูชันที่จะช่วยให้ชีวิตของคนไทยมีสุขภาพที่ดี และมีความสุขมากขึ้น

]]>
1358782
เปิดภารกิจ ‘ฐากร ปิยะพันธ์’ นำ Data พลิกโฉม ‘เครือไทย โฮลดิ้งส์’ ของเจ้าสัวเจริญ ลุยตลาดสินเชื่อ https://positioningmag.com/1324409 Tue, 23 Mar 2021 14:14:53 +0000 https://positioningmag.com/?p=1324409 ธุรกิจประกันเปิดศึกสู้กันดุเดือดเเบบไม่มีพักรับโลกยุคใหม่เเละพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค

ความเคลื่อนไหวของเครือไทย โฮลดิ้งส์กลุ่มธุรกิจประกันภัยและการเงินในเครือทีทีซี ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดีกำลังถูกจับตามองอย่างมาก หลังดึงฐากร ปิยะพันธ์ผู้บริหารมือทองด้านดิจิทัลแบงกิ้ง นวัตกรรมเเละ AI จากค่ายกรุงศรี คอนซูมเมอร์มานั่งคุมทัพใหญ่

เมื่อย้ายสู่บ้านหลังใหม่ได้สักพัก ฐากร ปิยะพันธ์ได้ฤกษ์เปิดแผนธุรกิจในระยะ 3-5 ปี กับกลยุทธ์สู่เป้าหมายการเป็นตัวท็อปธุรกิจประกันและการเงินของประเทศไทย พร้อมขยายไปยังอาเซียน

มาดูกันว่าการใช้ ‘Data’ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามความถนัดของฐากร จะนำพาเครือไทย โฮลดิ้งส์ไปบนเส้นทางสายใหม่นี้อย่างไร

ปัจจุบันเครือไทย โฮลดิ้งส์’ หรือ TGH ทำธุรกิจหลักๆ 3 กลุ่ม ได้เเก่ กลุ่มธุรกิจประกัน กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มธุรกิจ Health & Wellness

ธุรกิจสุขภาพด้าน Health & Wellness เป็นพาร์ตใหม่ที่เปิดมารองรับสังคมสูงวัยโดยเฉพาะทั้งการวางเเผนการเงินในวัยเกษียณทำประกันที่คุ้มครองจนสิ้นอายุขัย เเละให้บริการที่พักอาศัย ซึ่งจะมีความคืบหน้าในเร็ว ๆ นี้

หากเจาะลึกลงไปในธุรกิจประกัน จะมีบริษัทลูกในเครืออย่าง อาคเนย์ประกันชีวิต อาคเนย์ประกันภัย และ บมจ.ไทยประกันภัย ที่มีสินทรัพย์รวมกันประมาณ 75,000 ล้านบาท

ส่วนเบี้ยฯ รับรวมทั้งตลาดประกันชีวิตของปี 2563 อยู่ที่ราว 6 เเสนล้านบาท ลดลง 1.75% เเละเบี้ยฯ รับรวมทั้งตลาดประกันภัย อยู่ที่ราว 2.5 เเสนล้านบาท เติบโต 3.9%

ขณะที่ธุรกิจการเงิน จะมีบริษัทลูกอย่างอาคเนย์แคปปิตอล’ ผู้ให้บริการรถเช่าองค์กร ที่มีสินทรัพย์รวม 15,000 ล้านบาท เป็นที่ 1 ในตลาด เเละอาคเนย์มันนี่’ ที่กำลังจะเริ่มปล่อยสินเชื่อในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้

การเเพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบไปทุกอุตสาหกรรม ทำให้เครือไทย โฮลดิ้งส์ มีรายได้รวมลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปี 2020 มีรายได้รวม 23,300 ล้านบาท ลดลง 4% เเต่ขณะเดียวกันก็สามารถทำกำไร 168% เป็น 739 ล้านบาท จากการบริหารต้นทุน ปรับพอร์ตโฟลิโอ และการบริหารจัดการต่าง ๆ 

ทิศทางต่อไปจากนี้ จึงไม่ใช่งานง่ายๆอย่างเเน่นอน

ปั้น อาคเนย์มันนี่ รุกสินเชื่อรายย่อย

เเต่เดิมเครือไทย โฮลดิ้งส์พึ่งพารายได้ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจประกันภัยเเละประกันชีวิต เเต่ทิศทางหลัง COVID-19 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะจะหันมารุกสินเชื่อธุรกิจรายย่อยมากขึ้น

จากข้อมูลพบว่า ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจการเงินของเครือไทย โฮลดิ้งส์ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น 11%  สวนทางธุรกิจประกันชีวิตที่เติบโตลดลง 11% เเละธุรกิจประกันภัยที่เติบโตลดลง 3%

ฐากร บอกว่าตลาดสินเชื่อยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากเเม้จะต้องเผชิญกับคู่เเข่งทั้งสายเเบงก์เเละนอนเเบงก์เเละเข้าตลาดนี้ช้ากว่าก็ตาม

อาคเนย์มันนี่เพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เขาบอกว่าคืองานหินที่ต้องทำให้ได้ โดยจะใช้กลยุทธ์จับมือกับพาร์ตเนอร์ที่มีวิสัยทัศน์ตรงกัน เน้นเป็นบริษัทขนาดกลางที่มีเครือข่ายเข้าถึงลูกค้าอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งมีการเจรจาพูดคุยไว้เบื้องต้นเเล้ว

ความท้าทายตอนนี้ เหมือนการปีนขึ้นยอดเขาเอเวอเรสต์ แต่เราก็มองว่าจะสามารถเข้าไปซื้อกิจการหรือหาพันธมิตรร่วมทุนได้

อีกมุมหนึ่ง การมาของอาคเนย์มันนี่ ก็เป็นการเสริมความเเกร่งของธุรกิจรถเช่าอย่าง อาคเนย์ แคปิตอลที่ตอนนี้มีจำนวนรถกว่า 22,100 คัน เเบ่งเป็นลูกค้าภาครัฐ 50% ลูกค้านอกกลุ่มทีซีซี 30% เเละลูกค้ากลุ่มทีซีซี 20% ซึ่งปกติจะมีการประกาศขายรถมือสองอยู่แล้ว

อาคเนย์มันนี่มีเเผนตั้งเป้าสินเชื่อปล่อยใหม่ภายในปี 2564 ให้ได้ 2,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มต้นจากบริษัทในเครือ ผ่านสินเชื่อเพื่อคู่ค้าก่อน จากนั้นในไตรมาส 3 จะปล่อยสินเชื่อรถยนต์ รถเช่ามือสอง สินเชื่อมอเตอร์ไซค์ และในไตรมาส 4 จะเป็นสินเชื่อจำนำทะเบียน และสินเชื่อส่วนบุคคล

ติดอาวุธเทคฯ พลิกโฉม ‘ประกัน’ ยุคใหม่

เเม้จะบุกหนักไปที่ธุรกิจการเงิน เเต่ผู้บริหารเครือไทย โฮลดิ้งส์ยืนยันที่จะให้ความสำคัญกับธุรกิจประกันยิ่งกว่าเดิม ด้วยเเพชชั่นที่ต้องการทำให้ประกันไปอยู่ในชีวิตของทุกคน

โดยจะมีการปรับพอร์ตธุรกิจประกันขึ้นมาใหม่ นำข้อมูลจำนวนมากที่ธุรกิจประกันมีเป็นจุดเเข็ง มาผสมกับเทคโนโลยีให้ใช้งานง่าย ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI มาช่วยออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ตรงกลุ่มลูกค้า

สำหรับอาคเนย์ประกันชีวิต มีเบี้ยประกันภัยรับรวมปี 2563 อยู่ที่ 8,345 ล้านบาท ครองอันดับ 9 ของตลาด จะมุ่งกลยุทธ์ไปที่การขยายฐาน ‘ตัวแทนใหม่ ในต่างจังหวัด พร้อมๆ กับการรักษาพันธมิตรธนาคาร ที่เรียกว่าแบงก์แอสชัวรันซ์เเละมองหาพันธมิตรใหม่ช่องทางอื่นไปด้วย โดยคาดว่าสัดส่วนช่องทางขายระหว่างแบงก์และตัวแทนต่อจากนี้ จะอยู่ที่ 60% และ 40% ตามลำดับ

ทั้งนี้ พอร์ตส่วนใหญ่ของบริษัทกว่า 70% มาจากแบงก์แอสชัวรันซ์ ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (...)

ฐากร ยังตั้งเป้ารายได้ที่จากประกันกลุ่มเเละจะออกแบบประกันชีวิตควบการลงทุนอย่าง Unit Linked ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในปีนี้

ตามมาด้วย อาคเนย์ประกันภัย ที่ปี 2563 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 10,556 ล้านบาท ครองส่วนแบ่งทางการตลาดที่ร้อยละ 4.1 ครองอันดับ 6 ของตลาด

ส่วนใหญ่เป็นประกันรถยนต์ 66% ทรัพย์สินเเละเบ็ดเตล็ด 24% อุบัติเหตุเเละสุขภาพ 10% โดยปีนี้ บริษัทมีเเผนจะออกผลิตภัณฑ์ที่เเตกต่างจากตลาด เเละรองรับเทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่อย่าง ประกันรถยนต์ไฟฟ้า EV ฯลฯ

ส่วนไทยประกันภัย ที่ปี 2563 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงราว 1,321 ล้านบาท จะปรับรูปแบบการทำงานเเละโครงสร้างธุรกิจ เน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ซึ่งตอนนี้มีสัดส่วนอยู่ที่ 25%

โดยจะมีการทุ่มงบ 1,500 ล้านเพื่อพัฒนาระบบดิจิทัล เพิ่มยอดขายทางดิจิทัลของบริษัทในเครือทั้งหมด หลังจากปีที่ผ่านมา มียอดขายเเล้วกว่า 1,200 ล้านบาท เติบโตถึง 70% ส่วนใหญ่มาจากลูกค้าคนรุ่นใหม่

นอกจากนี้จะมีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปรับโครงสร้างการทำงานภายในองค์กรช่วยให้พนักงานทำงานสะดวกเเละลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีเเละรวดเร็ว

ฐากร บอกว่า จะจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่เพื่อทำ Data Analytics เเละเพิ่มแผนก Business Transformation พร้อมตั้งบริษัท Sofin เพื่อทำ Digital Solution โดยเฉพาะ

ครือไทย โฮลดิ้งส์ตั้งเป้าหมาย 3 ปี รายได้จะอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 14% กำไรเติบโตเฉลี่ย 20%

โดยในช่วง 2 ปีเเรกจะลุยตลาดในประเทศให้ประสบความสำเร็จก่อน จากนั้นในปีที่ 3 จึงจะขยับไปยังประเทศในอาเซียน เริ่มจากเวียดนาม ที่กลุ่มทีซีซีวางตลาดไว้อยู่เเล้ว ต่อไปจะขยายไปยังสปป.ลาว และกัมพูชา โดยจะรุกให้บริการทางการเงิน สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล ต่อยอดไปเป็นประกันภัยและประกันชีวิต

นี่คือทิศทางต่อไปของเครือไทย โฮลดิ้งส์ภายใต้การนำทัพของฐากร ปิยะพันธ์ที่หวังจะมาเขย่าวงการประกันยุคใหม่ด้วย ‘Data’ …น่าจับตามองไม่น้อย

 

 

]]>
1324409