House Samyan – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Fri, 19 Jun 2020 13:20:39 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 ส่อง 5 แคมเปญ “แบรนด์” สินค้าในประเทศไทยฉลอง “Pride Month” ประจำปี 2020 https://positioningmag.com/1284283 Fri, 19 Jun 2020 12:41:26 +0000 https://positioningmag.com/?p=1284283 เดือนมิถุนายนเดือนแห่ง “Pride Month” เวียนมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว โดยความสำคัญของเดือนนี้คือการกาปฏิทินร่วมรณรงค์สร้างความเข้าใจต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ หลายแบรนด์ที่จำหน่ายสินค้า-บริการในประเทศไทยมีการออกแคมเปญร่วมสนับสนุน LGBTQ ในเดือนแห่งความภาคภูมิใจนี้ด้วย Positioning จึงขอยกตัวอย่างแคมเปญดีๆ ที่เราเห็นถึงความตั้งใจขับเคลื่อนสังคมให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

ปีนี้เป็นปีที่ 51 นับจากการประท้วง Stonewall Riots ในสหรัฐอเมริกา และเป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์เรียกร้องสิทธิชาวเกย์ และขยายครอบคลุมถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศทั้งหมดในเวลาต่อมา โดยเลือกเอาเดือนมิถุนายนซึ่งเป็นเดือนที่เกิดเหตุการณ์เป็นเดือนแห่ง “Pride Month” ร่วมรณรงค์กันตลอดเดือน

ประวัติของ Stonewall Riots มาจากตำรวจบุกตรวจค้นผับ Stonewall Inns ซึ่งเป็นแหล่งรวมชาวเกย์และเลสเบี้ยนในนิวยอร์กในปี 1969 การบุกตรวจค้นมีการแยกเอาชายที่แต่งกายเป็นหญิงและหญิงที่แต่งกายเป็นชายไว้ต่างหาก เนื่องจากในยุคนั้นวิถี LGBTQ และการแต่งกายข้ามเพศถือว่าผิดกฎหมาย รวมถึงถูกตราหน้าว่ามีความผิดปกติทางจิต การบุกค้นครั้งนี้นำไปสู่ความรุนแรงทั้งจากผู้ถูกจับกุมต่อตำรวจ และจากตำรวจต่อชาวเกย์ จนเกิดการจลาจลประท้วงบนถนนต่อเนื่อง 6 วัน

ขบวนพาเหรด Pride Month ในเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เดือนมิถุนายน 2019 (Photo: Shutterstock)

แม้การเรียกร้องสิทธิ LGBTQ จะส่งผลให้มุมมองของสังคมต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศดีขึ้นเป็นลำดับ แต่การเลือกปฏิบัติยังไม่หมดไปโดยสิ้นเชิง ทำให้ “Pride Month” ยังมีต่อเนื่อง ส่งผลให้ในปี 2019 มีผู้ร่วมงานเดินขบวนเทศกาลนี้ในนิวยอร์กถึง 5 ล้านคน และมีการจัดเทศกาลในทำนองเดียวกันทั่วโลก

ปี 2020 อาจจะเป็นปีที่การรณรงค์ “Pride Month” เงียบเหงาไปสักหน่อยเนื่องจากโรคระบาด COVID-19 ทำให้ไม่สามารถจัดการเดินขบวนรณรงค์ได้ แต่เหล่าแบรนด์สินค้าและบริการที่มีจุดยืนสนับสนุนความหลากหลายทางเพศเหล่านี้ ยังคงจัดแคมเปญหรือแนวนโยบายเพื่อแสดงจุดยืนของตนเอง ที่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนโลโก้หรือออกสินค้าสีรุ้งเท่านั้น!

 

1.”แสนสิริ” – ลงนามกับ UN ผลักดันสิทธิ LGBTI

ปีนี้ “แสนสิริ” แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ไทย ยกระดับการสนับสนุน LGBTI (เลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล บุคคลข้ามเพศ และบุคคลเพศกำกวม) ด้วยการลงนามในข้อตกลง UN Standards of Conduct for Business ซึ่งเป็นข้อตกลงเพื่อให้คำมั่นว่าบริษัทจะปฏิบัติตามหลักการทางธุรกิจ 5 ข้อเหล่านี้

  • เคารพสิทธิมนุษยชนของกลุ่ม LGBTI ในทุกการดำเนินการทางธุรกิจ
  • ขจัดการเลือกปฏิบัติกับกลุ่ม LGBTI ในสถานที่ทำงาน
  • ให้การสนับสนุนเชิงรุกแก่พนักงาน LGBTI สร้างสภาพแวดล้อมเชิงบวก ให้ความเชื่อมั่น ทำให้พนักงานทำงานร่วมกันได้อย่างมีเกียรติ
  • ป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่อาจเกิดจากการกีดกันโดยคู่ค้า คู่สัญญา ลูกค้า หรือบุคคลอื่นๆ
  • ผลักดันประเด็นความเท่าเทียมอย่างเป็นสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพูดคุยในสังคม สนับสนุนทางการเงิน หรือปัจจัยอื่นๆ

โดยแสนสิริมีข้อปฏิบัติในองค์กรที่แสดงออกตามหลักการเหล่านี้แล้ว เช่น การจัดห้องน้ำแบบไม่ระบุเพศที่ชั้น 1 ของทุกตึกในสำนักงานใหญ่ หรือการเป็นพันธมิตรธนาคาร 4 แห่ง คือ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ออมสิน และ ยูโอบี เพื่ออำนวยความสะดวกให้ครอบครัว LGBTI กู้ซื้อบ้านร่วมกันได้ง่ายขึ้น

ประเด็นการช่วยผลักดันให้ LGBTI กู้ซื้อบ้านร่วมกันเพื่อสร้างชีวิตคู่เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากปกติแล้วธนาคารมักจะไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสหรือเป็นเครือญาติกู้สินเชื่อบ้านร่วมกัน เมื่อประเทศไทยยังไม่มีการจดทะเบียนสมรสเพศเดียวกัน ทำให้การกู้ซื้อบ้านของคู่รัก LGBTI ยุ่งยากขึ้น แต่ก็มีหลายธนาคารดังกล่าวข้างต้นที่มีเกณฑ์การตรวจสอบและอนุมัติให้แล้วในปัจจุบัน

 

2.โรงหนัง House Samyan – จัดพื้นที่ฉายให้หนัง LGBTQ

ไม่เพียงแต่เปลี่ยนโลโก้มีแถบธงสีรุ้งด้านล่าง เดือนนี้โรงหนัง House Samyan ยังมีโปรแกรมฉายภาพยนตร์เก่า 3 เรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตและความรักของ LGBTQ อย่าง Beautiful Thing (1996), Tangerine (2019) และ Portrait of a Lady on Fire (2019)

เดือนมิถุนายนปีนี้เป็นช่วงที่วิกฤตโรคระบาด COVID-19 เพิ่งคลี่คลาย และโรงภาพยนตร์เพิ่งได้รับอนุญาตให้กลับมาฉายได้ตามปกติ ทำให้ภาพยนตร์เด่นๆ หลายเรื่องเลือกจะเลื่อนเปิดฉายออกไปก่อน จนโรงภาพยนตร์ส่วนใหญ่ต้องดีลหนังเก่าที่ผู้ชมน่าจะสนใจดูซ้ำกลับมาฉายใหม่

สำหรับโรงหนัง House ก็เช่นกัน ภาพยนตร์หลายเรื่องในตารางเป็นการฉายซ้ำหนังเก่า โดยเลือกที่จะสนับสนุน “Pride Month” ด้วยการอุทิศพื้นที่ฉายราว 1 ใน 3 ให้กับหนัง LGBTQ ซึ่งมีส่วนช่วยเปิดพื้นที่ให้คอนเทนต์ของผู้มีความหลากหลายทางเพศไปสู่สังคมได้มากขึ้น

 

3.Guss Damn Good – เวิร์กช็อปค้นหารสไอศกรีม

ไอศกรีมรส Equality จาก Guss Damn Good ที่ได้จากการเวิร์กช็อปร่วมกับลูกค้าเมื่อปี 2019

มาถึงแบรนด์ของกินกันบ้าง แบรนด์ไอศกรีม Guss Damn Good ที่มี 9 สาขาหน้าร้านและจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเป็นแบรนด์ไอศกรีมคนไทยที่ก่อตั้งเมื่อปี 2014

ปีนี้น่าเสียดายที่วิกฤต COVID-19 ทำให้ Guss Damn Good ไม่สามารถจัดเวิร์กช็อปค้นหารสชาติไอศกรีมเพื่อเฉลิมฉลอง “Pride Month” ได้ แต่ได้นำรสชาติไอศกรีม Equality ที่ได้จากการเวิร์กช็อปปีที่แล้วกลับมาจำหน่ายใหม่ พร้อมกับการตกแต่งร้านด้วยธงสีรุ้งทั่วทั้งร้าน และเปลี่ยนสติกเกอร์ปิดกล่องจัดส่งพัสดุไอศกรีมเป็นสีรุ้ง

ย้อนไปปี 2019 แบรนด์ Guss Damn Good จัดเวิร์กช็อป We support LGBTQ+ เนื่องจาก “นที จรัสสุริยงค์” ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ เล็งเห็นถึงความไม่เท่าเทียมต่อ LGBTQ ในสังคมไทย เพราะพนักงานเพศหลากหลายของร้านคนหนึ่งถูกเลือกปฏิบัติจากลูกค้า

หน้าร้าน Guss Damn Good ประดับธงสีรุ้ง (Photo by Guss Damn Good)

ตัวแบรนด์ที่มีจุดยืนเป็นไอศกรีมที่ถ่ายทอดรสชาติความทรงจำ ต้องการให้ทานไอศกรีมแล้วนึกถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่แล้ว จึงนำจุดยืนของแบรนด์มาช่วยสนับสนุน สร้างสรรค์เวิร์กช็อปกับลูกค้า จนออกมาเป็นไอศกรีมรส Equality (ความเท่าเทียม) และ Love is Love (รักก็คือรัก)

การจัดเวิร์กช็อปให้ลูกค้าเข้าร่วมคิดค้นรสชาติ ทำให้มีคนจำนวนมากขึ้นที่ได้ engagement กับการคิดคำนึงถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อถึงหรือเรียกร้องให้กับ LGBTQ ไม่ใช่แค่การหากิมมิกเพื่อขายสินค้าเท่านั้น

 

4.”เจนเนอราลี่” – ปลดล็อก “คู่ชีวิต” เป็นผู้รับประโยชน์กรมธรรม์

อีกแคมเปญที่มีผลต่อการใช้ชีวิตคู่ของคู่รักเพศเดียวกัน คือเรื่องของกรมธรรม์ประกันชีวิต ปีนี้ “เจนเนอราลี่” ออกแคมเปญ “Gen LOVE Wins เพราะความรักชนะทุกสิ่ง” โดยเปิดกว้างให้คู่ชีวิต LGBTQ สามารถระบุชื่อผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นคู่ชีวิตของตนเองได้ เพียงแสดงหลักฐานการใช้ชีวิตร่วมกัน เช่น ภาพถ่ายบนโซเชียลมีเดีย ภาพถ่ายการสมรส หลักฐานการซื้อหรืออยู่บ้านเดียวกัน หลักฐานการทำธุรกิจร่วมกัน ทะเบียนสมรส (กรณีจดทะเบียนในต่างประเทศ)

ประเด็นนี้มีความสำคัญเพราะปกติแล้วการลงชื่อผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันชีวิต มักจะต้องระบุความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือทางกฎหมาย ขณะที่คู่รักเพศเดียวกันในไทยยังไม่ได้รับการรับรองให้จดทะเบียนสมรสได้ ทำให้บริษัทประกันแต่ละแห่งจะต้องมีนโยบายของบริษัทเองเพื่อรองรับ

นอกจากเจนเนอราลี่แล้ว ยังมีแบรนด์อื่นๆ ที่เปิดกว้างในประเด็นนี้เช่นกัน เช่น กรุงไทยแอ็กซ่า เมืองไทยประกันชีวิต เอฟดับบลิวดี ช่วยสนับสนุนให้ LGBTQ ดำเนินชีวิตได้อย่างเท่าเทียม

 

5.”Beautrium และ Levi’s” – สินค้าสีรุ้งส่งรายได้บริจาคให้ LGBTQ

(ซ้าย) แคมเปญจำหน่ายหน้ากากผ้าจาก Beautrium (ขวา) สินค้าคอลเลกชัน Levi’s Pride 2020 : Use Your Voice

วิธีสนับสนุน LGBTQ ที่ทำได้ไม่ยาก คือการสนับสนุนทางการเงิน โดยบางแบรนด์อาจจะจัดทำสินค้าการกุศลเพื่อระดมทุนไปบริจาคให้กับองค์กรที่เคลื่อนไหวเรื่องสิทธิบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ

เช่นปีนี้ Beautrium แบรนด์ร้านขายเครื่องสำอางแบบมัลติแบรนด์สัญชาติไทย เลือกผนวกการฉลอง “Pride Month” เข้ากับยุค COVID-19 ผลิตหน้ากากผ้าสายสีรุ้งในราคา 99 บาท รวมถึงลดราคาสินค้ากลางปีวันที่ 15-30 มิถุนายน 2563 รายได้จากการจำหน่ายหน้ากากและสินค้าลดราคาช่วงนี้ จะนำไปบริจาคให้กับองค์กรที่สนับสนุนกลุ่ม LGBT เช่น สื่อออนไลน์ Spectrum ที่มุ่งเน้นเสนอคอนเทนต์เรื่องเพศและสนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศ

หรือแบรนด์ Levi’s ที่ผลิตสินค้าคอลเลกชัน Levi’s Pride 2020 : Use Your Voice มีทั้งหมวก เสื้อยืด แจ็กเก็ตยีนส์ กระเป๋า โดยรายได้จะนำไปบริจาคให้กับ OutRight Action International องค์กรรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน ยุติความรุนแรงต่อ LGBTI ในระดับสากล

แบรนด์และแคมเปญเหล่านี้คือตัวอย่างของการสนับสนุน “Pride Month” ที่มากไปกว่าการกล่าวถึง เปลี่ยนโลโก้ หรือผลิตสินค้าสีรุ้งมาจำหน่าย แต่พยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ LGBTQ ใช้ชีวิตได้อย่างภาคภูมิใจและเท่าเทียมกับบุคคลรักต่างเพศมากขึ้น

]]>
1284283
มองอนาคต ‘โรงหนัง’ กับช่วงเวลาที่ ‘ยาก’ ที่สุดในการกลับมาให้บริการหลัง COVID-19 https://positioningmag.com/1282614 Mon, 08 Jun 2020 13:13:00 +0000 https://positioningmag.com/?p=1282614 ถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่น่าจับตาว่าจะกลับมาพลิกฟื้นอีกครั้งได้อย่างไร สำหรับอุตสาหกรรม ‘โรงหนัง’ ที่มีมูลค่าถึง ‘9,000 ล้านบาท’ เพราะการจะกลับมาในช่วงเวลาที่ ‘หนังใหม่ไม่มี’ พื้นที่ก็ถูก ‘จำกัด’ แถม ‘รอบฉาย’ ยังต้องลดลง ซึ่งผลกระทบที่ตามมาไม่ใช่แค่ลูกค้าทั่วไป แต่หมายถึงความมั่นใจของ ‘พาร์ตเนอร์โฆษณา’ ที่อาจจะหายไปด้วย

‘เมเจอร์’ เล็งโหมทำตลาดไตรมาส 4

หลังจากที่รายได้หายไป 250 ล้านบาทเพราะว่าต้องปิดบริการนาน 75 วัน และในช่วงนี้สามารถรองรับลูกค้าได้เพียง 25% พร้อมกับถูกจำกัดรอบฉายที่ต้องปิดตามเวลาห้าง แต่คุณนรุตม์ เจียรสนอง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) บอกว่าเพียงพอแล้วที่จะโคฟเวอร์ต้นทุน และเชื่อว่าภาพรวมทั้งปี เมเจอร์จะกลับมาทำรายได้เท่าปีที่ผ่านมา โดยจะโหมทำตลาดในช่วงไตรมาส 4 ของปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีหนังใหญ่เข้าฉายจำนวนมาก หลังจากที่เลื่อนฉายในช่วงต้นปี โดยจะมีหนังใหญ่ฉายทุกสัปดาห์ ส่วนในช่วงเวลานี้จะมีหนังเก่าฉายสลับหนังใหม่

“ผลสำรวจพบว่า 80% ของผู้ชมอยากดูภาพยนตร์ในโรง แต่ต้องเป็นหนังที่สนใจ ดังนั้นธุรกิจเราจะฟื้นได้ก็ขึ้นอยู่กับหน้าหนัง ว่าจะดึงดูดผู้ชมได้แค่ไหน เพราะเรามั่นใจว่าผู้บริโภคพร้อมกลับมา”

พลิกวิกฤติดึงลูกค้า Go Online

ในส่วนของโฆษณานั้นลูกค้ายังอยู่ครบ แต่เมเจอร์ได้ขยายไปในส่วนของออนไลน์ เช่น ไทอินในช่อง YouTube ของเมเจอร์ โดยจะ Add On ให้กับลูกค้า ส่งผลให้รายได้จากฝั่งโฆษณาของเมเจอร์ไม่ได้ตกลง นอกจากนี้ เมเจอร์จะใช้ช่วงเวลานี้ในการผลักดันการซื้อ-ขายตั๋วผ่านออนไลน์ จากที่ปัจจุบันมีสัดส่วน 15% ให้เป็น 50-80% ในอนาคต โดยเมเจอร์ได้ออกโปรโมชั่นใหม่ ๆ อาทิ ซื้อผ่านแอป รับส่วนลด 30 บาท สมาชิกบัตร M Gen Regular รับส่วนลด 50 บาทต่อที่นั่ง สมาชิก M Gen ทุกประเภท เมื่อซื้อผ่าน App Major Cineplex รับคะแนนเพิ่ม 5 เท่า เป็นต้น ซึ่งสมาชิกบัตรมีมากกว่า 1.5 แสนราย

“เราเชื่อว่าเราบริหารระยะเวลาการฉายได้ดีขึ้น บวกกับรายได้การขายหนัง และรายได้โฆษณาออนไลน์ เมเจอร์จะยังประคองรายได้ได้ ซึ่งปีที่ผ่านมาสามารถขายตั๋วได้ราว 35.5 ล้านใบ มีรายได้กว่า 1.1 หมื่นล้านบาท โดยมาจากโรงหนัง 70% อาหาร/เครื่องดื่ม 20% และอื่น ๆ 10%”

‘SF’ คาดรายได้ทั้งปีอาจหายไป 50%

สำหรับ ‘SF’ ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งค่ายใหญ่ของไทย โดยคุณพิมสิริ ทองร่มโพธิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ต้องหยุดให้บริการไป 75 วัน คาดว่ารายได้จากการขายตั๋วทั้งปีของ SF หายไปประมาณ 30% ขณะที่การกลับมาฉายโดยมีโอกาสทำรายได้เพียง 25% และรอบฉายที่หายไปประมาณ 2 รอบ ไม่สามารถจะนำมา ‘ชดเชย’ ต้นทุนที่มีเป็นหลักร้อยล้านบาท/เดือนได้ ดังนั้นในกรณีที่แย่ที่สุด SF อาจทำรายได้จากการขายตั๋วได้เพียง 50% จากที่ปีก่อนขายได้ 20 ล้านใบ

ทั้งนี้ SF คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้น หากมีการปลดล็อกมาตรการต่าง ๆ จนเป็นปกติ อย่างประเทศเวียดนามก็มีการเปิดโรงภาพยนตร์กันปกติ หรืออาจจะฟื้นอีกทีในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นช่วงที่จะเริ่มมีภาพยนตร์ใหม่ ๆ เข้าฉาย ขณะที่สถานการณ์ตอนนี้ ส่วนใหญ่จะฉายแต่ภาพยนตร์ที่ตกค้างจากก่อนจะปิดโรงภาพยนตร์ และมีการนำภาพยนตร์เก่ากลับมาฉายใหม่ และมีการยืดระยะเวลาการฉายภาพยนตร์ให้นานขึ้นกว่าปกติ

“ปกติโรงภาพยนตร์จะต้องมีเวลาสำหรับโปรโมตหนังอย่างน้อย 3 สัปดาห์ แต่อย่างตอนที่ให้เปิด เราก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้า แต่ยังดีที่ค่ายหนังพร้อมที่จะให้หนังมาฉาย ดังนั้นก็ประคองกันไป ซึ่งนี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดของการกลับมา แต่เราก็ได้เรียนรู้ในช่วงที่ปิดไป โดยเฉพาะการได้กลับมามองตัวเอง หาทางลดต้นทุน และจากนี้คงไม่มีแผนระยะยาว แต่จะวางเป็นรายสัปดาห์”

‘House สามย่าน’ ชี้ ‘เปิด’ ยังไงก็ดีกว่า ‘ปิด’

หลังจาก House โรงภายนตร์ที่ฉายหนังอินดี้ได้ย้ายจากย่าน RCA มาอยู่ที่ ‘สามย่าน มิตรทาวน์’ ได้ราว 8 เดือน โดย 3 เดือนนั้นต้องหยุดให้บริการไปเพราะ COVID-19 แต่ต่อให้มีต้นทุนกลับมา ยังไงก็ดีกว่ารายได้เป็น ‘ศูนย์’ โดยคุณพงศ์นรินทร์ อุลิศ ผู้บริหารโรงภาพยนตร์ House กล่าวว่า ปกติโรงภาพยนตร์ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ถ้ามีผู้ชมเข้ามารวม 40-50% ของจำนวนที่นั่ง 100% ก็ถือว่าเกินคาด เพราะปกติอาจไม่ถึง ดังนั้นการที่ House ปรับที่นั่งเหลือเพียง 40% จึงไม่มีผลกระทบมากนัก แต่ในส่วนของรายได้ที่ต้องหายไปเพราะต้องปิดเป็นเวลาเกือบ 3 เดือนนั้น House เองก็เข้าใจ เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ

ทั้งนี้ House ไม่สามารถประเมินได้ว่าตลาดจะฟื้นกลับมาอีกทีเมื่อไหร่ แต่จะฟื้นก็ต่อเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ รวมถึง ‘ความมั่นใจ’ ของผู้บริโภค ว่าจะกล้ากลับมาโรงภาพยนตร์เมื่อไหร่ ซึ่งแต่ละคนมีความกลัวไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม มองว่าผู้บริโภคมีความต้องการที่จะกลับมารับชมภาพยนตร์ในโรง เพราะว่าเบื่อที่ต้องอยู่แต่บ้าน และดูภาพยนตร์ผ่านสมาร์ทโฟนและทีวี

“ที่ปิดไป 3 เดือนเราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ปิดก็คือปิด และเราก็ไม่รู้ว่าจะฟื้นตัวหรือชดเชยรายได้ที่หายไปเพราะต้องปิดเมื่อไหร่ ไม่ใช่ว่าเราทำใจ แต่เราเข้าใจ ว่าไม่ใช่แค่เรา แต่เราก็มีแผนที่จะทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นเร็ว ๆ นี้ และทั้งนี้ทั้งนั้น COVID-19 คงไม่ได้มาเปลี่ยนพฤติกรรมและอุตสาหกรรมอะไรมากนัก เพราะมองว่าคนยังมีความต้องการ”

]]>
1282614