Hulu – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Thu, 14 May 2020 08:02:28 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 Update ตั้งแต่ ‘HOOQ’ ไป แพลตฟอร์มไหนยังอยู่ และอีกกี่รายที่กำลังจะมา https://positioningmag.com/1276822 Tue, 05 May 2020 06:36:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1276822 ถือว่าใจหายอยู่สำหรับ ‘HOOQ’ แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่ทำตลาดมากว่า 5 ปีได้เลิกกิจการไปด้วยเหตุ ‘สู้ต้นทุนไม่ไหว’ ดังนั้นเราจะมา Update กันว่ายังมีผู้ให้บริการที่ยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ และมีผู้เล่นอีกกี่รายที่เตรียมบุกตลาดไทย บอกได้คำเดียวเลยว่าตลาดนี้ไม่ใช่ Blue Ocean อีกต่อไปแล้ว

Netflix (เน็ตฟลิกซ์)

แพลตฟอร์มยอดฮิตของไทยและของผู้ใช้ทั่วโลก ที่เริ่มต้นมาจากธุรกิจให้เช่า DVD ผ่านทางเว็บไซต์ และแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวด้วยระบบ Movie Recommendation ช่วยแนะนำภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า และพัฒนามาเป็น Online Streaming ในปี 2007 และต่อยอดจนมี Original Content ของตัวเองและเติบโตจนให้บริการกว่า 190 ประเทศ มีผู้ใช้กว่า 160 ล้านราย และคาดว่าปีนี้อาจทะลุ 190 ล้านราย

Viu (วิว)

หนึ่งในบริการดูหนังและซีรีส์ที่เติบโตเร็วสุดของเอเชีย ที่เริ่มให้บริการเมื่อปี 2017 โดยกลุ่มบริษัท PCCW Media (พีซีซีดับเบิลยู มีเดีย) พร้อมได้พันธมิตรเป็น 3 ช่องทีวีจากเกาหลี ได้แก่ SBS, KBS และ MBC ทำให้มีจุดเด่นด้านคอนเทนต์เกาหลีและเอเชีย ทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์และรายการวาไรตี้ แถมมาพร้อมกับโมเดล ‘ฟรีเมียม’ ให้ ดูฟรี ไม่เสียเงิน แต่มีโฆษณาและได้แค่ความคมชัดภาพแบบ SD แต่ถ้าอยากดูแบบ Full HD ไม่มีโฆษณา สามารถสมาชิกได้ในราคา 119 บาท/เดือน โดยปีที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการกว่า 41.4 ล้านคน มียอดเข้าชมกว่า 5.7 พันล้านครั้ง จากการให้บริการใน 6 ประเทศ

WETV (วีทีวี)

หลังจากที่ยักษ์ใหญ่อย่าง ‘เทนเซ็นต์’ ได้ให้บริการแพลตฟอร์ม Tencent Video ในประเทศจีน จนปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 200 ล้านคน/วัน มีออริจินอลคอนเทนต์กว่า 80 เรื่อง ก็มาถึงช่วงขยายการเติบโต โดยเปิดตัว แพลตฟอร์ม ‘WeTV’ ในไทยประเทศแรกต่อจากจีน โดย WeTV มีจุดเด่นด้านซีรีส์จากจีนและเอเชีย ที่น่าจะถูกใจคอภาพยนตร์กำลังภายใน และสาว (วาย) อย่าง ‘ปรมาจารย์ลัทธิมาร’ ซึ่งรูปแบบการใช้บริการมีทั้งดูฟรีและพรีเมียม ถ้าอยากดูชัด ดูเร็ว และไม่มีโฆษณาคั่นก็จัดเลย เดือนละ 59 บาท

iFlix (ไอฟลิกซ์)

ไอฟลิกซ์เริ่มก่อตั้งเมื่อปี 2014 โดยเน้นเจาะตลาดเกิดใหม่เป็นหลักหรือประเทศที่กำลังพัฒนา โดยปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 28 ประเทศ นอกจากในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้วยังมี ประเทศอื่น ๆ อาทิ เนปาล, บังกลาเทศ, ซิมบับเว, แทนซาเนีย  โมร็อกโก และยูกันดา มีสมาชิกรวมกว่า 15 ล้านคน ในส่วนของคอนเทนต์จะเน้นความหลากหลายทั้งฝรั่ง จีน เกาหลี การ์ตูน มีหมด แถมบางคอนเทนต์ยังอัพเดตเร็วมาก ฉายจาก US ไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็มีซับไทยแล้ว ขณะที่รูปแบบการให้บริการก็มีทั้งฟรี iflixFREE และรูปแบบบริการแบบจ่ายค่าบริการสมาชิก ดูได้ไม่อั้นบน iflixVIP ในราคา 100 บาท/เดือน

LINE TV (ไลน์ทีวี)

แอปซีรีส์, ละครย้อนหลังและรายการวาไรตี้ยอดฮิตของคนไทย แถมมีออริจินอลซีรีส์ของตัวเองด้วย และที่ดีงามที่สุดคือ ดูฟรี แต่มีโฆษณานะ

ออริจินอล คอนเทนต์ ของ LINE TV ในปี 2563

AIS Play (เอไอเอส เพลย์)

แพลตฟอร์มคอนเทนต์จากโอเปอเรเตอร์ของไทยที่ให้ดูฟรีไม่จำกัดค่าย โดย AIS มี Netflix และ Viu เป็นพันธมิตร และมีคอนเทนต์ครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทีวีสด ภาพยนตร์ ซีรีส์ การ์ตูน คอนเสิร์ต รวมถึงออริจินอลซีรีส์ ‘คลับสะพานฟาย’ ที่พึ่งเปิดตัวปีนี้ แต่สำหรับใครที่อยากจะดู 10 ช่องพรีเมียม มีค่าบริการที่ 119 บาท/เดือน

True ID (ทรู ไอดี)

เป็นแพลตฟอร์มจากโอเปอเรเตอร์และสามารถดูได้ไม่จำกัดค่ายเช่นกัน แต่ True ID จะมีจุดเด่นที่แตกต่างจาก AIS Play ตรงที่ มีกีฬา ‘พรีเมียร์ลีก’ ให้ชม แน่นอนว่าดูฟรีเฉพาะบางคู่ และสามารถเช่าหนังพรีเมียมได้ในราคา 149 บาท โดยหนังใหม่ใน True ID นั้นมาเร็วมาก แต่หนังฟรีก็มี รวมถึงออริจินอลคอนเทนต์ด้วย เช่น ‘Voice สัมผัสเสียงมรณะ’

Doonee (ดูนี่)

แพลตฟอร์มสัญชาติไทยที่ให้ดูฟรี 30 วันเมื่อสมัคร แถมราคาเเพ็กเกจก็หลากหลาย ทั้งรายวัน 9 บาท รายเดือน 150 บาท และรายปี 1,500 บาท โดยคอนเทนต์ที่โดดเด่นจะเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ Hollywood โดยเฉพาะพวกซีรีส์สืบสวนสอบสวน และรายการดัง ๆ จากฝั่งอเมริกา อย่าง hell kitchen, Master Chef และด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มคนไทย แน่นอนว่าคอนเทนต์ส่วนใหญ่จะพากย์ไทยด้วย

MONOMAX (โมโนแมกซ์)

คงไม่ต้องบอกสรรพคุณ ใครที่เป็นแฟนหนังและซีรีส์ในช่อง Mono29 ก็ตามไปดูต่อกันผ่านแพลตฟอร์มได้ ล่าสุดเตรียมเอาซีรีส์ “WESTWORLD Season 3” (เวสต์เวิลด์ ซีซั่น 3) มาลงด้วย แฟน ๆ ก็ตามรอได้เลย ใครสนใจก็สมัครดูได้ ให้ดูฟรี 30 วันเช่นกัน ใครติดใจก็สมัครต่อได้ในแพ็กเกจ 250 บาท/เดือน และ 2,500 บาท/ปี

Flixer (ฟลิกเซอร์)

แพลตฟอร์มที่มีจุดยืนชัดเจน ว่ารวบรวมคอนเทนต์จากญี่ปุ่น โดยเฉพาะ ‘การ์ตูน’ ไม่ว่าจะเป็นฮีโร่ มาส์กไรเดอร์ ขบวนการเซ็นไท อุลตร้าแมน กันดั้ม อีกทั้งยังมีรายการแนวพาเที่ยว พาชิม บันเทิงวาไรตี้สนุก ๆ มากมาย โดยบริษัท ฟลิกเซอร์ จำกัด ที่เป็นเจ้าของแพลตฟอร์มมีพาร์ตเนอร์รายใหญ่เป็น บริษัทดรีม เอกซ์เพรส หรือ DEX ที่เป็นผู้นำด้านลิขสิทธิ์คอนเทนต์จากญี่ปุ่นในไทยมานานกว่า 18 ปี โดย Flixer สามารถดูฟรีและแบบพรีเมียมในราคา 89 บาท

POPS (พ็อพส์)

แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งจาก POPS Worldwide (ประเทศไทย) ที่เปิดตัวในเวียดนามปีที่ผ่านมา และเตรียมขยายให้ครอบคลุมทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย POPS จะคล้าย ๆ Flixer ที่เน้นคอนเทนต์การ์ตูน แต่เป็นฝั่งซูเปอร์ฮีโร่อเมริกัน อาทิ ไอรอนแมน (Ironman) วูล์ฟเวอรีน (Wolverine) เอ็กซ์เมน (X-MEN) เบลด (BLADE) และออริจินัลคอนเทนต์ที่มีพันธมิตรเป็นเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ อย่าง บี้-เดอะสกา, ต่อ-ตอปิโด หรือทีมอีสปอร์ตระดับท็อปของไทยอย่าง เบคอน ไทม์ โดยสามารถดูฟรี

รายนามยักษ์ใหญ่ที่กำลังเข้ามา

จากลิสต์รายชื่อ ดูเหมือนจะมีแค่ ‘Netflix’ รายเดียวที่เป็นรายใหญ่ระดับโลก ที่เหลือเป็นผู้เล่นระดับภูมิภาคและผู้ให้บริการในไทย ขณะเดียวกัน ผู้เล่นรายใหญ่ที่ยังไม่มาไทยก็กำลังเดินหน้าทำตลาดอื่น ๆ ในโลก อาทิ Disney + ของ Disney เจ้าของแฟรนไชส์พันล้านอย่าง Marvel และ Star wars, Amazon Prime Video โดย Amazon,  Apple TV+ จาก Apple,  HBO Max เจ้าของซีรีส์สุดฮิตอย่าง Game of throne และ Hulu นอกจากนี้ยังมีรายที่ยังไม่เปิดตัวอย่าง Peacock โดย NBCUniversal และไม่ใช่แค่ฝั่งยุโรป แต่เอเชียก็ยังมีผู้เล่นรายใหญ่ ๆ อีกนอกจาก ‘เทนเซ็นต์’ ที่เปิดตัว WeTV ในไทย อาทิ iQiyi (อ้ายฉีอี้) ฉายา Netflix ของจีน โดยมีเจ้าของคือ Baidu และ YouKu โดย Alibaba

ขนาดยังมาไม่ครบ ก็ทำเอาผู้เล่นระดับภูมิภาคไปแล้ว ถ้าวันที่ผู้เล่นเหล่านี้ทำตลาดครบทุกประเทศ ผู้เล่นที่เล็กกว่าจะใช้แผนไหนเพื่อสร้างรายได้ให้อยู่รอด คงต้องรอดูกันยาว ๆ

#Netflix #Viu #HOOQ #WETV #LINETV #iFlix #Doonee #MONOMAX #Flixer #Pops #TrueID #AISPlay #Disney+ #AmazonPrimeVideo #AppleTV+ #HBOMax #Hulu  #Peacock #iQiyi #YouKu #Positioningmag

]]>
1276822
ทำความรู้จัก ‘Quibi’ สตรีมมิ่งน้องใหม่ ที่เปิดตัวท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 https://positioningmag.com/1271877 Mon, 06 Apr 2020 05:36:31 +0000 https://positioningmag.com/?p=1271877 สตรีมมิ่ง ถือเป็นหนึ่งในสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดในตอนนี้ เพราะมีผู้เล่นรายใหญ่หันมาจับตลาดนี้จำนวนมาก อาทิ Disney ที่มี Disney+ หรือ Apple ที่มี Apple TV ยังไม่รวม Netflix, Hulu, Amazon Prime ที่อยู่กันมาก่อนหน้า ส่งผลให้สตรีมมิ่งรายย่อยเป็นอันต้องล้มหายตายจากกันไปบ้าง ล่าสุดก็ Hooq ที่ประกาศเลิกกิจการ แม้ว่าจะมีลูกค้ากว่า 80 ล้านราย แต่เพราะแบกต้นทุนไม่ไหวจึงต้องเก็บเสื่อไปอย่างน่าเสียดาย

แต่แม้จะเป็นตลาดที่โหดหินแค่ไหน แต่ก็จะมีข่าวเปิดตัวบริการสตรีมมิ่งมาเรื่อย ๆ ล่าสุด Quibi แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งน้องใหม่ที่ระดมทุนกว่า 1.75 พันล้านดอลลาร์ ก็พึ่งเปิดตัวสด ๆ ร้อน ๆ วันนี้ในสหรัฐอเมริกา พร้อมเข้ามาท้าชนรุ่นพี่ในตลาดด้วยจุดแข็งที่ไม่เหมือนใครอย่าง เนื้อหา ที่ไม่ว่าจะเป็นรายการ, ซีรีส์หรือภาพยนตร์ก็ตาม จะมีความยาวไม่เกิน 10 นาที และทุกคอนเทนต์สามารถดูได้ทั้ง แนวตั้ง แนวนอน นอกตำนานอุตสาหกรรมและดาราดังอย่าง Steven Spielberg, Guillermo del Toro, Jennifer Lopez และ Reese Witherspoon ก็ตบเท้ามาสร้างภาพยนตร์และรายการใน Quibi ด้วย

“ผู้คนมีช่วงเวลาต่างกัน อย่างพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกทั้งวันอาจจะแวะพักสัก 10-15 นาทีเพื่อมาใช้ Quibi ก็ได้ หรืออย่างตัวเองที่ใช้เวลา 10 หรือ 15 นาทีเพื่อดู Quibi หลังจากประชุมผ่าน Zoom ในทุกวัน” Meg Whitman ซีอีโอ กล่าว

เบื้องต้น Quibi มี Original Shows กว่า 175 เรื่อง และวิดีโอตอนสั้น 8,500 คลิป ที่จะมีการฉายในปีแรก ซี่งมั่นใจว่า ‘เพียงพอ’ ที่จะให้บริการ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถาณการณ์โควิด-19 ที่ระบาด ส่องผลต่อการผลิตคอนเทนต์ที่ชะงักลงด้วย แต่ทาง Quibi หวังว่าการผลิตจะกลับมาในไม่ช้า

“รายการทั่วไปเราใช้งบประมาณ 500 เหรียญ/นาที หรือราว 16,500 บาท และเราจ่ายเงินสูงถึง 100,000 เหรียญ/นาที หรือราว 3.3 ล้านบาทสำหรับภาพยนตร์และบทยาวพรีเมี่ยมของเรา”

งบประมาณที่น่าจับตามองของ Quibi นั้นเปรียบได้กับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ยาวกว่าเช่น Netflix, Amazon Prime, Disney + และ Apple TV + ขณะที่ HBO Max และ Peacock ที่จะลงสู่สมรภูมิอีกในไม่ช้า นอกจากนี้ Quibi ต้องแข่งขันกับวิดีโอฟรีนับล้านที่สร้างโดยผู้ใช้งาน อาทิ YouTube, TikTok, Facebook และ Instagram

“เรามีเป้าหมายที่จะสร้าง คลื่นลูกใหญ่แห่งการเล่าเรื่อง เราไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่งโดยตรง”

Meg Whitman CEO Quibi

สำหรับค่าสมัครสมาชิกของ Quibi จะอยู่ที่ 5 เหรียญ/เดือน (มีโฆษณา) และ 8 เหรียญ/เดือน (ไม่มีโฆษณา) ซึ่งปัจจุบัน Quibi ได้ขยายระยะเวลาทดลองใช้สองสัปดาห์เป็น 90 วัน อย่างไรก็ตาม Quibi นั้นตั้งใจที่จะเปิดตัวในเดือนเมษายนตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 ซึ่งการระบาดดังกล่าวส่งผลให้จะผู้คนหลายพันล้านทั่วโลกต้องอยู่แต่บ้าน ซึ่งหมายความว่า ไม่มีใครแน่ใจว่าจะวัดความสำเร็จในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้อย่างไร

Source

#Quibi #Disney+ #Apple TV #Netflix #Hulu #AmazonPrime #Streaming #Positoiningmag

]]>
1271877