iPhoneX – Positioning Magazine https://positioningmag.com Thailand's Leading Marketing Magazine Sat, 30 Dec 2017 19:25:46 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=5.6 167543101 5 ที่สุดปรากฏการณ์ไอทีปี 2017 https://positioningmag.com/1152234 Sun, 31 Dec 2017 03:07:33 +0000 https://positioningmag.com/?p=1152234 ในรอบปี 2017 ที่กำลังจะผ่านไป ถือเป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในแวดวงเทคโนโลยีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการ Disrupt ธุรกิจดั้งเดิม จากการมาของเหล่าสตาร์ทอัป รวมไปถึงการทรานฟอร์มธุรกิจสู่โลกดิจิทัล ที่องค์กรธุรกิจต่างกำลังเผชิญหน้าอยู่ในช่วงเวลานี้

แต่ในมุมของเทคโนโลยี เหล่าผู้ผลิต ผู้ให้บริการ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้น ทีมงานไซเบอร์บิซ จึงได้รวบรวม 5 ที่สุดของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกไอทีในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อให้เตรียมรับมือกับเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องในปีหน้า

1. สมาร์ทโฟนไฮเอนด์ราคาแพงขึ้น

ในปี 2017 ถือเป็นปีที่แอปเปิล ฉลองไอโฟนครบรอบ 10 ปี ด้วยการออกวางจำหน่าย iPhone X (ไอโฟน สิบ) ที่ถือเป็นรุ่นพิเศษเพิ่มเติมจากรุ่นปกติ (iPhone 8 และ iPhone 8 Plus) ที่มีคิวอัปเดตในทุกๆปี และถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้แก่วงการสมาร์ทโฟนในปีนี้ ด้วยการเป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่มผู้ใช้ทั่วไปที่ระดับราคาอยู่ในช่วง4หมื่นบาท

แม้ว่า iPhone X จะไม่ใช่สมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่ออกมาวางขายในช่วงระดับราคาดังกล่าว เพราะในช่วงก่อนหน้านี้ Porches Design Huawei Mate Series ก็เคยวางจำหน่ายในระดับราคาเกือบ 5 หมื่นบาท ตั้งแต่ปีที่แล้วก็ตาม แต่สมาร์ทโฟนของหัวเว่ยจะอยู่ในกลุ่มที่เป็นลิมิเต็ด อิดิชั่น หรือมีจำนวนจำกัด

กลับกัน iPhone X ไม่ได้ถูกวางตัวให้เป็นรุ่นจำนวนจำกัด แต่พร้อมกระจายสินค้าไปในตลาดที่แอปเปิลเข้าถึง ที่สำคัญคือได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้ใช้งานที่มีกำลังซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ชื่นชอบสินค้าของแอปเปิลอยู่แต่เดิม

ในส่วนของซัมซุงเองก็มีการปรับราคา Note 8 ขึ้นมาอยู่ที่ 33,900 บาท หรือเป็นการก้าวข้ามเพดานราคา 3หมื่นบาทขึ้นไป จากปีก่อนหน้าที่เคยวางราคาในรุ่น Note 7 ซึ่งไม่ได้ทำตลาดในราคา 28,900 บาท ส่วนหัวเว่ยยังยืนราคาเดิมของ Mate 10 ไว้ที่ 27,900 บาท

iPhone X ไม่ได้ถูกวางตัวให้เป็นรุ่นจำนวนจำกัด แต่พร้อมกระจายสินค้าไปในตลาดที่แอปเปิลเข้าถึง

 ส่วนในปีนี้เชื่อว่าผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพหลายคนต่างกำลังจับตาดูสมาร์ทโฟน Hydrogen One จากบริษัทผู้สร้างกล้องถ่ายภาพยนตร์ระดับโลก RED ที่มีข้อมูลออกมาว่าเตรียมวางจำหน่ายสมาร์ทโฟนที่จะมากับจอที่สามารถแสดงผลแบบโฮโลกราฟิก 3 มิติได้ ในระดับราคา 1,200 เหรียญ ซึ่งสูงกว่า iPhone X รุ่นแพงที่วางขายในราคา 1,149 เหรียญ (ราคาขายในไทยราคา 46,500 บาท)

2. สถิติวันคนโสด 11.11 จากอาลีบาบา ทำให้เห็นกระแสสึนามิ อีคอมเมิร์ซ

8.39 แสนล้านบาท คือมูลค่ายอดขายสินค้ารวมผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซของอาลีบาบา ซึ่งนับเฉพาะในวันที่ 11 เดือน 11 จากทุกมุมโลก ซึ่งเป็นยอดที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 41% ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของอีคอมเมิร์ซจากจีนรายนี้ ที่กำลังขยายตลาดออกไปทั่วโลก

โดยในเทศกาล 11.11 โกลบอล ชอปปิ้ง เฟสติวัล 2017 อาลีบาบาใช้เวลา 13 ชั่วโมง ในการทุบสถิติยอดขายในปี 2016 และทำสถิติใหม่เมื่อครบ 24 ชั่วโมงที่ 25,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 8.39 แสนล้านบาท เมื่อครบ 24 ชั่วโมง

สิ่งที่น่าสนใจจากมูลค่าการซื้อขายดังกล่าวคือสัดส่วนของวิธีการสั่งซื้อสินค้าของผู้บริโภคกว่า 90% มาจากอุปกรณ์พกพา ทำให้เห็นว่าการมาของสมาร์ทโฟนช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงอีคอมเมิร์ซได้ง่ายขึ้น และตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา

เทศกาล 11.11 โกลบอล ชอปปิ้ง เฟสติวัล 2017

ประกอบกับแนวคิดในการสร้าง New Retail ของอาลีบาบา อาจทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกหลายรายต่างต้องเร่งปรับตัว ในเมื่อลูกค้ามีทางเลือกที่มากขึ้น เพราะสุดท้ายแล้วการสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และรอรับอยู่ที่บ้านจะกลายเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป

3. ความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถือทะลุ 1 Gbps

แม้ว่าในประเทศไทยจะมีข้อจำกัดในแง่ของคลื่นความถี่ที่นำมาให้บริการโทรศัพท์มือถือ ทำให้โอเปอเรเตอร์แต่ละรายไม่สามารถนำเทคโนโลยี4Gมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่การมาของ AIS Next G ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการให้บริการเครือข่ายไร้สายในภูมิภาค

ด้วยการเป็นผู้ให้บริการ Gigabit Network รายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการให้บริการโมบายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงกว่า 1 Gbps ด้วยการนำเทคโนโลยี 4G LTE มารวมกับ AIS Super WiFi ทำให้สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านมือถือได้ความเร็วเกิน 1 Gbps

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่จึงยังมีข้อจำกัด ไม่ว่าจะเป็นในการใช้งานต้องใช้กับสมาร์ทโฟนที่รองรับ LTE Advanced หรือรองรับเทคโนโลยี 3CA 4×4 MIMO 256 QAM ที่อยู่บนสมาร์ทโฟนระดับไฮเอนด์ ขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ในพื้นที่ให้บริการ AIS Super WiFi ด้วย

AIS Next G

แม้ว่าจะเป็นเพียงสีสันที่เกิดขึ้น แต่ก็ทำให้เห็นว่าเทคโนโลยีที่ผู้ให้บริการลงทุนเพื่อนำมาให้บริการในประเทศไทย ไม่ได้ด้อยกว่าในต่างประเทศอย่างที่คิดกันแน่นอน และเชื่อว่าในปี 2018 จะสนุกขึ้นไปอีก เมื่อมีการปลดล็อกข้อจำกัดเรื่องคลื่นความถี่ ด้วยการนำคลื่นออกมาประมูล ให้โอเปอเรเตอร์นำไปให้บริการต่อไป

4. บิตคอยน์ การลงทุนความเสี่ยงสูง

สถิติราคาสูงสุดของ Bitcoin ที่เกิดขึ้นในวันที่ 16 ธันวาคม 2017 ที่ผ่านมา คือทะยานขึ้นไปถึง 19,000 เหรียญสหรัฐ หรือราว 6.2 แสนบาท ก่อนร่วงลงมาอยู่ที่ราว 12,000 เหรียญในปัจจุบัน จากในช่วงต้นปีที่ราคาเฉลี่ยอยู่ราว 1,000 เหรียญ หรือราว 33,000 บาท เท่านั้น จนทำให้นักวิเคราะห์ทางการเงินหลายรายต่างออกมาเตือนกันว่าการลงทุนในบิตคอยน์มีความเสี่ยง

สำหรับจุดที่ทำให้ บิตคอยน์ เริ่มถูกจับตามากขึ้นคือในวันที่ 28 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ที่ราคาของสกุลเงินดิจิทัลพุ่งขึ้นมาอยู่ในระดับ 10,000 เหรียญ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการที่ตลาดซื้อขายฟิวเจอร์สที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Chicago Mercantile Exchange (CME) ประกาศแผนการซื้อขายบิตคอยน์ออกมา

รวมถึงการแยกสกุลเงินดิจิทัลออกมา และการที่เหล่าสตาร์ทอัปหลายรายออกเหรียญเงินตราของตัวเองเพื่อใช้ระดมทุนในรูปแบบของ ‘Initial Coin Offering’ (ICO) ทำให้ปัจจุบันสกุลเงินดิจิทัลจึงมีให้เลือกมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทางธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ได้มีการออกมาสร้างความเข้าใจกับนักลงทุน เพื่อให้รับรู้ว่าการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) เป็นเพียงสินทรัพย์หนึ่งเพื่อการลงทุน คล้ายกับตราสารหนี้เท่านั้น เพราะไม่สามารถใช้ชำระเงินตามกฏหมายได้

5. ทำลายกำแพงภาษาด้วย Pixel Buds

หนึ่งใน Gadget ที่เปิดตัวออกมาแล้วได้รับเสียงตอบรับที่ดีที่สุดในปีนี้ คงหนีไม่พ้น Google Pixel Buds ที่นำความสามารถของระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่งมาใส่ไว้ด้วยกัน จนทำให้หูฟังชิ้นนี้ สามารถแปลภาษาได้ถึง 40 ภาษา แน่นอนว่าด้วยคอนเซปต์ของอุปกรณ์ชิ้นนี้ถือว่าสื่อสารออกมาได้ค่อนข้างดูดี

Pixel Buds

แต่ในความเป็นจริงหลังจาก Pixel Buds วางจำหน่าย คู่กับสมาร์ทโฟน Pixel 2 และเริ่มมีผู้นำไปใช้งาน ปรากฏว่าการทำงานของ Pixel Buds คือการสั่งงานผ่าน Google Assistance หรือการสั่งงานผ่านผู้ช่วยเสมือนของกูเกิล ส่วนเวลาแปลภาษาก็จะใช้ Google Translate หรือแอปแปลภาษาของกูเกิล

ทำให้ในการใช้งาน Pixel Buds แทบไม่ต่างจากการเปิดใช้งานแอปแปลภาษาบนแอนดรอยด์โฟน เพราะเมื่อพูดเข้าไปในหูฟังก็จะเป็นการบันทึกเสียงออกมาเป็นข้อความในแอป เพื่อทำการแปล เช่นเดียวกันถ้าต้องการใช้ในการฟัง ก็จะใช้แอปในสมาร์ทโฟนแปลภาษาออกทางหูฟังเท่านั้นเอง

ด้วยแนวคิดที่ดีแต่การใช้งานจริงยังไม่สะดวกมากนัก ดังนั้นสิ่งที่ควรรอดูกันต่อไปในปีหน้า เมื่อ AI และแมชชีนเลิร์นนิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น อุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านี้ รวมถึงอุปกรณ์ IoT ทั้งหลายจะเข้ามาช่วยให้ชีวิตมนุษย์สะดวกมากขึ้นแค่ไหน.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000131180

 

]]>
1152234
พิษไข้ iPhone X ทำยอดขายไม่แรง Apple เตรียมออกรุ่นใหม่ พร้อมลดราคา iPhone ต้นปี 2018 https://positioningmag.com/1151827 Tue, 26 Dec 2017 13:04:34 +0000 https://positioningmag.com/?p=1151827 Apple อาจกำลังเตรียมเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ 3 รุ่นสำหรับปี 2018

เพราะรายงานหลายชิ้นย้ำว่า สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดของแอปเปิล (Apple) อย่างไอโฟนเท็น (iPhone X) นั้น ทำยอดขายไม่เข้าเป้าในหลายประเทศ ล่าสุด ข่าววงในเผยว่า Apple กำลังเตรียมเปิดตัวไอโฟน 3 รุ่นใหม่ในปี 2018 พร้อมกับอาจเดินหน้าปรับราคาไอโฟนบางรุ่น เพื่อเยียวยาพิษไข้ iPhone X ขายไม่แรง

รายงานนี้มาจากสำนักข่าวดิจิไทมส์ (DigiTimes) ซึ่งอ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวนิรนามว่า ยอดสั่งซื้อ iPhone X นั้น ไม่เป็นไปตามเป้าหมายในพื้นที่อย่างสหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และไต้หวัน โดย “ความไม่ร้อนแรง” ของ iPhone X นี่เอง ทำให้ DigiTimes ชี้ว่า Apple กำลังเตรียมเร่งเปิดตัวไอโฟนรุ่นใหม่ 3 รุ่นสำหรับปี 2018 โดย 2 รุ่นเป็นไอโฟนที่ใช้หน้าจอแจ่ม organic light emitting diode (OLED) เหมือนที่ใช้ในไอโฟนปีนี้ และอีกรุ่นเป็นรุ่นธรมดาที่ใช้จอ liquid crystal display (LCD)

รายงานของ DigiTimes ชี้ว่า ไอโฟนรุ่นปี 2018 จะเป็นรุ่นถอนพิษที่ Apple ได้รับจาก iPhone X จุดนี้มีข่าวลือที่ DigiTimes ตีพิมพ์ไว้ด้วยว่า Apple กำลังถูกลือว่าจะลดราคา iPhone ลงบางรุ่นช่วงต้นปี 2018 

กองทัพ iPhone หลากรุ่น ล่าสุดมีข่าวว่า iPhone SE 2 รุ่นประหยัดกำลังจะแจ้งเกิด

เบื้องต้น สื่อออนไลน์วิเคราะห์ว่า เหตุผลที่ทำให้ Apple ตัดสินใจลดราคาไอโฟน คือ เป้าหมายในการยั่วใจผู้บริโภค โดยที่ผ่านมา รายได้จากธุรกิจไอโฟนของ Apple นั้น มักขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ จากยอดขายจำนวนเครื่อง iPhone และราคาเฉลี่ยในการจำหน่าย iPhone ซึ่งหาก Apple เลือกเส้นทางลดราคา iPhone เจ้าพ่อผลไม้อาจคิดว่าสามารถดึงให้สัดส่วนเครื่อง iPhone ที่ขายได้นั้นเพิ่มขึ้น โดยที่การลดราคาเครื่องจะไม่ทำให้กำไรของบริษัทหดลง

ล่าสุด มีรายงานว่า Apple กำลังเตรียมเปิดตัวไอโฟนราคาประหยัดรุ่นใหม่ iPhone SE 2 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงมีนาคม 2018 ช่วงเวลาเดียวกับที่ SE รุ่นแรกถูกเปิดตัว.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000130026

]]>
1151827
กระแส iPhone X ถล่มตลาดไทย !! รอบนี้ให้ผ่อนยาว 3 ปีกันเลยนะ https://positioningmag.com/1147983 Fri, 24 Nov 2017 05:07:35 +0000 https://positioningmag.com/?p=1147983 ถือว่ากลับมาเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจอีกครั้งของแอปเปิล กับการเปิดจอง iPhone X ผ่านทั้ง 3 ผู้ให้บริการเครือข่ายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนดีเดย์วางจำหน่ายในวันนี้ (24 พ.ย.) ทั้งช่องทางโอเปอเรเตอร์ หน้าร้านค้าปลีก และช่องทางออนไลน์บนแอปเปิลสโตร์

ผลตอบรับที่เห็นได้จากการเปิดจอง แม้ว่าจะมีการชำระเงินมัดจำล่วงหน้า 5,000 บาท ในตอนที่กดจองผ่านหน้าเว็บไซต์ ก็ยังเกิดอาการหน้าเว็บล่ม และสินค้าหมดในระยะเวลาหลังเปิดจองไม่นาน โดยบางรายหมดตั้งแต่ไม่ถึง 10 นาทีแรก ก่อนลูกค้าชำระเงินแล้วเสร็จภายใน 30 นาที และบางรายมียอดจองเข้ามาเกินความคาดหมายจนต้องมีการเพิ่มสต๊อกสินค้าสำหรับสั่งจอง

ผิดกับช่วงการเปิดจอง iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ที่กว่าจะหมดครบทุกรุ่น ทุกสีก็ใช้เวลาสักพัก แต่ขณะเดียวกัน เมื่อถึงวันวางจำหน่ายก็มีเครื่องเข้ามาเติมสต๊อกที่หน้าร้านอย่างต่อเนื่อง จนไม่เกิดอาการของขาดเหมือนรุ่นก่อน ๆ

กลับกัน ในส่วนของ iPhone X ผู้บริโภคต่างรับรู้ว่าเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง ในต่างประเทศยังต้องรอการจัดส่งสินค้าไม่ต่ำกว่า 2-3 สัปดาห์ หากสั่งผ่านช่องทางออนไลน์ของแอปเปิล ซึ่งคาดว่าในประเทศไทยก็จะไม่ต่างกันมากนัก

ราคาโอเปอเตอร์ลดเยอะ ผ่อนได้นาน แลกกับใช้แพกราคาสูงขึ้น

ขณะเดียวกัน การทำราคาร่วมกับแพกเกจของโอเปอเรเตอร์ พร้อมการทำโปรโมชั่นผ่อน 0% ก็เป็นจุดที่ทำให้ผู้บริโภคให้ความสนใจ iPhone X กันมากขึ้น โดยทั่ว ๆ ไป ลูกค้ารายเดือนจะใช้งานแพกเกจในระดับราคาประมาณ 599-699 บาท ซึ่งถ้าเทียบกับส่วนลดค่าเครื่องที่ได้ 4,000 บาท ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่พอรับได้

กลับกัน ถ้าเป็นกลุ่มพาวเวอร์ยูสเซอร์ หรือลูกค้าที่ใช้งานโทรศัพท์เยอะ ทั้งโทร. และเล่นเน็ต หากขยับขึ้นไปใช้งานแพกเกจระดับ 1,099 บาทขึ้นไป ก็จะได้ส่วนลดค่าเครื่องถึง 7,000 บาท โดยในจุดนี้ผู้บริโภคควรคำนึงถึงแพกเกจที่ใช้งานเป็นหลักมากกว่า เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

ไม่ใช่มองถึงส่วนลดค่าเครื่อง แต่ต้องจ่ายค่าแพกเกจที่แพงขึ้น แล้วใช้งานได้ไม่คุ้มค่า เพราะการใช้งานแพกเกจเหล่านี้จะติดสัญญาในการใช้งาน 6 เดือน-1 ปี ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงแพกเกจก็จะโดนเรียกเก็บส่วนลดค่าเครื่องคืน ทำให้สุดท้ายแล้วผู้บริโภคเสียประโยชน์

ที่สำคัญ ต้องดูเข้าไปถึงรายละเอียดของแพกเกจที่ให้ด้วย เพราะบางรายในราคาแพกเกจ 1,099 บาท ถ้าไปใช้งานกับแพกเกจอื่นจะได้เล่นเน็ต 4G ไม่จำกัด แต่พอมาเป็นโปรซื้อไอโฟนพร้อมแพกเกจ กลับให้ใช้งาน 4G แค่ 16 GB ดังนั้น จึงควรศึกษารายละเอียดตรงนี้เพิ่มเติมด้วย

ส่วนเรื่องการผ่อนชำระ ในรอบนี้จะได้เห็นการทำโปรโมชั่นกับบัตรเครดิตให้ผ่อนสูงสุดถึง 36 เดือน ซึ่งก็ต้องดูว่าใช้งานได้กับบัตรใด แต่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นธนาคารหลัก ๆ ก็จะยึดอยู่ที่ 0% 10 เดือน และบางธนาคารก็จะมีทำโปรโมชั่นเงินคืนเพิ่มเติม 2-3% ให้เลือกด้วย

***Face ID เตรียมตัวมาดี และยังไม่มีใครเหมือน

ถ้ามองถึงความสามารถที่เป็นจุดแข็งหลักจริง ๆ และในฝั่งแอนดรอยด์ยังไม่มีใครทำได้แม่นยำเท่าของ iPhone X คงหนีไม่พ้น Face ID ที่แอปเปิล มองว่าเป็นรูปแบบของระบบรักษาความปลอดภัยยุคใหม่ ที่ให้ความสะดวกมากกว่าการใช้งานสแกนลายนิ้วมือเดิม (Touch ID) ที่ใช้ความแข็งแรงของอีโคซิสเตมส์มาช่วยในการผลักดัน

แน่นอนว่า คำถามหลักที่เกิดขึ้น คือ Face ID ปลอดภัยแค่ไหน ท่ามกลางข้อมูลที่ออกมาหลังจาก iPhone X เริ่มวางจำหน่ายในต่างประเทศ คือ การที่ตัวเครื่องถูกปลดล็อกได้จากฝาแฝด หรือญาติพี่น้องที่มีเค้าโครงหน้าเหมือนกัน หรือแม้แต่การที่เกาหลีใต้ ประกาศว่ายังไม่ยอมรับ Face ID ให้มาใช้ในการทำธุรกรรม

ในความเป็นจริง แอปเปิล มองว่า Face ID เป็นเหมือนตัวช่วยในระบบรักษาความปลอดภัยที่จะทำงานควบคู่กับการใส่รหัส (Passcode) เหมือนการยืนยันตัวตน 2 ขั้นตอน (2 step verification) ที่เมื่อตัวเครื่องไม่แน่ใจว่า ใบหน้านี้ใช่เจ้าของเครื่องไหม ก็จะทำการถามรหัสผ่านเพื่อที่จะเรียนรู้ใบหน้าเพิ่มเติม

เช่นเดียวกับในกรณีที่ถามว่า ถ้าเครื่องโดนขโมย หรือโดนบังคับให้ปลดล็อกเครื่อง ในจุดนี้ Face ID จะทำงานก็ต่อเมื่อเจ้าของเครื่องมองหน้าจอ ถ้าไม่มองก็จะไม่ปลดล็อก ถ้าเทียบกับการสแกนลายนิ้วมือที่แค่นำนิ้วมือไปสัมผัส เซ็นเซอร์ก็จะปลดล็อกเครื่องทันที จึงถือว่าปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว

แต่แน่นอนว่า สุดท้ายถ้าโดนบังคับให้ใส่รหัสข้อมูลทุกอย่างก็โดนขโมยไปได้อยู่ดี ไม่ต่างกันว่าจะใช้การป้องกันในรูปแบบใด อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ Face ID ทางแอปเปิลก็จะมีข้อแนะนำในเบื้องต้นอยู่แล้วว่า ถ้ามีฝาแฝดเหมือน หรือถ้ายังเป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 13 ปี ก็ยังไม่ควรใช้งาน Face ID เป็นหลัก เพราะโครงหน้ายังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่

นอกจากเรื่องการปลดล็อกเครื่องแล้ว ที่ Face ID เข้ามาทำหน้าที่แทนแล้วก็ยังถูกนำไปใช้อย่างการชำระเงินในการดาวน์โหลดแอปเพื่อติดตั้ง จากเดิมที่ใช้การกรอกรหัสผ่านของ Apple ID ร่วมกับการใช้ Touch ID พอมาเป็น iPhone X การชำระเงินก็ถูกเปลี่ยนเป็น Face ID แทน ด้วยการกดปุ่มข้างเครื่อง 2 ครั้ง เพื่อยืนยันการชำระเงิน

ที่ต้องจับตาดูต่อจากนี้ คือ การที่แอปเปิลจะต้องผลักดันเทคโนโลยี TrueDepth เพื่อให้นักพัฒนานำไปใช้ และพัฒนาแอปพลิเคชันที่ดึงความสามารถของการเป็นกล้องที่มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ในการตรวจจับเค้าโครง การเคลื่อนไหวต่าง ๆ เพราะยังถือเป็นเทคโนโลยีของอนาคต ที่กว่าจะแพร่หลายคงใช้เวลาอีก 2-3 ปี

***กล้องยังไม่สุด รอความสมบูรณ์ของ Portrait Light

แม้ว่า iPhone X จะชูเรื่องของกล้องคู่พร้อมระบบกันสั่นคู่มาให้ใช้งานกัน แต่เนื่องจากปัจจุบันในฝั่งของแอนดรอยด์ ในเครื่องระดับไฮเอนด์ของทุกแบรนด์ต่างมาพร้อมกับกล้องคู่ในลักษณะดังกล่าวเช่นเดียวกัน ดังนั้น ในเรื่องของกล้องถ่ายภาพจึงยังไม่ใช่จุดที่ทำให้ iPhone X โดดเด่นออกมาเหนือคู่แข่งได้

ประกอบกับการที่ฟีเจอร์ใหม่อย่าง Portrait Light ยังอยู่ในช่วงเบต้าอยู่ ทำให้ภาพที่ได้จากการถ่ายหน้าชัด หลังเบลอใน iPhone X รวมถึงบน iPhone 8 Plus จึงยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เชื่อว่า แอปเปิลเองก็ทราบข้อผิดพลาดนี้ และกำลังปรับปรุงอยู่ แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูลให้ AI ช่วยนำไปประมวลผลเพื่อให้การแยกวัตถุละเอียดมากขึ้น

***คุ้มไหมกับราคาเริ่มต้น 40,500 บาท

ประเด็นนี้ถือเป็นสิ่งที่ตอบยากที่สุด เพราะขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้ใช้ กลุ่มที่ไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน ก็จะมองว่า iPhone X ราคาแพงเกินไป นำเงิน 4 หมื่นกว่าบาท ไปซื้ออย่างอื่นดีกว่า หรือแม้แต่หันลงมาเลือกใช้งาน iPhone 8 หรือ iPhone 8 Plus แทน

ขณะเดียวกัน ฐานลูกค้าของแอปเปิลจริง ๆ ไม่ได้กังวลในเรื่องราคาอยู่แล้ว ถ้าเป็นสินค้าที่ซื้อมาและตอบโจทย์การใช้งาน ทำให้ชีวิตสะดวกขึ้น แลกกับเงิน 4 หมื่นบาทแล้วได้ภาพลักษณ์ในการใช้งานที่ดูทันสมัย ล้ำหน้ากลับมา กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะมองว่าเป็นเรื่องที่คุ้มค่า

เชื่อว่า สุดท้าย iPhone X ก็จะขายดี และสร้างกำไรให้แอปเปิลมหาศาลเช่นเคย

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000118594

]]>
1147983
ห้ามทำพัง ค่าซ่อม iPhoneX ไม่ธรรมดา https://positioningmag.com/1147207 Mon, 20 Nov 2017 03:30:46 +0000 https://positioningmag.com/?p=1147207 สำหรับใครที่ได้เป็นเจ้าของไอโฟนเท็น (iPhone X) กันไปแล้ว นอกจากฟังก์ชันการใช้งานที่หลายคนประทับใจ อีกสิ่งหนึ่งที่ควรจำให้ขึ้นใจก็คือ ไม่ควรทำพังเด็ดขาด เนื่องจากสมาร์ทโฟนราคา 1,000 เหรียญสหรัฐฯ นี้ มีค่าซ่อมแพงหูฉี่เลยทีเดียว

โดยมีการเปิดเผยค่าใช้จ่ายในการซ่อมหน้าจอไอโฟนเท็นจากแอปเปิล (Apple) ว่า สูงถึง 279 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 9,200 บาท (แพงกว่าไอโฟน 8 และไอโฟน 7 ประมาณหนึ่งเท่าตัว) แต่ถ้าส่วนที่พังเสียหายไม่ใช่หน้าจอ ค่าใช้จ่ายอาจอยู่ที่ 549 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 18,000 บาทเลยทีเดียว

ทั้งนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการพังของหน้าจอไอโฟนเกิดจากการที่แอปเปิลเลือกใช้กระจกแก้วเป็นอุปกรณ์ ซึ่งมีการนำมาโฆษณาด้วยว่าจะทำให้จอของไอโฟนแข็งแกร่งทนทานมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับผลการสำรวจก่อนหน้าของหลายค่ายที่พบว่า จอแบบใหม่นี้พังง่ายมาก

ไม่เพียงเท่านั้น หน้าจอของไอโฟนเท็นยังเป็นที่บรรจุเทคโนโลยีไฮเทคมากมาย เช่น จอ OLED รุ่นบางเฉียบแถมราคาแพงมาก กล้องสำหรับจับภาพใบหน้าก็ถูกฝังมาในหน้าจอด้วยเช่นกัน ฯลฯ ซึ่งหมายความว่า การทำหน้าจอพังอาจหมายถึงการต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ยกชุดนั่นเอง

แต่แอปเปิลระบุว่า ความกังวลนี้จะหมดไป ถ้าผู้บริโภคเลือกซื้อ Apple Care+ ราคา 199 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 6,530 บาทไปด้วย ซึ่งจะลดค่าใช้จ่ายของการซ่อมหน้าจอไอโฟนเท็นลงอย่างน่าตกใจ เหลือ 29 เหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 952 บาท และความเสียหายในส่วนอื่นเหลือ 99 เหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 3,253 บาทเท่านั้น

งานโฆษณาจบแล้ว งานขายก็มาทันทีเลย.

ที่มา : mgronline.com/cyberbiz/detail/9600000116749

]]>
1147207